TICON ไปกินอะไรมาครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 2
ตอนนี้ผมคิดว่า คุณ มน ไม่กลุ้มใจเรื่อง กลต.แล้วครับ คำนวนพอร์ตไม่ทันมากกว่า 555
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 4
โนมูระ จะสู้ มนตรีซัง ได้ไงครับ
ขายเมื่อไหร่บอกด้วยนะครับ คุณมน 555
ขายเมื่อไหร่บอกด้วยนะครับ คุณมน 555
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 5
หุ้นไปกินบทวิเคราะห์มาหลายโบรกครับ
ส่วนคนที่ซื้อหุ้นวันนี้ก็ไปกินดีหมีมาครับ
ส่วนคนที่ซื้อหุ้นวันนี้ก็ไปกินดีหมีมาครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 8
วันนี้ไหว้เจ้าเสร็จ เดินออกไปเก็บของ ผ่านTV ....ไอ๊หย่า...สิบบาทเลี้ยวววววว....
ไม่รู้ว่าไปกินอะไรมา.....แต่คนที่ซื้อวันนี้...ทำให้ผมต้องขอคารวะว่า....
นายแน่มาก ครับผม
ไม่รู้ว่าไปกินอะไรมา.....แต่คนที่ซื้อวันนี้...ทำให้ผมต้องขอคารวะว่า....
นายแน่มาก ครับผม
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 10
อย่า "อยู่ไม่สุข" เหมือนที่คุณ มน ว่าไว้ในคอลัมน์ดีกว่า อิอิ
แล้ว อยู่ห่างๆ ตลาดหุ้นหน่อยคงดีกว่านี้นะ
แล้ว อยู่ห่างๆ ตลาดหุ้นหน่อยคงดีกว่านี้นะ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 16
ใครว่าซื้อหุ้นตัวเดียวมีความเสี่ยง....ของผมทั้ง PORT มีตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้น ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
หมอยรรยงบอกว่า "อะไรไม่รู้คือเสี่ยง อะไรที่รู้คือไม่เสี่ยง"
ดร.นิเวศน์บอกว่า " ถ้าเจอหุ้นดีๆ ต้องตีแตกครับ"
โดนไปเยอะ ได้เวลาเอาคืนแล้ว
หมอยรรยงบอกว่า "อะไรไม่รู้คือเสี่ยง อะไรที่รู้คือไม่เสี่ยง"
ดร.นิเวศน์บอกว่า " ถ้าเจอหุ้นดีๆ ต้องตีแตกครับ"
โดนไปเยอะ ได้เวลาเอาคืนแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 17
สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งประกาศชัยชนะดีกว่าครับ
เห็นๆ กันอยู่ว่าตอนนี้ปริมาณซื้อขายมากผิดปกติอย่างยิ่ง เดี๋ยวลองดูช่วงที่กลับสู่ภาวะปกติก่อนดีกว่าว่าราคาจะยังยืนอยู่ได้มั้ย (เอาใจช่วยครับ)
เห็นๆ กันอยู่ว่าตอนนี้ปริมาณซื้อขายมากผิดปกติอย่างยิ่ง เดี๋ยวลองดูช่วงที่กลับสู่ภาวะปกติก่อนดีกว่าว่าราคาจะยังยืนอยู่ได้มั้ย (เอาใจช่วยครับ)
- วัวแดง
- Verified User
- โพสต์: 1429
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 18
ผมแอบมองตั้งนาน เกี่ยงราคาอยู่ได้
สุดท้าย อด แต่ไม่เสียดายนะ
เพราะผมไปคว้าแม่มา เลยได้ติดแหไปด้วย
ช่วยลุ้นด้วยคนครับ
ไปดู peและpbv มา โห คาดหวังอนาคตมากจัง เข้าข่ายหุ้นร้อนหรือมั้ย
อย่างงี้ คงได้แต่มอง :lol: :lol: :lol:
สุดท้าย อด แต่ไม่เสียดายนะ
เพราะผมไปคว้าแม่มา เลยได้ติดแหไปด้วย
ช่วยลุ้นด้วยคนครับ
ไปดู peและpbv มา โห คาดหวังอนาคตมากจัง เข้าข่ายหุ้นร้อนหรือมั้ย
อย่างงี้ คงได้แต่มอง :lol: :lol: :lol:
ถ้าผมคิดเหมือนคนทั่วๆไป ผลตอบแทนผมก็เหมือนคนทั่วๆไป
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
ใจผมคงละลาย ถ้าผมคิดตามคนอื่น
ผู้ชนะไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุด...แต่เป็นผู้ที่อดทนที่สุดต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณครับที่เอาใจช่วย แต่คิดว่างานนี้ยังไงก็ไม่น่าพลาด ถ้าโลกไม่แตกเสียก่อน
ถ้าดูเฉพาะ pe และ pbv ตอนนี้ จะเห็นว่าราคาอาจจะแพงไปแล้ว กำไรปี 47 น่าจะอยู่ที่ 0.6 และ bv ปี 47 ก็ประมาณ 3.5 ดังนั้น pe ก็ตก 20 เท่า pbv ก็ประมาณ 3.4 เท่า ซึ่งถือว่าราคา ณ ปัจจุบัน 11.9 นั้น สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว
เเต่ ถ้ามาดูปี 48 จากการประมาณการผลประกอบการ น่าจะอยู่ที่ 1.3-1.5 บาทต่อหุ้น กำไรส่วนหนึ่งจะมาจากการออก Property fund ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ๆ และถ้ามีการ Adjust book ใหม่เหมือนที่หลายๆบริษัททำกัน bv จะอยู่แถวๆ 10 บาท ซึ่งถ้าคิด pe หรือ pbv ของปี 48 ณ ราคาปัจจุบัน จะอยู่ที่ 8.5 เท่า และ 1.2 เท่า ก็จะเห็นว่าราคานี้ยังพอที่จะเดินหน้าต่อได้อีก ยังไงซะภายในสิ้นปี 48 น่าจะเห็น 15 บาทได้ไม่ยากนัก
ตัวนี้น่าจะเป็นหุ้นห่านทองคำที่ดีตัวหนึ่งในอนาคตได้(ถ้าต้นทุนที่ถือไม่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานในเวลานั้นๆ)
ถ้าดูเฉพาะ pe และ pbv ตอนนี้ จะเห็นว่าราคาอาจจะแพงไปแล้ว กำไรปี 47 น่าจะอยู่ที่ 0.6 และ bv ปี 47 ก็ประมาณ 3.5 ดังนั้น pe ก็ตก 20 เท่า pbv ก็ประมาณ 3.4 เท่า ซึ่งถือว่าราคา ณ ปัจจุบัน 11.9 นั้น สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว
เเต่ ถ้ามาดูปี 48 จากการประมาณการผลประกอบการ น่าจะอยู่ที่ 1.3-1.5 บาทต่อหุ้น กำไรส่วนหนึ่งจะมาจากการออก Property fund ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ๆ และถ้ามีการ Adjust book ใหม่เหมือนที่หลายๆบริษัททำกัน bv จะอยู่แถวๆ 10 บาท ซึ่งถ้าคิด pe หรือ pbv ของปี 48 ณ ราคาปัจจุบัน จะอยู่ที่ 8.5 เท่า และ 1.2 เท่า ก็จะเห็นว่าราคานี้ยังพอที่จะเดินหน้าต่อได้อีก ยังไงซะภายในสิ้นปี 48 น่าจะเห็น 15 บาทได้ไม่ยากนัก
ตัวนี้น่าจะเป็นหุ้นห่านทองคำที่ดีตัวหนึ่งในอนาคตได้(ถ้าต้นทุนที่ถือไม่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานในเวลานั้นๆ)
-
- Verified User
- โพสต์: 308
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 22
ข้อความด้านล่างนี้มาจากเว็ปกระทิงเขียวที่คุณ ih ได้ คุยกับคุณ ipo ค่ะ
พอดีช่วงนี้ผมได้คุยกับผู้บริหารของโรงงานอุตสาหกรรมท่านหนึ่ง(เป็นบริษัทลูกของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น) ทำให้ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นมากเกี่ยวกับแนวโน้มการเข้ามาดำเนินธุรกิจภาคการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นในไทย และภูมิภาคนี้
1.เท่าที่ทราบมาไทยเราได้รับการจัดอันดับเป็นที่แรกที่จะมา (หรืออาจจะเป็นที่เดียวที่จะมาก็ว่าได้ครับ) ก่อนประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาจจะมีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศในภูมิภาคอาเชียนเข้ามาไทยมากขึ้นแต่สำหรับของบริษัทที่ผมคุยด้วยบอกว่าจะย้ายมาทั้งหมดที่เค้ามีเลยครับ และในปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะย้ายฐานการผลิตโดยเฉพาะชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาประเทศไทย เนื่องจากเรามี R&Dแล้วซึ่งต่อจากนี้ไปเราคงได้เห็นกันว่าจะทยอยกันเข้ามาอีกมากเลยทีเดียวครับ
2.คงมีคำถามตามมาว่าทำไมไม่ไปจีนซึ่งหากเราดูแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าเราซึ่งเรื่องนี้ก็ได้รับคำตอบว่าที่จีนมีปัญหาเรื่องสาธารณูปโภคมากพอสมควร โดยเฉพาะไฟฟ้า นอกจากไม่เพียงพอแล้วราคายังแพงมากอีกด้วย (สงสัยว่าถ่านหินน่าจะมีราคาสูงต่อไปอีกนานเนื่องจาก demand ยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากขนาดนี้)
3.และข้อสำคัญคือการย้ายฐานการผลิตนับจากนี้ต่อไป นโยบายของบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากจะเน้นการเช่าโรงงานแทน การเข้ามาซื้อที่แล้วสร้างเหมือนรุ่นบุกเบิกในช่วงก่อนหน้านี้ครับ
