ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 1
ตอนแรกจะขายหุ้นทั้งหมด 3,400 ล้านหุ้นที่ 2.80 บาท (จะได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเอง 3,070.41 x 2.80 = 8,597 ล้านบาท เหลือเข้าบริษัท 329.59 x 2.80 = 923 ล้านบาท) หลังเข้าตลาดสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม : ผู้ถือหุ้นใหม่ = 4,600 ล้านหุ้น : 3,400 ล้านหุ้น หรือ 57.5% : 42.5%
ต่อมาโดนที่ปรึกษากดดันเพราะกลัวเจ๊งขายไม่ออก เลยเปลี่ยนเป็นขายหุ้นทั้งหมด 2,500 ล้านหุ้นที่ 2.10 บาท (จะได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเอง 2,170.41 x 2.80 = 4,558 ล้านบาท เหลือเข้าบริษัท 329.59 x 2.10 = 692 ล้านบาท) หลังเข้าตลาดสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม : ผู้ถือหุ้นใหม่ = 5,500 ล้านหุ้น : 2,500 ล้านหุ้น หรือ 68.75% : 31.25%
หลังจากที่จำใจต้องเปลี่ยนแผนกลางอากาศ ทำให้ต้องชวดเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไป 4,039 ล้านบาท (8,597 - 4,558) แต่ก็ได้สัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือมากกว่าที่ตั้งใจไว้เดิม
ตอนนี้เลยใช้แผนใหม่เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าอีกครั้ง โดยการจ่ายปันผลประมาณ 750 - 800 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะได้เงินไป ~515 - 550 ล้านบาท เป็นรางวัลปลอบใจ
แต่ที่สำคัญคือ แทนที่เงินจากการระดมทุนจะเหลือเข้าบริษัท 692 ล้านบาท เพื่อใช้สร้างกำไรแก่กิจการ เงินก้อนนี้รวมกับอีก ~100 ล้านบาท (ซึ่งควักจากของเก่าที่กิจการสะสมไว้) จะถูกนำมาแจกจ่ายส่วนใหญ่ให้ผู้ถือหุ้นเดิมแบบจับเสือมือเปล่า ~515 - 550 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่ง ~235 - 250 ล้านบาทจะคืนให้ผู้ถือหุ้นใหม่แบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ (ทั้งๆ ที่เงินก้อนนี้ส่วนใหญ่ก็เอามาจากตอน IPO นั่นแหละ เข้าข่ายอัฐยายซื้อขนมยายแท้ๆ)
ผู้ถือหุ้นเดิม : ได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเองน้อยลง 4,039 ล้านบาท แต่ก็ได้สัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือมากกว่าที่ตั้งใจไว้เดิม แถมด้วยเงินปลอบใจอีก~515 - 550 ล้านบาทจากการปันผล
ผู้ถือหุ้นใหม่ : จ่ายเงินไปทั้งหมดรวม 5,250 ล้านบาท (2,500 x 2.10) ได้เงินตัวเองคืนมาในรูปปันผล ~235 - 250 ล้านบาท
กิจการ : ได้เงินมาถือไว้ตอนแรก 692 ล้านบาท ยังไม่ทันไรโดนขอคืนไปทั้งหมดโดยอ้างว่าจะเอาไปปันผล แค่นั้นยังไม่พอต้องควักกระเป๋าแถมให้ไปอีก ~100 ล้านบาท แถมด้วย Dilution Effect อีก 4%
** ตกลงแล้ว แผนระดมทุนเข้าตลาดครั้งนี้ กิจการได้ประโยชน์?? **
ต่อมาโดนที่ปรึกษากดดันเพราะกลัวเจ๊งขายไม่ออก เลยเปลี่ยนเป็นขายหุ้นทั้งหมด 2,500 ล้านหุ้นที่ 2.10 บาท (จะได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเอง 2,170.41 x 2.80 = 4,558 ล้านบาท เหลือเข้าบริษัท 329.59 x 2.10 = 692 ล้านบาท) หลังเข้าตลาดสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม : ผู้ถือหุ้นใหม่ = 5,500 ล้านหุ้น : 2,500 ล้านหุ้น หรือ 68.75% : 31.25%
หลังจากที่จำใจต้องเปลี่ยนแผนกลางอากาศ ทำให้ต้องชวดเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไป 4,039 ล้านบาท (8,597 - 4,558) แต่ก็ได้สัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือมากกว่าที่ตั้งใจไว้เดิม
ตอนนี้เลยใช้แผนใหม่เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าอีกครั้ง โดยการจ่ายปันผลประมาณ 750 - 800 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะได้เงินไป ~515 - 550 ล้านบาท เป็นรางวัลปลอบใจ
แต่ที่สำคัญคือ แทนที่เงินจากการระดมทุนจะเหลือเข้าบริษัท 692 ล้านบาท เพื่อใช้สร้างกำไรแก่กิจการ เงินก้อนนี้รวมกับอีก ~100 ล้านบาท (ซึ่งควักจากของเก่าที่กิจการสะสมไว้) จะถูกนำมาแจกจ่ายส่วนใหญ่ให้ผู้ถือหุ้นเดิมแบบจับเสือมือเปล่า ~515 - 550 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่ง ~235 - 250 ล้านบาทจะคืนให้ผู้ถือหุ้นใหม่แบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ (ทั้งๆ ที่เงินก้อนนี้ส่วนใหญ่ก็เอามาจากตอน IPO นั่นแหละ เข้าข่ายอัฐยายซื้อขนมยายแท้ๆ)
