มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4112
ขอเอาบทความดีๆ ของ พี่ธันวา มาฝากเพื่อนๆชาวชมรมหมอ VI ครับผม
"ธันวา เลาหศิริวงศ์" ถอดรหัส..จัดทัพลงทุนของ"วอร์เรน บัฟเฟตต์"
"ธันวา เลาหศิริวงศ์" ถอดรหัส..จัดทัพลงทุนของ"วอร์เรน บัฟเฟตต์"
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... &subcatid=จากความกังวลของปัญหากลุ่มประเทศยุโรปในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ปรับตัวลดลงและมีความผันผวนมาก ส่งผลให้มูลค่าหุ้นในพอร์ตลดลง นักลงทุนเริ่มกังวลและหวั่นไหวกับทิศทางของตลาดทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังมีความมั่นใจไม่น้อย นักลงทุนที่ผ่านการลงทุนมายาวนานนั้นเข้าใจดีว่า ความผันผวนดังกล่าวเป็นภาวะที่เกิดขึ้นและอยู่คู่กับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เสมอ ดังนั้น ภาวะดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเกิดครั้งแรกและไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในแนวทาง Value Investment มากว่า 40 ปี โดยมีแก่นการลงทุนคือ ลงทุนกิจการที่ยอดเยี่ยม ราคายุติธรรม มีส่วนต่างความปลอดภัยที่เหมาะสม แล้วเก็บไว้ให้นานที่สุด หรือหากเป็นไปได้ก็จะถือตลอดชีวิต เขาไม่ได้เก่งในทางทฤษฎีด้านการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นนักปฏิบัติที่ประสบผลสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับทั่วโลก เรามาดูกันว่า เขาจัดทัพการลงทุนอย่างไร โดยเรียนรู้ผ่านจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ ฉบับล่าสุดกันครับ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เชื่อว่า การลงทุนในกิจการชั้นเยี่ยม ผลิตสินค้าและให้บริการเป็นที่ต้องการของคนส่วนใหญ่นั้น เปรียบเสมือน การมีแม่วัวพันธุ์ดีที่ผลิตนมคุณภาพเยี่ยมให้กับเจ้าของอย่างต่อเนื่องยาวนาน เบิร์กไชร์ พร้อมที่จะเป็นเจ้าของของกิจการชั้นเยี่ยมนั้นทั้งหมด หากเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องเป็นเจ้าของในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของกิจการนั้น นี่ก็คือ หลักการของการลงทุนแบบ Focus Investment นั่นเอง
ในปี 2011 เบริกไชร์ได้ลงทุนที่มีนัยในสองกิจการคือ ลงทุน 5 หมื่นล้านเหรียญในแบงค์ออฟอเมริกา พร้อมกับสิทธิที่จะซื้อหุ้น 700 ล้านหุ้นที่ราคา 7.14 เหรียญก่อนวันที่ 21 กันยายน 2021 และลงทุนมูลค่าสูงถึง 10.9 หมื่นล้านเหรียญสำหรับ 69.3 ล้านหุ้นของ IBM ปัจจุบันเบริกไชร์เป็นเจ้าของธุรกิจชั้นเยี่ยมของโลกที่มีนัยสำคัญ 4 กิจการคือ 13% ของบริษัท American Express 8% ของบริษัท Coca-Cola 5.5% ของบริษัท IBM และ 7.6% ของ Wells Fargo โดยเบริกไชร์ยังเป็นเจ้าของกิจการที่ดีเยี่ยมที่มีนัยสำคัญในปริมาณรองลงมาเช่นกัน การเป็นเจ้าของแบบมีนัยสำคัญในกิจการทั้งสี่นั้นก็เพื่อผลตอบแทนในระยะยาว เบริกไชร์ได้รับเงินปันผล 862 ล้านเหรียญ ในปี 2011 และคาดว่าผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นทุกปีไปอีกยาวนานทั้งในด้านราคาหุ้นและเงินปันผล อีก 10 ปีข้างหน้ากิจการทั้งสี่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 7 หมื่นล้านเหรียญ โดย 2 หมื่นล้านเหรียญมาจากเงินปันผล
เบิร์กไชร์ ได้แบ่งหมวดหมู่การลงทุนหรือ จัดทัพการลงทุนดังนี้
1. กลุ่มธุรกิจประกัน เป็นกลุ่มที่มีรูปแบบธุรกิจที่ดีมากคือ รับก่อน จ่ายหลัง เป็นกิจการที่ทำให้เบริกไชร์มีเงินสดที่มีต้นทุนต่ำ เป็นประโยชน์อย่างมากในการนำไปลงทุนต่อ เบริกไชร์มีเงินสดจากส่วนธุรกิจนี้ถึง 7 แสนล้านในปี 2011 เพิ่มจาก 6 แสน5 หมื่นล้านเหรียญ และไม่ถึง 40 ล้านเหรียญ ในปี 2010 และ 1970 ตามลำดับ แม้ธุรกิจประกันนั้นมีความเสี่ยง กล่าวคือ รายได้เบี้ยประกันรวมจะต้องมากกว่าค่าเคลมประกันและค่าใช้จ่าย กลุ่มธุรกิจประกันได้สร้างผลประกอบการที่น่าประทับใจในด้วยความสามารถของผู้บริหารในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา
2. กลุ่ม Regulated, Capital-Intensive Business เป็นกิจการมีความมั่นคงและปลอดภัยสูงแม้ใช้เงินลงทุนสูงไชร์ มีคู่แข่งน้อยหรือเข้ามาได้ยาก สามารถชำระภาระดอกเบี้ยจากเงินกู้ระยะยาวด้วยตัวกิจการเองโดยไม่พึ่งการค้ำประกันจากเบริกไชร์ สองกิจการที่สำคัญได้แก่ กิจการขนส่งทางรถไฟ BNSF ปัจจุบันอเมริกาใช้การขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างเมืองถึง 42% และธุรกิจพลังงานไฟฟ้า MidAmerican Energy ที่ให้บริการลูกค้าถึง 2.5 ล้านรายในอเมริกา จะเห็นได้ว่ากิจการทั้งสองนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง
3. กลุ่ม Manufacturing, Service and Relating Operations เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีหลากหลายตั้งแต่ขนมขบเคี้ยวจนถึงเครื่องบิน แม้จะสร้างผลตอบแทนได้ดีและมีกำไรเพิ่มขึ้นตามลำดับตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่บัฟเฟตต์ก็ยอมรับว่า มีกิจการขนาดเล็กหลายกิจการที่เป็นการตัดสินใจลงทุนผิด อย่างไรก็ตามเขายังพอใจกับผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจนี้
4. กลุ่มสถาบันการเงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด ประกอบด้วยธุรกิจให้เช่า เช่าซื้อ เงินกู้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย แม้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในปี 2008 แต่หลายกิจการก็มีกำไรในปี 2009 และดีขึ้นตามลำดับจนถึงปัจจุบันเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
พอร์ตการลงทุนของเบิรก์ไชร์ ณ สิ้นปี 2011 ยังมีกิจการที่ดีโดยมูลค่าตลาดมากกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญได้แก่ Procter & Gamble, Kraft Foods, Munich Re, Wal-Mart Store, ConocoPhilips, U.S.Bancorp, Johnson & Johnson อีกด้วย
ในฐานะนักลงทุนคุณค่า เราควรใช้เวลาในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ เพื่อได้มาซึ่งกิจการที่มีคุณภาพเยี่ยม มีศักยภาพแข่งขันที่ยั่งยืน ในราคายุติธรรม มากกว่าการกังวลของความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น เมื่อพบกิจการดังกล่าวแล้ว ก็ควรเข้าลงทุนอย่างมีนัยสำคัญรวมทั้งการจัดพอร์ตการลงทุนให้ความเหมาะสมกับตนเองเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว และที่สำคัญที่สุดก็เพื่อความสบายใจและความสุขในการลงทุน อาจมีข้อโต้แย้งว่า พอร์ตยังเล็กจึงไม่มีความจำเป็นและไม่ถึงเวลา เรื่องนี้อาจจะจริง แต่เราต้องไม่ลืมว่า วันหนึ่งเมื่อพอร์ตเติบโตมากขึ้น ข้อจำกัดในการลงทุนก็มากขึ้นด้วย การที่จะหาหุ้นที่ยอดเยี่ยมใน ราคายุติธรรมแล้วสลับเปลี่ยนไปมา จะทำได้ยากขึ้น ดังนั้นการที่จะเริ่มคิดจัดทัพลงทุนบ้าง ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายครับ ! !
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4114
มันขึ้นอยู่กับสัญญาของประกันอะครับว่าคุ้มครองเเค่ไหน เเต่จุดสังเกตง่ายๆคือ...
1) เราลองติดต่อไปที่รพ.ที่เราไปใช้บริการประจำ หรือรพ.ใกล้บ้านที่เราไว้ใจในมาตรฐานว่ามี"Fax claim"ของบริษัทประกันไหนบ้าง...เพราะเวลาไปตรวจหรือAdmitจะสะดวกมากถ้ากรมธรรภ์ของเราสามารถFax claimได้เลยโดยไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน
2) ตอนทำต้องอ่านConditionดีๆนะครับ บางทีถ้า"ไม่Admit"เบิกไม่ได้ บางทีคุ้มครองเเค่อุบัติเหตุ ไม่คุ้มครองความเจ็บป่วย
1) เราลองติดต่อไปที่รพ.ที่เราไปใช้บริการประจำ หรือรพ.ใกล้บ้านที่เราไว้ใจในมาตรฐานว่ามี"Fax claim"ของบริษัทประกันไหนบ้าง...เพราะเวลาไปตรวจหรือAdmitจะสะดวกมากถ้ากรมธรรภ์ของเราสามารถFax claimได้เลยโดยไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน

2) ตอนทำต้องอ่านConditionดีๆนะครับ บางทีถ้า"ไม่Admit"เบิกไม่ได้ บางทีคุ้มครองเเค่อุบัติเหตุ ไม่คุ้มครองความเจ็บป่วย
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4115
ไม่ค่อยจะมีเวลามรังสรรค์ข้อความได้มากมายเหมือนสมัยก่อนๆแล้ว วันนี้พอดีเข้าไปอ่านพันทิพ
เห็นบทความดีๆ ก็เลยเอามาฝากให้ขบคิดกันต่อ ลองดูกันครับ
เครดิต
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 48808.html
เห็นบทความดีๆ ก็เลยเอามาฝากให้ขบคิดกันต่อ ลองดูกันครับ
วันนี้ไปตรวจต้อหินตามนัด และต้องวัดลานสายตา(visual field) ปรากฎว่ามีคิวรออยู่หลายคนมาก จึงได้พบว่ามีคนหลากหลายประเภทแตกต่างกัน
1. ป้าที่นั่งถักโครเช แบบไม่ยินดียินร้าย ไม่แม้แต่จะชะเง้อดูว่าถึงคิวหรือยัง
2. ผู้หญิงที่นั่งหลับ...สนิท และเลือกที่จะตื่นมาเมื่อตัวเองถึงคิว
3. กรูนี่แหละ ที่พอเห็นคิวยาว ก็เลือกที่จะ"หนี"ไปซื้อยาแทน โดยหวังว่าจะกลับเข้ามาได้ทันเวลา
อาจเป็นเพราะประสบการณ์ที่เคยรอ ลำดับคิวที่ยาวมาก หรือโชคก็ตามแต่ เวลานั้น "เทคนิค" ที่เม่่าอ้วนใช้ โดยเลือกที่จะ "คัท" ก่อนแล้วค่อยเข้ามาใหม่ แม้จะถูกที่ถูกเวลา แต่ก็ไม่สบายใจตลอดเวลาที่ไปซื้อยา กังวลว่าจะเลยคิวไป ทำให้เรา "ตกรถ" ถึงแม้ผลลัพธ์ในที่สุด เรา "เข้า" ทันเวลาก็ตามที ทำให้ได้คิดว่า หรือเราจะเลือกหลับแบบผู้หญิงคนข้างๆ ที่ไม่รับรู้ข่าวสารใดๆ ความกังวลใจก็ไม่มี เธอตื่นมาพร้อมทำลานสายตาเหมือนไม่เคยผ่านวิกฤตVFมาก่อน แต่ถ้าทำแบบนั้นเราก็จะไม่ได้ไปทำธุระ ไม่ได้งานอะไรเลย
สุดท้าย ถึงเหลือบไปเห็นป้าที่ถักโครเชอีกครั้ง สีหน้าสบายใจ และผลงานที่ก้าวหน้าขึ้นจากชั่วโมงก่อนอย่างเห็นได้ชัด จึงได้รู้ว่า VI ไม่ได้พบแค่ในตลาดหุ้น เพียงอย่างเดียว..
เครดิต
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 48808.html
- nACrophiles_117
- Verified User
- โพสต์: 1362
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4117

ต้องกลับไปตกนรกอีกรอบ


labor omnia vincit
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4119
ได้จากเพื่อนครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4120
โชคดีครับน้อง...เเต่อย่ามัววิเคราะห์หุ้นจนลืมอ่านหนังสือหละnACrophiles_117 เขียน:ไม่ได้ไปครับ เริ่มเปิดเรียน resident พฤ นี้แล้ว
ต้องกลับไปตกนรกอีกรอบ![]()

คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4124
พี่มุข เพิ่งเห็นรูปพี่เต็มๆจากกระทู้สรุปความรู้งานเฮฮา...ทำไมไม่เหมือนตอนออกทีวี
ผมต้องMemในหัวใหม่เวลานึกหน้าพี่ตอนอ่านกระทู้ที่พี่Post

ผมต้องMemในหัวใหม่เวลานึกหน้าพี่ตอนอ่านกระทู้ที่พี่Post
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4125
555 ผิดหวังล่ะสิ ดูไม่เหมือนสไตล์ที่โพสต์ ใช่ปะtorpongpak เขียน:พี่มุข เพิ่งเห็นรูปพี่เต็มๆจากกระทู้สรุปความรู้งานเฮฮา...ทำไมไม่เหมือนตอนออกทีวี![]()
ผมต้องMemในหัวใหม่เวลานึกหน้าพี่ตอนอ่านกระทู้ที่พี่Post

Don't Judge the book by the cover

-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4126
ไม่ครับพี่...
ถ้าเจอที่ไหนจะได้ทักถูกคนครับ

ถ้าเจอที่ไหนจะได้ทักถูกคนครับ
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4127
บทความตอนใหม่ ดร. นิเวศน์ครับ
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 มิถุนายน 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ความสุข-และความทุกข์-ของการเล่นหุ้น
“เงิน 1 ดอลลาร์ที่เก็บได้บนถนนนั้นให้ความพึงพอใจแก่คุณมากกว่าเงิน 99 เหรียญที่คุณได้จากการทำงาน และเงินที่คุณเล่นได้จากวงไพ่หรือในตลาดหุ้นก็สอดแทรกเข้าไปในหัวใจคุณในแบบเดียวกัน” นั่นคือคำกล่าวของ มาร์ก ทเวน นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน
ความสุขและความพึงพอใจจากเงินที่ได้จากการพนัน ซึ่งในสายตาของ มาร์ก ทเวน หรือคนทั่วไปรวมถึงการเล่นหุ้นนั้น ช่างมากมายเสียเหลือเกิน และนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่คนจำนวนไม่น้อย ที่มีเงินพอสมควร และคนที่มีเงินมาก ต่างก็เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นนิจสิน
แต่ความพึงพอใจที่ “ได้เงิน” เท่านั้นหรือที่ทำให้คน “ติด” อยู่กับการเล่นหุ้น? ทำไมคนจำนวนมากที่วนเวียนเล่นหุ้นมายาวนานแต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้กำไร บางคนขาดทุนด้วยซ้ำ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เลิกเล่น อะไรเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนอยากเล่นหุ้นจริง ๆ นอกเหนือจากเรื่องเงินที่จะได้? คำตอบก็คือ “ความสุขและความพึงพอใจจากการเล่นหุ้น”
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เรื่องของความสุขและความพึงพอใจของคนเรานั้นน่าจะอธิบายพฤติกรรมของคนที่ชอบ “เล่นหุ้น” ซึ่งในความหมายของผมก็คือ คนที่ชอบ “เก็งกำไร” นั่นคือ ซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นในระยะเวลาอันสั้นได้ ลองมาดูกันว่าเป็นอย่างไร
การศึกษาเรื่องของความสุขหรือความเพลิดเพลินหรือความพึงพอใจของคนเรานั้นพบว่ามันเกิดขึ้นใน “สมอง” นั่นก็คือ เวลาที่เรามีความสุข ร่างกายของเราก็จะหลั่งสารบางอย่างไปจับกับตัวจับที่ต่อเข้ากับสมอง เราจะรู้สึก “ชอบ” และ “อยากทำ” อีก เพราะมัน “มีความสุข”
การดื่มน้ำ การกินอาหาร การมีเซ็กส์ หรือการออกกำลังกาย เหล่านี้ ร่างกายก็จะ “ส่งสัญญาณ” ผ่านเคมีบางอย่างไปที่ตัวจับเพื่อบอกสมองว่านี่คือ “ความสุข” และคุณจะอยากทำอีก นี่เป็นเรื่องจำเป็นทางชีววิทยาเพื่อความอยู่รอดของชีวิตและสายพันธุ์ของมนุษย์
ยาเสพติดเช่น กัญชา ฝิ่น เฮโรอีน บุหรี่ เหล่านี้ มีสารที่ก่อให้เกิด “ความสุข” สูงมาก และดังนั้น เมื่อคนเสพเข้าไปแล้วก็จะรู้สึกดีมาก บางครั้งคล้ายจะ “หลุดโลก” นักวิจัยคนหนึ่งเคยทดลองเสพเฮโรอีนเพื่อดูความรู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงกับบอกว่ามันเหมือนกับการ “ถึงจุดสุดยอดจากการมีเพศสัมพันธ์พันครั้ง” ซึ่งทำให้คนอยากเสพอีก ปัญหาก็คือ เมื่อเสพไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกสุดยอดก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ เพราะตัวจับเคมีมันอาจจะ “ด้าน” ต้องใช้ยาเพิ่มขึ้น ๆ จนถึงจุดหนึ่ง “ความสุข” จากการเสพก็แทบจะหมดไป ความ “ชอบ” ก็ไม่มีเหลือ เหลือแต่ “ความต้องการ” คือถ้าไม่ได้เสพก็จะ “ลงแดง” ถึงจุดนี้ ความ “หายนะ” ก็จะเกิดขึ้นทั้งทางร่ายกายและจิตใจ บางคนต้องก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยา
กิจกรรมบางอย่างของคนเราก็ก่อให้เกิดความสุขหรือความพึงพอใจได้ไม่น้อยและบางครั้งและ/หรือบางคนก็ “ติด” ได้เช่นเดียวกัน เช่น การดื่มสุรา การดื่มกาแฟ การเล่นการพนันเช่นในบ่อนกาสิโน การเล่นพนันบอล การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การออกกำลังหรือการมีเซ็กส์ ทั้งหมดนี้สามารถพิสูจน์ได้จากการตรวจสอบสารเคมีในสมองของคนที่กำลังทำ ประเด็นสำคัญก็คือ คนที่ “ติด” ก็คือคนที่ร่างกายมีสารเคมีหรือตัวรับที่ผิดปกติจากคนธรรมดาที่ทำให้พวกเขาต้องทำมากกว่าคนอื่นเพื่อที่จะมีความสุขหรือความพึงพอใจเท่ากัน แต่ในกรณีต่าง ๆ เหล่านี้ ยกเว้นสุราแล้ว คนจำนวนไม่น้อยก็สามารถ “เลิก” ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยาหรือปรึกษาแพทย์ พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟชื่อก้องโลกที่เคยบอกว่าเขาเป็นโรค “ติดเซ็กส์” และต้องได้รับการบำบัด ทำให้ผมนึกต่อไปว่า คนที่ “ติด” ในเรื่องเหล่านี้นั้น นอกจากเป็นเรื่องของร่างกายแล้ว มันคงต้องอาศัย “สภาวะแวดล้อม” ที่ว่า คุณสามารถเข้าถึงมันได้ง่ายหรือมันอยู่ใกล้ตัวคุณมาก คุณมีกำลังซื้อพอ และมันไม่ผิดกฎหมาย ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น
การศึกษาที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของ “ผลตอบแทน” นั่นก็คือ การทำอะไรก็ตาม โดย “ธรรมชาติ” มนุษย์ก็น่าจะทำเพื่อให้ได้ผลตอบแทนต่อร่างกายและสืบเผ่าพันธุ์ แต่การทดลองพบว่า ความสุขหรือความพึงพอใจนั้นเกิดขึ้นได้แม้จะไม่มีผลตอบแทนอะไรมา “ล่อ” พูดง่าย ๆ สมองมีการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันเวลาที่เราทำบางสิ่งบางอย่างทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีผลตอบแทนอะไรเลยเช่น การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การทดลองยังพบว่า คนเรานั้น ชอบ “ลุ้น” นั่นก็คือ เราชอบเล่นกับความไม่แน่นอน โดยเฉพาะถ้าเรามีส่วนในการที่จะก่อให้เกิดผลตามที่เราต้องการ ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ความสุขหรือความพึงพอใจที่จะเล่นหวยหรือลอตเตอรี่นั้น จะเพิ่มขึ้นถ้าเรามีสิทธิเลือกเบอร์ที่จะแทง นอกจากนั้น เรื่องผลลัพธ์ก็มีส่วนต่อความสุขหรือความพึงพอใจที่จะเกิดขึ้น ถ้าผลลัพธ์ออกมาถูกต้อง แน่นอน เราจะมีความสุขมากและอยากเล่นอีก ถ้าผลลัพธ์ “ห่างไกล” ความพึงพอใจก็น้อย แต่ถ้าผลลัพธ์ใกล้เคียงกับตัวที่เราเลือก ซึ่งเราก็เสียเงินเท่ากัน แต่ผลทางสมองนั้นจะแตกต่างกัน เคมีที่เกิดขึ้นนั้น ผมคิดว่าคงไม่ใช่ตัวเดียวกับเคมีความสุขแต่มันก็ใกล้กันมาก และมันทำให้เรา “อยากแทงอีก” พูดภาษาชาวบ้านผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องความรู้สึก “เจ็บใจ” และเราอยาก “เอาคืน”
และนั่นทำให้ผมนึกถึงเรื่องของการเล่นหุ้น ซึ่งผมคิดว่าเข้าข่ายที่จะก่อให้เกิดความสุขหรือความพึงพอใจให้แก่คนเล่นไม่น้อย ข้อแรกก็คือ มันเป็นเกมที่มีความไม่แน่นอนสูง ข้อสอง มันมีผลตอบแทนที่เป็นเงิน “เดิมพัน” ข้อสาม คนเล่นสามารถเลือกหุ้นหรือมีส่วนในการที่จะกำหนดผลลัพธ์ที่จะออกมาได้ในระดับหนึ่งที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเกมอื่น ๆ ข้อสี่ ผลลัพธ์ที่ออกมา นั่นก็คือ กำไรหรือขาดทุนในหุ้นแต่ละตัวหรือแต่ละครั้งหรือแต่ละช่วงเวลานั้น มักจะเป็นเรื่องของการผิดพลาดที่ “ใกล้เคียง” กับที่ “แทง” ไว้ ความหมายก็คือ ในยามปกตินั้น นักเล่นหุ้นก็จะมีได้มีเสียในบางตัว ผลตอบแทนก็มักจะกลับไปมาตามภาวะของตลาดหุ้น เวลาของการ “ลุ้น” มีอยู่ตลอดเวลา ไม่ใคร่ที่จะมีช่วงเวลาที่เล่นหุ้นแล้วเสียทุกตัวและพอร์ตมีแต่ลดลงต่อเนื่องยาวนานยกเว้นในช่วงวิกฤติครั้งใหญ่ ดังนั้น คนเล่นหุ้นนั้น ถึงแม้ว่าจะขาดทุนก็ยังอยากกลับมาเล่นใหม่อีกเสมอ ๆ เพราะเขาคง “เจ็บใจ” และอยาก “เอาคืน”
ความสุขที่เกิดจากการ “เล่นหุ้น” ดังที่กล่าวนั้น น่าเสียดายที่ในระยะยาวแล้ว คนเล่นมักจะขาดทุนเนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้หรือความสามารถที่จะควบคุมผลลัพธ์ที่จะออกมาได้จริง เขาเพียงแต่คิดว่าเขารู้เขาคุมได้ ดังนั้น ในระยะยาวแล้ว เขาจะต้องเสียค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายและขาดทุนในส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย นั่นก็คือ เวลาซื้อเขามักจะต้องซื้อแพงขึ้นเล็กน้อย และเวลาขาย เขามักจะขายได้ถูกลงเล็กน้อย แต่ผลจากการซื้อ ๆ ขาย ๆ จำนวนมาก เขาก็จะขาดทุน และนี่ก็คือ ความทุกข์ของการ “เล่นหุ้น” หนทางที่จะหลีกเลี่ยง “กับดัก” นี้ก็คือ เราต้องเปลี่ยนการเล่นหุ้นเป็น “การลงทุน” ซึ่งจะต้องใช้แนวความคิดอีกชุดหนึ่งของความสุขและความพึงพอใจของคนเรา
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4128
เหนือคำบรรยายครับ เชิญดูครับ
เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4129
เอาบทความมาฝาก จากนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าแห่งประเทศไทย ในปัจจุบัน ของพวกเราครับ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0900updated: 30 พ.ค. 2555 เวลา 20:30:21 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
"ธันวา เลาหศิริวงศ์"ในฐานะ Value Investor เจ้าของคอลัมน์"คิด วิเคราะห์ แยกแยะ"ในนักสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เตือนนักลงทุนระวังใช้"ประสาทสัมผัสที่ผิด"โดยระบุว่า
การตัดสินใจลงทุนของแต่ละคนมีวิธีแตกต่างกันไป นอกจากการประเมินมูลค่าของกิจการด้วยวิธีที่ตนถนัดแล้ว นักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ใช้ความรู้สึกประกอบการตัดสินใจก่อนลงทุน โดยจะใช้วิธีสำรวจ ติดตาม หรือสัมผัสสินค้าและบริการด้วยตนเอง หากรู้สึกดีหรือเป็นบวกก็จะมั่นใจในการลงทุนและกล้าตัดสินใจลงทุนในปริมาณมาก ในทางตรงข้าม หากเป็นไปในทางลบก็อาจจะตัดสินใจไม่เข้าลงทุนหรือขายหุ้นนั้นออกมา แม้จะประเมินว่าราคาหุ้นอยู่ในข่ายเหมาะสมก็ตาม
ในแต่ละวัน เมื่อเปิดหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายสูงฉบับหนึ่ง เราจะพบโฆษณารวมจำนวนหลายหน้า ทั้ง“เช็คไพรซ์ ถูกชัวร์ ทุกวัน” จากบริษัทบิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) และ “ที่ 1 เรื่องถูกสุดสุด” ของห้างเทสโก้ โลตัส แถมบางวัน ยังมีคูปอง 60 บาทเมื่อซื้อสินค้าครบ 600 บาทอีกด้วย เมื่อมองจากภายนอกแล้ว เหมือนเป็นสงครามราคาที่ดุเดือด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และต้องกระทบต่ออัตราการทำกำไรอย่างแน่นอน โดยที่ยังมีค่าใช้จ่ายโฆษณาที่สูงมาก ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้การแข่งขันทวีความเข้มข้นขึ้นหลังจากบิ๊กซี (BIGC) ควบรวมกิจการคาร์ฟู แต่ BIGC ได้รายงานผลประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างน่าจะประทับใจทั้งยอดขาย ผลกำไร อัตรากำไรสุทธิ ในหลายไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้มีมูลค่าตลาด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 สูงถึง 160,875 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5 เท่าตัวในเวลาเพียง 2-3 ปี แม้เทสโก้ โลตัส ไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียน แต่เชื่อได้เลยว่า ผลประกอบการก็ต้องดีประทับใจไม่แพ้กัน
ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ ของบริษัทเพรสซิเดนท์ เบเกอรี่ (PB) มีสัดส่วนรายได้ผ่านร้านสะดวกอิ่ม 7-11 (ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น) ของบริษัทซีพีออล์ (CPALL) ถึงประมาณ 30% เวลาต่อมาบริษัท CPRAM ในเครือ CPALL ได้ผลิตขนมปังและเบเกอรี่ ภายใต้ชื่อ เลอแปงและเบกเกอร์แลนด์ มาจำหน่ายด้วยตำแหน่งการวางสินค้าที่โดดเด่น ผู้ถือหุ้น PB น่าจะต้องกังวลถึงความเสี่ยงนี้อย่างมาก ในความเป็นจริงแล้ว ธุรกิจขนมปังและเบเกอรี่ยังมีการเติบโตสูงมาก เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ตลอดจนการบริโภคในสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น PB ยังมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง ครองความเป็นผู้นำตลาดที่ผลิตสินค้าตรงใจผู้บริโภคทั้งรสชาติและราคา PB มีมูลค่าตลาดถึง 21,937 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าตัวในเวลาเพียง 3 ปี แน่นอน สินค้าของ CPRAM ก็เติบโตได้ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเดินห้างโฮมโปร ของบริษัทโฮม โปรดักส์ เซนเตอร์ (HMPRO) เราจะรู้สึกว่า จำนวนคนเดินเลือกซื้อสินค้าไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับเวลาเดินห้างที่เราคุ้นเคย พนักงานส่วนใหญ่ยืนรอพร้อมให้บริการลูกค้า เราจะรู้สึกไม่มั่นใจว่าธุรกิจจะไปได้ดีหรือไม่ สินค้าอาจจะไม่จำเป็นที่ต้องซื้อทันที ต้องได้รับผลกระทบยามเศรษฐกิจแย่ และเมื่อมีการสร้างบ้านใหม่น้อยลง ความรู้สึกนั้นอาจจะจริงอยู่บ้างแต่ไม่ถูกต้องนัก เพราะโฮมโปรเป็นห้างที่คนส่วนใหญ่ตั้งใจไปเพื่อซื้อสินค้าโดยมีรายการสินค้าที่จะซื้ออยู่แล้ว มีสินค้าหลากหลาย ครบถ้วนพร้อมบริการติดตั้ง ยอดขายต่อใบเสร็จเฉลี่ยสูงถึง 2,400 บาทจากสินค้าที่มีมูลค่าสูง รายได้ขึ้นอยู่กับลูกค้าบ้านใหม่เพียง 30% เท่านั้น จึงทำให้ HMPRO มีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมและมีมูลค่าตลาดสูงถึง 72,391 ล้านบาท สร้างความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 12 เท่าตัวในเวลาเพียง 4 ปี
การลดราคาสินค้า 20% ทุกวันพุธเป็นกลยุทธ์การตลาดของบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท (S&P) มองเผินๆแล้วอาจจะคล้ายๆ กับร้านอาหารธรรมดาทั่วไป ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องความภักดีต่อสินค้า การเติบโตและผลประกอบการในระยะยาว ในความเป็นจริงคือ S&P เป็นร้านค้าปลีกอาหารที่มีชื่อเสียงยาวนาน มีลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเป็นประจำสม่ำเสมอ มีสาขาทั่วถึง กลยุทธ์เพิ่มจุดขายเบเกอรี่ที่ใช้พื้นที่น้อย ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่ำส่งผลดีต่อผลประกอบการอย่างมาก ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงถึง 13,138 ล้านบาท หรือเกือบ 6 เท่าตัวในเวลาเพียง 4 ปี
วันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา เป็นวันแรกของการขึ้น XD สำหรับหุ้นปันผล 1:1 และปันผลเงินสดของ CPALL ในช่วงเปิดตลาดผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่กำลังตัดสินใจซื้อหุ้น CPALL ด้วยเหตุที่ราคาตกลงมาก ผมบอกกลับไปว่าพื้นฐานของกิจการไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ราคาที่เห็นไม่ใช่ราคาที่ลดลงแต่เป็นการเพิ่มขึ้นต่างหาก ผมไม่ใจว่าท่านนั้นเข้าใจในสิ่งที่ผมอธิบายหรือไม่ แต่หากเขาตัดสินใจซื้อหุ้นเวลานั้น มันจะเป็นการใช้ความรู้สึกที่ผิดอย่างแรงครั้งหนึ่งในชีวิตการลงทุนทีเดียว
ตัวอย่างที่กล่าวมาเป็นเพียงกรณีศึกษา การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ถึงข้อเท็จจริง เหตุและผล สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น จะช่วยให้เราไม่ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจมากเกินไป เพราะการใช้ความรู้สึกหรือประสาทสัมผัสที่ “ผิด” อาจจะนำไปสู่การสูญเสียโอกาสลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยมที่จะสร้างผลตอบแทนอย่างงามได้
ความผันผวนของราคาหุ้นและดัชนีตลาดหลักทรัพย์เนื่องจากความกังวลปัญหายุโรปในเวลานี้ นักลงทุนจำนวนหนึ่งอาจจะใช้ความรู้สึกว่า หุ้นกำลังจะแย่หรือจะดีในการตัดสินใจทำธุรกรรมซื้อขายหุ้น เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าประสาทสัมผัสนั้นถูกต้องหรือไม่ ในฐานะ Value Investor เราต้องพิจารณาว่ากิจการที่เราสนใจหรือถือหุ้นอยู่นั้น ได้รับผลกระทบจากความกังวลของปัญหาดังกล่าวมากน้อยเพียงใด หากพื้นฐานของกิจการไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปทางลบและยังคงมีแนวโน้มตามที่เราได้ศึกษาก่อนเข้าลงทุนแล้ว เราควรจะอยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไร ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ต่างๆที่จะเข้ามายั่วต่อมความรู้สึกหรือประสาทสัมผัส จะทำให้เรากลายเป็น Timing Investor โดยไม่รู้ตัว !!
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4130
บทความล่าสุด ของ คุณ ธันวา ครับ
จุดวัดใจ หุ้นไอพีโอ
ในชีวิตประจำวันเราประสบกับช่วงที่เรียกว่า “จุดวัดใจ” บ่อยครั้ง เวลาขับหรือโดยสารรถยนต์ จุดวัดใจนั้นได้แก่ สี่แยกไม่มีสัญญาณไฟจราจร จุดกลับรถ การแซงในช่วงขับขัน การรับลูกโทษของการแข่งขันฟุตบอล ผู้รักษาประตูต้องวัดใจนักเตะเพื่อตัดสินใจว่าจะพุ่งไปทางซ้าย ขวา บน ล่าง หรือเพียงรักษาพื้นที่ตรงกลางไว้ การเล่นไพ่เป็นการวัดใจระหว่างเจ้ามือกับผู้เล่นหรือระหว่างผู้เล่นด้วยกัน การซื้อขายหุ้นทางเทคนิคมีจุดวัดใจที่ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งบริเวณแนวรับแนวต้าน จะเห็นว่าจุดวัดใจคือ จุดเวลาที่เหตุการณ์หนึ่งจะเปลี่ยนแปลงและส่งผลอย่างหนึ่งอย่างใดโดยไม่อาจคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
การกระจายหุ้นเพื่อเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรกเรียกว่า ไอพีโอ (Initial Public Offering) และเรียกหุ้นนั้นว่า หุ้นไอพีโอ ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้ มีหุ้นไอพีโอเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้แก่ หุ้นปัญจวัฒนาพลาสติก(PJW) ซื้อขายวันแรกเมื่อ 28 ก.พ. 55 ปิดที่ 4.24 บาท สูงกว่าราคาจอง 3.60 บาทถึง 18% ปัจจุบันซื้อขายที่ 3.80 บาทสูงกว่าเพียง 5% หุ้นบริษัทศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ (VIH) เข้าซื้อขายเมื่อ 9 พ.ค. 55 โดยปิดที่ราคา 3.04 บาทสูงกว่าราคาจอง 1.75 บาทถึง 73% เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 5.10 บาท ราคาปัจจุบันคือ 3.36 บาทยังสูงกว่าจองถึง 92% ทีเดียว หุ้นขนาดใหญ่ที่มีความต้องการจองซื้อสูงกว่า 11 เท่าของปริมาณจัดสรรคือ บริษัทเอเชีย เอวิชั่น (AAV) ซื้อขายวันแรก 31 พ.ค.55 และปิดเท่าราคาจองที่ 3.70 บาท ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 3.14 บาทหรือต่ำจองกว่า 15% ในยุคโลกาภิวัฒน์และกระแสความนิยมสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊คเป็นหุ้นไอพีโอที่ได้รับการกล่าวขานอย่างมาก แม้ราคาขึ้นไปถึง 45 เหรียญสหรัฐในช่วงเปิดการซื้อขายเทียบกับราคาจองที่ 38 เหรียญ แต่ปัจจุบันราคากลับตกลงอย่างมากที่ 27.10 เหรียญ จะเห็นได้ว่า หุ้นไอพีโอสร้างทั้งความสมหวังและความผิดหวังให้กับผู้จองซื้อหุ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
หากพิจารณารายละเอียดถึงกระบวนการไอพีโอหุ้น เราจะพบจุดวัดใจอยู่หลายแห่ง จุดแรกคือการเลือกบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทจดทะเบียนต้องการบริษัทที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์เพื่อให้การไอพีโอประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และต้องตอบสนองเพื่อประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องของบริษัท ส่วนบริษัทที่ปรึกษานั้นนอกเหนือจากรายได้ค่าบริการ ยังมีแรงจูงใจอื่นคือ สิทธิในการจัดสรรหุ้นซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งในการตอบแทนผู้มีอุปการคุณ จุดวัดใจนี้เปรียบเสมือนการตกลงแต่งงานโดยที่ทั้งสองฝ่ายอาจมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน แต่ต้องทำงานร่วมกันในการจัดสรรผลประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม
จุดที่สองคือ การกำหนดราคาเสนอขาย โดยทั่วไปบริษัทที่ปรึกษาต้องให้ส่วนลดทางราคาเทียบกับมูลค่าที่ประเมินเพื่อจูงใจและแลกกับความเสี่ยงของผู้จองซื้อ ราคาสูงหรือต่ำกว่าที่ควรให้คุณหรือโทษกับผู้เกี่ยวข้อง กรณีที่ต้องการตอบแทนผู้เกี่ยวข้องในรูปส่วนต่างราคามาก ราคาเสนอขายอาจจะที่ต่ำเกินจริง ส่งผลให้ผู้จองซื้อได้กำไรแต่บริษัทเสียโอกาสที่จะนำเงินส่วนหนึ่งมาใช้ในกิจการ กรณีที่ผู้บริหารนำหุ้นที่ตนถือครองมาจำหน่ายพร้อมกับการทำไอพีโอ อาจเพิ่มแรงจูงใจที่ทำให้ราคาเสนอขายสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทและผู้บริหารได้รับเงินมากขึ้นแต่ผู้จองซื้อหุ้นจะขาดทุน ในระหว่างการทำไอพีโอนั้น สภาวะตลาด ความถูกแพงของหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ความต้องการซื้อที่มากบิดเบือนจากความจริง ต่างก็มีผลต่อการกำหนดราคาเสนอขาย นี่ก็คือจุดวัดใจที่สำคัญที่ผู้จองซื้อหุ้นไม่รู้ได้เลยว่าแรงจูงใจแต่ละอย่างมีมากหรือน้อยและมีผลต่อการกำหนดราคาอย่างไร
จุดวัดใจที่มีผลมากที่สุดต่อราคาซื้อขายวันแรกคือ วันและช่วงเวลา แม้การประเมินมูลค่าเพื่อกำหนดราคาพร้อมส่วนลดในช่วงไอพีโอนั้นอาจเหมาะสมในช่วงเวลาดังกล่าว แต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาวะตลาด ความเชื่อมั่น มุมมองและอารมณ์ที่แตกต่างกัน จะส่งผลให้ราคาซื้อขายวันแรกอาจจะดีหรือแย่กว่าที่คาดไว้ การที่เราไม่สามารถคาดการณ์ปัจจัยต่างๆ ในวันแรกของการซื้อขาย นั้นถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างมากสำหรับการจองซื้อหุ้นไอพีโอ นี่คือจุดวัดใจที่สำคัญเพราะผู้จองซื้อหุ้นไม่ได้กำหนดวันซื้อขายหรือคาดการณ์สภาวะตลาดล่วงหน้าได้ แตกต่างจากการซื้อหุ้นในตลาดที่มีข้อมูลพร้อมมากกว่าอย่างสิ้นเชิง
หากไม่นับเรื่องคุณภาพของกิจการแล้ว เป็นการยากที่จะสรุปว่า ราคาซื้อขายวันแรกของหุ้นไอพีโอจะสูงหรือต่ำกว่าราคาเสนอขายด้วยปัจจัยและแรงจูงใจต่างๆ ดังนั้น หากได้รับการจัดสรร คำแนะนำของผมคือ ต้องศึกษารายละเอียดตามหนังสือชี้ชวนอย่างดี ยิ่งได้รับจัดสรรในปริมาณที่มีนัยสำคัญ ยิ่งต้องศึกษาเป็นพิเศษทั้งด้านคุณภาพและราคาเช่นเดียวกับการซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาวทั่วไป ต้องนึกไว้เสมอว่า หุ้นไอพีโอนั้นไม่มีประวัติและผลงานที่เปิดเผยมากนัก การเสนอขายส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาที่ดีของกิจการ และต้องไม่ลืมว่า การทำไอพีโอนั้นเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการลดสัดส่วนถือครองของผู้ถือหุ้นเดิมหรือผู้บริหาร หากมองโลกในแง่ร้ายสุดๆ นี่คือการเริ่มต้นของกระบวนการ Exit Strategy อย่างหนึ่ง
ในฐานะ Value Investor เราต้อง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ถึงแรงจูงใจต่างๆ นอกจาการประเมินมูลค่าด้วยวิธีต่างๆ ก่อนตัดสินใจจองซื้อหุ้น บ่อยครั้งหุ้นไอพีโอคุณภาพดี ราคาเหมาะสม เรามักจะไม่ได้รับการจัดสรร เราไม่จำเป็นต้องเสียใจเพราะอาจจะไม่ใช่การเสียโอกาสได้กำไรส่วนต่างเสมอไป ดังที่หลายคนเปรียบเปรยว่า IPO ย่อมาจาก It’s Probably Overpriced หรือราคาสูงเกินจริงแล้ว การจองซื้อหุ้นที่ได้รับจัดสรรโดยไม่ได้ศึกษาหรือไตร่ตรองให้ดี หลายคนอาจมองว่าเป็นการซื้อแบบขำๆ แต่หลายครั้งก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นการขำไม่ออก ได้เช่นกัน !!
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4131
เอามาฝาก ชมรมหมอ VI เพื่อนๆ ทุกคน
รับรู้ข้อมูลไว้บ้างก็ดีนะครับ เผื่อจะได้เตรียมรับมือไว้บ้าง
รับรู้ข้อมูลไว้บ้างก็ดีนะครับ เผื่อจะได้เตรียมรับมือไว้บ้าง
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 36998.htmlไทยรัฐ (ลม เปลี่ยนทิศ) : Italy เจ๊งๆๆ เป็น... ราย ต่อไป
แม้ 17ประเทศ ในกลุ่มเงินEuro Zone จะมีมติเอกฉันท์ ให้ รัฐบาล_Spain กู้เงิน 100,000ล้านEuro ราว 4ล้านล้านบ. นำไปกอบกู้ฐานะทางการเงินของ ธ.Spain ที่กำลังง่อนแง่น
เพราะ หนี้เน่าอสังหาฯ ท่วมBank แต่ๆๆ ก็สร้างความดีใจ เพียงข้ามคืน เปิดตลาดหุ้นวันรุ่งขึ้น >> ราคาหุ้น ก็ร่วงต่อ ทั่วโลก
นักลงทุน กลับมาวิตกว่า Italy 1ในกลุ่ม ผู้ป่วยทางการเงินแห่งEurope ที่เรียกว่า P I I G S คือ...
Protugal , Ireland , Italy , Greece & Sapin สเปน จะเป็นประเทศต่อไป ที่ต่อคิว ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากEurope
ถ้า Italy เดินตามรอย... Spain เมื่อไร ; วิกฤติการเงิน & เศรษฐกิจ_Euro Zone จะยิ่งสาหัส เพราะ Italy มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่No.3 ในกลุ่มEuro Zone รองจาก Germany , France มีGDP 1.58ล้านล้านEuro หรือ 63.2ล้านล้านบ. แต่มีหนี้สาธารณะ สูงถึง 121% ของGDP ราว 2ล้านล้านEuro หรือ 80ล้านล้านบ.
วิกฤติหนี้ ในประเทศEurope ล้วนเกิดจากการเมือง ที่วุ่นวายเป็นตัวฉุด
Italy ก็เช่นเดียวกัน การเมือง ที่ล้มเหลวในยุค ซิลวิโอ แบรุสโคนี นายกฯ มหาเศรษฐี ที่มีแต่เรื่องคาว_อื้อฉาว & การCorruption จนถูกชาวItaly ไล่ออกจากตำแหน่งกลางคัน & นำไปสู่ การแต่งตั้ง “นายกฯ คนกลาง” คือ มารีโอ มอนติ เข้ามาบริหารประเทศแทน ท่ามกลางวิกฤติหนี้ ของประเทศ ที่ท่วมGDP
วันนี้ เศรษฐกิจ_Italy ตกอยู่ใน ภาวะ... ถดถอย มาเกือบปีแล้ว , GDP ติดลบ(-) ทุกไตรมาส ไตรมาสแรกของปี '55 นี้ ก็ติดลบ(-) ไปอีก 0.8% คาดว่า ทั้งปี '55 จะหดตัวอย่างต่ำ 1.3% & อาจหดตัวสูงถึง 1.7% ก็เป็นไปได้
จากเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำมายาวนาน ตั้งแต่ปี '52
ทำให้ บริษัทใน Italy ปิดกิจการไปแล้วกว่า 17,000บริษัท อยู่ระหว่างการฟ้องล้มละลายอีก 3,000บริษัท ส่งผลให้ Italy มีคนว่างงานกว่า 10% หลายล้านคน ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศตกต่ำ ลงไปเรื่อยๆ , แม้แต่อาหารการกิน ฅน_Italy ก็หันมาซื้อ “ปลากระป๋อง” เป็นอาหารหลักเพิ่มขึ้น เพื่อความประหยัด
กลางเดือนที่แล้ว สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody's
ได้ประกาศ ลดอันดับความน่าเชื่อถือ ของ ธ.Italy ลงรวดเดียว 26แห่ง โดยมี ธนาคาร 10แห่ง ถูกลดอันดับจากระดับ น่าลงทุน ไปสู่... ระดับ " ขยะ " เลยทีเดียว
2ธ.ยักษ์ใหญ่_Italy , ยูนิเครดิต ธ.ใหญ่ No.1 & ธ.อินเตชา ซานเปาโล ก็ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ จาก A3 เป็น A2
ธนาคาร ทั้ง 2แห่ง มีมูลค่าสินทรัพย์รวมกันใหญ่เท่ากับ 1ใน3 ของItaly , ธนาคารบางแห่ง ก็ถูกลดอันดับลงไปรวดเดียว 4อันดับ
ถ้าสถานการณ์ เป็นเช่นนี้ต่อไป ฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า ในที่สุด “ Italy ” ก็ต้องเดินตามรอย “ Spain ” คือ ต้องไปขอความช่วยเหลือทางการเงินจากEurope เพื่อนำเงินไปโอบอุ้ม ธ.ในประเทศ ไม่ให้ล้ม
ประเด็นหลักๆ ที่นักลงทุนทั่วโลกวิตก เกี่ยวกับ Italy ก็คือ...
Italy จะไม่สามารถก้าวพ้น จาก ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ได้เร็วพอ ที่จะมีเงินไปจ่าย หนี้สาธารณะก้อนโต ได้
เมื่อเศรษฐกิจ_Italy ไม่สามารถขยายตัวได้เร็วพอ ที่จะหาเงินไปชำระหนี้ได้ ในที่สุด รัฐบาล_Italy ก็ต้องไป กู้ยืมเงินในตลาด ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง = เป็นการ เพิ่มหนี้สาธารณะ ที่มีอยู่ 121% ให้สูงขึ้นไป... อี๊ก
ไม่ว่ามองมุมไหน ยังมองไม่เห็นอนาคต Itlay จะฝ่าวิกฤติหนี้ครั้งนี้ ไปได้อย่างไร , ปีหน้า '56 Italy จะมีการเลือกตั้งใหม่อีก ยังไม่รู้ใครจะมาเป็นนายกฯ + นโยบายจะเป็นอย่างไร ถ้าได้คนหน้าเก่า ก็... บ๊าย บาย
เมื่อ “ Italy ” ต้องเจ๊ง เป็นรายต่อไป ย่อมกระทบต่อการส่งออกของไทยแน่นอน
แม้ Thai จะส่งออก ไปEurope แค่ 10.6% ก็ตาม การวางแผนอนาคตประเทศ จึงเป็นเรื่องสำคัญ
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4132
ลองฟังคุณศุภวุฒิดูครับ "ทางออกวิกฤติอียู" รายการ hard topic 11/06/2555
http://live.moneychannellive.com/?avg=1 ... -06-11&hr=
http://live.moneychannellive.com/?avg=1 ... -06-11&hr=
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4133
สี่เหตุผลที่อิตาลีจะรอด
ใครบอกว่าItalyไม่รอดเรื่องหนี้ ผมไม่เถียงครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่เราเเทบจะคาดได้อยู่ระดับนึงไม่Surprise เริ่มด้วยGreeceต่อด้วยSpainเเละตามด้วยItaly เเต่ระหว่างนั้นคงยื้อกันอีกพักใหญ่กว่าจะปล่อยล้ม ไม่เหมือนกรณี"เเฮมเบอร์เก้อร์" ผมไม่ชอบเเบบนี้เลยครับ เหมือนคนไข้ระยะสุดท้ายเเต่ถูกยื้ออย่างเต็มที่เพราะเป็นคนไข้ที่ห้ามตายหรืออาจจะหวัง"ปาฏิหารย์"จากยาวิเศษนั่นคือนโยบายช่วยเหลือต่างๆจากมิตรประเทศ ตลาดมันเลยมาในรูปชักเข้าชักออกไม่เด็ดขาด...เลยเเก้เบื่อเรื่องการยึกยักนี้มาวิเคราะห์บอลดีกว่าครับ...นั่งดูทีมชาติอิตาลีลงเตะอยู่ครับ ทรงบอลเเบบนี้ผมมองว่าถึงเเชมป์ได้เลยนะครับ โดย 4 เหตุผลของผมที่มองว่าItalyจะเป็นเเชมป์
1) ไม่ใช่ตัวเต็ง ไร้ความกดดัน
2) มีปัญหาเรื่องงคดีล้มบอลเมื่อไหร่ทีมชาติรุ่งเมื่อนั้น
-ปี1982 Paulo Rossiมีปัญหาโดนเเบนเรื่องล้มบอล เเต่พอพ้นโทษเเบนมาได้ กลับมายิงเป็นว่าเล่นในบอลโลก82จนพาอิตาลีเป็นเเชมป์
-ปี2006มีปัญหาคดี"กัลโช่โปลี"สโมสรใหญ่ๆมีการมีการล็อคชื่อกรรมการที่ตัดสินเกมส์ของทีมตัวเอง ปีนั้นยูเวนตุสที่ได้เเชมป์ถูกริบเเถมปรับตกชั้น ปีนั้นCannavaroได้ชูถ้วยเเชมป์โลก
-ปี2012 ระหว่างปิดฤดูกาลเเละเก็บตัวทีมชาติ ตำรวจเข้าไปปูพรมบุกค้นผู้ต้องสงสัยเรื่องล้มบอลเเคมป์ทีมชาติโดนบุกตรวจ คริสซิโต้ โดนกาชื่อออกจากทีมชาติทันทีเเล้วปีนี้ บุฟฟ่อนจะได้ชูถ้วยหรือไม่?
3) ฟอร์มในTourmentนี้มาเเบบค่อยเป็นค่อยไป ฝืดเล็กๆในช่วงเเรก ไม่ค่อยเทพมาก เเละจะเข้าฟอร์มเทพในช่วงนัดท้ายๆในเวลาที่เหมาะสม (ผิดกับทางทีมชาติเยอรมันที่ดูร้อนเเรงฟอร์มดีมากในนัดเเรก ทีมอย่างนี้มักจะไม่ได้เเชมป์)
4) ปีนี้สีโทนฟ้าหรือน้ำเงินมาเเรง ชุดหลักของทีมเเชมป์จะมีส่วนประกอบของสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน เช่น Chealsea, Man City, กางเกงสีน้ำเงินของ Alt. Madridเเชมป์ยูฟ่าคัพ หรือ บุรีรัมย์ พีอีเอ
ข้อสุดท้ายเนี่ยหาเรื่องคิดโยงกันทื่อๆเเบบนี้เลยครับ...
เเล้วมันเกี่ยวกับการลงทุนตรงไหน...เกี่ยวมากๆครับเพราะถ้าทีมนี้หลุดไปถึงรอบสี่ทีม ผมจะส่งไปรษณียบัตรไปทายซักใบสองใบเผื่อได้เงินมาลงทุนเพิ่ม
ปล.เวงกรรมพอเขียนวิเคราะห์เสร็จโครเอเชียร์ตีเสมอเลย 555
ใครบอกว่าItalyไม่รอดเรื่องหนี้ ผมไม่เถียงครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่เราเเทบจะคาดได้อยู่ระดับนึงไม่Surprise เริ่มด้วยGreeceต่อด้วยSpainเเละตามด้วยItaly เเต่ระหว่างนั้นคงยื้อกันอีกพักใหญ่กว่าจะปล่อยล้ม ไม่เหมือนกรณี"เเฮมเบอร์เก้อร์" ผมไม่ชอบเเบบนี้เลยครับ เหมือนคนไข้ระยะสุดท้ายเเต่ถูกยื้ออย่างเต็มที่เพราะเป็นคนไข้ที่ห้ามตายหรืออาจจะหวัง"ปาฏิหารย์"จากยาวิเศษนั่นคือนโยบายช่วยเหลือต่างๆจากมิตรประเทศ ตลาดมันเลยมาในรูปชักเข้าชักออกไม่เด็ดขาด...เลยเเก้เบื่อเรื่องการยึกยักนี้มาวิเคราะห์บอลดีกว่าครับ...นั่งดูทีมชาติอิตาลีลงเตะอยู่ครับ ทรงบอลเเบบนี้ผมมองว่าถึงเเชมป์ได้เลยนะครับ โดย 4 เหตุผลของผมที่มองว่าItalyจะเป็นเเชมป์
1) ไม่ใช่ตัวเต็ง ไร้ความกดดัน
2) มีปัญหาเรื่องงคดีล้มบอลเมื่อไหร่ทีมชาติรุ่งเมื่อนั้น
-ปี1982 Paulo Rossiมีปัญหาโดนเเบนเรื่องล้มบอล เเต่พอพ้นโทษเเบนมาได้ กลับมายิงเป็นว่าเล่นในบอลโลก82จนพาอิตาลีเป็นเเชมป์
-ปี2006มีปัญหาคดี"กัลโช่โปลี"สโมสรใหญ่ๆมีการมีการล็อคชื่อกรรมการที่ตัดสินเกมส์ของทีมตัวเอง ปีนั้นยูเวนตุสที่ได้เเชมป์ถูกริบเเถมปรับตกชั้น ปีนั้นCannavaroได้ชูถ้วยเเชมป์โลก
-ปี2012 ระหว่างปิดฤดูกาลเเละเก็บตัวทีมชาติ ตำรวจเข้าไปปูพรมบุกค้นผู้ต้องสงสัยเรื่องล้มบอลเเคมป์ทีมชาติโดนบุกตรวจ คริสซิโต้ โดนกาชื่อออกจากทีมชาติทันทีเเล้วปีนี้ บุฟฟ่อนจะได้ชูถ้วยหรือไม่?
3) ฟอร์มในTourmentนี้มาเเบบค่อยเป็นค่อยไป ฝืดเล็กๆในช่วงเเรก ไม่ค่อยเทพมาก เเละจะเข้าฟอร์มเทพในช่วงนัดท้ายๆในเวลาที่เหมาะสม (ผิดกับทางทีมชาติเยอรมันที่ดูร้อนเเรงฟอร์มดีมากในนัดเเรก ทีมอย่างนี้มักจะไม่ได้เเชมป์)
4) ปีนี้สีโทนฟ้าหรือน้ำเงินมาเเรง ชุดหลักของทีมเเชมป์จะมีส่วนประกอบของสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน เช่น Chealsea, Man City, กางเกงสีน้ำเงินของ Alt. Madridเเชมป์ยูฟ่าคัพ หรือ บุรีรัมย์ พีอีเอ
ข้อสุดท้ายเนี่ยหาเรื่องคิดโยงกันทื่อๆเเบบนี้เลยครับ...
เเล้วมันเกี่ยวกับการลงทุนตรงไหน...เกี่ยวมากๆครับเพราะถ้าทีมนี้หลุดไปถึงรอบสี่ทีม ผมจะส่งไปรษณียบัตรไปทายซักใบสองใบเผื่อได้เงินมาลงทุนเพิ่ม

ปล.เวงกรรมพอเขียนวิเคราะห์เสร็จโครเอเชียร์ตีเสมอเลย 555
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4135
เก็บข้อมูลมาฝากครับ
เพื่อนบ้าน AEC เราในอนาคต สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ผมสนใจในการเข้าไปลงทุนด้วยเช่นกันครับ
เป็นประเทศที่มีอัตราส่วนเศรษฐี ที่มากที่สุดต่อประชากร
ของไทยยังคงอีกนาน ยังรวยกระจุก จนกระจายเหมือนเดิม
เพื่อนบ้าน AEC เราในอนาคต สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ผมสนใจในการเข้าไปลงทุนด้วยเช่นกันครับ
เป็นประเทศที่มีอัตราส่วนเศรษฐี ที่มากที่สุดต่อประชากร
ของไทยยังคงอีกนาน ยังรวยกระจุก จนกระจายเหมือนเดิม
บอสตัน คอนซัลติง กรุ๊ป เผยรายงานเรื่องความมั่งคั่งของประชากรในประเทศทั่วโลก พบว่า ประเทศในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค มีประชากรผู้มั่งคั่งอาศัยอยู่มากที่สุด ในปี 2554 มูลค่าของทรัพย์สินส่วนบุคคลในภูมิภาคนี้ (ไม่นับรวมประเทศญี่ปุ่น) เพิ่มขึ้นราว 10.7% ที่ 23.7 ล้านล้านดอลลาร์ สวนทางกับทวีปยุโรป ที่ตกต่ำลงจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้มูลค่าของทรัพย์สินส่วนบุคคลลดลงราว 0.4% ที่ 33.5 ล้านล้านดอลลาร์
ส่วนอเมริกาเหนือ ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน เมื่อมูลค่าทรัพย์สิน ลดลงกว่า 0.9% ที่ 38 ล้านล้านดอลลาร์ และต่อไปนี้คือ 10 ประเทศที่มีผู้มั่งคั่งอาศัยอยู่มากที่สุดของโลก จัดอันดับจากผู้ที่มีมูลค่าทรัพย์สินตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป
อันดับ 1 สิงคโปร์ มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 17.1% ของประชากร 4.8 ล้านคน สิงคโปร์ครองตำแหน่งประเทศที่มีสัดส่วนมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก นั่นคือราว 188,000 ครอบครัว ประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าเกาะภูเก็ตแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกมาช้านาน ทั้งยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางธนาคารต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในสิงคโปร์ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค เขาผู้นั้นคือ เอ็ดดูอาร์โด เซเวอริน ซึ่งย้ายมาพำนักที่สิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2552 และละทิ้งสัญชาติอเมริกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อันดับ 2 กาตาร์ มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 14.3% ของประชากร 1.9 ล้านคน กาตาร์ มีก๊าซธรรมชาติเป็นอันดับสามของโลก และแน่นอนว่ามากกว่า 50% ของจีดีพี มาจากการส่งออกน้ำมัน นอกจากนี้ กาตาร์ยังจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2565 ด้วย ประเทศนี้มีครอบครัวมั่งคั่งอยู่ประมาณ 47,000 ครอบครัว ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าพบว่าเจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ ชีค ฮาหมัด บิน คาลิฟะห์ อัล ทานิ คือผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของกาตาร์
อันดับ 3 คูเวต มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 11.8%ของประชากร 3.6 ล้านคน คูเวตถือครองสัดส่วนราว 7% ของคลังน้ำมันโลก และการส่งออกน้ำมัน ก็ทำรายได้ถึง 95% ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด ประเทศเจ้าของบ่อน้ำมันรายใหญ่รายหนึ่งของโลกแห่งนี้ มีมหาเศรษฐีอยู่ราว 63,000 ครอบครัว โดยครอบครัวของ อัลกานิม กับ อัล-คาราฟี คือสองครอบครัว ที่ครองตำแหน่งรวยที่สุดในคูเวตแบบเฉือนกันไม่ลง
อันดับ 4 สวิตเซอร์แลนด์ มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 9.5% ของประชากร 7.7 ล้านคน นอกเหนือจากการที่มีครอบครัวมั่งคั่งถึง 322,000 ครอบครัวอาศัยอยู่ สวิตเซอร์แลนด์ ยังเป็นประเทศที่มีสัดส่วนของผู้มีมูลค่าสินทรัพย์การเงินและการลงทุนมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์มากที่สุดในโลกอีกด้วย และในจำนวน 100,000 ครอบครัว มี 11 ครอบครัว ที่มีทรัพย์สินส่วนตัวมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ใช่ว่าสวิสจะไม่เจอผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปเลย ในปี 2554 จีดีพี จึงเติบโตช้าอยู่ที่ 2.1% เท่านั้น ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในสวิส และยังครองตำแหน่งผู้ที่รวยที่สุดของยุโรปด้วยคือ นายอิงก์วาร์ แคมพ์ราด นักธุรกิจเชื้อสายสวีเดน ผู้ก่อตั้งร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง อิเกีย นั่นเอง
อันดับ 5 ฮ่องกง มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 8.8%ของประชากร 7.2 ล้านคน ฮ่องกงมีมหาเศรษฐีอยู่ราว 212,000 ครอบครัว เกาะเล็กๆที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษแห่งนี้ ยังถือเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การค้า อสังหาริมทรัพย์ และการขนส่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออก แม้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงจะค่อนข้างเชื่องช้าในปีก่อน แต่ยังคงติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศที่มีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุด และ นายลี กา-ชิง เจ้าของบริษัท ฮัทชิสัน วัมเปา คือผู้มั่งคั่งที่สุดของฮ่องกง
อันดับ 6 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 5.0%ของประชากร 322.4 ล้านคน ในบรรดา 7 รัฐของเอมิเรตส์ ดูไบได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสถานการณ์ทางการเงินโลก ทว่ามหาเศรษฐีส่วนหนึ่งของเอมิเรตส์ ยังคงอาศัยอยู่ในดูไบ ขณะที่อีกจำนวนหนึ่ง อยู่ที่อาบูดาบี รวมแล้วมีมหาเศรษฐีกว่า 57,000 ครอบครัว ส่วนผู้ที่ร่ำรวยที่สุดคือครอบครัว อัล กูราอีร์ ซึ่งถือหุ้นในธุรกิจมากมาย ทั้งธนาคาร ศูนย์การค้า และโรงงานอุตสาหกรรม
อันดับ 7 สหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 4.3% ของประชากร 322.4 ล้านคน ในฐานะที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ในปี 2554 สหรัฐ มีมหาเศรษฐีอยู่ถึง 5.13 ล้านครอบครัว แต่ก็ถือเป็นจำนวนที่ลดลงจากปี 2553 ราวกว่า 1 แสนครอบครัว เพราะสหรัฐ เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป โดยผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของสหรัฐ ยังคงเป็น บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ซึ่งมีสินทรัพย์อยู่ราว 60,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 8 อิสราเอล มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 3.6% ของประชากร 7.8 ล้านคน มีรายได้จากธุรกิจเทคโนโลยี หล่อเลี้ยงมหาเศรษฐีของประเทศกว่า 83,000 ครอบครัว สินค้าส่งออกอื่นๆที่นำความมั่งคั่งมาสู่ประเทศนี้คือ เพชร และสินค้าทางการเกษตร ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดเป็นสองพี่น้องไอดานและอียาล แห่งตระกูลโอเฟอร์ ซึ่งสืบทอดความมั่งคั่งมาจาก ซามี โอเฟอร์ ผู้เป็นบิดา เจ้าของธุรกิจชิปปิ้ง ซึ่งเสียชีวิตลงเมื่อเดือนมิถุนายน 2554
อันดับ 9 ไต้หวัน มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 3.2% ของประชากร 23.2 ล้านคน โดยผลสำรวจเมื่อปี 2554 พบว่า ไต้หวัน มีครอบครัวมหาเศรษฐีราว 246,000 ครอบครัว และประเทศที่เป็นเกาะแห่งนี้ มีรายได้หลักจากการส่งออกสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และปิโตรเคมี ส่งผลให้ประเทศมีความร่ำรวยขึ้น และมีจีดีพีเพิ่มขึ้นประมาณ 5.2% ในปีที่แล้ว ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของไต้หวันคือ นายไจ๋ หวั่น-ไจ๋ เจ้าของฟุบอน ไฟแนนเชียล โฮลดิ้ง
อันดับ 10 บาห์เรน มีสัดส่วนมหาเศรษฐี 3.2% ของประชากร 1.3 ล้านคน โดยบาห์เรน มีครอบครัวมหาเศรษฐีราว 8,000 ครอบครัว แน่นอนว่าราชวงศ์บาห์เรน ที่มีสมเด็จพระราชาธิบดีฮาหมัด บิน อิซา อัล คาลิฟะห์ เป็นประมุข คือครอบครัวที่มั่งคั่งที่สุดของประเทศ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4136
สำหรับหลายคนที่สนใจที่จะลงทุน ในตลาดเพื่อนบ้านอาเซียน
เอามาฝากครับ
เอามาฝากครับ
3 ตลาดหุ้นอาเซียน ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฝ่าวิกฤติหนี้ยูโร เดินหน้าเปิดเทรดภายใต้กระดานอาเซียน ลิงค์ ตลาดหลักทรัพย์ฯส่งหุ้น 30 ตัวประชันโฉม ชูดาวเด่นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี อาหาร พาณิชย์ แดนลอดช่องส่งกลุ่มสถาบันการเงิน เดินเรือ ท่าเรือ อสังหาริมทรัพย์ ส่วนธุรกิจภาคเกษตร โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม สถาบันการเงิน มาเลย์โดดเด่น ย้ำรวมกันเพื่อเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกมากกว่าจะแข่งขันกันเอง
การเชื่อมโยงการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นอาเซียน ผ่านกระดานอาเซียน ลิงค์ (Asean Link) ซึ่งจะมีตลาดหุ้นเข้าร่วมทั้งสิ้น 6 ประเทศ (จำนวน 7 ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ประกอบด้วย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยจะคัดเลือกหุ้นจำนวน 30 ตัวแรก ของ 6 ประเทศที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคป และสภาพคล่องสูงสุด รวม 180 หลักทรัพย์ นอกจากนี้จะมีการทบทวนทุกๆ 6 เดือน แต่ระยะแรก คือในเดือนมิถุนายนนี้ จะเริ่ม 2 ตลาดก่อน คือ สิงคโปร์ กับมาเลเซีย
ดร.วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ" โดยย้ำว่าตลาดหุ้นไทยพร้อมเปิดให้บริการซื้อขายได้ประมาณเดือนสิงหาคมนี้ เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระบบการซื้อขาย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้
โดยจำนวนหุ้นที่แต่ละประเทศคัดเลือก 30 ตัวแรก เพื่อนำมารวมกันในกระดานซื้อขายเดียวกันนั้น ไม่ถือว่าเป็นการแข่งขันกัน แต่เป็นการเสริมซึ่งกัน อีกทั้งสามารถช่วยดึงดูดความน่าสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นอาเซียน ทั้งจากนักลงทุนในภูมิภาคเดียวกันและนักลงทุนจากทั่วโลก
สำหรับความโดดเด่นที่สุดของหุ้นไทย คือ กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่มีทั้งธุรกิจต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อาทิ กลุ่มบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.)นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ โดยหุ้นที่โดดเด่นและแบรนด์เป็นที่ยอมรับในอาเซียน เช่น บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร เป็นต้น
ดร.วิรไท กล่าวว่าสำหรับตลาดหุ้นสิงคโปร์กลุ่มธุรกิจที่โดดเด่น คือ สถาบันการเงิน เดินเรือ ท่าเรือ และอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจที่ไม่มีในประเทศไทย คือ กาสิโน เป็นต้น ส่วนมาเลเซีย จะโดดเด่นกลุ่มธุรกิจภาคการเกษตรในประเทศ เช่น น้ำมันปาล์ม สถาบันการเงิน เป็นต้น
สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้นปีนี้ได้มีกลุ่มนักลงทุนที่เป็นกองทุนจากมาเลเซีย แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างมาก โดยได้เดินทางมารับฟังข้อมูลจากตลท.และพบบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี และล่าสุดวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีนักลงทุนสถาบันจากมาเลเซีย เดินทางมารับฟังข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยและบริษัทจดทะเบียน ซึ่งนักลงทุนสถาบันประเภทกองทุนของมาเลเซียมีขนาดใหญ่กว่ากองทุนรวมในไทย โดยเบื้องต้นมีขนาด 1,000 ล้านบาทต่อกองทุน และมีจำนวนมากถึง 500 กองทุน
ส่วนความคืบหน้าการยกเว้นภาษีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์(Capital gain tax) ในโครงการอาเซียน ลิงค์ ดร.วิรไทย กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากกระทรวงการคลัง
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์(บล.)ดีบีเอส วิเคอร์ส (ประเทศไทย)ฯ และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์(สมาคมบล.) กล่าวถึงความพร้อมของบริษัทหลักทรัพย์ว่า คงต้องเตรียมหาพันธมิตรในตลาดอาเซียนเพื่อรองรับงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ ที่มีชื่อในกระดานอาเซียน ลิงค์
สำหรับหุ้นที่แต่ละประเทศนำมาซื้อขายในกระดานอาเซียน ลิงค์นั้น ในเบื้องต้นคาดว่ากลุ่มธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจะเป็นหุ้นที่เข้าใจง่าย เช่น กลุ่มสถาบันการเงินอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนี้สำหรับตลาดหุ้นไทย คือกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ที่มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงธุรกิจปลายน้ำ ตลอดจนกลุ่มพาณิชย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์
"แม้ว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไทย จะยังเน้นตลาดในประเทศแต่นักลงทุนก็ยังสนใจด้านความสามารถในการทำกำไร ซึ่งเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ในอาเซียนแล้วถือว่าธนาคารพาณิชย์ไทยยังสู้ได้"
อย่างไรก็ตามนางภัทธีรา กล่าวว่า การซื้อขายหุ้นระหว่างกันในกลุ่มอาเซียนคงมีไม่มากเนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนแต่ละประเทศสามารถเข้าไปลงทุนได้โดยตรงอยู่แล้ว โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน แต่คาดว่าจะเพิ่มความสะดวกในการซื้อขายให้กับนักลงทุนประเภทบุคคลมากกว่า
ขณะที่ต้องยอมรับว่าจากสภาวะการลงทุนในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้สาธารณะกลุ่มยูโร ทำให้คาดว่าปีนี้การซื้อขายในกระดานอาเซียน ลิงค์ ไม่น่าจะคึกคัก นอกจากนี้หากยังไม่มีจุดสนใจทางด้านภาษีกำไรจากส่วนต่างราคาเชื่อว่ากระดานอาเซียน ลิ้งค์จะมีความน่าสนใจน้อยกว่าการลงทุนโดยตรงในหุ้นต่างประเทศทั่วโลกผ่านบริษัทหลักทรัพย์
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,750 21-23 มิถุนายน พ.ศ. 2555
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4137
แหะๆ ก็ผ่านบ่อยแล้ว รู้จักดีนี่สิครับteatree เขียน:ส่วนvihเนี่ย หมอมุขน่าจะขับรถผ่านทุกวัน
จำได้ว่าอยู่แถวสวนแสงธรรม
น่าจะรู้ข้อมูลเกือบเท่าinsideเลยหรือปล่าวครับ
อิอิ แซวเล่นนะครับ
ลองดูeps3ปีหลังดู
น่าจะพอบอกอะไรได้บ้าง
เลยไม่กล้า comment เอง

- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4138
เอาภาพสุดยอดตอนน้ำท่วม ที่ถ่ายโดยฝีมือช่างภาพชาวไทยมาฝากครับ
http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B ... 2/5/page-1
http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B ... 2/5/page-1
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4139
ข่างด่วน!!!!!!!
สมาคม ของเราชาว VI เริ่มรับสมัครสมาชิกแล้วนะครับ
ตามกระทู้นี้ไปได้เลยครับ
แล้วช่วยกระจายข่าวนะครับ ไม่ได้รับสมัครสมาชิกมานานพักใหญ่แล้ว
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=39&t=52430
สมาคม ของเราชาว VI เริ่มรับสมัครสมาชิกแล้วนะครับ
ตามกระทู้นี้ไปได้เลยครับ
แล้วช่วยกระจายข่าวนะครับ ไม่ได้รับสมัครสมาชิกมานานพักใหญ่แล้ว
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=39&t=52430