คุณรู้จัก กลุ่มปิโตรเคมี แบบนี้รึป่าว
- tom
- Verified User
- โพสต์: 691
- ผู้ติดตาม: 0
คุณรู้จัก กลุ่มปิโตรเคมี แบบนี้รึป่าว
โพสต์ที่ 1
ลอกเขามา (ตามฟอร์ม) ครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อ ชาวเราไม่มากก็น้อยนะครับ หากมีข้อความใดล่อแหลมกรุณาตัดทอนด้วยครับ
การแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมปโตรเคมีรายผลิตภัณฑ
1. กลุ่ม Olefin Products
บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยและผลิต Olefins นั้นมีบริษัท TOC และ NPC ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีความ แตกต่างทางด้านขบวนการผลิต โดย TOC ใช Liquid Based โดยใช Light Naphtha เป็นวัตถุดิบ ส่วน NPC จะใช Gas Based โดยใช Gas Ethane เป็นวัตถุดิบ แตป 2005 ทาง TOC จะเริ่มผลิตโดยใช Gas Based เช่นเดียวกับ NPC แตกําลัง การผลิตส่วนนี้จะน้อยกว่า NPC การที่ Olefin Products มีราคาขึ้น-ลงตามราคาของ Naphtha และความต้องการใชซึ่ง Olefins Products สามารถดัดแปลงใชไดหลายผลิตภัณฑจึงมีราคาสูง NPC มีการขยายกําลังการผลิตสูปลายน้ำคือ HDPE ซึ่งจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชยใน 3Q04 การที่ NPC เริ่มผลิต HDPE ในภาวะเช่นนี้ถือไดว่าผิดช่วงเวลา เนื่องเพราะราคาของ HDPE เทียบกับ Ethylene นั้นมี Spread Margin ที่ต่ําซึ่ง จะส่งผลใหทาง NPC รับรูขาดทุนจาก HDPE มาก-น้อย ตามกําลังการผลิตที่ใช
TOC จะเพิ่มกําลังการผลิตส่วน Gas Based ใน 1Q05 ซึ่งจะทําให TOC มีกําลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 80%และ TOC ยังจะทําการขยายคอขวดอีกใน 3Q06 อีกทั้งยังมีการขยายกําลังการผลิตสูปลายน้ำคือ MEG และCumene/Phenol ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าใหแกผลิตภัณฑของ TOC
2. กลุ่ม Aromatics Products
ในตลาดหลักทรัพยมีเพียงบริษัท ATC เท่านั้นที่ผลิตสาร Aromatics นอกจากนี้สาร Aromatics เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑบริษัทเช่น TPI กําลังการผลิตของ ATC นั้นสูงสุดและอยูในระดับ World Scale อีกทั้ง ATC ยังมีนโยบายที่จะขยายการผลิตสูโรงงานที่ 2 เพื่อรองรับความต้องการใชในอนาคต
3. กลุ่ม PVC Products
มีเพียงบริษัท VNT และ TPC ที่ผลิตแตมีความแตกต่างกันเล็กน้อยคือ TPC มีการขยายธุรกิจสูปลายน้ำคือ ผลิตภัณฑพีวีซี แต VNT มีการผลิต EDC ไดเองขณะที่ TPC ทําไดเล็กน้อยจําเป็นต้องนําเข้าเพื่อผลิต VCM อีกทั้ง VNT จะมีการทําการขยายคอขวดซึ่งจะได PVC Resin เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปหน้า
ขีดความสามารถในการทํากําไรของกลุ่มบริษัทปิโตรเคมี