ผู้ถือหุ้นเดิม : ได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเองน้อยลง 4,039 ล้านบาท แต่ก็ได้สัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือมากกว่าที่ตั้งใจไว้เดิม แถมด้วยเงินปลอบใจอีก~515 - 550 ล้านบาทจากการปันผล
ผู้ถือหุ้นใหม่ : จ่ายเงินไปทั้งหมดรวม 5,250 ล้านบาท (2,500 x 2.10) ได้เงินตัวเองคืนมาในรูปปันผล ~235 - 250 ล้านบาท
กิจการ : ได้เงินมาถือไว้ตอนแรก 692 ล้านบาท ยังไม่ทันไรโดนขอคืนไปทั้งหมดโดยอ้างว่าจะเอาไปปันผล แค่นั้นยังไม่พอต้องควักกระเป๋าแถมให้ไปอีก ~100 ล้านบาท แถมด้วย Dilution Effect อีก 4%
** ตกลงแล้ว แผนระดมทุนเข้าตลาดครั้งนี้ กิจการได้ประโยชน์?? **
-
- Verified User
- โพสต์: 2166
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 3
วิเคราะห์ได้ดีมากเลยครับ คุณ Financial Engineer
ผมว่ายังมีอีกหลายๆ บริษัทที่ทำเช่นนี้ครับ เพียงแต่ว่า ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจเท่านั้นเอง
ผมเคยดู prospectus ของ BAFS ช่วงก่อนที่จะเข้าตลาด อัตราเงินปันผลที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้นหลังจากเข้าตลาดหุ้นทันทีค่อนข้างเยอะ จนเหมือนกับเอาเงิน IPO มาเพื่อจ่ายปันผล
อย่างไรก็ตาม BAFS ก็ยังได้คะแนน Corporate Governance ที่สูงอยู่
อีกจุดหนึ่งที่ต้องจับตามอง คือ หุ้น ESOP หรือ Stock Option นั่นเอง ที่อเมริกา เริ่มตั้งแต่ปีหน้า stock options ที่แจกให้กับผู้บริหารระดับสูงจะต้องคิดเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งในงบกำไรขาดทุน
แต่บริษัทใหญ่ๆ ในเมืองไทยหลายๆ บริษัทที่ได้คะแนน CG สูงมาก และ มีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่อง CG อย่างมาก กลับยังคงออก option เพิ่ม แม้จะไม่เป็นสัดส่วนที่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้ให้ความเ้ห็นอะไรเกี่ยวกับการคิดว่า stock option เป็น expenses รายการหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น PTTEP เป็นต้น
ผมว่ายังมีอีกหลายๆ บริษัทที่ทำเช่นนี้ครับ เพียงแต่ว่า ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจเท่านั้นเอง
ผมเคยดู prospectus ของ BAFS ช่วงก่อนที่จะเข้าตลาด อัตราเงินปันผลที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้นหลังจากเข้าตลาดหุ้นทันทีค่อนข้างเยอะ จนเหมือนกับเอาเงิน IPO มาเพื่อจ่ายปันผล
อย่างไรก็ตาม BAFS ก็ยังได้คะแนน Corporate Governance ที่สูงอยู่
อีกจุดหนึ่งที่ต้องจับตามอง คือ หุ้น ESOP หรือ Stock Option นั่นเอง ที่อเมริกา เริ่มตั้งแต่ปีหน้า stock options ที่แจกให้กับผู้บริหารระดับสูงจะต้องคิดเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งในงบกำไรขาดทุน
แต่บริษัทใหญ่ๆ ในเมืองไทยหลายๆ บริษัทที่ได้คะแนน CG สูงมาก และ มีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่อง CG อย่างมาก กลับยังคงออก option เพิ่ม แม้จะไม่เป็นสัดส่วนที่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้ให้ความเ้ห็นอะไรเกี่ยวกับการคิดว่า stock option เป็น expenses รายการหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น PTTEP เป็นต้น
Minimize risk through an in-depth knowledge. Buy at bargain price. Wait patiently.
http://valueinvestors.wordpress.com/
http://valueinvestors.wordpress.com/
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 4
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ตอนแรกจะขายหุ้นทั้งหมด 3,400 ล้านหุ้นที่ 2.80 บาท (จะได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเอง 3,070.41 x 2.80 = 8,597 ล้านบาท เหลือเข้าบริษัท 329.59 x 2.80 = 923 ล้านบาท) หลังเข้าตลาดสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม : ผู้ถือหุ้นใหม่ = 4,600 ล้านหุ้น : 3,400 ล้านหุ้น หรือ 57.5% : 42.5%
1. ตอนแรกจะขายหุ้นทั้งหมด 3400 ล้านหุ้น จะได้นำเงินเข้ากระเป่า 3070.41x2.8 ทำไม ต้องมีตัวเลข 2 ชุด ชุดแรก 3400 ล้านหุ้น ชุดสอง 3070.41 ล้านหุ้น
