|0 คอมเมนต์
ตอนวัยรุ่นผมชอบอ่านบทกวีนะ แบบโรแมนติค เพ้อฝัน นั่งมองดูอาทิตย์อัสดงเป็นชั่วโมงๆ
ดูแล้วก็ครึ้มๆๆ ล่องลอย ขนลุก เอนโดฟินด์หลั่งมีความสุข
เรื่องความรักก็ช่างโรแมนซ์(คาโทลิค)จริงๆ คิดถึงเธอ จับมือกัน ยิ้มให้กัน แล้วก็นั่งอมยิ้มคนเดียว อิอิอิ โอ้..สวรรค์
โตขึ้นผมเจอเรื่องสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง) ธรรมะให้พยายามพิจารณาแล้วก็ตัดสิ่งปรุงแต่งออก อื้อหือ ...แนวคิดตรงข้ามกันเลยนะกับบทกวี กับการเพ้อฝัน คือแทนที่จะไปเสริมไปปรุงแต่งให้มันมากขึ้น ก็ให้พยายามลดมันลงมองมันตามความเป็นจริงมากขึ้น
ผมว่าการเผชิญหน้ากับความจริง (ไม่ว่าจะด้านทุกข์หรือด้านสุข) ให้ความสุขแบบสะใจและให้ประโยชน์กว่าเยอะ
เรื่องพรหมลิขิตผมก็เลยไม่เชื่อ ผมเชื่อเรื่องเหตุและปัจจัยนำไปสู่ผลมากกว่า รวมทั้งเรื่องความบังเอิญก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเช่นกัน(ผมเชื่อกฎของบราวด์เนียนด้วยนะ)
เรื่องพรหมลิขิตถ้าจะใช้ก็เอาไว้งัดมาใช้ตอนที่ล้มเหลวดีกว่า แบบว่าตอนทำใจอ่ะ...

แบบตอนที่เศร้าสุดประมาณว่าหน้ามืดตามัวมองไม่เห็นทางไม่เห็นความจริง หรือตอนที่จิตใจอ่อนแอสุดๆ ถ้าจิตใจเข้มแข็งก็ไม่ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้หรอกครับ
ถ้าผมจะมีแฟนสักคน ผมเป็นฝ่ายลงมือเองดีกว่า สำเร็จหรือล้มเหลว ก็เป็นจากฝีมือเราล้วนๆ ภูมิใจหรือเสียใจก็เป็นจากผลงานของเรา
ไม่ใช่ว่าล้มเหลวเป็นผลงานเรา แต่พอสำเร็จบอกว่าเป็นฝีมือพระพรหมลิขิต.... โห....พระพรหม(ถ้ามีจริง)ท่านไม่มายุ่งเรื่อง รักๆ ใคร่ๆ หรอกครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ
ผมคอมเม็นท์โหดไปไหมเนี่ย.....