สรุป ไทยเรายังคงเนื้อหอม เป็นประเทศที่น่าลงทุนมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกันแบบกินขาดในสายตาของญี่ปุ่น โดยเฉพาะด้านการเมืองที่มีความเข้มแข็งมากในปัจจุบันซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่เค้ามองอยู่เช่นกัน และนายกของเราได้รับการยกย่องมากครับในสายตาของนักธุรกิจญี่ปุ่น ดีใจที่เค้ามองเราเชิงบวกขนาดนี้ครับ
ที่โพสท์มาเป็นเพียงความเห็นและมุมมองของผู้บริหารท่านหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ของทั้งหมดครับ
ตอบกลับโดย : Invisible_hand
Posts : 58
Replies : 1209 « Reply #1 เมื่อ 13/02/2005 , 23:09:57 »
--------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณมากครับ เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากทีเดียวครับ
จากที่ได้ประมวลข้อมูลจากที่ได้อ่านมาและฟังมา ผมคิดว่าเหตุผลที่เมืองไทยยังเป็นฐานการผลิตหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติก็คือ
1 ผู้ผลิตเกือบทุกรายต้องการกระจายความเสี่ยงครับ หากเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ไม่มีใครกล้าไปตั้งโรงงานที่จีนแห่งเดียวแน่อนครับ เพราะจีนยังถือเป็นประเทศที่มีความไม่แน่นอนในเรื่องการเมืองและนโยบายรัฐสูง
2 Location การมี AFTA ทำให้ประเทศไทยถูกเลือกเป็นฐานการผลิตเพื่อ support ประเทศใน Asean และรวมไปถึงการมีภูมิศาสตร์เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
3 หากไม่นับแรงงานที่จีนถูกกว่าแล้ว ในหลายๆ ด้านประเทศไทยยังดีกว่าจีนครับ โดยเฉพาะเรื่องการติดต่อภาครัฐ ผู้ร่วมทุนชาวไทยมักจะสร้างปัญหาน้อยกว่าที่จีน
4 หากมองใน Asean แล้วนักลงทุนญี่ปุ่นจะชอบเมืองไทยที่สุดครับ ทั้งด้าน วัฒนธรรม ศาสนา ที่คล้ายกันที่สุด แม้ว่ามาเลฯ จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าเรา แต่หลายบริษัทในญี่ปุ้นก็เลือกไทยครับ
เสียดายที่นโยบายการส่งเสริมการลงทุนหลายๆ อย่างในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาเรายังทำได้ไม่ดีเท่าที่ดวร โดยเฉพาะการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เพื่อผลิตแรงงานที่มีคุณภาพออกมา และระบบ logistic ถ้าทำได้ผมคิดว่ามาเลย์ฯ ไม่ได้เกิดหรอกครับ
ผมเคยอ่านข้อมูลของบรีษัทแห่งหนึ่ง ได้อธิบายละเอียดเลยครับ ว่าญี่ปุ้นเคยย้ายการผลิตไปที่จีน แล้วไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากความแตกต่างกันในด้านความคิดและวัฒนธรรม ( คนจีนก็ไม่ happy กับคนญี่ปุ่นมาตั้งแต่เกือบ 100 ปีก่อนแล้ว ) หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ต้องย้ายฐานกลับมาผลิตในไทย ทำให้ supplier มียอดขายดีขึ้นกันถ้วนหน้า
สำหรับบริษัทต่างประเทศแล้ว การเช่าโรงงานเป็น trend ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวค่อนข้างแน่นอนครับ
และที่น่าจับตาคือ การผลิต harddisk จะย้ายจากสิงคโปร์ มาไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
ดัวยเหตุนี้ ทำให้จำนวนผู้เช่าของ ticon ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาจึงเพิ่มขึ้นมากพอสมควรครับ
ตอบกลับโดย : i-p-o
Posts : 2
Replies : 1 « Reply #2 เมื่อ 14/02/2005 , 08:47:05 »
--------------------------------------------------------------------------------
ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นพอได้เข้ามาทำงานในไทย เกือบ 100% ไม่อยากย้ายไปที่อื่นเลยครับ ตอนนี้ใครได้มาประจำที่ไทยนี่จะดีใจกันเป็นพิเศษ บางบริษัทถึงขนาดย้ายสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเข้ามาไทยเลยเนื่องจากผู้บริหารระดับสูงอยากอยู่เมืองไทยครับ
พอดีช่วงนี้ผมได้คุยกับผู้บริหารของโรงงานอุตสาหกรรมท่านหนึ่ง(เป็นบริษัทลูกของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น) ทำให้ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นมากเกี่ยวกับแนวโน้มการเข้ามาดำเนินธุรกิจภาคการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นในไทย และภูมิภาคนี้
1.เท่าที่ทราบมาไทยเราได้รับการจัดอันดับเป็นที่แรกที่จะมา (หรืออาจจะเป็นที่เดียวที่จะมาก็ว่าได้ครับ) ก่อนประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาจจะมีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศในภูมิภาคอาเชียนเข้ามาไทยมากขึ้นแต่สำหรับของบริษัทที่ผมคุยด้วยบอกว่าจะย้ายมาทั้งหมดที่เค้ามีเลยครับ และในปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะย้ายฐานการผลิตโดยเฉพาะชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาประเทศไทย เนื่องจากเรามี R&Dแล้วซึ่งต่อจากนี้ไปเราคงได้เห็นกันว่าจะทยอยกันเข้ามาอีกมากเลยทีเดียวครับ
2.คงมีคำถามตามมาว่าทำไมไม่ไปจีนซึ่งหากเราดูแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าเราซึ่งเรื่องนี้ก็ได้รับคำตอบว่าที่จีนมีปัญหาเรื่องสาธารณูปโภคมากพอสมควร โดยเฉพาะไฟฟ้า นอกจากไม่เพียงพอแล้วราคายังแพงมากอีกด้วย (สงสัยว่าถ่านหินน่าจะมีราคาสูงต่อไปอีกนานเนื่องจาก demand ยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากขนาดนี้)
3.และข้อสำคัญคือการย้ายฐานการผลิตนับจากนี้ต่อไป นโยบายของบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากจะเน้นการเช่าโรงงานแทน การเข้ามาซื้อที่แล้วสร้างเหมือนรุ่นบุกเบิกในช่วงก่อนหน้านี้ครับ
สรุป ไทยเรายังคงเนื้อหอม เป็นประเทศที่น่าลงทุนมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกันแบบกินขาดในสายตาของญี่ปุ่น โดยเฉพาะด้านการเมืองที่มีความเข้มแข็งมากในปัจจุบันซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่เค้ามองอยู่เช่นกัน และนายกของเราได้รับการยกย่องมากครับในสายตาของนักธุรกิจญี่ปุ่น ดีใจที่เค้ามองเราเชิงบวกขนาดนี้ครับ
ที่โพสท์มาเป็นเพียงความเห็นและมุมมองของผู้บริหารท่านหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ของทั้งหมดครับ
ตอบกลับโดย : Invisible_hand
Posts : 58
Replies : 1209 « Reply #1 เมื่อ 13/02/2005 , 23:09:57 »
--------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณมากครับ เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากทีเดียวครับ
จากที่ได้ประมวลข้อมูลจากที่ได้อ่านมาและฟังมา ผมคิดว่าเหตุผลที่เมืองไทยยังเป็นฐานการผลิตหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติก็คือ
1 ผู้ผลิตเกือบทุกรายต้องการกระจายความเสี่ยงครับ หากเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ไม่มีใครกล้าไปตั้งโรงงานที่จีนแห่งเดียวแน่อนครับ เพราะจีนยังถือเป็นประเทศที่มีความไม่แน่นอนในเรื่องการเมืองและนโยบายรัฐสูง
2 Location การมี AFTA ทำให้ประเทศไทยถูกเลือกเป็นฐานการผลิตเพื่อ support ประเทศใน Asean และรวมไปถึงการมีภูมิศาสตร์เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
3 หากไม่นับแรงงานที่จีนถูกกว่าแล้ว ในหลายๆ ด้านประเทศไทยยังดีกว่าจีนครับ โดยเฉพาะเรื่องการติดต่อภาครัฐ ผู้ร่วมทุนชาวไทยมักจะสร้างปัญหาน้อยกว่าที่จีน
4 หากมองใน Asean แล้วนักลงทุนญี่ปุ่นจะชอบเมืองไทยที่สุดครับ ทั้งด้าน วัฒนธรรม ศาสนา ที่คล้ายกันที่สุด แม้ว่ามาเลฯ จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าเรา แต่หลายบริษัทในญี่ปุ้นก็เลือกไทยครับ
เสียดายที่นโยบายการส่งเสริมการลงทุนหลายๆ อย่างในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาเรายังทำได้ไม่ดีเท่าที่ดวร โดยเฉพาะการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เพื่อผลิตแรงงานที่มีคุณภาพออกมา และระบบ logistic ถ้าทำได้ผมคิดว่ามาเลย์ฯ ไม่ได้เกิดหรอกครับ
ผมเคยอ่านข้อมูลของบรีษัทแห่งหนึ่ง ได้อธิบายละเอียดเลยครับ ว่าญี่ปุ้นเคยย้ายการผลิตไปที่จีน แล้วไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากความแตกต่างกันในด้านความคิดและวัฒนธรรม ( คนจีนก็ไม่ happy กับคนญี่ปุ่นมาตั้งแต่เกือบ 100 ปีก่อนแล้ว ) หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ต้องย้ายฐานกลับมาผลิตในไทย ทำให้ supplier มียอดขายดีขึ้นกันถ้วนหน้า
สำหรับบริษัทต่างประเทศแล้ว การเช่าโรงงานเป็น trend ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวค่อนข้างแน่นอนครับ
และที่น่าจับตาคือ การผลิต harddisk จะย้ายจากสิงคโปร์ มาไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
ดัวยเหตุนี้ ทำให้จำนวนผู้เช่าของ ticon ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาจึงเพิ่มขึ้นมากพอสมควรครับ
ตอบกลับโดย : i-p-o
Posts : 2
Replies : 1 « Reply #2 เมื่อ 14/02/2005 , 08:47:05 »
--------------------------------------------------------------------------------
ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นพอได้เข้ามาทำงานในไทย เกือบ 100% ไม่อยากย้ายไปที่อื่นเลยครับ ตอนนี้ใครได้มาประจำที่ไทยนี่จะดีใจกันเป็นพิเศษ บางบริษัทถึงขนาดย้ายสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเข้ามาไทยเลยเนื่องจากผู้บริหารระดับสูงอยากอยู่เมืองไทยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 308
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 23
เท่าที่อ่านบทวิเคราะห์หลาย broker คิดว่า CNS น่าจะมีการวิเคราะห์ที่สอดคล้องกับพื้นฐานที่เปลี่ยนไปชองบริษัทครับ
ผมคาดว่าน่าจะมี broker อื่นๆ ทยอยปรับเป้าหมายในเร็วๆ นี้เช่นกันครับ
รายละเอียดเพิ่มเติมของบทวิเคราะห์ คุณ LOSO ได้ post ไว้ใน www.thaivalueinvestor.com หากสนใจรายละเอียดตามไปอ่านดูได้นะครับ
--------------------------------------------------------
The Ultimate Value Stock
ราคาหุ้นปัจจุบันของ TICON ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่เหมาะสมที่ CNS ประเมินไว้ที่ 19.55 บาท โดย CNS คาดว่าภายหลังการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property fund) จะทำให้ทั้งโครงสร้างของธุรกิจ รายได้ และ ฐานะทางการเงินของ TICON เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก โดยการจัดตั้ง Property fund จะทำให้ TICON สามารถระดมทุนไปใช้ในการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มโดยพึ่งพาตลาดเงินและตลาดทุนในระบบน้อยลง ในขณะที่ปริมาณความต้องการเช่าโรงงานอตุสาหกรรมสำเร็จรูปที่สูงสามารถที่จะรองรับการขยายตัวของธุรกิจของ TICON ได้เป็นอย่างดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนที่ไหลเข้ามากับการเคลื่อนย้ายเงินทุนของ Foreign Direct Investment จากประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย จีน นอกจากนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตในประเทศที่เริ่มตึงตัวทำให้ผู้ประกอบการต้องเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตทั้งการสร้างหรือเช่าโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อ TICON ที่มีทั้งโอกาสและศักยภาพในการขยายธุรกิจ จากปัจจัยดังกล่าว CNS คาดว่าผลประกอบการของ TICON ในปี 2548 จะมีอัตราการเติบโตในระดับสูงถึง 142% y-y และมีกำไรสุทธิ 785 ล้านบาท EPS 1.51 บาท CNS จึงแนะนำ BUY
CNS คาด TICON จะทำการเสนอขายหน่วยลงทุนของ Property fund ได้ภายใน Q2/48 : TICON property fund ซึ่งอยู่ระหว่างการลงทะเบียนและพิจารณาอนุมัติจาก ก.ล.ต. คาดว่าจะทำการเสนอขายหน่วยลงทุนมูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาทได้เสร็จสิ้นภายใน Q2/48 และจะเริ่มดำเนินการโอนซื้อโรงงานอุตสาหกรรม 39 แห่ง จาก TICON คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 1,150 ล้านบาทที่ TICON จะได้รับภายหลังการเข้าไปถือหน่วยลงทุนในสัดส่วนประมาณ 33% ซึ่ง CNS ประเมินว่า TICON จะสามารถนำเงินที่ได้ไปสร้างโรงงานเพิ่มได้อีกประมาณ 40 แห่ง
อัตราการเติบโตของ TICON จะเป็นไปอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป : การจัดตั้ง Property fund เป็นการปฏิวัติโครงสร้างทางธุรกิจของ TICON จาก Business Model ที่สร้างโรงงานแล้วให้เช่าและขายเมื่อลูกค้าใช้สิทธ์ซื้อตามสัญญาเช่าหรือในโอกาสที่เหมาะสม มาเป็นแบบใหม่ที่สร้างและหาผู้มาเช่าและแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน (Securitization) และนำทุนมาใช้สร้างโรงงานเพิ่ม ซึ่งทำให้อัตราการขยายตัวของ TICON เป็นไปได้อย่ารวดเร็วกว่าเดิมมาก โดย CNS ประเมิน TICON จะสามารถสร้างโรงงานใหม่ได้ปีละ 70-80 แห่ง จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานโดยไม่ต้องระดมทุนจากผู้ถือหุ้นหากมีการออก Property fund ทุกๆ ปี
CNS ประเมินมูลค่า TICON ด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) ราคาที่เหมาะสมเท่ากับ 19.55 บาท : CNS ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ TICON โดยวิธี Distcounted Cash flow โดยประเมินจากกระแสเงินสดของ TICON และตั้งสมมติฐานว่า TICON จะสามารถจัดตั้ง Property fund ได้ปีละ 1 กองทุน ต่อเนื่องไปนับไปจนถึงปี 2551 และภายหลังปี 2554 มีการเติบโตในอัตราที่ปราศจาก Abnormal return ซึ่งใช้ Growth to perpetuity 3% ซึ่งมูลค่าที่เหมาะสมของ TICON เท่ากับ 19.55 บาท
CNS ให้คำแนะนำซื้อสำหรับ TICON : เนื่องจากราคาปัจจุบันของ TICON ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมมาก CNS จึงให้คำแนะนำ BUY โดยมี Upside Potential 105%
Invisible_hand
Posts : 55
Replies : 1186 « Reply #2 เมื่อ 25/01/2005 , 23:08:08 »
--------------------------------------------------------------------------------
ผมตั้งสมมุติฐานดังนี้ครับ
1 ปี 2549 ticon จะมีการขายโรงงานเข้า property fund 50 แห่ง มูลค่า 2250 ล้านบาท โดยจำนวน 50 แห่งน่าจะใกล้เคียงกับโรงงานให้เช่าที่น่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยมี gross margin ประมาณ 45% ( gross margin จากการขายโรงงานปีนี้ 50% ) โดยจะมีกำไรหลังหักภาษีและส่วนที่ ticon ถืออยู่ใน fund 473 ล้านบาท