1. ราคาวัตถุดิบ: การที่ราคาวัตถุดิบ (Crude Oil,Naphtha) ของผลิตภัณฑปิโตรเคมีสามารถขยับขึ้น-ลงไดนั้นจะเกิดจากการที่ความต้องการใชมีมากขึ้น โดยการเคลื่อนไหวของราคาจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก และราคาแนฟทา
2. มูลค่าการแปรรูปผลิตภัณฑ: การที่ผลิตภัณฑปิโตรเคมีเปลี่ยนสายการผลิตนั้นจะต้องมีมูลค่าของการแปรรูปซึ่งการที่มูลค่าจะมาก-น้อยนั้นขึ้นอยูกับความยาก-ง่ายของสายการผลิต
3. ราคาผลิตภัณฑ: ราคาผลิตภัณฑปิโตรเคมีนั้นขึ้นอยูกับความต้องการใช และความสามารถในการแปรรูปของผลิตภัณฑว่ามีความหลากหลายมาก-น้อยอย่างไร อีกทั้งการที่อุปทานในตลาดขาดช่วงไปจากการหยุดการผลิตชั่วคราว
4. กําลังการผลิต: การที่จะเกิดโรงงานแห่งใหมของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้นจะต้องใชเวลาประมาณ 2-3 ป และใชงบประมาณการก่อสร้างที่สูง ซึ่งทางโรงงานจะต้องมีการวางแผนการผลิตที่ดีถ้าหากเกิดความคลาดเคลื่อนอาจทําใหอยูในช่วงขาลงของภาวะอุตสาหกรรมไดซึ่งจะส่งผลใหมีกําไรขั้นต้นที่ต่ําหรืออาจขาดทุนไดในบางสายการผลิต ซึ่งในประเทศไทยมีการเพิ่มกําลังการผลิตทั้งการขยายคอขวด และการสร้างโรงงานใหมในช่วงที่ผานมาพอสมควรแล้ว ซึ่งประจวบเหมาะกับภาวะขาขึ้นของอุตสาหกรรมพอดี ซึ่งถ้าโรงงานแห่งใดมีกําลังการผลิตในระดับWorld Scale จะช่วยใหเกิดผลกระทบน้อยกว่าโรงงานที่กําลังการผลิตต่ำ
5. ความต้องการใช: ความต้องการใชผลิตภัณฑเคมีจะขึ้นอยูกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศนั้น และของเศรษฐกิจโลก โดยมาตรฐานทั่วไปจะใช World GDP เป็นตัววัดถึงความต้องการโดยใชค่าประมาณ 1.5-2.0 เท่าของ World GDP
โอกาสและความสามารถในการทํากําไร
ในป 2004 ถือไดว่าเป็นปของ Aromatics และ Olefins อย่างแทจริง เนื่องจากราคาของผลิตภัณฑที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก แตในขณะเดียวกันกลับไมค่อยเป็นผลดีมากนักต่อกลุ่มผูผลิต PVC เนื่องจากจะต้องใชสาร Aromatics เป็นวัตถุดิบอีกทั้งราคาของ PVC ก็ยังขยับขึ้นไมสูงมากนักATC ดูเหมือนว่าจะไดรับประโยชนสูงสุดในป 2004 เนื่องจากการเพิ่มกําลังการผลิตที่แล้วเสร็จลงใน 1Q04อีกทั้งราคาของ Aromatics ก็สูงขึ้นอย่างชัดเจน
TOC และ NPC ไดรับประโยชนจากราคาผลิตภัณฑที่สูงขึ้นเช่นกันแตน้อยกว่ากลุ่ม Aromatics เนื่องจากความหลากหลายในการแปรรูปผลิตภัณฑไดน้อยกว่า และความจําเป็นใชน้อยกว่า
TPC และ VNT มีการผลิตพีวีซีแตเนื่องจากปนี้ราคาของพีวีซีไมสูงมากนักจึงทําให TPC และ VNT น่าจะแสดงผลกําไรในปนี้โดดเด่นไมเท่ากับกลุ่ม Aromatics และ Olefins
ความต้องการใชผลิตภัณฑยังคงระดับสูง
ผลิตภัณฑของ ATC ดูเหมือนว่าจะมีความต้องการใชสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วยกัน เนื่องจากคุณสมบัติของผลิตภัณฑที่หลากหลาย เช่น ความต้องการใชในจีนที่คงระดับสูง และการที่สหรัฐอเมริกาประกาศใชมาตรการยกเลิกการใชสาร MTBE และประกาศควบคุมสารซัลเฟอร เมื่อวันที่ 1 ม.ค.47 ซึ่งทําใหมีความจําเป็นต้องใชสาร Aromatics เข้าไปผสมด้วยเพื่อลดปริมาณซัลเฟอร และการขยายตัวของกลุ่มผูผลิต PTA ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ผลิตภัณฑของ TOC และ NPC การที่ราคาของ Ethylene คงในระดับสูง เนื่องจากถูกผลักดันจากราคาของ MEG สวนหนึ่งและความสามารถของผลิตภัณฑที่จะแปรรูปเป็นผลิตภัณฑอื่นได ซึ่งทั้ง TOC และ NPC มีแผนที่จะขยายกําลังการผลิตสูปลายน้ำเพื่อเพิ่มมูลค่าใหแกผลิตภัณฑ กล่าวคือ NPC จะขยายสู HDPE 250,000 ตันต่อป ในขณะที่ TOC จะขยายสู MEG ซึ่งจากการเปรียบเทียบราคาของผลิตภัณฑจะพบว่า HDPE ยังมีราคาไมสูงมากนักจึงจะส่งผลให NPC รับรูขาดทุนจากการผลิต HDPE ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดการณว่าทาง NPC ไมน่าจะผลิต HDPE ด้วยกําลังการผลิตที่สูงมากนัก เนื่องจากราคาผลิตภัณฑไมค่อยดีนัก แตก็พร้อมที่จะเพิ่มกําลังการผลิตในทันทีที่ราคาของ HDPE ขยับสูงขึ้น สําหรับ TOC นั้นจะสามารถผลิต MEG เชิงพาณิชยไดประมาณ 2Q06 ซึ่งโดยภาวะปกติราคาของ MEG จะสูงกว่า Ethylene ประมาณ 10-20% ซึ่งจะส่งผลดีต่อ TOC ในระยะยาว
ผลิตภัณฑ PVC นั้นราคา ณ.ป่จจุบันอาจจะดูไมค้อยดีนัก เมื่อทําการเปรียบเทียบกับราคาของ Ethylene ซึ่ง เป็นวัตถุดิบที่ใช แต Conversion ratio นั้นใชเพียง 50% ซึ่งเมื่อทําการเปรียบเทียบราคาแล้วทางกลุ่มของ PVC ก็ยังมีกําไรจากการที่ราคา Ethylene ที่สูงขึ้น
ปัจจัยความเสี่ยง
ผลิตภัณฑปิโตรเคมีทุกชนิดมีธรรมชาติของความผันผวนด้านราคา นอกจากนั้นแต่ละบริษัทก็ยังมีความเสี่ยงเฉพาะตัว คือ
ATC การแปลงสภาพของหุ้นที่เสนอขายใหแกกรรมการหรือพนักงานจะทําใหเกิด Dilution Effect เล็กน้อยต่อราคาหุ้น
TOC ความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ
NPC ถาหากบริษัทเพิ่มกําลังการผลิตในส่วน HDPE ช่วงเวลานี้
VNT ความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ
TPC ความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ และการลงทุนในต่างประเทศ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อ ชาวเราไม่มากก็น้อยนะครับ หากมีข้อความใดล่อแหลมกรุณาตัดทอนด้วยครับ
การแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมปโตรเคมีรายผลิตภัณฑ
1. กลุ่ม Olefin Products
บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยและผลิต Olefins นั้นมีบริษัท TOC และ NPC ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีความ แตกต่างทางด้านขบวนการผลิต โดย TOC ใช Liquid Based โดยใช Light Naphtha เป็นวัตถุดิบ ส่วน NPC จะใช Gas Based โดยใช Gas Ethane เป็นวัตถุดิบ แตป 2005 ทาง TOC จะเริ่มผลิตโดยใช Gas Based เช่นเดียวกับ NPC แตกําลัง การผลิตส่วนนี้จะน้อยกว่า NPC การที่ Olefin Products มีราคาขึ้น-ลงตามราคาของ Naphtha และความต้องการใชซึ่ง Olefins Products สามารถดัดแปลงใชไดหลายผลิตภัณฑจึงมีราคาสูง NPC มีการขยายกําลังการผลิตสูปลายน้ำคือ HDPE ซึ่งจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชยใน 3Q04 การที่ NPC เริ่มผลิต HDPE ในภาวะเช่นนี้ถือไดว่าผิดช่วงเวลา เนื่องเพราะราคาของ HDPE เทียบกับ Ethylene นั้นมี Spread Margin ที่ต่ําซึ่ง จะส่งผลใหทาง NPC รับรูขาดทุนจาก HDPE มาก-น้อย ตามกําลังการผลิตที่ใช
TOC จะเพิ่มกําลังการผลิตส่วน Gas Based ใน 1Q05 ซึ่งจะทําให TOC มีกําลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 80%และ TOC ยังจะทําการขยายคอขวดอีกใน 3Q06 อีกทั้งยังมีการขยายกําลังการผลิตสูปลายน้ำคือ MEG และCumene/Phenol ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าใหแกผลิตภัณฑของ TOC
2. กลุ่ม Aromatics Products
ในตลาดหลักทรัพยมีเพียงบริษัท ATC เท่านั้นที่ผลิตสาร Aromatics นอกจากนี้สาร Aromatics เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑบริษัทเช่น TPI กําลังการผลิตของ ATC นั้นสูงสุดและอยูในระดับ World Scale อีกทั้ง ATC ยังมีนโยบายที่จะขยายการผลิตสูโรงงานที่ 2 เพื่อรองรับความต้องการใชในอนาคต
3. กลุ่ม PVC Products
มีเพียงบริษัท VNT และ TPC ที่ผลิตแตมีความแตกต่างกันเล็กน้อยคือ TPC มีการขยายธุรกิจสูปลายน้ำคือ ผลิตภัณฑพีวีซี แต VNT มีการผลิต EDC ไดเองขณะที่ TPC ทําไดเล็กน้อยจําเป็นต้องนําเข้าเพื่อผลิต VCM อีกทั้ง VNT จะมีการทําการขยายคอขวดซึ่งจะได PVC Resin เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปหน้า
ขีดความสามารถในการทํากําไรของกลุ่มบริษัทปิโตรเคมี
1. ราคาวัตถุดิบ: การที่ราคาวัตถุดิบ (Crude Oil,Naphtha) ของผลิตภัณฑปิโตรเคมีสามารถขยับขึ้น-ลงไดนั้นจะเกิดจากการที่ความต้องการใชมีมากขึ้น โดยการเคลื่อนไหวของราคาจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก และราคาแนฟทา
2. มูลค่าการแปรรูปผลิตภัณฑ: การที่ผลิตภัณฑปิโตรเคมีเปลี่ยนสายการผลิตนั้นจะต้องมีมูลค่าของการแปรรูปซึ่งการที่มูลค่าจะมาก-น้อยนั้นขึ้นอยูกับความยาก-ง่ายของสายการผลิต
3. ราคาผลิตภัณฑ: ราคาผลิตภัณฑปิโตรเคมีนั้นขึ้นอยูกับความต้องการใช และความสามารถในการแปรรูปของผลิตภัณฑว่ามีความหลากหลายมาก-น้อยอย่างไร อีกทั้งการที่อุปทานในตลาดขาดช่วงไปจากการหยุดการผลิตชั่วคราว
