บังเอิญ เข้าไปใน thaiinvestors.com ไปเจอบทความนึงเข้า โดนใจผมครับ เลยเอามาฝากพี่ๆ เพื่อนๆ อ่านกัน (แต่เกรงว่าผมจะอ่านช้าไปกว่าหลายท่าน)
จากวารสารสมาคมฯ เดือนก.ค.-ส.ค. ฉ1 2545
มีคำกล่าวเรื่องหลักการลงทุนในตลาดหุ้นไว้ว่าการเล่นหุ้นก็เหมือนกับการค้าขาย พยายามซื้อถูกแล้วไปขายแพง ฟังดูแล้วการเล่นหุ้นให้กำไรก็ไม่น่าจะยากลำบากแต่อย่างใด แต่พอเอาเข้าจริงๆ จะมีนักลงทุนสักกี่คนที่ทำได้ดังว่าจนประสบความสำเร็จได้กำไร
และร่ำรวยขึ้นโดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่เข้าใจตลาดหุ้นดีพอเห็นการเล่นหุ้นเหมือนการเล่นขายของคงได้กำไรง่ายๆแต่หลังจากเริ่มลง
ทุนไปได้สักระยะหนึ่งก็ชักจะรู้สึกว่าถูกหุ้นเล่น(งาน)แทนที่จะเล่นหุ้น ที่เคยมีคนบอกว่าเล่นหุ้นแล้วได้กำไรง่าย ชักไม่จริงดังว่า ยิ่งซื้อยิ่งติด ยิ่งซื้อยิ่งถูกลง แล้วจะทำอย่างไรดี
ในตำราฝรั่งซึ่งเป็นต้นแบบของการลงทุนในหุ้นมีแนวคิดหรือหลักการที่เสนอข้อคิดเกี่ยวกับการเล่นหุ้นไว้มากมายที่ล้วนน่าสนใจและก็ใช้ได้ผลดีพอควร ในที่นี้ผู้เขียนขอหยิบเอาจุดสำคัญที่น่าสนใจบางส่วนมาเล่าให้ฟังโดยเป็นประเด็นสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ทั้งหลายที่น่าจะ
เก็บเอาไว้พิเคราะห์ดู ส่วนนักลงทุนที่ยังคลำเป้าไม่ค่อยเจอก็ลองฟังดูได้ไม่ผิดกติกาอะไร
ข้อที่หนึ่ง กล่าวไว้ว่าอย่าคิดรวยเร็วแบบเปิดปุ๊ปติดปั๊บต้องใช้เวลาและความคิดก่อนที่จะเป็นนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ ซึ่งที่จริงก็คือสัจธรรมของอาชีพการงานทั้งหลายจะประสบความสำเร็จต้องมีความอดทนและมีอุตสาหะในการเรียนรู้และพัฒนา ยิ่งรู้และเข้าใจตลาดหุ้นมากเท่าไร โอกาสสำเร็จก็สูง พลาดก็น้อย ไม่มีสูตรสำเร็จหรือทางลัดใด ๆ ในการเล่นหุ้น อย่าหวังรวยเร็ว
ข้อที่สอง บอกว่าอย่าเริ่มลงทุนหากยังไม่มีเงินสะสมเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายนานเก้าเดือน เพราะการลงทุนใช่ว่าจะ
โชคดีสามารถทำกำไรได้ตั้งแต่วินาทีแรก หุ้นบางตัวซื้อแล้วต้องถือไว้สักระยะหนึ่งจึงจะทำกำไรได้ และหากพลาดไปซื้อหุ้นที่ราคาตกลงแถม
ยังขายยากอีกต่างหากก็มีอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นต้องมีเงินสำรองสำหรับใช้จ่ายให้นานเพียงพอระหว่างรอผลตอบแทนจากการลงทุนสำหรับคนที่มีเงินเดือนเป็นรายได้
ประจำคงผ่านข้อนี้ไปได้
ข้อที่สาม กล่าวถึงต้องรู้เป้าหมายของการลงทุนว่าต้องการอะไร ระหว่างผลตอบแทนแบบเงินได้ประจำ (INCOME)
อาทิเช่น เงินปันผลหรือดอกเบี้ย หรือต้องการให้เงินลงทุนเติบโต (GROWTH) คือ ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความสับสนในการเลือกหุ้นที่จะลงทุน ตัวอย่างเช่น ต้องการให้เงินลงทุนงอกเงยเร็ว (เก็งกำไร) แต่กลับไปซื้อหุ้น
ประเภทที่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง ผลประกอบการดีพอควร จ่ายเงินปันผลสูง เป็นต้น ผลตอบแทนที่ได้ก็จะไม่ตรงกับเป้าหมายที่วางไว้แต่เดิม
ข้อที่สี่ ให้เริ่มต้นซื้อหุ้นของกิจการที่มีชื่อเสียง มีผลประกอบการในอดีตที่ดีหารายงานวิเคราะห์ได้ง่าย และซื้อง่ายขายคล่อง
หรือสรุปคือซื้อหุ้นบลูชิพเพราะไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร การถือหุ้นประเภทนี้ไว้ในระยะยาวก็ยังให้ผลตอบแทนเสมอ แม้จะไม่มากนัก
แต่ความเสี่ยงในการลงทุนก็ต่ำกว่าหุ้นประเภทอื่น ๆ
ข้อที่ห้า หาเหตุผลสนับสนุนอย่างชัดแจ้งถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นก่อนจะซื้อหุ้นตัวหนึ่งตัวใดเสมอไม่ยึดเอา
ความรู้สึกเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเพราะราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นตามปัจจัยพื้นฐานของกิจการนั้น ๆ ทั้งในด้านของผลประกอบการ
การทำกำไร แนวโน้มการเติบโตในอนาคต เป็นต้น แต่หุ้นจะไม่ขึ้นเพียงเพราะรู้สึกว่าอยากจะขึ้น
ข้อที่หก ไม่จำเป็นต้องซื้อขาย ปรับพอร์ทโฟลิโอบ่อย ๆ เพราะกำไรที่ควรได้จะสูญเสียไปกับค่าคอมมิชชั่น หากพิจารณาคัดเลือก
หุ้นที่จะซื้อลงทุนได้แล้วควรถือหุ้นเก็บไว้นานสักระยะหนึ่งไม่ควรซื้อมาขายไปตลอดเวลา เพราะเป็นการเสียโอกาสในการทำกำไรแบบต่อเนื่อง
เมื่อหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นทั้งกำไรที่ควรได้ส่วนหนึ่งถูกลดทอนไปกับค่าคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายไปในการซื้อขายทุกครั้ง
ข้อที่เจ็ด ให้กระจายความเสี่ยงการลงทุนไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว เพราะไม่มีบริษัทใดจะมีผลประกอบ
การดีอย่างต่อเนื่องทุกปีตลอดไป มีโอกาสที่เกิดอาการสะดุดจนกำไรหายไปบ้างในบางปีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ขอเสนอข้อคิดเห็นเพิ่ม
ในข้อนี้ด้วยว่าก็ไม่ควรกระจายความเสี่ยงมากจนเกินไป เพราะนักลงทุนบางท่านซื้อหุ้นเก็บไว้ในพอร์ทหลายสิบตัวในเวลาเดียวกันซึ่งทำให้
ไม่สามารถติดตามราคาหุ้นและผลประกอบการได้ใกล้ชิดทุกตัว และหากเกิดสถานการณ์พลิกผันในตลาดหุ้น โอกาสที่จะขายเพื่อถือเงินสดจะทำได้ยาก ทำให้ติดหุ้น
ข้อที่แปด ตั้งจุดขาดทุนสูงสุดไว้ในใจ เป็นข้อที่สำคัญเหมือนเบรคของรถยนต์ เพราะหากเลือกซื้อหุ้นผิด
แล้วราคาตกลง ต้องกล้าตัดสินใจขายทิ้งเมื่อราคาหุ้นตกลงถึงจุดที่กำหนดไว้ อย่าเชื่อมั่นว่าหุ้นมีลงก็มีขึ้น เพราะมีหุ้นอยู่เป็น
จำนวนมากที่ลงเป็นแต่ขึ้นไม่เป็น ข้อนี้โดนใจสุดครับ
ข้อที่เก้า เป็นส่วนเสริมจากข้อที่แปดคือต้องหาเหตุผลว่าทำไมราคาหุ้นตัวนั้นจึงปรับตัวลดลง โดยเฉพาะจากปัจจัย
พื้นฐานทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการ ปัญหาด้านธุรกิจ การจัดการการเงิน ฯลฯ ตลอดจนแนวโน้มในอนาคต
เพื่อจะได้เก็บไว้เป็นประสบการณ์ไม่เสี่ยงซื้อหุ้นที่มีลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้นอีกในอนาคต จะจำเอาไว้จนตาย
ข้อสุดท้าย ต้องมั่นค้นคว้าและอ่านบทความเกี่ยวกับการลงทุนและกลยุทธ์การลงทุนอยู่เสมอ เพราะกระแสการ
เปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินนั้นรวดเร็วมากและเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา