ระวัง!อันตรายยุคหุ้นผันผวนบรรดาเซียนแนะกลยุทธ์ ลงทุนปลอดภัย

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

ระวัง!อันตรายยุคหุ้นผันผวนบรรดาเซียนแนะกลยุทธ์ ลงทุนปลอดภัย

โพสต์ที่ 1

โพสต์

นำมาฝากครับ ไม่น่าเชื่อว่าไทยรัฐจะมีบทความดีๆ อย่างนี้ด้วย :lol: :lol:



ภาวะของตลาดหุ้นไทย ในรอบปี 2547 นี้

ทุกสำนักวิเคราะห์ทั้งไทยและ ต่างประเทศ ต่างฟันธงตรงกันว่า แม้ทิศทางตลาดโดย ปัจจัยพื้นฐาน ของเศรษฐกิจไทย ที่กำลังฟื้นตัว อย่างแข็งแกร่ง จะเป็นตัวหนุนให้ดัชนีหุ้นไทย มีโอกาสทะยานขึ้นไปได้ถึงระดับตั้งแต่ 850 จุด ถึงกว่า 1,000 จุดได้นั้น

แต่ทุกสำนักต่างๆ ออกโรงเตือนเป็น เสียงเดียวกันว่า ตลาดหุ้นตลอด ทั้งปีนี้จะเต็ม ไปด้วยความผันผวน ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและเงินตรา จึงไม่ใช่ว่าจะตั้งหน้า ทะยานขึ้นเหมือนปี 2546 ที่ผ่านมา

เพราะตลาดได้ซึมซับรับข่าวดีในอนาคตของปี 2547 ไว้ล่วงหน้าอย่างเต็มอิ่ม จนสามารถดันดัชนีขึ้นมาปิด ณ สิ้นปี 2546 ที่ระดับสูงสุดยอด 772.15 จุด

ดังนั้น แค่เพียงเดือนเศษ นับจากเดือนมกราคมถึง กลางเดือนกุมภาพันธ์ จึงได้เห็นการเหวี่ยงตัวขึ้นลงอย่างรุนแรงของดัชนีหุ้นไทย

แม้จะด้วยปัจจัยร้ายที่ไม่คาดคิดของการแพร่ระบาดของ ไข้หวัดนกที่ทำเอาตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาค "ติดหวัดกันงอมแงม" และทำให้ดัชนีหุ้นร่วงลึกลงไปถึงระดับ 646 จุด เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ลดลงจากจุดสูงสุดที่ระดับ 802 จุด ที่เคยทำไว้ได้เมื่อกลางเดือน ม.ค.

ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปในตลาดหุ้นไทยหดหายไปร่วม 700,000 ล้านบาท

นี่เป็นเพียงแค่ด่านแรกของการเผชิญโชคในตลาดหุ้นของนักลงทุน!!


บัญชีมาร์จิ้นถูกบังคับขาย


จากข้อมูลของ ตลาดหลักทรัพย์พบว่า ตัวเลข ณ สิ้นเดือน ธ.ค.2546 มีนักลงทุนที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นหรือ กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.9% ของบัญชีซื้อขายหุ้นทั้งหมด

ผลของการปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ของดัชนีหุ้นหลายวงสวิงนับตั้งแต่ต้นปีมานี้ ได้ส่งผลกระทบให้นักลงทุนกลุ่มนี้ ถูกฟอร์ซเซลล์หรือบังคับ ขายหุ้นออกมาจำนวนไม่น้อย

เพราะหากราคาหุ้นในบัญชีของนักลงทุนที่เล่นมาร์จิ้นปรับตัวลงประมาณ 25% ก็จะถูกบังคับขายออกมาทันที ภายหลังจากที่มีการเรียกให้วางหลักประกันเพิ่มเมื่อราคาหุ้นร่วงลงมาประมาณ 15%

โดยมีการประเมินว่านักลงทุนกลุ่มนี้น่าจะขาดทุน หลายพันล้านบาทในช่วงเวลาไม่กี่วัน

ขณะที่นักลงทุนที่เล่นบัญชีเงินสดก็ไม่น้อยหน้า เพราะจะเห็นว่าช่วงที่ดัชนีรูดลงรุนแรง รายย่อยเป็นกลุ่มใหญ่ที่เป็นผู้ขายสุทธิออกมา ขณะที่เมื่อเทียบกับนักลงทุนต่างชาติแล้ว พบว่าต่างชาติเทขายออกมาอย่างต่อเนื่องนับจากกลางปี 2546 ที่ดัชนีกำลังทะยานขึ้น และกลับเข้ามารับจริงๆ อีกครั้งในช่วงที่นักลงทุนตระหนักตกใจ (Panic) ทำให้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นในต้นทุนใหม่ที่ราคาถูก