2. เหลือเข้าบริษัท 329.59 x 2.80 คำนวณอย่างไรครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ต่อมาโดนที่ปรึกษากดดันเพราะกลัวเจ๊งขายไม่ออก เลยเปลี่ยนเป็นขายหุ้นทั้งหมด 2,500 ล้านหุ้นที่ 2.10 บาท (จะได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเอง 2,170.41 x 2.80 = 4,558 ล้านบาท เหลือเข้าบริษัท 329.59 x 2.10 = 692 ล้านบาท) หลังเข้าตลาดสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม : ผู้ถือหุ้นใหม่ = 5,500 ล้านหุ้น : 2,500 ล้านหุ้น หรือ 68.75% : 31.25%
2. ทำไมจำนวนหุ้นเหลือเข้าบริษัทเท่าเดิม 329.59 ล้านหุ้น ทั้งทั้งที่ตัวเลขจำนวน IPO เปลี่ยนไป
3. ทำไมถึงบอกว่าที่ปรึกษากดดัน ทำไมไม่ใช้คำว่า ที่ปรึกษาเสนอว่า ถ้า IPO ด้วยจำนวนหุ้นเท่านี้ ราคาเท่านี้ ในสถานการณ์ช่วงนี้ น่าจะได้ประโยชน์ ในการรักษาสเถียรภาพของราคามากกว่า แต่ก็แล้วแต่ท่านกรรมการนะ เพราะถ้าเอาแบบเดิม แล้วผลออกมาไม่ดี อย่าว่ากัน เป็นแค่ทางเลือกที่น่าจะดีเท่านั้น
โค้ด: เลือกทั้งหมด
หลังจากที่จำใจต้องเปลี่ยนแผนกลางอากาศ ทำให้ต้องชวดเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไป 4,039 ล้านบาท (8,597 - 4,558) แต่ก็ได้สัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือมากกว่าที่ตั้งใจไว้เดิม
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ตอนนี้เลยใช้แผนใหม่เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าอีกครั้ง โดยการจ่ายปันผลประมาณ 750 - 800 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะได้เงินไป ~515 - 550 ล้านบาท เป็นรางวัลปลอบใจ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
แต่ที่สำคัญคือ แทนที่เงินจากการระดมทุนจะเหลือเข้าบริษัท 692 ล้านบาท เพื่อใช้สร้างกำไรแก่กิจการ เงินก้อนนี้รวมกับอีก ~100 ล้านบาท (ซึ่งควักจากของเก่าที่กิจการสะสมไว้) จะถูกนำมาแจกจ่ายส่วนใหญ่ให้ผู้ถือหุ้นเดิมแบบจับเสือมือเปล่า ~515 - 550 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่ง ~235 - 250 ล้านบาทจะคืนให้ผู้ถือหุ้นใหม่แบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ (ทั้งๆ ที่เงินก้อนนี้ส่วนใหญ่ก็เอามาจากตอน IPO นั่นแหละ เข้าข่ายอัฐยายซื้อขนมยายแท้ๆ)
2. ทำไมถึงบอกว่าการปันผลเป็นการเคาะกะลาให้หมาดีใจ ถ้าสมมุติว่าอนาคตเขาสามารถปันได้มากกว่านี้ เราจะสรุปอย่างไร
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผู้ถือหุ้นเดิม : ได้เงินเข้ากระเป๋าตัวเองน้อยลง 4,039 ล้านบาท แต่ก็ได้สัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือมากกว่าที่ตั้งใจไว้เดิม แถมด้วยเงินปลอบใจอีก~515 - 550 ล้านบาทจากการปันผล
2. เราควรสรุปจริงๆหรือว่าปันผลคือรางวัลปลอบใจ หรือเราควรสรุปว่าปันผลคือรางวัลแห่งความหวัง และการรอคอยอย่างยาวนานว่ากิจการนี้จะออกดอกออกผลมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผู้ถือหุ้นใหม่ : จ่ายเงินไปทั้งหมดรวม 5,250 ล้านบาท (2,500 x 2.10) ได้เงินตัวเองคืนมาในรูปปันผล ~235 - 250 ล้านบาท
โค้ด: เลือกทั้งหมด
กิจการ : ได้เงินมาถือไว้ตอนแรก 692 ล้านบาท ยังไม่ทันไรโดนขอคืนไปทั้งหมดโดยอ้างว่าจะเอาไปปันผล แค่นั้นยังไม่พอต้องควักกระเป๋าแถมให้ไปอีก ~100 ล้านบาท แถมด้วย Dilution Effect อีก 4%
1. คำถามผลของการกระทำแบบนี้ ไม่แฟร์ต่อผู้ถือหุ้นใช่หรือไม่ แล้วรายใหญ่ที่ถือหุ้นอยู่ เขาก็เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ ถ้ามันไม่แฟร์ คนที่โดนรังแกมากที่สุด ไม่น่าจะใช่รายย่อย น่าจะเป็นรายใหญ่ที่ถือหุ้นนะ ในมุมกลับกัน ถ้าการกระทำแบบนี้ไม่ใช่เป็นการรังแก แต่เป็นการทำเพื่อผู้ถือหุ้น อันนี้น่ากลัวนะ เพราะเจ้าของเขาถือหุ้นใหญ่ อาจจะเลือกปฎบัติได้
โค้ด: เลือกทั้งหมด
** ตกลงแล้ว แผนระดมทุนเข้าตลาดครั้งนี้ กิจการได้ประโยชน์?? **
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 5
มาเจอคำถามของพี่เจ๋งตอนกำลังจะปิดเครื่องไปเข้านอนพอดีครับ ผมขออนุญาตเลือกตอบเฉพาะอันที่อยากตอบแล้วกันนะครับพี่
จำนวนหุ้นที่จะขาย IPO ทั้ง 2 ออปชั่นนั้น ถูกกำหนดจากความต้องการของผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งก็คือผู้บริหารนั่นเอง และคำแนะนำของ IB ครับ โดยที่ตั้งใจออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่เพียง 300 กว่าล้านหุ้นตั้งแต่แรก ที่เหลือในส่วนของหุ้นเดิมนั้นสุดแล้วแต่ความกรุณาของท่านครับว่าอยากยกให้คนทั่วไปมากน้อยแค่ไหน
