Vietnam VI (เป็นที่แรกๆ ที่บทความอ. จะถูก post) - 15 พฤษภาคม 64 - ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ก่อน ดัชนีหุ้นของสหรัฐนำโดยดาวโจนส์และแนสแดคตกลงมาแรงติดต่อกันประมาณ 3 วันและทำให้ดัชนีหุ้นตกลงไปประมาณ 4-5% ซึ่งถือว่าเป็นการปรับตัวที่รุนแรงมากในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้ที่ดัชนีมักจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้นักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยต่างก็ “แห่” เข้ามาลงทุนและดันให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์และเครื่องมือการลงทุนอื่นโดยเฉพาะคริปโตเคอเรนซี่ปรับตัวขึ้นไปอย่างแรงและต่อเนื่องมายาวนาน เหตุผลที่หุ้นตกลงมาแรงนั้น นักวิเคราะห์ต่างก็ชี้ไปที่ภาวะเงินเฟ้อในเดือนเมษายน 2021 ที่ปรับขึ้นสูงถึง 4.2% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตขึ้นอย่างร้อนแรงและในที่สุดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางจะต้องปรับขึ้น นอกจากนั้น เม็ดเงิน QE ที่ถูกอัดฉีดเข้าไปในระบบจำนวนมหาศาลก็อาจจะต้องลดลงหรือถูกดูดออก และถ้าเป็นอย่างนั้น ตลาดหุ้นก็จะตกลงมาอย่างแรง เพราะว่าที่จริงแล้ว ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงยาวนานนั้นก็เป็นเพราะเม็ดเงินที่รัฐอัดเข้าไปในระบบก่อนหน้านั้นนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นสัปดาห์ หุ้นก็ปรับตัวกลับขึ้นมาแรงประมาณครึ่งหนึ่งของที่ตกลงไป ดูเหมือนว่านักลงทุนจะไม่ได้กลัวหรือกังวลมากนัก คนส่วนใหญ่น่าจะยังคิดว่าหุ้นจะดีต่อไปอีกนาน
การปรับตัวลงของหุ้นสหรัฐส่งผลไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลงมาแรงพอ ๆ กัน และก็น่าจะปรับตัวกลับขึ้นไปตามหุ้นอเมริกาเหมือนกันโดยที่ไม่เว้นตลาดหุ้นไทยที่หุ้นตกลงมาแรงโดยเฉพาะวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ที่ช่วงหนึ่งดัชนีตกลงไปถึงประมาณ 70 จุดหรือ 4.5% ในเวลาสั้น ก่อนที่จะปรับตัวกลับขึ้นมาเหลือเพียง -20 กว่าจุด สำหรับผมแล้ว เหตุการณ์ในตลาดหุ้นสหรัฐและของไทยอาจจะเป็นสัญญาณ “อันตราย” ว่าตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานและสามารถ “ฝ่า” วิกฤติโควิด-19 มาได้อย่างเหลือเชื่อนั้น อาจจะใกล้ถึงเวลา “หยุด” หรือตกลงมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะถ้าปัจจัยเรื่องสภาพคล่องทางการเงินที่เอื้ออำนวยนั้นกำลังจะหยุดลงและเม็ดเงินถูกทยอย “ดูดออก” เพื่อนำพาให้เศรษฐกิจโลกกลับมาสู่ “สภาวะปกติ” หลังจากที่มีการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมโหฬารมานานกว่า 10 ปี
การวิเคราะห์ของผมนั้น ผมคงไม่ถกเถียงเรื่องของนโยบายหรือผลกระทบต่อตลาดหุ้นซึ่งก็มีคนพูดถึงกันมากแล้ว ผมชอบดู “ประวัติศาสตร์” และเชื่อว่าประวัติศาสตร์มี “พลัง” และสำหรับเรื่องของตลาดหุ้นเองนั้น ประวัติศาสตร์ของดัชนีตลาดหุ้นก็มักจะบอกหรือทำนายอะไรหลาย ๆ อย่างได้ บางทีดีกว่าการที่จะมาวิเคราะห์และทำนายถึงเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่เกิด หรือเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีผลกระทบต่อดัชนีตามที่คาด ตามที่ผมเห็นนั้น ดูเหมือนว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์มักจะมี “รอบยาว ๆ” ของความรุ่งเรืองและเติบโตและก็ตามด้วยรอบยาว ๆ ของความตกต่ำ โดยที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับภาวะของเศรษฐกิจปีต่อปีอะไรมากนัก บางทีตลาดหุ้นอาจจะขึ้นเพราะคนในประเทศส่วนใหญ่กำลังมีอายุมากขึ้นและเก็บเงินลงทุนเพื่อการเกษียณในตลาดหุ้นก็เป็นได้
ช่วงประมาณ 12 ปีเศษ ๆ ที่ผ่านมาคือตั้งแต่ต้นปี 2009 ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐตกลงมาต่ำมากอานิสงค์จากวิกฤติซับไพร์มมาจนถึงวันนี้ ดัชนีหุ้นสหรัฐก็ปรับตัวขึ้นอย่างเร็วและแรงมาตลอด การตกลงมาในบางช่วงรวมถึงเมื่อเกิดโควิด-19 ในช่วงแรกก็เป็นการตกลงมาเพื่อที่จะขึ้นต่ออย่างรวดเร็ว ดัชนีดาวโจนส์ซึ่งเป็นตัวแทนกิจการขนาดใหญ่ในอเมริกานั้น ในช่วงต้นปี 2009 อยู่ที่ประมาณ 7,223 จุด ปรับขึ้นมาเป็น 34,382 จุด เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2021 หรือเพิ่มขึ้น 4.8 เท่าในเวลาประมาณ 12 ปีเศษ คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นปีละ 13.68% ดัชนีหุ้นแนสแดคซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีอยู่ที่ประมาณ 1,293 กลายมาเป็น 13,429 จุด หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าให้ผลตอบแทนถึงปีละ 21.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนของอเมริกาโดยรวมนั้นเพิ่มขึ้นจากประมาณ 770 จุด เป็น 4,174 หรือเพิ่มขึ้น 5.42 เท่าและให้ผลตอบแทนปีละ 14.8% สรุปว่าช่วงประมาณ 1 ทศวรรษที่ผ่านมานั้นเป็น “ทศวรรษทอง” ของการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา
ทศวรรษ “ทอง” ของอเมริกาอีกช่วงหนึ่งก็คือตั้งแต่ปลายปี 1987 ถึงปลายปี 1999 และต้นปี 2000 ซึ่งตรงกับปีที่ “ฟองสบู่” หุ้นไฮเทคขึ้นสูงสุดและกำลังจะแตกคิดเป็นช่วงเวลาประมาณ 12 ปีเศษ ๆ เหมือนกันนั้น ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1,910 จุด เป็น 11,224 จุด หรือเพิ่มขึ้นเป็น 5.8 เท่า ผลตอบแทนทบต้นต่อปีอยู่ที่ 15.7% ดัชนีแนสแดคเพิ่มขึ้นจาก 316 จุดเป็น 4,915 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 15.6 เท่าคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 24.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน และนั่นก็คือวันที่ฟองสบู่กำลังจะแตก คนที่ซื้อหุ้นในวันนั้นต้องประสบกับวิกฤติที่ทำให้หุ้นอย่างอะมาซอนตกลงไปกว่า 90% ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาเป็นหุ้นที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้ ดัชนีหุ้น S&P ในปี 1987 ซึ่งเป็นช่วงที่ตกต่ำนั้นเริ่มที่ 230 จุด กลายมาเป็น 1,527 จุด หรือเพิ่มขึ้นเป็น 6.6 เท่าคิดเป็นผลตอบแทนปีละ 16.6% ซึ่งทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวดีกว่ารอบนี้
ช่วงระหว่างปี 1999 จนถึงปี 2008 เป็นเวลา 9 ปี ดัชนีดาวโจนส์แทบจะไม่ขยับไปไหนเลย หุ้นเป็นไซ้ต์เวย์ตลอดและตกหนักในปีวิกฤติซับไพร์ม 2009 เหลือเพียง 7,223 จุด จากจุดเริ่มต้นที่ 11,000 จุดหรือลดลง ประมาณ 34% คิดเป็นติดลบปีละ 4.5% แบบทบต้น กลายเป็น “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” โดยที่ทุกอย่างของอเมริกาก็ดูเหมือนว่าจะ “ปกติดี” ดัชนีแนสแดคเองนั้น หลังจาก “ฟองสบู่ไฮเท็ค” ปี 2000 แตก ดัชนีก็ตกลงไปแรงจาก 4,915 จุด เหลือเพียง 1,221 จุดหรือลดลงถึง 75% ในเวลา 2 ปีครึ่ง หลังจากนั้นก็ปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยขึ้นไปเกิน 3,000 จุดก่อนที่จะเจอวิกฤติซับไพร์มซ้ำในปี 2008 ที่ทำให้ดัชนีตกลงไปอีกเหลือเพียง 1,293 จุด ในต้นปี 2009 กลายเป็น “Lost Decade” แม้ว่าการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี่ของอเมริกาจะก้าวหน้าไปมากมาย โดยเฉลี่ยแล้ว ดัชนีหุ้นแนสแดคติดลบไปประมาณปีละ 13.8% ในเวลาติดต่อกัน 9 ปี และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่เข้าไปซื้อหุ้นเทคในยามที่เป็นฟองสบู่และขายไปในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำต่อเนื่องยาวนานเป็นทศวรรษ
ดัชนีหุ้น S&P ซึ่งเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจอเมริกาโดยรวมก็ไม่ได้ดีไปกว่าดัชนีหุ้นอื่นมากนัก ในช่วงเกือบ 10 ปี จากดัชนี 1,527 จุดในปี 2000 หุ้นก็ค่อย ๆ ไหลลงไปเรื่อย ๆ ประมาณ 2 ปีแล้วก็ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นไปเรื่อยในเวลาประมาณ 4 ปี จึงกลับไปที่เดิมในช่วงปี 2007 ก่อนที่จะตกลงมาเนื่องจากวิกฤติซับไพร์มในต้นปี 2009 เหลือเพียง 770 จุด คิดเป็นการตกลงมาถึง 50% ในเวลา 8.5 ปี หรือลดลงแบบทบต้นเฉลี่ยปีละ 7.7% และกลายเป็น “ทศวรรษที่หายไป” ของตลาดหุ้นทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจก็เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเป็นช่วงที่ตามมาจาก “ทศวรรษทอง” ที่หุ้นให้ผลตอบแทนสูงติดต่อกันมาปีละถึง 16.6% เป็นเวลากว่า 10 ปี
ผมไม่รู้ว่า “ทศวรรษทอง” ของหุ้นอเมริกาใกล้จบหรือยัง การตกลงมาของหุ้นรอบนี้อาจจะเป็นสัญญาณเตือนก็ได้เพราะมันดำเนินมานานมากพอ ๆ กับ “ประวัติศาสตร์” ที่เคยเกิดขึ้นในปี 1988 ถึงปี 2000 และการปรับตัวขึ้นของหุ้นในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาก็สูงมากและหุ้นแทบจะไม่เคยเหงาเลย นอกจากนั้น ระดับของการ “เก็งกำไร” วัดจากปริมาณการซื้อขายหุ้นโดยเฉพาะของนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยก็สูงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบน่าจะไม่ต่ำกว่า 50 ปี ดังนั้น ถ้ามันเป็นจุดจบจริงก็น่าจะกระทบกับดัชนีหุ้นแรงและน่าจะยาวนาน บางทีอาจจะกลายเป็น “ทศวรรษที่หายไป” ใหม่ก็เป็นได้ แน่นอน คนจำนวนมากในวันนี้คงจะบอกว่าตลาดหลักทรัพย์เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิม มันเป็น “New Normal” แล้ว ที่หุ้นจะโตไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลร้อยแปด ส่วนตัวผมเองก็คิดว่ามันก็เป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ ความเจ็บปวดก็คงจะรุนแรงมาก ดังนั้น ระวังตัวให้มากขึ้นก็คงจะดี ตลาดเขาเตือนแล้วนะ
====================================================================================================
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมไม่ชัวร์กับเรื่องนี้เพราะ สิ่งที่แน่นอนในอนาคตคือความไม่แน่นอน