หุ้นที่ดีควรมีp/e ต่ำกว่าเท่าไรคับ
- zolomon
- Verified User
- โพสต์: 352
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นที่ดีควรมีp/e ต่ำกว่าเท่าไรคับ
โพสต์ที่ 2
ตอบยากมาก ไม่มีสูตรตายตัว
ถ้าเอาแค่ประมาณ สำหรับประเทศไทย ก็ประมาณ 10 มั๊ง
แต่ก็ต้องประเมินอย่างอื่นด้วยครับ ...... อ่านหนังสือดูน่าจะง่ายกว่า
ถ้าเอาแค่ประมาณ สำหรับประเทศไทย ก็ประมาณ 10 มั๊ง
แต่ก็ต้องประเมินอย่างอื่นด้วยครับ ...... อ่านหนังสือดูน่าจะง่ายกว่า
“If we wait for the moment when everything, absolutely everything is ready, we shall never begin.”
Ivan Turgenev
Ivan Turgenev
- zolomon
- Verified User
- โพสต์: 352
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นที่ดีควรมีp/e ต่ำกว่าเท่าไรคับ
โพสต์ที่ 3
ยืมของ Dr นิเวศน์มาตอบ (เอ ผิดกฏอะไรรึเปล่า เอามาโพสต์แบบนี้ ต้องขออนุญาติใครรึเปล่าเนี่ย)
PE กับภาวะตลาดหุ้น
นักลงทุนมักจะชอบถามเสมอว่า ภาวะตลาดช่วงนี้น่าลงทุนไหม ? นักวิเคราะห์หรือ เซียนหุ้น ก็มักจะยกเหตุผลต่าง ๆ นานา และการคาดการณ์อนาคตอีกแปดข้อมาอธิบายว่าภาวะตลาดช่วงนี้น่าจะดีหรือ ต้องระวัง แต่จริง ๆ แล้วตลาดจะดีหรือ ต้องระวัง จริงอย่างที่คาดหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะไม่มีใครติดตามต่อว่าที่พูดไปนั้นถูกต้องหรือไม่
ผมเองไม่สนใจ ภาวะตลาด เวลาจะลงทุนผมเลือกเฉพาะหุ้นที่ผมคิดว่าเป็นหุ้นของกิจการที่มีคุณภาพดีเยี่ยมและราคาหุ้นถูกหรือมีราคาที่เหมาะสม ตลาดจะเป็นอย่างไรผมไม่สนใจเพราะผมไม่ได้ซื้อดัชนีตลาด แต่ถ้าจะถามว่าผมคิดว่า ภาวะตลาดที่เหมาะสมหรือภาวะตลาดที่ไม่ดีสำหรับการลงทุนนั้นมีไหม และถ้ามีจะดูอย่างไร คำตอบของผมก็คือ น่าจะมี และสิ่งที่ผมจะดูว่าลงทุนในช่วงไหนดีหรือไม่ดีผมจะดูที่การปรับตัวของดัชนีและค่า PE ของตลาด
ในปี 2536 ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีตลาดวิ่งขึ้นไปสูงมากและดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 88% เป็น 1683 จุด ค่า PE ของตลาดปรับขึ้นไปเป็นประมาณ 30 เท่าเห็นจะได้ นั่นเป็นเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมีความมั่นใจในการลงทุนสูงมากและคิดว่าตลาดจะสดใสต่อไป แต่ถ้าใครไปซื้อหุ้นลงทุนในวันสุดท้ายของปีและหวังถือหุ้นลงทุนระยะยาวก็จะพบว่าเมื่อถือหุ้นครบปีเขาจะขาดทุนไป 7% ดัชนีตลาดตกลงมาเป็น 1560 จุด และถ้าเขาคิดว่านั่นเป็นเพียงการปรับตัวเล็กน้อยหลังจากที่ตลาดขึ้นไปมากในปีก่อนเขาก็คิดผิด เพราะตลาดยังตกต่ำต่อไปอีกทุกปีจนถึงปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติเศรษฐกิจ โดยปี 2538 ตลาดตกไป 18% ปี 39 ตกไป 33% และปี 2540 ตกไปถึง 56%