2 รายได้จากค่าเช่าสำหรับโรงงานที่เหลืออยู่ ค่าบริหารจัดการ และเงินปันผลจาก prop fund ที่ออกในปี 48 รวมแล้วประมาณ 348 ล้านบาท
3 ผมคาดว่า ticon จะสามารถเซ็นสัญญาในการก่อสร้างโรงานขนาดใหญ่ และคลังสินค้า มูลค่าประมาณ 1500 ล้านบาท ซึ่ง ticon น่าจะสร้างเสร็จและขายเข้า prop fund ในปี 2549 โดยประมาณการ gross margin จากโครงการนี้ 35% เพราะโรงานขนาดใหญ่จะมี margin ต่ำกว่า โดยคาดว่าจะมีกำไรจากการขายประมาณ 245 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อรวม 3 รายการผมคาดว่าในปี 2549 ticon จะมีกำไรสุทธิ 1066 ล้านบาท หรือ 2.08 บาทต่อหุ้นครับ
อย่างไรก็ตามหากเรามองว่ากำไรที่จะเกิดขึ้นตามรายการที่ 3 ยังไม่แน่นอน และจะตัดออกไป กำไรปี 49 ของ ticon ก็น่าจะอยู่ที่ 1.6 บาทต่อหุ้น
หรือหากจะปรับลดจำนวนโรงงานที่ขายในปี 49 เท่าเดิมคือ 40 โรงงาน กำไรต่อหุ้นก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 1.42 บาท
ทั้งนี้ กำไรต่อหุ้นทั้งหมดจะตั้งอยู่ในสมมุติฐานที่ ticon จะรับรู้กำไรจากการขายได้ในส่วนสุทธิจากที่ถือหุ้นใน prop fund เช่น หาก ticon ถือ prop fund 33.3% ticon อาจจะรับรู้กำไรจากการขายได้ 100% ของมูลค่ากองทุนที่ขาย หรือ 66.7% ซึ่งตรงนี้ยังไม่แน่ว่าการบันทึกบัญชีจะทำอย่างไร แต่ผมตั้งสมมุติฐานให้รับรู้เพียง 66.7% ซึ่งเป็นการ conservative ไว้ก่อน แต่หากท้ายสุด ticon รับรู้เต็ม 100% ก็จะทำให้ eps สูงขึ้นจากตัวเลขประมาณการณ์ครับ
ผมคาดว่าน่าจะมี broker อื่นๆ ทยอยปรับเป้าหมายในเร็วๆ นี้เช่นกันครับ
รายละเอียดเพิ่มเติมของบทวิเคราะห์ คุณ LOSO ได้ post ไว้ใน www.thaivalueinvestor.com หากสนใจรายละเอียดตามไปอ่านดูได้นะครับ
--------------------------------------------------------
The Ultimate Value Stock
ราคาหุ้นปัจจุบันของ TICON ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่เหมาะสมที่ CNS ประเมินไว้ที่ 19.55 บาท โดย CNS คาดว่าภายหลังการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property fund) จะทำให้ทั้งโครงสร้างของธุรกิจ รายได้ และ ฐานะทางการเงินของ TICON เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก โดยการจัดตั้ง Property fund จะทำให้ TICON สามารถระดมทุนไปใช้ในการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มโดยพึ่งพาตลาดเงินและตลาดทุนในระบบน้อยลง ในขณะที่ปริมาณความต้องการเช่าโรงงานอตุสาหกรรมสำเร็จรูปที่สูงสามารถที่จะรองรับการขยายตัวของธุรกิจของ TICON ได้เป็นอย่างดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนที่ไหลเข้ามากับการเคลื่อนย้ายเงินทุนของ Foreign Direct Investment จากประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย จีน นอกจากนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตในประเทศที่เริ่มตึงตัวทำให้ผู้ประกอบการต้องเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตทั้งการสร้างหรือเช่าโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อ TICON ที่มีทั้งโอกาสและศักยภาพในการขยายธุรกิจ จากปัจจัยดังกล่าว CNS คาดว่าผลประกอบการของ TICON ในปี 2548 จะมีอัตราการเติบโตในระดับสูงถึง 142% y-y และมีกำไรสุทธิ 785 ล้านบาท EPS 1.51 บาท CNS จึงแนะนำ BUY
CNS คาด TICON จะทำการเสนอขายหน่วยลงทุนของ Property fund ได้ภายใน Q2/48 : TICON property fund ซึ่งอยู่ระหว่างการลงทะเบียนและพิจารณาอนุมัติจาก ก.ล.ต. คาดว่าจะทำการเสนอขายหน่วยลงทุนมูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาทได้เสร็จสิ้นภายใน Q2/48 และจะเริ่มดำเนินการโอนซื้อโรงงานอุตสาหกรรม 39 แห่ง จาก TICON คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 1,150 ล้านบาทที่ TICON จะได้รับภายหลังการเข้าไปถือหน่วยลงทุนในสัดส่วนประมาณ 33% ซึ่ง CNS ประเมินว่า TICON จะสามารถนำเงินที่ได้ไปสร้างโรงงานเพิ่มได้อีกประมาณ 40 แห่ง
อัตราการเติบโตของ TICON จะเป็นไปอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป : การจัดตั้ง Property fund เป็นการปฏิวัติโครงสร้างทางธุรกิจของ TICON จาก Business Model ที่สร้างโรงงานแล้วให้เช่าและขายเมื่อลูกค้าใช้สิทธ์ซื้อตามสัญญาเช่าหรือในโอกาสที่เหมาะสม มาเป็นแบบใหม่ที่สร้างและหาผู้มาเช่าและแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน (Securitization) และนำทุนมาใช้สร้างโรงงานเพิ่ม ซึ่งทำให้อัตราการขยายตัวของ TICON เป็นไปได้อย่ารวดเร็วกว่าเดิมมาก โดย CNS ประเมิน TICON จะสามารถสร้างโรงงานใหม่ได้ปีละ 70-80 แห่ง จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานโดยไม่ต้องระดมทุนจากผู้ถือหุ้นหากมีการออก Property fund ทุกๆ ปี
CNS ประเมินมูลค่า TICON ด้วยวิธี Discounted Cash Flow (DCF) ราคาที่เหมาะสมเท่ากับ 19.55 บาท : CNS ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ TICON โดยวิธี Distcounted Cash flow โดยประเมินจากกระแสเงินสดของ TICON และตั้งสมมติฐานว่า TICON จะสามารถจัดตั้ง Property fund ได้ปีละ 1 กองทุน ต่อเนื่องไปนับไปจนถึงปี 2551 และภายหลังปี 2554 มีการเติบโตในอัตราที่ปราศจาก Abnormal return ซึ่งใช้ Growth to perpetuity 3% ซึ่งมูลค่าที่เหมาะสมของ TICON เท่ากับ 19.55 บาท
CNS ให้คำแนะนำซื้อสำหรับ TICON : เนื่องจากราคาปัจจุบันของ TICON ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมมาก CNS จึงให้คำแนะนำ BUY โดยมี Upside Potential 105%
Invisible_hand
Posts : 55
Replies : 1186 « Reply #2 เมื่อ 25/01/2005 , 23:08:08 »
--------------------------------------------------------------------------------
ผมตั้งสมมุติฐานดังนี้ครับ
1 ปี 2549 ticon จะมีการขายโรงงานเข้า property fund 50 แห่ง มูลค่า 2250 ล้านบาท โดยจำนวน 50 แห่งน่าจะใกล้เคียงกับโรงงานให้เช่าที่น่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยมี gross margin ประมาณ 45% ( gross margin จากการขายโรงงานปีนี้ 50% ) โดยจะมีกำไรหลังหักภาษีและส่วนที่ ticon ถืออยู่ใน fund 473 ล้านบาท
2 รายได้จากค่าเช่าสำหรับโรงงานที่เหลืออยู่ ค่าบริหารจัดการ และเงินปันผลจาก prop fund ที่ออกในปี 48 รวมแล้วประมาณ 348 ล้านบาท
3 ผมคาดว่า ticon จะสามารถเซ็นสัญญาในการก่อสร้างโรงานขนาดใหญ่ และคลังสินค้า มูลค่าประมาณ 1500 ล้านบาท ซึ่ง ticon น่าจะสร้างเสร็จและขายเข้า prop fund ในปี 2549 โดยประมาณการ gross margin จากโครงการนี้ 35% เพราะโรงานขนาดใหญ่จะมี margin ต่ำกว่า โดยคาดว่าจะมีกำไรจากการขายประมาณ 245 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อรวม 3 รายการผมคาดว่าในปี 2549 ticon จะมีกำไรสุทธิ 1066 ล้านบาท หรือ 2.08 บาทต่อหุ้นครับ
อย่างไรก็ตามหากเรามองว่ากำไรที่จะเกิดขึ้นตามรายการที่ 3 ยังไม่แน่นอน และจะตัดออกไป กำไรปี 49 ของ ticon ก็น่าจะอยู่ที่ 1.6 บาทต่อหุ้น
หรือหากจะปรับลดจำนวนโรงงานที่ขายในปี 49 เท่าเดิมคือ 40 โรงงาน กำไรต่อหุ้นก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 1.42 บาท