4. กําลังการผลิต: การที่จะเกิดโรงงานแห่งใหมของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้นจะต้องใชเวลาประมาณ 2-3 ป และใชงบประมาณการก่อสร้างที่สูง ซึ่งทางโรงงานจะต้องมีการวางแผนการผลิตที่ดีถ้าหากเกิดความคลาดเคลื่อนอาจทําใหอยูในช่วงขาลงของภาวะอุตสาหกรรมไดซึ่งจะส่งผลใหมีกําไรขั้นต้นที่ต่ําหรืออาจขาดทุนไดในบางสายการผลิต ซึ่งในประเทศไทยมีการเพิ่มกําลังการผลิตทั้งการขยายคอขวด และการสร้างโรงงานใหมในช่วงที่ผานมาพอสมควรแล้ว ซึ่งประจวบเหมาะกับภาวะขาขึ้นของอุตสาหกรรมพอดี ซึ่งถ้าโรงงานแห่งใดมีกําลังการผลิตในระดับWorld Scale จะช่วยใหเกิดผลกระทบน้อยกว่าโรงงานที่กําลังการผลิตต่ำ
5. ความต้องการใช: ความต้องการใชผลิตภัณฑเคมีจะขึ้นอยูกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศนั้น และของเศรษฐกิจโลก โดยมาตรฐานทั่วไปจะใช World GDP เป็นตัววัดถึงความต้องการโดยใชค่าประมาณ 1.5-2.0 เท่าของ World GDP
โอกาสและความสามารถในการทํากําไร
ในป 2004 ถือไดว่าเป็นปของ Aromatics และ Olefins อย่างแทจริง เนื่องจากราคาของผลิตภัณฑที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก แตในขณะเดียวกันกลับไมค่อยเป็นผลดีมากนักต่อกลุ่มผูผลิต PVC เนื่องจากจะต้องใชสาร Aromatics เป็นวัตถุดิบอีกทั้งราคาของ PVC ก็ยังขยับขึ้นไมสูงมากนักATC ดูเหมือนว่าจะไดรับประโยชนสูงสุดในป 2004 เนื่องจากการเพิ่มกําลังการผลิตที่แล้วเสร็จลงใน 1Q04อีกทั้งราคาของ Aromatics ก็สูงขึ้นอย่างชัดเจน
TOC และ NPC ไดรับประโยชนจากราคาผลิตภัณฑที่สูงขึ้นเช่นกันแตน้อยกว่ากลุ่ม Aromatics เนื่องจากความหลากหลายในการแปรรูปผลิตภัณฑไดน้อยกว่า และความจําเป็นใชน้อยกว่า
TPC และ VNT มีการผลิตพีวีซีแตเนื่องจากปนี้ราคาของพีวีซีไมสูงมากนักจึงทําให TPC และ VNT น่าจะแสดงผลกําไรในปนี้โดดเด่นไมเท่ากับกลุ่ม Aromatics และ Olefins
ความต้องการใชผลิตภัณฑยังคงระดับสูง
ผลิตภัณฑของ ATC ดูเหมือนว่าจะมีความต้องการใชสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วยกัน เนื่องจากคุณสมบัติของผลิตภัณฑที่หลากหลาย เช่น ความต้องการใชในจีนที่คงระดับสูง และการที่สหรัฐอเมริกาประกาศใชมาตรการยกเลิกการใชสาร MTBE และประกาศควบคุมสารซัลเฟอร เมื่อวันที่ 1 ม.ค.47 ซึ่งทําใหมีความจําเป็นต้องใชสาร Aromatics เข้าไปผสมด้วยเพื่อลดปริมาณซัลเฟอร และการขยายตัวของกลุ่มผูผลิต PTA ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ผลิตภัณฑของ TOC และ NPC การที่ราคาของ Ethylene คงในระดับสูง เนื่องจากถูกผลักดันจากราคาของ MEG สวนหนึ่งและความสามารถของผลิตภัณฑที่จะแปรรูปเป็นผลิตภัณฑอื่นได ซึ่งทั้ง TOC และ NPC มีแผนที่จะขยายกําลังการผลิตสูปลายน้ำเพื่อเพิ่มมูลค่าใหแกผลิตภัณฑ กล่าวคือ NPC จะขยายสู HDPE 250,000 ตันต่อป ในขณะที่ TOC จะขยายสู MEG ซึ่งจากการเปรียบเทียบราคาของผลิตภัณฑจะพบว่า HDPE ยังมีราคาไมสูงมากนักจึงจะส่งผลให NPC รับรูขาดทุนจากการผลิต HDPE ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดการณว่าทาง NPC ไมน่าจะผลิต HDPE ด้วยกําลังการผลิตที่สูงมากนัก เนื่องจากราคาผลิตภัณฑไมค่อยดีนัก แตก็พร้อมที่จะเพิ่มกําลังการผลิตในทันทีที่ราคาของ HDPE ขยับสูงขึ้น สําหรับ TOC นั้นจะสามารถผลิต MEG เชิงพาณิชยไดประมาณ 2Q06 ซึ่งโดยภาวะปกติราคาของ MEG จะสูงกว่า Ethylene ประมาณ 10-20% ซึ่งจะส่งผลดีต่อ TOC ในระยะยาว
ผลิตภัณฑ PVC นั้นราคา ณ.ป่จจุบันอาจจะดูไมค้อยดีนัก เมื่อทําการเปรียบเทียบกับราคาของ Ethylene ซึ่ง เป็นวัตถุดิบที่ใช แต Conversion ratio นั้นใชเพียง 50% ซึ่งเมื่อทําการเปรียบเทียบราคาแล้วทางกลุ่มของ PVC ก็ยังมีกําไรจากการที่ราคา Ethylene ที่สูงขึ้น
ปัจจัยความเสี่ยง
ผลิตภัณฑปิโตรเคมีทุกชนิดมีธรรมชาติของความผันผวนด้านราคา นอกจากนั้นแต่ละบริษัทก็ยังมีความเสี่ยงเฉพาะตัว คือ
ATC การแปลงสภาพของหุ้นที่เสนอขายใหแกกรรมการหรือพนักงานจะทําใหเกิด Dilution Effect เล็กน้อยต่อราคาหุ้น
TOC ความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ
NPC ถาหากบริษัทเพิ่มกําลังการผลิตในส่วน HDPE ช่วงเวลานี้
VNT ความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ
TPC ความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ และการลงทุนในต่างประเทศ
แก้ไขล่าสุดโดย tom เมื่อ อาทิตย์ ก.พ. 27, 2005 8:44 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
คุณรู้จัก กลุ่มปิโตรเคมี แบบนี้รึป่าว
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ
แต่ไม่มี WG นะครับ
WG ปัจจัยความเสี่ยง ตอนนี้ไม่มี :lol: :lol:
รออ่านใน 56-1 ดีกว่า
แต่ไม่มี WG นะครับ
WG ปัจจัยความเสี่ยง ตอนนี้ไม่มี :lol: :lol:
รออ่านใน 56-1 ดีกว่า
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
คุณรู้จัก กลุ่มปิโตรเคมี แบบนี้รึป่าว
โพสต์ที่ 6
เป็นธุรกิจ ซื้อมาบวก แล้วขายต่อtom เขียน:wg หาบทวิเคราะห์ยากมากครับ
เป็นอาชีพพ่อค้าคนกลาง
ว่ากันแบบนี้คุณฉัตรชัย จะว่าอะไรหรือเปล่า
อันนี้ไม่ใช่บทวิเคราะห์เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวครับ
แลมีทรัพย์สินให้เช่า
- harry
- Verified User
- โพสต์: 4200
- ผู้ติดตาม: 0
คุณรู้จัก กลุ่มปิโตรเคมี แบบนี้รึป่าว
โพสต์ที่ 7
เท่าที่รู้มาก็แบบนี้แหละครับปรัชญา เขียน: เป็นธุรกิจ ซื้อมาบวก แล้วขายต่อ
เป็นอาชีพพ่อค้าคนกลาง
ว่ากันแบบนี้คุณฉัตรชัย จะว่าอะไรหรือเปล่า
อันนี้ไม่ใช่บทวิเคราะห์เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวครับ
แลมีทรัพย์สินให้เช่า
Expecto Patronum!!!!!!
- tom
- Verified User
- โพสต์: 691
- ผู้ติดตาม: 0
คุณรู้จัก กลุ่มปิโตรเคมี แบบนี้รึป่าว
โพสต์ที่ 8
ผมไปค้น ๆ ของ wg ดู ได้ข้อมูลแบบนี้นะครับ
ลึกๆ คงต้องถามที่ พี่ฉัตรชัย ละครับ
บริษัท ไว้ท์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ การนำเข้าและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับการใช้เฉพาะอย่าง รวมทั้งให้บริการในการผลิตและผสมสารเคมี และให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจ
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจสำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม คือการขยายธุรกิจในตลาดเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมเคลือบผิว เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เคมีวิเคราะห์และอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ และเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมอาหาร ตามอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ โดยการรักษาส่วนแบ่งตลาดในแต่ละอุตสาหกรรมไว้ให้ได้
ในส่วนของธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ มีเป้าหมายจะเพิ่มผู้เช่ารายใหม่ เมื่อเศรษฐกิจมีการขยายตัวดีขึ้น อีกทั้งธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งดำเนินการโดย บริษัทร่วมคือ บริษัท แอมคอร์ คอนเทนเนอร์ส แพคเกจจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขณะนี้ถือได้ว่าเป็นผู้นำในตลาดบรรจุภัณฑ์ ของโลกก็มุ่งเน้นการขยายตลาดไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค
ความเสี่ยง
ความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อ
ฐานลูกค้าของบริษัทฯ สำหรับธุรกิจหลักคือ การจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม มีการกระจายเป็น อย่างมาก เนื่องจากลูกค้ามีจำนวนมากราย และครอบคลุมทั้งผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย และผู้จำหน่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ฝ่ายบริหารเชื่อว่าความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อเป็นระดับความเสี่ยงที่สามารถรองรับได้ เนื่องจากมีการสำรองเผื่อขาดทุนจาการเรียกเก็บหนี้ไว้แล้ว
ความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน
เนื่องจากบริษัทฯ มีการนำเข้าเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมจากต่างประเทศมากกว่าร้อยละ 80 ของสินค้าที่จำหน่าย จึงต้องชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ บริษัทฯ จึงใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตที่หนี้สินที่เป็นเงินตราต่างประเทศจะต้องจ่ายชำระตามอัตราที่กำหนดโดยธนาคารของบริษัท ฯ ในปี พ.ศ. 2546 ที่ผ่านมาการใช้เครื่องมือทางการเงินนี้ยังคงได้ผลดี เนื่องจากทำให้บริษัท ฯมีกำไรจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสุทธิ 0.04 ล้านบาท
ความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ
แม้บริษัทฯ จะเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้แก่เจ้าของผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศเป็นจำนวนมากและเป็นเวลานาน บริษัทฯ ก็ยังมีความเสี่ยงจากการที่เจ้าของผลิตภัณฑ์รายใดรายหนึ่งอาจบอกเลิกการให้บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายได้ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มั่นใจว่าผลงานของบริษัทฯ จะเป็นปัจจัยหลักในการรักษาความสัมพันธ์กับเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้ และในรอบปี 2546 ที่ผ่านมาไม่ปรากฏว่ามีเจ้าของผลิตภัณฑ์รายใดบอกเลิกการให้บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่อย่างใด
ความเสี่ยงจากภาระค้ำประกัน
บริษัท ฯ ได้ค้ำประกันบริษัท ฯ ย่อย ในการขอวงเงินสินเชื่อเบิกเกินบัญชีธนาคารกับธนาคาร 2 แห่ง รวมจำนวน 2.5 ล้านบาท ฉะนั้นจึงมีความเสี่ยงจากการที่อาจถูกฟ้องร้องในฐานะผู้ค้ำประกันตามจำนวนมูลหนี้ ซึ่งสูงสุดไม่เกิน 2.5 ล้านบาท
ลึกๆ คงต้องถามที่ พี่ฉัตรชัย ละครับ
บริษัท ไว้ท์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ การนำเข้าและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับการใช้เฉพาะอย่าง รวมทั้งให้บริการในการผลิตและผสมสารเคมี และให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจ
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจสำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม คือการขยายธุรกิจในตลาดเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมเคลือบผิว เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เคมีวิเคราะห์และอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ และเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมอาหาร ตามอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ โดยการรักษาส่วนแบ่งตลาดในแต่ละอุตสาหกรรมไว้ให้ได้
ในส่วนของธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ มีเป้าหมายจะเพิ่มผู้เช่ารายใหม่ เมื่อเศรษฐกิจมีการขยายตัวดีขึ้น อีกทั้งธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งดำเนินการโดย บริษัทร่วมคือ บริษัท แอมคอร์ คอนเทนเนอร์ส แพคเกจจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขณะนี้ถือได้ว่าเป็นผู้นำในตลาดบรรจุภัณฑ์ ของโลกก็มุ่งเน้นการขยายตลาดไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค
ความเสี่ยง
ความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อ
ฐานลูกค้าของบริษัทฯ สำหรับธุรกิจหลักคือ การจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม มีการกระจายเป็น อย่างมาก เนื่องจากลูกค้ามีจำนวนมากราย และครอบคลุมทั้งผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย และผู้จำหน่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ฝ่ายบริหารเชื่อว่าความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อเป็นระดับความเสี่ยงที่สามารถรองรับได้ เนื่องจากมีการสำรองเผื่อขาดทุนจาการเรียกเก็บหนี้ไว้แล้ว
ความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน
เนื่องจากบริษัทฯ มีการนำเข้าเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมจากต่างประเทศมากกว่าร้อยละ 80 ของสินค้าที่จำหน่าย จึงต้องชำระค่าสินค้าเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ บริษัทฯ จึงใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตที่หนี้สินที่เป็นเงินตราต่างประเทศจะต้องจ่ายชำระตามอัตราที่กำหนดโดยธนาคารของบริษัท ฯ ในปี พ.ศ. 2546 ที่ผ่านมาการใช้เครื่องมือทางการเงินนี้ยังคงได้ผลดี เนื่องจากทำให้บริษัท ฯมีกำไรจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสุทธิ 0.04 ล้านบาท
ความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ
แม้บริษัทฯ จะเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้แก่เจ้าของผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศเป็นจำนวนมากและเป็นเวลานาน บริษัทฯ ก็ยังมีความเสี่ยงจากการที่เจ้าของผลิตภัณฑ์รายใดรายหนึ่งอาจบอกเลิกการให้บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายได้ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มั่นใจว่าผลงานของบริษัทฯ จะเป็นปัจจัยหลักในการรักษาความสัมพันธ์กับเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้ และในรอบปี 2546 ที่ผ่านมาไม่ปรากฏว่ามีเจ้าของผลิตภัณฑ์รายใดบอกเลิกการให้บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่อย่างใด
ความเสี่ยงจากภาระค้ำประกัน
บริษัท ฯ ได้ค้ำประกันบริษัท ฯ ย่อย ในการขอวงเงินสินเชื่อเบิกเกินบัญชีธนาคารกับธนาคาร 2 แห่ง รวมจำนวน 2.5 ล้านบาท ฉะนั้นจึงมีความเสี่ยงจากการที่อาจถูกฟ้องร้องในฐานะผู้ค้ำประกันตามจำนวนมูลหนี้ ซึ่งสูงสุดไม่เกิน 2.5 ล้านบาท