บทเรียนสั้น ๆ จากปี 2536 ถึงปี 2540 ก็คือ ถ้าคุณซื้อหุ้นในภาวะที่ดัชนีตลาดขึ้นไปสูงมากและรวดเร็วและตลาดมีค่า PE ที่สูงมากและคนส่วนใหญ่คิดว่าภาวะตลาดหุ้นดีมาก นั่นคือภาวะตลาดหุ้นที่น่ากลัวที่สุด เป็นภาวะที่ไม่ดีในการลงทุนระยะยาว โอกาสที่คุณจะขาดทุนมหาศาลมีมาก
ในตอนสิ้นปี 2540 หลังจากที่ดัชนีตลาดตกลงมา 4 ปีติดต่อกันจาก 1683 จุดเหลือเพียง 373 จุด โดยค่า PE ตลาดเหลือเพียง 6.6 เท่า และนักลงทุนต่างก็ถอดใจจากการลงทุนกันไปเกือบหมด ปริมาณการซื้อขายหุ้นเหลือเพียงวันละ 3-4000 ล้านบาทนั้น ถ้าคุณกล้าที่จะซื้อหุ้นลงทุนและถือเก็บยาวก็จะพบว่าอีก 1 ปีต่อมาคุณก็ยังขาดทุน 5% โดยที่ดัชนีหุ้นลดลงเหลือ 356 จุด แต่ถ้าคุณไม่วิตกเพราะค่า PE ตลาดเท่ากับเพียง 10 เท่า และถือหุ้นต่ออีก 1 ปีคุณก็จะได้กำไรถึง 35% ในปี 2542 เพราะดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นมาเป็น 482 จุดและค่า PE ตลาดปรับขึ้นมาเป็นประมาณ 15 เท่า
บทเรียนจากสิ้นปี 2540 ถึง 2542 สอนให้รู้ว่า ซื้อหุ้นลงทุนในช่วงที่ตลาดตกลงมามากและค่า PE ตลาดตกต่ำมาก โอกาสได้กำไรจะสูงมากถ้าคุณพร้อมที่จะถือหุ้นยาว
ช่วงสิ้นปี 2542 เป็นช่วงอันตรายอีกครั้งหนึ่ง เพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นไป 35% และค่า PE สูงถึง 15 เท่า เพราะฉะนั้นปี 2543 ที่ตามมาเราจึงเห็นตลาดตกลงมาถึง 44% ดัชนีหุ้นเหลือเพียง 269 จุด และค่า PE ตกลงมาเหลือเพียง 5.5 เท่า เข้าข่ายเป็นภาวะตลาดหุ้นที่น่าซื้อมากอีกครั้งหนึ่ง และถ้าคุณกล้าที่จะซื้อ ผลตอบแทนที่ตามมาก็น่ามหัศจรรย์ เพราะคุณจะได้กำไรติดต่อกัน 3 ปี คือ ปี 2544 กำไร 13% ปี 2545 กำไร 17% และปี 2546 กำไรถึง 117% โดยที่ค่า PE ของตลาดในปี 2544 เท่ากับ 4.9 เท่า ปี 45 เท่ากับ 7 เท่า ซึ่งเป็นภาวะตลาดที่ดีต่อเนื่อง แต่พอถึงสิ้นปี 2546 PE ขึ้นไปถึงเกือบ 14 เท่าและกลายเป็นภาวะตลาดที่น่ากลัว คือดัชนีขึ้นไปมากและค่า PE ตลาดสูงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้ปี 2547 เป็นปีที่ดัชนีตลาดตกลงมา 13% อย่างไม่คาดคิด และค่า PE ลดลงมาเหลือประมาณ 10 เท่า
ปี 2548 ถ้าหากจะมองจากการวิเคราะห์ภาวะตลาดโดยค่า PE ก็ยังบอกไม่ได้ชัดว่าเป็นภาวะตลาดที่น่าซื้อหรือไม่ เพราะยังไม่เข้าข่ายว่าตลาดตกลงมามากและค่า PE ต่ำ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าภาวะตลาดไม่ดี เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดัชนีขึ้นไปสูงและค่า PE สูง เพราะค่า PE ปัจจุบันที่ 10 เท่านั้นเป็นค่า PE ระดับกลาง ๆ ที่ไม่สูงและไม่ต่ำ และดัชนีในปี 2547 ก็ตกลงมาไม่มากมายนัก ดังนั้นผมคิดว่าในปีนี้นักลงทุนไม่ควรจะกลัวหรือหวังอะไรจากภาวะตลาดหุ้น แต่ควรพิจารณาเลือกหุ้นเป็นรายตัวมากกว่า
PE กับภาวะตลาดหุ้น