สำหรับกองทุนรวมนั้นพบว่าในช่วงที่นักลงทุนในตลาดแพนิค ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวม ก็เกิดอาการแพนิคไม่แพ้กัน แต่ดีที่ได้รับการชี้แจงจากบรรดาผู้จัดการกองทุนและ พนักงานขายที่พยายามสร้างความเข้าใจให้กับนักลงทุน เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วผู้จัดการกองทุนจะไม่แพนิคตามตลาดในช่วงสั้น เพราะเน้นการลงทุนระยะกลางและยาวมากกว่า

แต่ก็ยังมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ดื้อดึงจะไถ่ถอนหน่วยลงทุน ดังนั้นเราจึงได้เห็นยอดการขายสุทธิของ กองทุนรวมในประเทศออกมาในช่วงนี้วันละ 400-500 ล้านบาท เพื่อรองรับการไถ่ถอนของ ผู้ถือหน่วย แต่ก็ยังสามารถกลับลำกลับเข้ามาซื้อคืนเมื่อมีการแพนิครอบที่ 2-3 หลังจากที่ตั้งหลักได้

ว่ากันว่ามีการตั้งกองทุนใหม่ๆเข้ามารับซื้อหุ้นดีราคาถูก ในช่วงที่ตลาดร่วงแรงๆ ด้วย

กองทุนรวมเทขายปรับพอร์ต

อย่างไรก็ตาม แรงขายของ กองทุนรวม ส่วนหนึ่ง ก็เกิดจากการปรับพอร์ตของ กองทุนประเภทรับประกันผล ขาดทุนของตลาดในช่วงขาลง ซึ่งที่ผ่านมามีหลายกองทุน ที่ตั้งขึ้นมา ระดมทุนจากประชาชนผู้มีเงินออม โดยกำหนดเงื่อนไขว่าจะจำกัด ผลขาดทุนไม่เกิน 10-20% เพื่อไม่ให้มูลค่าเอ็นเอวีหรือมูลค่า สินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนลด ลงมาเหลือ 1-3 บาท เช่นในอดีต จนเกิดกรณี "ลุงช่วยปาขี้"

จึงกำหนดความเสี่ยง หรือจำกัดผลขาดทุนของ หน่วยลงทุนไม่เกินกว่า 10-20%

เช่น หน่วยลงทุนมูลค่า 10 บาทนี้ หากราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาลงผู้บริหารหรือ ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ก็จะทยอยขายหุ้น ปรับพอร์ตออกมาเพื่อไม่ให้ราคาหุ้นร่วงลงต่ำ จนทำให้มูลค่าเอ็นเอวี ณ สิ้นวันมีมูลค่ากว่าที่ได้การันตีกับลูกค้าไว้

ดังนั้น เราจึงได้เห็นแรงขายสุทธิของกองทุนผสมโรงตกใจมากับรายย่อยด้วย ทั้งเพื่อรองรับการไถ่ถอนของลูกค้าและเพื่อการบริหารพอร์ต ตามเงื่อนไขดังกล่าว

ดัชนีหุ้นที่แกว่งตัวผันผวนสลับขึ้นลงเร็วและแรงภายในเวลา 1-2 วัน นี้ นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.แอสเซทพลัส ชี้ว่าเป็นตัวอันตราย ที่จะสร้างความเสียหายให้แก่นักลงทุน โดยเฉพาะรายย่อยที่มักแสดงอาการตื่นตระหนกผลีผลาม กระโจนเข้าไปไล่ซื้อหุ้นเพียงแค่เห็นสัญญาณว่า ดัชนีกำลังปรับตัวขึ้นเข้าไปไล่ซื้อเหมือนกลัวว่า "หุ้นจะหมด ไม่มีให้ซื้อ" หรืออาการกลัวตกรถ ยิ่งทำ
ให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็น