เงินปันผลที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้น ผมว่าไม่ควรมีนะ สำหรับบริษัทที่กำลังต้องการระดมทุนเพื่อขยายกิจการจริงๆ ก็ถ้าบริษัทมีเงินเหลือเฟืออยู่แล้วจะมาระดมทุนทำไมไม่ทราบ ผมว่ามันก็ไม่ต่างกับการกู้เงินมาจ่ายปันผลเท่าไหร่หรอก
ที่แย่ที่สุดของกรณีนี้คือ สุดท้ายแล้วหลังฉากของเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ระดมทุน" ครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยเพิ่มเงินทุนให้บริษัทแต่อย่างใดเลยแถมยังต้องควักเนื้อบางส่วนด้วยซ้ำ อย่างนี้แล้วเข้าตลาดมาทำไมครับ ในเมื่อ "ตลาดทุนสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกในการระดมทุนให้แก่กิจการ มิใช่คืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม"
หากมองในมุมของกิจการทั้งกิจการแล้ว กิจการนี้ควรถูกตีราคาต่ำลงหรือสูงขึ้นครับในเมื่อมูลค่าทางบัญชีของกิจการลดลงเนื่องจากเงินสดส่วนหนึ่งของกิจการถูกนำไปจ่ายปันผล
จำนวนหุ้นที่จะขาย IPO ทั้ง 2 ออปชั่นนั้น ถูกกำหนดจากความต้องการของผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งก็คือผู้บริหารนั่นเอง และคำแนะนำของ IB ครับ โดยที่ตั้งใจออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่เพียง 300 กว่าล้านหุ้นตั้งแต่แรก ที่เหลือในส่วนของหุ้นเดิมนั้นสุดแล้วแต่ความกรุณาของท่านครับว่าอยากยกให้คนทั่วไปมากน้อยแค่ไหน
เงินปันผลที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้น ผมว่าไม่ควรมีนะ สำหรับบริษัทที่กำลังต้องการระดมทุนเพื่อขยายกิจการจริงๆ ก็ถ้าบริษัทมีเงินเหลือเฟืออยู่แล้วจะมาระดมทุนทำไมไม่ทราบ ผมว่ามันก็ไม่ต่างกับการกู้เงินมาจ่ายปันผลเท่าไหร่หรอก
ที่แย่ที่สุดของกรณีนี้คือ สุดท้ายแล้วหลังฉากของเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ระดมทุน" ครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยเพิ่มเงินทุนให้บริษัทแต่อย่างใดเลยแถมยังต้องควักเนื้อบางส่วนด้วยซ้ำ อย่างนี้แล้วเข้าตลาดมาทำไมครับ ในเมื่อ "ตลาดทุนสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกในการระดมทุนให้แก่กิจการ มิใช่คืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม"
หากมองในมุมของกิจการทั้งกิจการแล้ว กิจการนี้ควรถูกตีราคาต่ำลงหรือสูงขึ้นครับในเมื่อมูลค่าทางบัญชีของกิจการลดลงเนื่องจากเงินสดส่วนหนึ่งของกิจการถูกนำไปจ่ายปันผล
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 6
คนไทยนี่หรอกง่ายจริงๆ แถมโดนหรอกมาหลายครั้งก็ไม่จำ
เมื่อไรจะเลิกซักที ประเภทนำหุ้นมาขาย IPO แล้วกลัวขายไม่หมด ก็รีบบอกเลยว่าจะได้ปันผลเท่าไร ในระยะเวลาเพียงไม่นานหลังจากขาย IPO
ทำไมมันไม่ลดราคาขาย IPO ซะเลยละครับ
ลืมไป ถ้าลดราคาขาย IPO รายย่อยจะได้รับผลดี ต่อรายใหญ่เสียผลประโยชน์
ถ้าขาย IPO แพงๆ แล้วค่อยนำเงินที่ได้จาก IPO มาจ่ายปันผล รายใหญ่ก็จะได้เงินจาก IPO มาปันผลเข้ากระเป๋าตัวเองซะด้วย
แต่ทำไมรายย่อยถึงได้โดนหรอกไม่จบสิ้น และที่ปรึกษาทางการเงินถึงได้สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าของกิจการนะ
เมื่อไรจะเลิกซักที ประเภทนำหุ้นมาขาย IPO แล้วกลัวขายไม่หมด ก็รีบบอกเลยว่าจะได้ปันผลเท่าไร ในระยะเวลาเพียงไม่นานหลังจากขาย IPO
ทำไมมันไม่ลดราคาขาย IPO ซะเลยละครับ
ลืมไป ถ้าลดราคาขาย IPO รายย่อยจะได้รับผลดี ต่อรายใหญ่เสียผลประโยชน์
ถ้าขาย IPO แพงๆ แล้วค่อยนำเงินที่ได้จาก IPO มาจ่ายปันผล รายใหญ่ก็จะได้เงินจาก IPO มาปันผลเข้ากระเป๋าตัวเองซะด้วย
แต่ทำไมรายย่อยถึงได้โดนหรอกไม่จบสิ้น และที่ปรึกษาทางการเงินถึงได้สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าของกิจการนะ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- Minesweeper
- Verified User
- โพสต์: 472
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 7
มีหุ้น IPO หลายตัวครับ ที่เป็นแบบนี้ บางตัวเล่นจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นเดิมไว้ก่อนที่จะเอาเงินจาก IPO มาชดเชยก็มี
เรื่อง IPO กลายเป็นตลาดขายกิจการมือสองไปแล้วครับ หลังจาก IPO เจ้าของก็หมดความสนใจบริษัทเดิม เอาเงินที่ได้ตั้งบริษัทใหม่ ทำธุรกิจใหม่ พอธุรกิจดีแล้วก็เอามา IPO ใหม่ วนเวียนไปเรื่อยๆ ...
คนที่มีเงินมาก มีสมองมาก ลงทุนเอง ยอมเสี่ยงมาก ก็ต้องหวังกำไรมากเป็นธรรมดาครับ
เรื่อง IPO กลายเป็นตลาดขายกิจการมือสองไปแล้วครับ หลังจาก IPO เจ้าของก็หมดความสนใจบริษัทเดิม เอาเงินที่ได้ตั้งบริษัทใหม่ ทำธุรกิจใหม่ พอธุรกิจดีแล้วก็เอามา IPO ใหม่ วนเวียนไปเรื่อยๆ ...
คนที่มีเงินมาก มีสมองมาก ลงทุนเอง ยอมเสี่ยงมาก ก็ต้องหวังกำไรมากเป็นธรรมดาครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 479
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 8
เค้าทำงานกันโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหลายด้านครับ จิงๆๆแล้วข้อมูลบางอย่างเค้าอาจไม่ได้หลอกครับ เพียงแต่คนที่ไม่รู้ถึงตกเปงเหยื่อ
กฏหมายมีช่องทางสำหรับคนรวยเสมอ อ่ะครับ
การลงทุนมี ความไม่รู้คือความเสี่ยง :lol:
*****
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 9
เอ ถ้าผมทำบริษัทของผมไว้ซัก 10 ปี ขยายงานไปเรื่อยๆ เงินสดจากการดำเนินการ ก็อยากจะปันผลออกมา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังอยากจะขยายงานออกไปเรื่อยๆ แต่ไม่อยากจะกู้เงินมาจ่ายปันผลให้ตัวเอง
ผมได้ตัดสินใจนำบริษัทไปเข้าตลาด อันนี้เรื่องสมมุตินะ
หลังจากเข้าตลาด พอได้เงินมา ผมก็เอามาปันผลกัน และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก็ไม่ได้ลดลง สามารถดำเนินงานต่อไปได้
อืม มันผิดจริงๆหรือ ไม่ได้ปกป้องใครนะครับ เพียงแต่ไม่เข้าใจเท่านั้นเอง ว่ามันผิดตรงไหน
ถ้าเรามีบริษัท ที่ได้กำไรโดยตลอด ไม่ต้องหวังอะไรจากตลาดเลย เราจะเอามาเข้าตลาดทำไม แต่เมื่อเราเอาเข้าตลาด เราก็ต้องคิดว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการเข้าตลาด เมื่อเราเล่นตามกติกา แล้วเราก็เอาบริษัทเข้าตลาด จะมาบอกว่า เป็นการหลอกรายย่อยหรือ
ผมคิดว่าไม่แฟร์นะ ที่ไปกล่าวหากันแบบนั้น เรื่องนี้อาจจะอยู่ที่กาละเทศะหรือเปล่า ถ้าเขาเก็บเงินไว้ซัก 1 ปี แล้วค่อยปันออกมา ท่าน FE คงไม่โวยแน่นอน เพราะลืมไปแล้ว
ผมได้ตัดสินใจนำบริษัทไปเข้าตลาด อันนี้เรื่องสมมุตินะ
หลังจากเข้าตลาด พอได้เงินมา ผมก็เอามาปันผลกัน และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก็ไม่ได้ลดลง สามารถดำเนินงานต่อไปได้
อืม มันผิดจริงๆหรือ ไม่ได้ปกป้องใครนะครับ เพียงแต่ไม่เข้าใจเท่านั้นเอง ว่ามันผิดตรงไหน
ถ้าเรามีบริษัท ที่ได้กำไรโดยตลอด ไม่ต้องหวังอะไรจากตลาดเลย เราจะเอามาเข้าตลาดทำไม แต่เมื่อเราเอาเข้าตลาด เราก็ต้องคิดว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการเข้าตลาด เมื่อเราเล่นตามกติกา แล้วเราก็เอาบริษัทเข้าตลาด จะมาบอกว่า เป็นการหลอกรายย่อยหรือ
ผมคิดว่าไม่แฟร์นะ ที่ไปกล่าวหากันแบบนั้น เรื่องนี้อาจจะอยู่ที่กาละเทศะหรือเปล่า ถ้าเขาเก็บเงินไว้ซัก 1 ปี แล้วค่อยปันออกมา ท่าน FE คงไม่โวยแน่นอน เพราะลืมไปแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 10
ผมยกตัวอย่างเช่นนี้ให้พี่เจ๋งดูละกันครับ เอาบริษัทที่เพิ่งเข้ามาซิงๆ เลยแล้วกัน
BLISS พี่ว่าธุรกิจขายมือถือ เมื่อ 2-3 ปีก่อน กับตอนนี้ ช่วงไหนน่าจะได้กำไรดีกว่ากัน แล้วทำไมถึงเอาเข้าตลาดช่วงนี้ครับ (ถ้าผมชวนพี่เข้าหุ้นทำร้านขายมือถือกับผมตอนนี้พี่จะสนใจมั้ย หรือถ้าชวนเมื่อ 2-3 ปีก่อนจะสนใจมากกว่า)
ทั้งนี้ผมไม่ได้เหมารวมว่าทุกบริษัทที่เอาเข้าตลาดนั้นไม่ดีนะครับ (ไม่เช่นนั้นผมคงไม่สนใจตลาดหุ้นหรอก) แต่ก็มีหลายบริษัทที่ชวนให้สงสัยอย่างมาก
** สุดท้าย พี่เจ๋ง อย่าเรียกผมว่าท่านอีกนะครับ ไม่งั้นโกรธด้วย **
BLISS พี่ว่าธุรกิจขายมือถือ เมื่อ 2-3 ปีก่อน กับตอนนี้ ช่วงไหนน่าจะได้กำไรดีกว่ากัน แล้วทำไมถึงเอาเข้าตลาดช่วงนี้ครับ (ถ้าผมชวนพี่เข้าหุ้นทำร้านขายมือถือกับผมตอนนี้พี่จะสนใจมั้ย หรือถ้าชวนเมื่อ 2-3 ปีก่อนจะสนใจมากกว่า)
ทั้งนี้ผมไม่ได้เหมารวมว่าทุกบริษัทที่เอาเข้าตลาดนั้นไม่ดีนะครับ (ไม่เช่นนั้นผมคงไม่สนใจตลาดหุ้นหรอก) แต่ก็มีหลายบริษัทที่ชวนให้สงสัยอย่างมาก
** สุดท้าย พี่เจ๋ง อย่าเรียกผมว่าท่านอีกนะครับ ไม่งั้นโกรธด้วย **
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 11
ถ้าเป็นการจ่ายปันผลหลังจากที่ขายหุ้น IPO ไปแล้วซักระยะ หรือจ่ายปันผลตามเทศกาลคือหลังประกอบผลการดำเนินงานประจำปี ก็คงไม่น่าเกลียดซักเท่าไร
แต่นี่ประกาศจ่ายปันผลล่วงหน้าขายหุ้น IPO เจตนาคืออะไรก็คงชัดเจนครับ
ทำไมไม่ขายหุ้นในราคา 19 บาท แทนที่จะขายหุ้นในราคา 20 บาทแล้วค่อยจ่ายปันผลคืน 1 บาท
แต่นี่ประกาศจ่ายปันผลล่วงหน้าขายหุ้น IPO เจตนาคืออะไรก็คงชัดเจนครับ
ทำไมไม่ขายหุ้นในราคา 19 บาท แทนที่จะขายหุ้นในราคา 20 บาทแล้วค่อยจ่ายปันผลคืน 1 บาท
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 12
ลืมไปอีกอย่างนึงครับ
สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า บริษัทที่เข้ามาใหม่ มีศักยภาพน่าลงทุนจริงหรือหลอก ก็ต้องพิสูจน์เช่นเดียวกับบริษัทที่จดทะเบียนมานานแล้ว คือ กำไร ครับ (เอากำไรหลังเข้าตลาดสัก 3-4 ไตรมาสนะครับ ไม่เอากำไรที่สร้างให้ดูในหนังสือชี้ชวน)
** ลองตรวจสอบผลกำไรของบริษัท IPO ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาดูสิครับว่า มีกี่แห่งที่ทำกำไรได้ตามที่ชี้แจงในหนังสือชี้ชวน แล้วมีกี่แห่งที่ทำได้ไม่ถึงครึ่ง แล้วลองติดตามกันต่อไปอีกสัก 2-3 ปีดูว่า ช่วง peak ของบริษัทเหล่านี้ มีกี่แห่งที่เกิดขึ้นในช่วง IPO **
สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า บริษัทที่เข้ามาใหม่ มีศักยภาพน่าลงทุนจริงหรือหลอก ก็ต้องพิสูจน์เช่นเดียวกับบริษัทที่จดทะเบียนมานานแล้ว คือ กำไร ครับ (เอากำไรหลังเข้าตลาดสัก 3-4 ไตรมาสนะครับ ไม่เอากำไรที่สร้างให้ดูในหนังสือชี้ชวน)
** ลองตรวจสอบผลกำไรของบริษัท IPO ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาดูสิครับว่า มีกี่แห่งที่ทำกำไรได้ตามที่ชี้แจงในหนังสือชี้ชวน แล้วมีกี่แห่งที่ทำได้ไม่ถึงครึ่ง แล้วลองติดตามกันต่อไปอีกสัก 2-3 ปีดูว่า ช่วง peak ของบริษัทเหล่านี้ มีกี่แห่งที่เกิดขึ้นในช่วง IPO **
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 13
การที่บริษัทต่างๆมีผลการดำเนินงานที่ดีมากในช่วง IPO ก็เนื่องจากมีการแต่งตัวเข้าตลาดนะครับ แต่งตัวล่วงหน้ากันเป็นปีๆเลยนะครับ
จริงแล้วน่าจะมีบทลงโทษที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าตลาดนะครับ ถ้าผลการดำเนินงานต่างจากที่ประมาณการในหนังสือชี้ชวนมากๆ
จริงแล้วน่าจะมีบทลงโทษที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าตลาดนะครับ ถ้าผลการดำเนินงานต่างจากที่ประมาณการในหนังสือชี้ชวนมากๆ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 14
ยกมือสนับสนุนด้วยคนครับ ไม่เช่นนั้นเราจะเอาอะไรวัดมาตรฐานของพวก IB (ทั้งๆ ที่จบมาก็สูง เงินเดือนที่จ่ายให้ก็แพง)chatchai เขียน:การที่บริษัทต่างๆมีผลการดำเนินงานที่ดีมากในช่วง IPO ก็เนื่องจากมีการแต่งตัวเข้าตลาดนะครับ แต่งตัวล่วงหน้ากันเป็นปีๆเลยนะครับ
จริงแล้วน่าจะมีบทลงโทษที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าตลาดนะครับ ถ้าผลการดำเนินงานต่างจากที่ประมาณการในหนังสือชี้ชวนมากๆ
ยังมีหน้ามารวมหัวกัน "ต้ม" รายย่อยเสียอีก
** นี่ถ้า "ต้มจนสุก" นี่ผมยังพอทำใจได้ แต่นี่หลาย Deal ที่เล่น "ต้มกันจนเปื่อย" เลยอ่ะ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 15
พนักงานต่างๆก็ทำงานเพื่อให้เข้าเป็ของฝ่ายผู้บริหารครับ
ถ้าทำได้ตามเป้า ปลายปีก็รับโบนัสกันเพลินเลยครับ