นักลงทุนมักจะชอบถามเสมอว่า ภาวะตลาดช่วงนี้น่าลงทุนไหม ? นักวิเคราะห์หรือ เซียนหุ้น ก็มักจะยกเหตุผลต่าง ๆ นานา และการคาดการณ์อนาคตอีกแปดข้อมาอธิบายว่าภาวะตลาดช่วงนี้น่าจะดีหรือ ต้องระวัง แต่จริง ๆ แล้วตลาดจะดีหรือ ต้องระวัง จริงอย่างที่คาดหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะไม่มีใครติดตามต่อว่าที่พูดไปนั้นถูกต้องหรือไม่
ผมเองไม่สนใจ ภาวะตลาด เวลาจะลงทุนผมเลือกเฉพาะหุ้นที่ผมคิดว่าเป็นหุ้นของกิจการที่มีคุณภาพดีเยี่ยมและราคาหุ้นถูกหรือมีราคาที่เหมาะสม ตลาดจะเป็นอย่างไรผมไม่สนใจเพราะผมไม่ได้ซื้อดัชนีตลาด แต่ถ้าจะถามว่าผมคิดว่า ภาวะตลาดที่เหมาะสมหรือภาวะตลาดที่ไม่ดีสำหรับการลงทุนนั้นมีไหม และถ้ามีจะดูอย่างไร คำตอบของผมก็คือ น่าจะมี และสิ่งที่ผมจะดูว่าลงทุนในช่วงไหนดีหรือไม่ดีผมจะดูที่การปรับตัวของดัชนีและค่า PE ของตลาด
ในปี 2536 ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีตลาดวิ่งขึ้นไปสูงมากและดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 88% เป็น 1683 จุด ค่า PE ของตลาดปรับขึ้นไปเป็นประมาณ 30 เท่าเห็นจะได้ นั่นเป็นเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมีความมั่นใจในการลงทุนสูงมากและคิดว่าตลาดจะสดใสต่อไป แต่ถ้าใครไปซื้อหุ้นลงทุนในวันสุดท้ายของปีและหวังถือหุ้นลงทุนระยะยาวก็จะพบว่าเมื่อถือหุ้นครบปีเขาจะขาดทุนไป 7% ดัชนีตลาดตกลงมาเป็น 1560 จุด และถ้าเขาคิดว่านั่นเป็นเพียงการปรับตัวเล็กน้อยหลังจากที่ตลาดขึ้นไปมากในปีก่อนเขาก็คิดผิด เพราะตลาดยังตกต่ำต่อไปอีกทุกปีจนถึงปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติเศรษฐกิจ โดยปี 2538 ตลาดตกไป 18% ปี 39 ตกไป 33% และปี 2540 ตกไปถึง 56%
บทเรียนสั้น ๆ จากปี 2536 ถึงปี 2540 ก็คือ ถ้าคุณซื้อหุ้นในภาวะที่ดัชนีตลาดขึ้นไปสูงมากและรวดเร็วและตลาดมีค่า PE ที่สูงมากและคนส่วนใหญ่คิดว่าภาวะตลาดหุ้นดีมาก นั่นคือภาวะตลาดหุ้นที่น่ากลัวที่สุด เป็นภาวะที่ไม่ดีในการลงทุนระยะยาว โอกาสที่คุณจะขาดทุนมหาศาลมีมาก
ในตอนสิ้นปี 2540 หลังจากที่ดัชนีตลาดตกลงมา 4 ปีติดต่อกันจาก 1683 จุดเหลือเพียง 373 จุด โดยค่า PE ตลาดเหลือเพียง 6.6 เท่า และนักลงทุนต่างก็ถอดใจจากการลงทุนกันไปเกือบหมด ปริมาณการซื้อขายหุ้นเหลือเพียงวันละ 3-4000 ล้านบาทนั้น ถ้าคุณกล้าที่จะซื้อหุ้นลงทุนและถือเก็บยาวก็จะพบว่าอีก 1 ปีต่อมาคุณก็ยังขาดทุน 5% โดยที่ดัชนีหุ้นลดลงเหลือ 356 จุด แต่ถ้าคุณไม่วิตกเพราะค่า PE ตลาดเท่ากับเพียง 10 เท่า และถือหุ้นต่ออีก 1 ปีคุณก็จะได้กำไรถึง 35% ในปี 2542 เพราะดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นมาเป็น 482 จุดและค่า PE ตลาดปรับขึ้นมาเป็นประมาณ 15 เท่า
บทเรียนจากสิ้นปี 2540 ถึง 2542 สอนให้รู้ว่า ซื้อหุ้นลงทุนในช่วงที่ตลาดตกลงมามากและค่า PE ตลาดตกต่ำมาก โอกาสได้กำไรจะสูงมากถ้าคุณพร้อมที่จะถือหุ้นยาว
ช่วงสิ้นปี 2542 เป็นช่วงอันตรายอีกครั้งหนึ่ง เพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นไป 35% และค่า PE สูงถึง 15 เท่า เพราะฉะนั้นปี 2543 ที่ตามมาเราจึงเห็นตลาดตกลงมาถึง 44% ดัชนีหุ้นเหลือเพียง 269 จุด และค่า PE ตกลงมาเหลือเพียง 5.5 เท่า เข้าข่ายเป็นภาวะตลาดหุ้นที่น่าซื้อมากอีกครั้งหนึ่ง และถ้าคุณกล้าที่จะซื้อ ผลตอบแทนที่ตามมาก็น่ามหัศจรรย์ เพราะคุณจะได้กำไรติดต่อกัน 3 ปี คือ ปี 2544 กำไร 13% ปี 2545 กำไร 17% และปี 2546 กำไรถึง 117% โดยที่ค่า PE ของตลาดในปี 2544 เท่ากับ 4.9 เท่า ปี 45 เท่ากับ 7 เท่า ซึ่งเป็นภาวะตลาดที่ดีต่อเนื่อง แต่พอถึงสิ้นปี 2546 PE ขึ้นไปถึงเกือบ 14 เท่าและกลายเป็นภาวะตลาดที่น่ากลัว คือดัชนีขึ้นไปมากและค่า PE ตลาดสูงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้ปี 2547 เป็นปีที่ดัชนีตลาดตกลงมา 13% อย่างไม่คาดคิด และค่า PE ลดลงมาเหลือประมาณ 10 เท่า
ปี 2548 ถ้าหากจะมองจากการวิเคราะห์ภาวะตลาดโดยค่า PE ก็ยังบอกไม่ได้ชัดว่าเป็นภาวะตลาดที่น่าซื้อหรือไม่ เพราะยังไม่เข้าข่ายว่าตลาดตกลงมามากและค่า PE ต่ำ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าภาวะตลาดไม่ดี เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดัชนีขึ้นไปสูงและค่า PE สูง เพราะค่า PE ปัจจุบันที่ 10 เท่านั้นเป็นค่า PE ระดับกลาง ๆ ที่ไม่สูงและไม่ต่ำ และดัชนีในปี 2547 ก็ตกลงมาไม่มากมายนัก ดังนั้นผมคิดว่าในปีนี้นักลงทุนไม่ควรจะกลัวหรือหวังอะไรจากภาวะตลาดหุ้น แต่ควรพิจารณาเลือกหุ้นเป็นรายตัวมากกว่า
“If we wait for the moment when everything, absolutely everything is ready, we shall never begin.”
Ivan Turgenev
Ivan Turgenev
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นที่ดีควรมีp/e ต่ำกว่าเท่าไรคับ
โพสต์ที่ 5
มีด้วยหรือนี่ ต้องไปค้นดูซะแล้ว
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นที่ดีควรมีp/e ต่ำกว่าเท่าไรคับ
โพสต์ที่ 6
หุ้นที่ดีควรมี P/E ต่ำลงเรื่อยๆ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 249
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นที่ดีควรมีp/e ต่ำกว่าเท่าไรคับ
โพสต์ที่ 7
ถ้ายึดตามแนวคิดของ Peter Lynch ดู P/E ต้องเทียบกับ G เสมอ หุ้นที่มีราคาถูกคือหุ้นที่มี PEG ต่ำกว่า 1 เช่น ถ้าหุ้น P/E 10 และมีอัตราการเติบโตประมาณ 20% ในระยะยาว (อัตราการเติบโตสม่ำเสมอนะครับ ไม่ใช่ปีใดปีหนึ่ง) PEG จะเท่ากับ 0.5 ราคามักปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว