ผมคิดว่าเนื้อหาจากการประชุมครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยมากๆ เลยขอสรุปไว้ทั้งหมด 20 หัวข้อดังนี้
กำไรทำได้ $7,640 ล้าน โดยมีกำไรจากการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง $4,690 ล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ขาดทุน $30,700 ล้าน โดยมีการขาดทุนการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง $55,600 ล้าน
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นคืนทั้งหมด $6,600 ล้านในไตรมาสที่ผ่านมาหลังจากซื้อหุ้นคืนไป $24,700 ล้านเมื่อปีที่แล้ว
เงินสดเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสที่ผ่านมา ตอนนี้สูงถึง $145,400 ล้านเลยทีเดียว
คุณปู่ย้อนกลับไปที่ 20 รายชื่อปี 1989 ซึ่งตอนนั้นเต็มไปด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะหุ้นธนาคาร โดยมี Bank of Japan มีขนาดตลาดใหญ่ที่สุดที่ $104,000 ล้าน แต่ตอนนี้บริษัททั้งหมดไม่มีรายใดติดอยู่ในการจัดอันดับเลย
คุณปู่บอกว่าทุนนิยมดำเนินไปอย่างยอดเยี่ยม บริษัทใหญ่ที่สุดตอนนี้ใหญ่ถึง $2 ล้านล้าน นอกจากนี้โลกยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นการลงทุนที่ดีที่สุดก็คือลงผ่าน Index Funds
คุณปู่บอกว่ามีบริษัทรถยนต์มากกว่า 2,000 บริษัทที่เข้ามาในอุตสาหกรรมในช่วงปี 1900 เพราะนักลงทุนและผู้ประกอบการคาดหวังว่ามันจะเป็นอุตสาหกรรมที่ยอดเยี่ยม
แต่เชื่อหรือไม่ในปี 2009 มีแค่บริษัทรถยนต์สามบริษัทเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่และอีกสองบริษัทก็ได้ล้มละลายไป
การมองภาพอุตสาหกรรมแล้วลงทุนทั้งหมดเลย อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีในการลงทุนระยะยาว
คุณปู่บอกว่าตอนนั้นคิดว่าบริษัทสูญเสียอำนาจในการสร้างกำไรและการเดินทางข้ามต่างประเทศคงไม่กลับมาอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมองว่าการที่บริษัทขายหุ้นสายการบินทิ้งเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลเข้ามาช่วยได้ง่ายขึ้น แถมยังทิ้งท้ายว่าไม่สนใจที่จะกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจสายการบินอีกแล้ว
คุณปู่บอกว่าทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันทุกอย่างแต่ก็ไม่เคยที่จะมีปากมีเสียงทะเลาะกันในช่วง 60 ปีที่ทำงานด้วยกัน
เราทั้งคู่ไม่เคยทะเลาะกันเลยในช่วง 62 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเราเห็นด้วยในทุกเรื่อง แต่เป็นเพราะว่าเราไม่เคยที่จะโมโหกันมากกว่า
Apple เป็นหุ้นที่ราคายังถูกมากและเป็นสินค้าและบริการที่ยังไงคนก็ต้องใช้งานตลอด ถ้าถามบางคนว่าจะเลิกใช้ Apple หรือเลิกใช้รถยนต์ที่มีมูลค่า 1 ล้านบาท คำตอบน่าจะเป็นเลิกใช้รถยนต์มากกว่า
Greg Abel ตอบว่าโซลูชั่นของ Berkshire จ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่องในเจ็ดวัน แต่ธุรกิจแบตเตอรี่จ่ายไฟได้เพียงเป็นหลักชั่วโมงเท่านั้น
บัฟเฟตต์เตือนว่าไม่มีใครบอกคนเหล่านี้ได้จนกระทั่งความบ้าคลั่งจะถึงจุดจบของมัน
ปัจจุบันมี SPAC กว่า 500 แห่งที่ถือเงินกว่า $138,000 ล้านเพื่อรอซื้อธุรกิจ
มันคือ Killer ปรกติ SPAC ต้องใช้เงินในการเข้าซื้อธุรกิจภายในสองปี
คุณปู่ยกตัวอย่างว่าถ้ามีคนเอาปืนมาจ่อหัวผมแล้วบอกว่าต้องซื้อธุรกิจภายในสองปี ผมก็จะแค่ซื้อมันแหละ โดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายว่า SPAC ยังน่าจะอยู่กับพวกเราไปสักระยะ ถ้าคุณสามารถที่จะมีคนมีชื่อเสียงเข้ามาเป็นคนจัดตั้ง SPAC ได้แล้ว คุณก็เกือบจะสามารถขาย SPAC ได้ทุกรูปแบบเลย การมีคนดังเข้ามาจัดตั้ง SPAC นักลงทุนก็จะแห่เข้าไปลงทุนโดยที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะซื้อบริษัทใด
ส่วนคุณปู่ไม่ต้องการคอมเม้นท์เพราะไม่อยากให้คนที่ลงทุนในบิทคอยน์รู้สึกไม่ดี
คุณปู่บอกอัตราภาษีตอนที่เขายังหนุ่มสูงถึง 50% สูงกว่าที่ไบเดนจะขึ้นเยอะ
มันน่าเหลือเชื่อจริงๆที่จีนสามารถพัฒนามาได้ถึงจุดนี้และจะไปได้อีกไกลในอนาคต
คุณปู่บอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของคาสิโนที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว
ส่วนชาร์ลีก็บอกว่า Robinhood เป็นสิ่งที่ผิด คุณไม่ควรขายของไม่ดีให้กับนักลงทุนเพื่อสร้างเงินให้ตัวเอง
ปิดท้ายคุณปู่หวังว่าจะได้จัดงานอีกครั้งที่ Omaha ในปีหน้า
ในความคิดของผม คุณปู่ทั้งสองสุดยอดมากที่นั่งตอบคำถามนานถึงสามชั่วโมงกว่าๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมองยังสามารถจำเรื่องราวต่างๆได้ทั้งหมดโดยเฉพาะตัวเลข ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งคู่ถึงประสบความสำเร็จมากถึงขนาดนี้ #บัฟเฟตต์ #ชาร์ลี #Berkshire
Happy Investing!!!