ดังนั้นพนักงานทุกระดับก็ต้องพยายามหาบริษัทเข้าตลาดให้มากๆ
เจ้าของบริษัทก็อยากจะขายหุ้นในราคาแพงๆ ดังนั้นจึงต้องพยายามทุกวิธีทางที่จะให้ได้ดีล และขายหุ้นให้หมด
ถ้าทำได้ตามเป้า ปลายปีก็รับโบนัสกันเพลินเลยครับ
ดังนั้นพนักงานทุกระดับก็ต้องพยายามหาบริษัทเข้าตลาดให้มากๆ
เจ้าของบริษัทก็อยากจะขายหุ้นในราคาแพงๆ ดังนั้นจึงต้องพยายามทุกวิธีทางที่จะให้ได้ดีล และขายหุ้นให้หมด
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 16
ถ้างั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุด เราก็เลือกหุ้นที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมานานดีกว่า และ ยอม "เสียโอกาส" ในการทำกำไรหุ้นจาก IPO ที่เราศึกษาไว้แล้ว (ว่าไม่ดี เพราะ ผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมหวังทำราคา เอาเงินเข้ากระเป๋า) ถึงแม้ว่าจะมีกระแส ความโลภล่าส่วนเกินทุน เหมือนที่ท่าน คลายเครียดบอก ไว้
ยอมตกรถดีกว่าโดนหลอกไปติดดอย ใช่มั้ยครับ พี่ฉัตรชัย
ยอมตกรถดีกว่าโดนหลอกไปติดดอย ใช่มั้ยครับ พี่ฉัตรชัย
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 18
IPO เหมาะกับการเก็งกำไรเท่านั้นหรือครับ
ผมขาย TNX ไปแล้ว กำไรนิดเดียว แต่กลัวเฮียประยุทธ์มากกว่าครับ
ส่วน PTL ยังซื้อๆ ขายๆ อยู่ ขึ้นไปใกล้ๆ ราคา IPO ก็ขาย ลงมาก็ซื้อคืน
กำไรไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สนุกดีครับ
หุ้น IPO ที่ผมคิดจะถือยาวคือ UMS ครับ ราคาตอนนี้ยังแพงอยู่ แต่ถ้า
ลงไปต่ำๆ เช่น 8 บาท คงจะเก็บเยอะเหมือนกัน
ผมขาย TNX ไปแล้ว กำไรนิดเดียว แต่กลัวเฮียประยุทธ์มากกว่าครับ
ส่วน PTL ยังซื้อๆ ขายๆ อยู่ ขึ้นไปใกล้ๆ ราคา IPO ก็ขาย ลงมาก็ซื้อคืน
กำไรไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สนุกดีครับ
หุ้น IPO ที่ผมคิดจะถือยาวคือ UMS ครับ ราคาตอนนี้ยังแพงอยู่ แต่ถ้า
ลงไปต่ำๆ เช่น 8 บาท คงจะเก็บเยอะเหมือนกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 674
- ผู้ติดตาม: 0
gone
โพสต์ที่ 20
คนคนนี้ชอบทำอะไรแปลก ๆ อยู่เรื่องแหละครับ
อยู่ ๆ ก็เอาบริษัท TFI มาทำตัวเหมือนที่ปรึกษาทางการเงิน
ถ้ายังจำกันได้
ครั้งหนึ่ง TFI เคยเอาตึกริเวอร์ไซท์ทาวเวอร์มูลค่ากว่าพันล้านขายให้
บริษัทดาราวดีที่มีทุนจดทะเบียนแค่ 7 ล้านบาท
โดยที่บอกว่าบริษัทนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ TFI
(ให้ตายก็ไม่เชื่อหรอก)
แต่ตอนนั้นหุ้นยังไม่คึกคักดีลนี้เลยผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
ไปดูในงบ TFI ก็ได้ ยังมีลูกหนี้ค่าตึกนี้อยู่ ระยะเวลาชำระก็มากกว่า 10 ปี
ดอกเบี้ยรู้สึกจะประมาณ 5%
ส่วนเรื่องการเข้าตลาดโดยไม่ระดมทุน ผมว่าไม่เสียหายนะครับ
อย่าง TOP ก็ไม่ได้ระดมทุนใหม่เท่าไหร่เลย
ผมว่ามันอยู่ที่ความจริงใจของเจ้าของเดิมมากว่า
ซึ่งผมว่าข้อนี้คุณ ประยุทธ สอบตก แทบจะได้ 0 คะแนนเลย
อยู่ ๆ ก็เอาบริษัท TFI มาทำตัวเหมือนที่ปรึกษาทางการเงิน
ถ้ายังจำกันได้
ครั้งหนึ่ง TFI เคยเอาตึกริเวอร์ไซท์ทาวเวอร์มูลค่ากว่าพันล้านขายให้
บริษัทดาราวดีที่มีทุนจดทะเบียนแค่ 7 ล้านบาท
โดยที่บอกว่าบริษัทนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ TFI
(ให้ตายก็ไม่เชื่อหรอก)
แต่ตอนนั้นหุ้นยังไม่คึกคักดีลนี้เลยผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
ไปดูในงบ TFI ก็ได้ ยังมีลูกหนี้ค่าตึกนี้อยู่ ระยะเวลาชำระก็มากกว่า 10 ปี
ดอกเบี้ยรู้สึกจะประมาณ 5%
ส่วนเรื่องการเข้าตลาดโดยไม่ระดมทุน ผมว่าไม่เสียหายนะครับ
อย่าง TOP ก็ไม่ได้ระดมทุนใหม่เท่าไหร่เลย
ผมว่ามันอยู่ที่ความจริงใจของเจ้าของเดิมมากว่า
ซึ่งผมว่าข้อนี้คุณ ประยุทธ สอบตก แทบจะได้ 0 คะแนนเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 2326
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 21
เพราะมีกระทู้แบบนี้ในเวปไซต์ มาให้พวกเราได้อ่านเป็นความรู้กันได้เรื่อยๆ
ไม่น่าล่ะ กลต. กัด web master ไม่ปล่อยเลย ตอนนี้ผมรู้สึกเห็นใจ..จายยย กลต. แล้วครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ไม่น่าล่ะ กลต. กัด web master ไม่ปล่อยเลย ตอนนี้ผมรู้สึกเห็นใจ..จายยย กลต. แล้วครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
แก้ไขล่าสุดโดย โป้ง เมื่อ อาทิตย์ ธ.ค. 19, 2004 1:00 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 22
ถ้ามีกระทู้แบบนี้เยอะๆ แมงเม่าอาจสูญพันธ์จากตลาดหุ้นไทยครับ โฮะ โฮะ โฮะโป้ง เขียน:เพราะมีกระทู้แบบนี้ในเวปไซต์ มาให้พวกเราได้อ่านเป็นความรู้กันได้เรื่อยๆ
ไม่น่าล่ะ กลต. กัด web master ไม่ปล่อยเลย ตอนนี้ผมรู้สึกเห็นใจ กลต. แล้วครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 24
555 ไม่รู้จะสรรหาเหตุผลอะไรมาสู้น้อง FE แล้ว
คุณฉัตรชัย ครับ ถามนิดนึง การขายหุ้น IPO โดยประกาศปันผลก่อน แล้วค่อยขาย เช่น กรณีนี้ ถ้าขาย 19 บาท แล้วไม่ปันผล 1 บาท กับขาย 20 บาท แล้วปันผล 1 บาท นี่ ผิดที่กลต.หรือผิดที่บริษัท
ถ้ากลต.อนุญาติ กรณีแบบนี้ทุกกรณีถือว่าเจ้าของไม่จริงใจ ใช่หรือไม่ หรือยังพอมีในกรณีที่เจ้าของจริงใจ
คุณฉัตรชัย ครับ ถามนิดนึง การขายหุ้น IPO โดยประกาศปันผลก่อน แล้วค่อยขาย เช่น กรณีนี้ ถ้าขาย 19 บาท แล้วไม่ปันผล 1 บาท กับขาย 20 บาท แล้วปันผล 1 บาท นี่ ผิดที่กลต.หรือผิดที่บริษัท
ถ้ากลต.อนุญาติ กรณีแบบนี้ทุกกรณีถือว่าเจ้าของไม่จริงใจ ใช่หรือไม่ หรือยังพอมีในกรณีที่เจ้าของจริงใจ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 25
ตามความเห็นของผมนะครับ
กรณีนี้จะผิดหรือไม่ก็คงต้องดูว่าที่เป็นข่าวนั้นผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของบริษัทแล้วหรือยัง ถ้าผ่านแล้วก็คงไม่ผิดกฎ
แต่ถึงแม้จะผ่านแล้วก็ตาม ผมว่ามันอยู่ที่เจตนามากกว่า เหมือนกับเอาข่าวจ่ายปันผลมาล่อให้รายย่อยเข้ามาซื้อหุ้น IPO
จริงแล้วผลการดำเนินงานที่ผ่านมาก่อนขาย IPO ถ้าคิดจะจ่ายปันผลก็สมควรที่จะจ่ายให้เฉพาะผู้ถือหุ้นเดิมก่อนขายหุ้น IPO มากกว่าที่จะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นที่เพิ่งซื้อหุ้นได้ไม่ถึงเดือน
กรณีนี้จะผิดหรือไม่ก็คงต้องดูว่าที่เป็นข่าวนั้นผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของบริษัทแล้วหรือยัง ถ้าผ่านแล้วก็คงไม่ผิดกฎ
แต่ถึงแม้จะผ่านแล้วก็ตาม ผมว่ามันอยู่ที่เจตนามากกว่า เหมือนกับเอาข่าวจ่ายปันผลมาล่อให้รายย่อยเข้ามาซื้อหุ้น IPO
จริงแล้วผลการดำเนินงานที่ผ่านมาก่อนขาย IPO ถ้าคิดจะจ่ายปันผลก็สมควรที่จะจ่ายให้เฉพาะผู้ถือหุ้นเดิมก่อนขายหุ้น IPO มากกว่าที่จะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นที่เพิ่งซื้อหุ้นได้ไม่ถึงเดือน
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
ทั่นครับ เหนือเมฆจริงๆ ครับทั่น
โพสต์ที่ 26
เย้.... พี่เจ๋งรับเรากลับเป็นน้องแล้ว เย้....Jeng เขียน:555 ไม่รู้จะสรรหาเหตุผลอะไรมาสู้น้อง FE แล้ว
- ขงเบ้ง
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
...
โพสต์ที่ 28
ผมว่าTNXถึงpeakอุตสาหกรรมแล้วเลยรีบเอามาขาย
ปัจจัยหลักน่าจะมาจากจีนคงไม่โตก้าวกระโดดแล้ว
ผมเดาเอานะครับ
ปัจจัยหลักน่าจะมาจากจีนคงไม่โตก้าวกระโดดแล้ว
ผมเดาเอานะครับ
ไม่มีกลยุทธ์ใดตายตัวขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก
เวลารุกคิดให้นานแต่เวลาถอยต้องเร็วไร้เงา
อิสรภาพทางการเงินเป็นแค่การเริ่มต้น
ปลายทาง คือ ความหลุดพ้น
ชีวิต คือ ความว่างเปล่า
ไม่มีใครหนีพ้นความตาย
แม้เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1ของโลก