ทั้งนี้ กำไรต่อหุ้นทั้งหมดจะตั้งอยู่ในสมมุติฐานที่ ticon จะรับรู้กำไรจากการขายได้ในส่วนสุทธิจากที่ถือหุ้นใน prop fund เช่น หาก ticon ถือ prop fund 33.3% ticon อาจจะรับรู้กำไรจากการขายได้ 100% ของมูลค่ากองทุนที่ขาย หรือ 66.7% ซึ่งตรงนี้ยังไม่แน่ว่าการบันทึกบัญชีจะทำอย่างไร แต่ผมตั้งสมมุติฐานให้รับรู้เพียง 66.7% ซึ่งเป็นการ conservative ไว้ก่อน แต่หากท้ายสุด ticon รับรู้เต็ม 100% ก็จะทำให้ eps สูงขึ้นจากตัวเลขประมาณการณ์ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 308
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 24
หากรวมกับกำไรจากการธุรกิจให้เช่าประมาณ 300 ล้านบาท จะได้ว่ากำไรสุทธิของ ticon ในปี 48 นี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 697-895 ล้านบาท หรือ 1.36 - 1.74 บาทต่อหุ้น
เนื่องจากวิธีการรับรู้รายได้ยังไม่แน่นอน จะใช้ eps แบบ conservative ไปก่อน คือ 1.36 บาทต่อหุ้นก็อาจจะดีกว่าครับ
ticon มีแผนที่จะนำเงินสดที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้า property fund ไปลงทุนในธุรกิจที่ ticon สนใจแต่ยังไม่ได้ทำเพราะที่ผ่านมามี่ข้อจำกัดด้านเงินทุน ได้แก่ การสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ให้เช่ากับบริษัทข้ามชาติ และการสร้างโกดังให้เช่า ซึ่งเป็นการขยายฐานรายได้ของบริษัทในอนาคต
สำหรับความกังวลเรื่องการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนจะเป็นกำไรที่เกิดขึ้นเพียงปีเดียวหรือไม่ ผมเชื่อว่าบทวิเคราะห์หลายแห่งที่อาจจะออกในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้า อาจจะเขียนว่าเป็น one-time แต่เท่าที่สอบถามทางบริษัท ticon มีแผนที่จะขายโรงงานให้กับกองทุนอสังหาฯ ในปีต่อๆ ไป โดยกำลังพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็นการขายโรงงานให้กับกองทุนอสังหาฯ ที่ออกปีนี้ ( โดยให้กองทุนอสังหาฯ เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ) หรือ ขายให้กับกองทุนอสังหาฯ ที่ออกใหม่ในปีต่อๆ ไป
ดังนั้น จาก model การขยายธุรกิจซึ่งเพิ่มจากเดิมซึ่งทำเพียงการสร้างโรงงานขนาดเล็กให้เช่า เป็น ทั้งการสร้างโรงงานขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ และการสร้างโกดังเก็บสินค้า ทำให้ผมมองว่า ticon น่าจะมีการเติบโตของรายได้ในระดับที่สูงใน 2-3 ปีข้างหน้า และน่าจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า property fund อย่างต่อเนื่อง และฐานรายได้จากการให้เข่าก็สูงขึ้น รวมทั้งการได้รับค่า fee จากการบริหารกองทุน ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงประมาณอย่างคร่าวๆ ว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2549 น่าจะอยู่ในระดับที่เกิน 2 บาทได้ครับ
หากมองในแง่ downside risk หากคิดราคาที่ ticon ขายโรงงานให้กองทุนอสังหาฯ 40 โรงงาน มูลค่า 1750 ล้าน ซึ่งประเมินได้ว่าราคานี้เป็นมูลค่าที่ยุติธรรมตามราคาตลาด
จะได้ว่า ปัจจุบัน ticon มีโรงงานให้เช่า และโรงงานที่พร้อมจะมีรายได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้าประมาณ 165 แห่ง
โรงงาน 40 โรงงาน มูลค่า 1750 ล้าน
ดังนั้น โรงงาน 165 โรงงาน จะมีมูลค่า 1750*165/40 = 7218 ล้าน
ticon มีหนี้ประมาณ 2000 ล้านบาท แต่นอกจากโรงงาน 165 แห่งแล้ว ticon ยังมีโรงงานที่กำลังก่อสร้างและที่ดินรอการสร้างประมาณ 80 แห่ง หรือมีมูลค่าประมาณ 2000 ล้านบาท
ดังนั้น adjusted NAV = 7218 + 2000 - 2000 = 7218 ล้าน
หรือ 7218 / 512 = 14.1 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ ticon ตามราคาตลาดครับ
มีหลายคนถามว่าการออก property fund type 1 ทำให้ ticon มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐานอย่างไรบ้าง ผมขอสรุปดังนี้นะครับ
1 ทำให้ลดความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนไปได้อีกนาน เนื่องจากหาก ticon ไม่ออก property fund และยังขยายการสร้างโรงงานในระดับเดียวกับปี 2004 ไปเรื่อยๆ ticon จะจำเป็นต้องเพิ่มทุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การออก property fund ทำให้ ticon ได้รับเงินจากการขายถึงประมาณ 1750 * 66.7% = 1167 ล้านบาท และจะมี equity เพิ่มจากการขายสินทรัพย์อีก 595 ล้านบาท ซึ่งหาก ticon มี d/e 1.5 เท่าซึงหมายความว่า ticon จะก่อหนี้ได้เพิ่ม 1.5 เท่าของ equity ที่เพิ่มขึ้น หรือประมาณ 900 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2548 ticon จะมีเงินลงทุนถึง 2000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับจำนวนเงินตามแผนการลงทุนพอดี ( เงิน 2000 ล้านสามารถสร้างโรงงานขนาดที่ ticon ทำอยู่ได้ถึง 80 โรงงาน )
2. การออก property fund เป็นการ re-rating หุ้น ticon ขึ้นมา เนื่องจากในทางทฤษฎี และสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศคือ หุ้นอสังหาฯ ที่ทำธุรกิจให้เช่าจะมี p/e สูงกว่าหุ้นที่ทำธุรกิจให้ขาย ค่อนข้างมาก เพราะว่าธุรกิจให้เช่ามีความผันผวนของรายได้น้อยกว่าจึงมีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เช่น ธุรกิจให้เช่าจะมี p/e 15-20 เท่า แต่ธุรกิจสร้างขายจะมี p/e 10 เท่า แต่กรณีของตลาดไทย นักลงทุนและนักวิเคราะห์กลับให้ p/e ของธุรกิจให้เช่าเท่ากับธุรกิจขาย หรือบางครั้งต่ำกว่าด้วยเหตุผลเรื่องสภาพคล่อง ดังนั้นในความเป็นจริง ราคาตามพื้นฐานของ ticon นั้นสูงกว่าราคาหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างมาก การออก property fund จึงเป็นการเปลี่ยนจากธุรกิจให้เช่าเป็นทั้งธุรกิจให้เช่าและขาย ซึ่งจะทำให้ eps สูงขึ้น
ตอบกลับโดย : Invisible_hand
Posts : 55
Replies : 1174 « Reply #2 เมื่อ 21/01/2005 , 00:17:29 »
--------------------------------------------------------------------------------
เพื่อเป็นการอธิบายข้อ 2 ให้เข้าใจง่ายขึ้นนะครับ
ถ้ามีบริษัทบ้านจัดสรร เช่น House & Land ออกมาบอกว่าจะเลิกสร้างบ้านขายแล้ว แต่จะสร้างให้เช่าอย่างเดียว
คิดว่าหุ้นจะลงมั้ยครับ แม้ว่าความเสี่ยงของบริษัทจะลดลง และสินทรัพย์ก็ไม่ได้ลดลงแถมเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ขายบ้านออกไป แต่กำไรของบริษัทคงลดลงเยอะมากเลยครับ
ตอนนี้ gross margin จากการขายบ้านคือ 40% หมายความว่า ทุน 100 จะขายได้ประมาณ 167 บาท
ขาย 167 บาท จะได้กำไร 40% จาก 167 บาท คือ 67 บาท
คือ ลงทุน 100 บาท กำไร 67 บาท
แต่ถ้าสร้างให้เช่า จะได้ yield ประมาณ 15% คือ จะมีกำไร 15 บาทจากทุน 100 บาท
ดังนั้น ลงทุน 100 บาท ถ้าสร้างเพื่อขาย จะกำไร 67 บาท ในปีนั้น ผลตอบแทน 67% ต่อปี
ลงทุน 100 บาท ถ้าสร้างเพื่อให้เช่า จะกำไร 15 บาท ในปีนั้น ผลตอบแทน 15% ต่อปี
หากปีนั้นที่สร้างให้ขายหมุนเงินได้ 2 รอบ คือ เงินก้อนเดียวกันนำมาหมุนแล้วขายได้ 2 หลัง ก็จะได้กำไร 134 บาทจากทุน 100 บาท หรือผลตอบแทน 134%
ดังนั้น หุ้นที่ทำบ้านจัดสรร หากเมื่อไหร่เปลี่ยนมาทำธุรกิจให้เช่ามาทำธุรกิจขาย ก็คงจะมีกำไรลดลงมาก
ถ้าอย่างนั้น หากหุ้นที่เคยทำธุรกิจให้เช่า เปลี่ยนมาเป็นทำธุรกิจสร้างเพื่อขายบ้าง จะเป็นอย่างไร?
Asset turnover ROE ROA Economic value added EPS คงจะดีขึ้นมาก
แม้ว่าธุรกิจขายจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่หากสามารถสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่ให้มากกว่าหรือเท่ากับที่ขายไปได้ รายได้จากการให้เช่าก็ยังไม่ลดลงครับ และการขายโรงงานเข้า property fund นั้น เสี่ยงน้อยกว่าการขายบ้านเสียอีก เพราะสามารถกำหนดมูลค่าการขาย และขายได้ง่ายกว่าการขายบ้านเสียอีกครับ ตราบใดที่ yield ของ property fund ( ประมาณ 6-7% ) ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในระดับหนึ่ง
ตอบกลับโดย : Invisible_hand
Posts : 55
Replies : 1175
« Reply #3 เมื่อ 21/01/2005 , 00:22:05 »
--------------------------------------------------------------------------------
ข้อดีของการออก property fund ( ต่อ )
3 เนื่องจาก ticon ไม่ต้องการที่จะ revalue ตัวสินทรัพย์ ซึ่งจริงๆ แล้วมีมูลค่าประมาณ 2 เท่าของมูลค่าที่บันทึกในงบดุล ซึ่งทำให้มีข้อเสียคือ จะทำให้ bv ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และการที่ equity ต่ำเกินจริง ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ลดลงด้วย เพราะการ control d/e ทำให้หาก e ต่ำ ก็จะกู้ได้น้อย
ดังนั้นการออก property fund จึงเป็นการ re-value สินทรัพย์ทางอ้อม คือ กำไรจากการขายสินทรัพย์จำนวนมากจะทำให้ book value ของบริษัทเพิ่มขึ้น
เนื่องจากวิธีการรับรู้รายได้ยังไม่แน่นอน จะใช้ eps แบบ conservative ไปก่อน คือ 1.36 บาทต่อหุ้นก็อาจจะดีกว่าครับ
ticon มีแผนที่จะนำเงินสดที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้า property fund ไปลงทุนในธุรกิจที่ ticon สนใจแต่ยังไม่ได้ทำเพราะที่ผ่านมามี่ข้อจำกัดด้านเงินทุน ได้แก่ การสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ให้เช่ากับบริษัทข้ามชาติ และการสร้างโกดังให้เช่า ซึ่งเป็นการขยายฐานรายได้ของบริษัทในอนาคต
สำหรับความกังวลเรื่องการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนจะเป็นกำไรที่เกิดขึ้นเพียงปีเดียวหรือไม่ ผมเชื่อว่าบทวิเคราะห์หลายแห่งที่อาจจะออกในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้า อาจจะเขียนว่าเป็น one-time แต่เท่าที่สอบถามทางบริษัท ticon มีแผนที่จะขายโรงงานให้กับกองทุนอสังหาฯ ในปีต่อๆ ไป โดยกำลังพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็นการขายโรงงานให้กับกองทุนอสังหาฯ ที่ออกปีนี้ ( โดยให้กองทุนอสังหาฯ เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ) หรือ ขายให้กับกองทุนอสังหาฯ ที่ออกใหม่ในปีต่อๆ ไป
ดังนั้น จาก model การขยายธุรกิจซึ่งเพิ่มจากเดิมซึ่งทำเพียงการสร้างโรงงานขนาดเล็กให้เช่า เป็น ทั้งการสร้างโรงงานขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ และการสร้างโกดังเก็บสินค้า ทำให้ผมมองว่า ticon น่าจะมีการเติบโตของรายได้ในระดับที่สูงใน 2-3 ปีข้างหน้า และน่าจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า property fund อย่างต่อเนื่อง และฐานรายได้จากการให้เข่าก็สูงขึ้น รวมทั้งการได้รับค่า fee จากการบริหารกองทุน ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงประมาณอย่างคร่าวๆ ว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2549 น่าจะอยู่ในระดับที่เกิน 2 บาทได้ครับ
หากมองในแง่ downside risk หากคิดราคาที่ ticon ขายโรงงานให้กองทุนอสังหาฯ 40 โรงงาน มูลค่า 1750 ล้าน ซึ่งประเมินได้ว่าราคานี้เป็นมูลค่าที่ยุติธรรมตามราคาตลาด
จะได้ว่า ปัจจุบัน ticon มีโรงงานให้เช่า และโรงงานที่พร้อมจะมีรายได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้าประมาณ 165 แห่ง
โรงงาน 40 โรงงาน มูลค่า 1750 ล้าน
ดังนั้น โรงงาน 165 โรงงาน จะมีมูลค่า 1750*165/40 = 7218 ล้าน
ticon มีหนี้ประมาณ 2000 ล้านบาท แต่นอกจากโรงงาน 165 แห่งแล้ว ticon ยังมีโรงงานที่กำลังก่อสร้างและที่ดินรอการสร้างประมาณ 80 แห่ง หรือมีมูลค่าประมาณ 2000 ล้านบาท
ดังนั้น adjusted NAV = 7218 + 2000 - 2000 = 7218 ล้าน
หรือ 7218 / 512 = 14.1 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ ticon ตามราคาตลาดครับ
มีหลายคนถามว่าการออก property fund type 1 ทำให้ ticon มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐานอย่างไรบ้าง ผมขอสรุปดังนี้นะครับ
1 ทำให้ลดความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนไปได้อีกนาน เนื่องจากหาก ticon ไม่ออก property fund และยังขยายการสร้างโรงงานในระดับเดียวกับปี 2004 ไปเรื่อยๆ ticon จะจำเป็นต้องเพิ่มทุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การออก property fund ทำให้ ticon ได้รับเงินจากการขายถึงประมาณ 1750 * 66.7% = 1167 ล้านบาท และจะมี equity เพิ่มจากการขายสินทรัพย์อีก 595 ล้านบาท ซึ่งหาก ticon มี d/e 1.5 เท่าซึงหมายความว่า ticon จะก่อหนี้ได้เพิ่ม 1.5 เท่าของ equity ที่เพิ่มขึ้น หรือประมาณ 900 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2548 ticon จะมีเงินลงทุนถึง 2000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับจำนวนเงินตามแผนการลงทุนพอดี ( เงิน 2000 ล้านสามารถสร้างโรงงานขนาดที่ ticon ทำอยู่ได้ถึง 80 โรงงาน )
2. การออก property fund เป็นการ re-rating หุ้น ticon ขึ้นมา เนื่องจากในทางทฤษฎี และสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศคือ หุ้นอสังหาฯ ที่ทำธุรกิจให้เช่าจะมี p/e สูงกว่าหุ้นที่ทำธุรกิจให้ขาย ค่อนข้างมาก เพราะว่าธุรกิจให้เช่ามีความผันผวนของรายได้น้อยกว่าจึงมีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เช่น ธุรกิจให้เช่าจะมี p/e 15-20 เท่า แต่ธุรกิจสร้างขายจะมี p/e 10 เท่า แต่กรณีของตลาดไทย นักลงทุนและนักวิเคราะห์กลับให้ p/e ของธุรกิจให้เช่าเท่ากับธุรกิจขาย หรือบางครั้งต่ำกว่าด้วยเหตุผลเรื่องสภาพคล่อง ดังนั้นในความเป็นจริง ราคาตามพื้นฐานของ ticon นั้นสูงกว่าราคาหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างมาก การออก property fund จึงเป็นการเปลี่ยนจากธุรกิจให้เช่าเป็นทั้งธุรกิจให้เช่าและขาย ซึ่งจะทำให้ eps สูงขึ้น
ตอบกลับโดย : Invisible_hand
Posts : 55
Replies : 1174 « Reply #2 เมื่อ 21/01/2005 , 00:17:29 »
--------------------------------------------------------------------------------
เพื่อเป็นการอธิบายข้อ 2 ให้เข้าใจง่ายขึ้นนะครับ
ถ้ามีบริษัทบ้านจัดสรร เช่น House & Land ออกมาบอกว่าจะเลิกสร้างบ้านขายแล้ว แต่จะสร้างให้เช่าอย่างเดียว
คิดว่าหุ้นจะลงมั้ยครับ แม้ว่าความเสี่ยงของบริษัทจะลดลง และสินทรัพย์ก็ไม่ได้ลดลงแถมเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ขายบ้านออกไป แต่กำไรของบริษัทคงลดลงเยอะมากเลยครับ
ตอนนี้ gross margin จากการขายบ้านคือ 40% หมายความว่า ทุน 100 จะขายได้ประมาณ 167 บาท
ขาย 167 บาท จะได้กำไร 40% จาก 167 บาท คือ 67 บาท
คือ ลงทุน 100 บาท กำไร 67 บาท
แต่ถ้าสร้างให้เช่า จะได้ yield ประมาณ 15% คือ จะมีกำไร 15 บาทจากทุน 100 บาท
ดังนั้น ลงทุน 100 บาท ถ้าสร้างเพื่อขาย จะกำไร 67 บาท ในปีนั้น ผลตอบแทน 67% ต่อปี
ลงทุน 100 บาท ถ้าสร้างเพื่อให้เช่า จะกำไร 15 บาท ในปีนั้น ผลตอบแทน 15% ต่อปี
หากปีนั้นที่สร้างให้ขายหมุนเงินได้ 2 รอบ คือ เงินก้อนเดียวกันนำมาหมุนแล้วขายได้ 2 หลัง ก็จะได้กำไร 134 บาทจากทุน 100 บาท หรือผลตอบแทน 134%
ดังนั้น หุ้นที่ทำบ้านจัดสรร หากเมื่อไหร่เปลี่ยนมาทำธุรกิจให้เช่ามาทำธุรกิจขาย ก็คงจะมีกำไรลดลงมาก
ถ้าอย่างนั้น หากหุ้นที่เคยทำธุรกิจให้เช่า เปลี่ยนมาเป็นทำธุรกิจสร้างเพื่อขายบ้าง จะเป็นอย่างไร?
Asset turnover ROE ROA Economic value added EPS คงจะดีขึ้นมาก
แม้ว่าธุรกิจขายจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่หากสามารถสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่ให้มากกว่าหรือเท่ากับที่ขายไปได้ รายได้จากการให้เช่าก็ยังไม่ลดลงครับ และการขายโรงงานเข้า property fund นั้น เสี่ยงน้อยกว่าการขายบ้านเสียอีก เพราะสามารถกำหนดมูลค่าการขาย และขายได้ง่ายกว่าการขายบ้านเสียอีกครับ ตราบใดที่ yield ของ property fund ( ประมาณ 6-7% ) ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในระดับหนึ่ง
ตอบกลับโดย : Invisible_hand
Posts : 55
Replies : 1175
« Reply #3 เมื่อ 21/01/2005 , 00:22:05 »
--------------------------------------------------------------------------------
ข้อดีของการออก property fund ( ต่อ )
3 เนื่องจาก ticon ไม่ต้องการที่จะ revalue ตัวสินทรัพย์ ซึ่งจริงๆ แล้วมีมูลค่าประมาณ 2 เท่าของมูลค่าที่บันทึกในงบดุล ซึ่งทำให้มีข้อเสียคือ จะทำให้ bv ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และการที่ equity ต่ำเกินจริง ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ลดลงด้วย เพราะการ control d/e ทำให้หาก e ต่ำ ก็จะกู้ได้น้อย
ดังนั้นการออก property fund จึงเป็นการ re-value สินทรัพย์ทางอ้อม คือ กำไรจากการขายสินทรัพย์จำนวนมากจะทำให้ book value ของบริษัทเพิ่มขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 308
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 25
ผมคิดว่าเรื่อง property fund type 1 นี้เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนมากยังติดภาพ property fund ว่าจะต้องเป็น type 3-4 ซึ่งจะมี structure ไม่ต่างจากหุ้นกู้ และไม่ได้ทำให้มูลค่าของกิจการที่ออก property fund นั้นเปลี่ยน แต่การออก property fund type 1 ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยน
ผมจึงคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่งที่เราจะสามารถอาศัยการที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน ก่อนทีทุกๆ คนจะเริ่มมาเข้าใจ ซึ่งตอนนั้นหุ้นน่าจะสะท้อนพื้นฐานไปเยอะแล้ว หากให้เปรียบเทียบก็คล้ายๆ กับเมื่อ 3-4 ปีก่อน ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือเช้าใจธุรกิจเดินเรือ แม้ ticon คงจะไม่สามารถให้กำไรได้ 10-20 เท่าเหมือนหุ้นเรือ แต่ผมมั่นใจว่า ticon น่าจะให้ผลตอบแทนทีดี ทั้งในด้าน capital gain และ dividend ที่ดีมากบริษัทหนึ่ง น่าจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดใน 3-4 ปีข้างหน้า และมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่อยู่ใน SET50 ภายใน 5 ปีข้างหน้าครับ
ผมจึงคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่งที่เราจะสามารถอาศัยการที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน ก่อนทีทุกๆ คนจะเริ่มมาเข้าใจ ซึ่งตอนนั้นหุ้นน่าจะสะท้อนพื้นฐานไปเยอะแล้ว หากให้เปรียบเทียบก็คล้ายๆ กับเมื่อ 3-4 ปีก่อน ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือเช้าใจธุรกิจเดินเรือ แม้ ticon คงจะไม่สามารถให้กำไรได้ 10-20 เท่าเหมือนหุ้นเรือ แต่ผมมั่นใจว่า ticon น่าจะให้ผลตอบแทนทีดี ทั้งในด้าน capital gain และ dividend ที่ดีมากบริษัทหนึ่ง น่าจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดใน 3-4 ปีข้างหน้า และมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่อยู่ใน SET50 ภายใน 5 ปีข้างหน้าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 308
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 26
Invisible_hand
Posts : 54
Replies : 1162 « Reply #1 เมื่อ 14/01/2005 , 23:24:21 »
--------------------------------------------------------------------------------
1. TICON ผมได้ลองกระทบ Profit property fund เข้าไปตามที่ได้ประมาณไว้ในขั้นต่ำสุดที่ 400 ล้านบาท หารต่อหุ้นในไตรมาส 1 05 จะมี eps เพิ่มขึ้น 0.87 บาท พอรวมกับ EPS 0.28 ([0.47 - 0.19] conservative ไว้ก่อนคือมองว่ารายได้บางส่วนได้หายไป 25%จากการขาย Property fund และกำหนดให้ไม่มีgrowth rate of revenue ดังนั้นจึงใช้ eps QTD 1-3 ' 04 มาประเมินซึ่ง net ด้วยกำไรที่เคยเกิดจากการขาย assets อีก 0.19) รวมกันได้ EPS 05 full year ประมาณ 1.15 ดังนั้น ณ ราคาปัจจุบัน Ticon จึงถือว่าถูกอยู่มาก หาก factor average p/e ของ อุตสาหกรรมเฉลี่ยประมาณ 10 เท่า ไม่เกิน 1 ปี ราคาที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 11.50 บาท หรือ gain at 41% up
- จำนวน ticon ควรจะใช้ 513 ล้านหุ้นครับ คือรวมเอาจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ์ 50 ล้านหุ้นเข้าไปด้วย
- หากขายโรงงานออกไปให้ prop fund ticon จะมีโรงงานให้เช่าเหลือประมาณ 110 แห่ง ซึ่งเท่ากับโรงงาน ณ สิ้นไตรมาส 2 ปีก่อน ดังนั้นหาก ticon สามารถเพิ่มจำนวนโรงงานให้เช่าได้ในระดับเดียวกับปีก่อน กำไรจากการให้เช่าจะไม่น้อยลงครับ
- ผมประมาณกำไรจากการขายโรงงานเข้า prop fund แบบ conservative ประมาณ 496 ล้านหรือ 0.97 บาทต่อหุ้น โดยใช้สมมุติฐาน มูลค่า fund 2,000 ล้านบาท gross margin 40% อัตราภาษี 27.5% และสัดส่วนการถือหุ้นของ ticon ใน prop fund 20%
และกำไรจากธุรกิจหลักแบบ conservative ประมาณ 0.50 บาทต่อหุ้น รวมแล้วกำไรต่อหุ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.47 บาทต่อหุ้นครับ โดยยังไม่รวมกำไรที่จะเพิ่มขึ้นหาก ticon ออก property fund ได้อีกซัก 1 กองในช่วงปลายปีครับ
Posts : 54
Replies : 1162 « Reply #1 เมื่อ 14/01/2005 , 23:24:21 »
--------------------------------------------------------------------------------
1. TICON ผมได้ลองกระทบ Profit property fund เข้าไปตามที่ได้ประมาณไว้ในขั้นต่ำสุดที่ 400 ล้านบาท หารต่อหุ้นในไตรมาส 1 05 จะมี eps เพิ่มขึ้น 0.87 บาท พอรวมกับ EPS 0.28 ([0.47 - 0.19] conservative ไว้ก่อนคือมองว่ารายได้บางส่วนได้หายไป 25%จากการขาย Property fund และกำหนดให้ไม่มีgrowth rate of revenue ดังนั้นจึงใช้ eps QTD 1-3 ' 04 มาประเมินซึ่ง net ด้วยกำไรที่เคยเกิดจากการขาย assets อีก 0.19) รวมกันได้ EPS 05 full year ประมาณ 1.15 ดังนั้น ณ ราคาปัจจุบัน Ticon จึงถือว่าถูกอยู่มาก หาก factor average p/e ของ อุตสาหกรรมเฉลี่ยประมาณ 10 เท่า ไม่เกิน 1 ปี ราคาที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 11.50 บาท หรือ gain at 41% up
- จำนวน ticon ควรจะใช้ 513 ล้านหุ้นครับ คือรวมเอาจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ์ 50 ล้านหุ้นเข้าไปด้วย
- หากขายโรงงานออกไปให้ prop fund ticon จะมีโรงงานให้เช่าเหลือประมาณ 110 แห่ง ซึ่งเท่ากับโรงงาน ณ สิ้นไตรมาส 2 ปีก่อน ดังนั้นหาก ticon สามารถเพิ่มจำนวนโรงงานให้เช่าได้ในระดับเดียวกับปีก่อน กำไรจากการให้เช่าจะไม่น้อยลงครับ
- ผมประมาณกำไรจากการขายโรงงานเข้า prop fund แบบ conservative ประมาณ 496 ล้านหรือ 0.97 บาทต่อหุ้น โดยใช้สมมุติฐาน มูลค่า fund 2,000 ล้านบาท gross margin 40% อัตราภาษี 27.5% และสัดส่วนการถือหุ้นของ ticon ใน prop fund 20%
และกำไรจากธุรกิจหลักแบบ conservative ประมาณ 0.50 บาทต่อหุ้น รวมแล้วกำไรต่อหุ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.47 บาทต่อหุ้นครับ โดยยังไม่รวมกำไรที่จะเพิ่มขึ้นหาก ticon ออก property fund ได้อีกซัก 1 กองในช่วงปลายปีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 27
ดร.นิเวศน์ว่าอย่างนี้
"พูดถึงเรื่องการบริหารการเงินของกิจการ ผมก็ชอบที่จะเห็นบริษัททำอะไรที่ง่าย ๆ แบบธรรมดา ๆ เพราะผมค่อนข้างกลัว พ่อมดการเงิน ที่ชอบใช้เครื่องมือทางการเงินแปลก ๆ ใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่เรียกว่า SPV (Special Purpose Vehicle) หรือพวกกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนพิเศษต่าง ๆ เพื่อใช้ในการระดมเงิน เพราะเครื่องมือเหล่านั้นเมื่อนำมาใช้แล้วมักจะทำให้ภาพการเงินที่แท้จริงของบริษัทเปลี่ยนไปจนผมไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วกิจการเป็นหนี้ที่แท้จริงเท่าไร"
พี่ฉัตรชัย ก็ว่าอย่างนี้
"การจัดตั้งกองทุนอสังหา ทำให้สัดส่วนทางการเงินของบริษัทนั้นๆ บิดเบือนไป"
ตอนนี้เรากำลัง วนอยู่ในเกมล่าส่วนเกินทุนด้วยความโลภเกินความรู้ที่เรามี เหมือนที่เฮียคลายเครียดว่าไว้ หรือเปล่าครับเนี่ย
"พูดถึงเรื่องการบริหารการเงินของกิจการ ผมก็ชอบที่จะเห็นบริษัททำอะไรที่ง่าย ๆ แบบธรรมดา ๆ เพราะผมค่อนข้างกลัว พ่อมดการเงิน ที่ชอบใช้เครื่องมือทางการเงินแปลก ๆ ใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่เรียกว่า SPV (Special Purpose Vehicle) หรือพวกกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนพิเศษต่าง ๆ เพื่อใช้ในการระดมเงิน เพราะเครื่องมือเหล่านั้นเมื่อนำมาใช้แล้วมักจะทำให้ภาพการเงินที่แท้จริงของบริษัทเปลี่ยนไปจนผมไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วกิจการเป็นหนี้ที่แท้จริงเท่าไร"
พี่ฉัตรชัย ก็ว่าอย่างนี้
"การจัดตั้งกองทุนอสังหา ทำให้สัดส่วนทางการเงินของบริษัทนั้นๆ บิดเบือนไป"
ตอนนี้เรากำลัง วนอยู่ในเกมล่าส่วนเกินทุนด้วยความโลภเกินความรู้ที่เรามี เหมือนที่เฮียคลายเครียดว่าไว้ หรือเปล่าครับเนี่ย
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 29
สำหรับคนที่ไม่มีความรู้มันก็ดูซับซ้อนครับ อย่างผมไงถ้าคุณ IH ไม่มาชี้ให้เห็นประเด็นต่างๆ ก็ไม่รู้เลยว่าไอ้กองทุนที่เขาต้งนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร ถึงชี้ให้เห็นแล้วก็ยังไม่กล้าซื้อ ซื่อบื่อปล่อยให้มันลอยไปถึง 12 บาท มองจนน้ำลายหกเช็ดไม่หมด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
TICON ไปกินอะไรมาครับ
โพสต์ที่ 30
สำหรับ PROPERTY FUND ที่ TICON ออกนั้นชัดเจนครับForrestGump เขียน: พี่ฉัตรชัย ก็ว่าอย่างนี้
"การจัดตั้งกองทุนอสังหา ทำให้สัดส่วนทางการเงินของบริษัทนั้นๆ บิดเบือนไป"
เหมือนเป็นการขายสินทรัพย์ให้เช่าออกไป เพียงแต่ว่าบริษัทยังคงถือสัดส่วนอยู่ 33% ครับ
กรณีนี้ก็มีข้อดีหลายประการดังที่คุณ Invisible Hand กล่าว
แต่ข้อเสียก็คือ บริษัทก็มีความเสี่ยงในเรื่องรายได้มากขึ้นเนื่องจากมีรายได้ค่าเช่าลดลง โดยหวังรายได้จากการขายโรงงานให้ Property Fund
อีกทั้งบริษัทก็คงขาดกำไรที่แอบซ่อนอยู่ในมูลค่าที่ดินที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ถ้าเศรษฐกิจดี