แทนที่ดัชนีจะค่อยๆสร้างฐานและปรับตัวขึ้นอย่างสมเหตุสมผล สมปัจจัย ซึ่งเป็นการปรับขึ้นของ ดัชนีอย่างมั่นคงกว่าผลีผลามตาลีตาเหลือกขึ้นแค่ 2-3 วัน 100 จุด ซึ่งเป็นอาการของคนกลัวตกรถโดยแท้
ในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน เมื่อดัชนีปรับขึ้นเร็วและมายืนในระดับสูง เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามากระทบ ยังไม่ทันได้ฟังเหตุฟังผลนักลงทุนก็กลัวลนลาน ชิงเทขายหุ้นทิ้งออกมาอย่างหนัก กดให้ดัชนีดิ่งเหวลงอย่างรวดเร็ว

ในช่วงของการสวิงตัวแกว่งขึ้นลงของดัชนีหุ้นนี้ มีโอกาสอย่างสูงที่ทำให้นักลงทุนเสียหาย ทั้งนักเก็งกำไรระยะสั้นและนักลงทุนระยะกลางและยาว ที่พลอยตื่นตระหนกขายออกมาด้วย เมื่อเห็นราคาหุ้นพื้นฐานดีๆที่ตนเองถือมานาน ราคาร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เก็บอาการกลัวไว้ไม่อยู่

แต่สุดท้ายก็ต้อง "ขายหมู" เมื่อหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันราคาหุ้นก็ดีดกลับขึ้นมาสู่ระดับเดิมได้ หรือพุ่งขึ้นมาแรงกว่าเดิม แทนที่จะได้มีกำไร กลับต้องเจ็บตัวขายขาดทุน

เปิดกลยุทธ์ลงทุนไม่ให้เจ็บตัว

สภาพตลาดหุ้นไทยขณะนี้ถือ เป็นการต่อสู้ ระหว่างความโลภกับความกลัวโดยแท้

ถึงช่วงดัชนีขึ้นก็โลภรีบตะลุย เข้าซื้อเพราะกลัวซื้อไม่ทัน กลัวตกรถพอเห็นหุ้น กำลังจะลงไม่ว่าด้วยข่าวลือ ข่าวปล่อยหรือข่าวจริง แต่ยังไม่ทันได้ฟังชัดเจนถึง ระดับความรุนแรงก็กลัวลนลาน ตื่นตระหนกรีบขายหุ้นทิ้งออกมาจนเกินเหตุ

นายก้องเกียรติได้ฝากข้อคิดกลยุทธ์การลงทุนไม่ให้เจ็บตัว ในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนสูงแก่นักลงทุน ง่ายๆ สั้นๆ ว่า ขอให้มีสติและมีความหนักแน่น อย่าผลีผลาม

ที่สำคัญในช่วงนี้ควรเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีที่ไม่ถูกกระทบจากปัจจัยที่เกิดขึ้น เลือกหุ้นที่อิงหรือได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจและการก่อสร้างโครงการของรัฐบาล หากหุ้นเหล่านี้ปรับตัวลงตามกระแสของตลาดก็ขอให้อยู่นิ่งๆ และหาจังหวะเข้าไปซื้อเมื่อราคาถูก

ขณะเดียวกัน หากหุ้นตัวใดที่ราคาปรับขึ้นตามระดับที่เหมาะสมหรือตั้งเป้าไว้ก็ควร ขายทำกำไรออกมาก่อนได้ เพื่อความอุ่นใจและมีเงินสดไว้รอรับเมื่อตลาดเกิดอาการแพนิคอีก

ในบรรดากลยุทธ์การลงทุนของบรรดานักลงทุนขาใหญ่ในประเทศ ก็มีวิธีเอาตัวรอดหรือบริหารเงินลงทุนในตลาดหุ้นกันหลากหลายแบบ ถึงวิธีการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมีกำไรกระเป๋าตุงในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนขึ้นลงรุนแรง

ไม่ว่าจะเป็น นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บลจ.อเบอร์ดีน ซึ่งบริหารพอร์ตกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนสูงสุดในระบบ ในปี 2546 มองตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีแรกว่ายังไปได้สวยถึง 850-900 จุด พร้อมเปิดเผยกลยุทธ์ของอเบอร์ดีน ว่า จะเลือกซื้อเก็บหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี ทั้งหุ้นตัวใหญ่และหุ้นตัวเล็กที่อาจจะถูกมองข้าม แต่มีผลประกอบการโตอย่างต่อเนื่องและจ่ายเงินปันผลดี

เพราะหากมีปัจจัยลบเข้ามาในตลาด หุ้นเหล่านี้จะผันผวนน้อยกว่า แต่หากราคาปรับตัวลงเพราะแรง ตื่นตระหนกของนักลงทุน ก็จะเป็นโอกาสที่จะให้เข้าไปเลือกเก็บหุ้นได้ในราคาถูก จึงอาจจะถือเงินสดมากขึ้นกว่าสถานการณ์ปกติเพื่อเตรียมไว้ซื้อหุ้น

ส่วนของ บลจ.วรรณ นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ ชี้กลยุทธ์ของ การบริหารพอร์ตลงทุนของ บลจ.วรรณ ว่า ใช้วิธีรอจังหวะ หากราคาหุ้นตัวไหนที่ปรับตัว ลงรุนแรงจากความผันผวนของตลาด หรือแรงแพนิคของนักลงทุน จนทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นก็จะเข้าทยอยซื้อ

เพราะตลาดหุ้นไทย "โอเวอร์รีแอ็ค" เกินไป โดยดัชนีขึ้นลงแรงและเร็ว ผู้จัดการกองทุนก็ต้องปรับตัวให้เร็วขึ้นให้ทันตลาด แต่จะไม่แพนิคตาม แต่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกินพื้นฐาน ก็จะต้องขายทำกำไรออกมา ซึ่งยอมรับว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกกองทุนอาจต้องถือเงินสดเพิ่มขึ้น เพื่อปรับสถานะของพอร์ตให้ทันกับสถานการณ์ แต่ยังคงเน้นลงทุนระยะกลางและยาวอยู่

"ในช่วงที่ผ่านมา ที่ตลาดหุ้นลงแรงจากความตื่นตระหนกของนักลงทุน กองทุนก็ได้เข้ามาซื้อหุ้นพื้นฐานดีๆเก็บไว้ และได้ชี้แจงให้ลูกค้าหรือผู้ถือหน่วยลงทุนที่ตื่นตระหนกตามและ จะขอไถ่ถอนหน่วยลงทุนว่าโอกาสเช่นนี้ น่าจะเป็นโอกาสของการเข้ามาซื้อมากกว่าที่จะขายคืน เพราะสามารถซื้อหุ้นดีได้ในราคาถูก"


ซื้อหุ้นปันผลสูงปลอดภัยที่สุด


ด้าน นายวิศิษฐ องค์พัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรินีตี้ ให้คำแนะนำว่า ช่วงเดือนนี้ตลาดยัง มีโอกาส ผันผวนรุนแรง แนะให้ลงทุนในหุ้นที่ คาดว่าจะจ่ายเงิน ปันผลในอัตราสูงจะปลอดภัยที่สุด เพราะถ้าราคาหุ้นปรับตัวลงก็ยังมี โอกาสได้รับเงินปันผล แต่ส่วนใหญ่เมื่อใกล้ช่วง การจ่ายเงินปันผล ราคาจะปรับตัวขึ้นมากกว่า หรือหากสภาพตลาดไม่ดีนัก หุ้นกลุ่มนี้ก็จะไม่ปรับตัวลงแรง สำหรับผู้ที่ถือหุ้นเก็งกำไรในราคาที่สูงติดยอดดอย แนะให้หาจังหวะขาย เมื่อราคาดีดตัวขึ้น ซึ่งอาจจะได้กำไรลดลง หรืออาจจะขาดทุนบ้างก็ต้องยอมเพื่อที่จะโยก ไปซื้อหุ้นในกลุ่มที่ปลอดภัยกว่า

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยพื้นฐานระยะยาวยังมองว่า ตลาดหุ้นยังดีอยู่ หมดยุคลงทุนระยะสั้น ต้องลงทุนยาวเท่านั้นถึงจะชนะความผันผวน

ขณะที่ นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย แนะหลักการลงทุนในตลาดหุ้น ว่า การกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญมากและจะต้องท่องเป็นคาถาไว้ เพราะหากกระจายการลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัวและหลายกลุ่มก็จะบริหารความเสี่ยงได้ แต่ต้องดูจำนวนเงินทุนที่มีอยู่และก่อนลงทุนต้องพิจารณาให้รอบคอบ เมื่อแน่ใจแล้วก็ตัดสินใจเข้าไปลงทุนและต้องใจแข็งลงทุนยาว เชื่อแน่ถ้าหากลงทุนลักษณะนี้ ก็จะสามารถชนะความผันผวน ที่จะเกิดขึ้นได้ และเชื่อมั่นว่าดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีจะอยู่ในระดับ 880 จุด

"แม้ว่าไข้หวัดนกจะทำให้จีดีพีลดลง แต่การที่จีดีพีโตในระดับ 6-7% ก็ยังถือว่าโตในอัตราที่ดี"


"เลือกตั้ง" อีกหนึ่งตัวแปร


นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ผู้กุมบังเหียนการลงทุนของกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 200,000 ล้านบาท และลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยมูลค่าสูงถึง 37,000 ล้านบาท ชี้ว่า กบข.จะเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานของ บริษัทที่มีผลการดำเนินการที่ดี มีกำไรอย่างต่อเนื่อง หรือมีลู่ทางในการลงทุนที่สดใสในอนาคต ประกอบกับราคาหุ้นในกระดานยังไม่สูงมากนัก ซึ่งพิจารณาได้จากค่า P/E ที่ไม่สูงมาก

ส่วน นายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุน กล่าวว่ายังมีเรื่องที่กระทบต่อตลาดหุ้นมากอีกอย่างหนึ่งคือการเลือกตั้ง ส.ส.ต้นปี 2548 นักลงทุนควรให้ความสนใจ เพราะเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองมีผลต่อตลาดหุ้น ในช่วงปีนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์คงไม่วิ่งทะลุฟ้า น่าจะอยู่ระหว่าง 700-800 จุด หรือเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการสร้างฐานของตลาดหุ้นไทย

สำหรับ นายศุภชัย พิศิษฐวานิช อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ที่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ภายหลังจากเกษียณคลุกคลีตีโมง อยู่กับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ระบุชัดเจนว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้ ไม่หมูเหมือนกับปีที่แล้ว ที่หย่อนเงินในหุ้นตัวไหนก็กำไรหรือปิดตาเล่นก็ยังรวยได้ เพราะปีนี้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงมากแล้ว โอกาสที่จะทำกำไร 100% ไม่มีอีกแล้ว โดยมองว่าปีนี้ ถ้า P/E ของตลาดหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับปัจจุบัน กำไรเพียง 15-20% ก็ถือว่าเก่งแล้ว

ดังนั้น นักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยต้องระมัดระวังในการลงทุน อย่าเชื่อข่าวลือหรือแหล่งข่าวที่อ้างข้อมูลจากแหล่งโน้น แหล่งนี้โดยไม่มีใครกล้ายืนยัน เพราะการปล่อยข่าวในลักษณะเช่นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างราคาหุ้นให้สูงขึ้น หรือเรียกว่า "ปั่นหุ้น"

ต่างชาติแนะให้รีบช้อนซื้อ

ขณะเดียวกัน บริษัทยูบีเอส ได้ออกบทวิเคราะห์ประกอบการลงทุนในประเทศไทย ระบุว่า ปัจจัยความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในตลาดทุนไทยนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 ปัจจัย คือปัจจัยเศรษฐกิจและปัจจัยด้านการเมือง อย่างไรก็ตาม 2 สัปดาห์หลังการยอมรับว่า มีการระบาดของไข้หวัดนก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯของไทยลดลงแล้ว 13% เพราะความหวั่นวิตกของนักลงทุนรายย่อยในประเทศ เนื่องจากตลอดปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ภาวะกระทิงดุของตลาดหุ้นไทยมาจากความเชื่อมั่นของรายย่อยเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อรายย่อยตื่นตระหนกเทขายหุ้น ดัชนีจึงดิ่งเหวอย่างที่เห็น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตกใจจนเกินเหตุ (over-reacted) ของนักลงทุนรายย่อย

เช่นเดียวกับบริษัทเครดิต ลียองเนส ฟันธงว่า จากการปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทยขณะนี้ เป็นโอกาสดีที่จะเข้าช้อนซื้อหุ้นก่อนการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ที่จะออกมา

"เพราะเชื่อว่าบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะทำรายได้ดี รวมทั้งการซื้อหุ้นปันผลเด่นๆเก็บไว้ในพอร์ต".


ทีมข่าวเศรษฐกิจ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ระวัง!อันตรายยุคหุ้นผันผวนบรรดาเซียนแนะกลยุทธ์ ลงทุนปลอดภัย

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เป็นสัณญานเตือนที่ดีครับ คุณลูกอีสาน
ผมดูขณะนี้ใกล้จุดสุดยอดมากเหมือนกัน
สติ เตือนใจครับ
ก็ไม่ค่อยอยากคิด-อยากเล่า-อยากบอก
คนที่ไม่ค่อยชอบเขาจะมาว่าเอาอีกครับ
เอาเป็นว่า...ขอบคุณครับ ที่นำบทความนี้มาฝาก
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

ระวัง!อันตรายยุคหุ้นผันผวนบรรดาเซียนแนะกลยุทธ์ ลงทุนปลอดภัย

โพสต์ที่ 3

โพสต์

พี่ปรัชญาครับ

สุดยอดเนี่ย ยอดดอยหรือก้นเหวครับพี่
จะได้ระวังตัวไว้บ้างครับ

ผมกำลังมองว่ากองทุนหุ้นระยะยาว ที่จะพาเหรดเข้าตลาดในช่วงปลายปี
จะมีผลต่อราคาหุ้นมากน้อยแค่ไหนครับ แต่คงไม่เห็นผลชัดเจน เพราะเค้ามีเวลามากที่จะลงทุน คงรอจังหวะช้อนซื้อตอนราคาหุ้นตกต่ำมากกว่า


ทำได้ตอนนี้ก็รอเวลาบริษัทที่เราลงทุน แบ่งส่วนกำไรมาให้เป็นปันผล ปลายปีนี้คงได้อีก 2 ตัว คือ PL และ TR โดยเฉพาะ TR ปีนี้ไม่รู้จะให้น้อยอีกหรือเปล่า ยังดีหน่อยที่ยังมากว่าดอกเบี้ยเงินฝาก :roll:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

ระวัง!อันตรายยุคหุ้นผันผวนบรรดาเซียนแนะกลยุทธ์ ลงทุนปลอดภัย

โพสต์ที่ 4

โพสต์

_ลูกอีสาน เขียน:พี่ปรัชญาครับ

สุดยอดเนี่ย ยอดดอยหรือก้นเหวครับพี่
จะได้ระวังตัวไว้บ้างครับ

ผมกำลังมองว่ากองทุนหุ้นระยะยาว ที่จะพาเหรดเข้าตลาดในช่วงปลายปี
จะมีผลต่อราคาหุ้นมากน้อยแค่ไหนครับ แต่คงไม่เห็นผลชัดเจน เพราะเค้ามีเวลามากที่จะลงทุน คงรอจังหวะช้อนซื้อตอนราคาหุ้นตกต่ำมากกว่า
:roll:
กองทุนที่เข้าใหม่ เขาเข้ามารองรับกองทุนเก่าที่กำลังจะหมดอายุและต้องขายของออกมาครับ
และเตรียมเงินไว้ เข้าคิวจองซื้อหุ้น พวกเบียร์ พวกไฟฟ้า พวก TOT

(ส่วนหุ้นลงทุนอย่างพวกเราเป็นหุ้นพื้นฐาน
(อยู่กับพื้นอยู่กับฐานเลยไม่ขึ้นซะทีอ่ะ)

กองทุนเข้ามาหรือต่างชาติเข้ามา เขาก็จะมาซื้อขายพวกนี้
พวกมี(มาร์เก็ตแคปใหญ่เกี่ยวกับตัวนำเซ็ทอินเด็กซ์)
ส่วนหุ้นม่มีสภาพคล่องที่นักลงทุนระยะยาวหวังเงินปันผล
เขาไม่ค่อยมาซื้อ
พูดไปก็เหมือนกับว่าเขา
เขาต้องการส่วนต่างราคา เก็งกำไร ระยะสั้น เก็งกำไรระยะกลาง และเก็งกำไรระยะยาว

พวกเราก็คงต้องรอเงินปันผลกันต่อไปในเมื่อเราเป็นคนเลือกการลงทุนกันเอง
ไม่ได้เอาเงินไปฝากกองทุนเล่นให้เราครับ

เมื่อหุ้นIPO เข้ามาตลาดเยอะๆมากๆหลายๆบริษัท
หุ้นเก่าที่มีในตลาดที่ไม่หวือหวา เขาก็ขายกันออกมาเพื่อนำเงินไปจองซื้อหุ้นใหม่เอาไว้ลุ้นต่อ หุ้นที่พวกเราว่าดีมีปันผลเลยไม่ยอมขึ้น เพราะมันในไม่เร้าใจ ผลตอบแทนก็ได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ นักลงทุนหวังความรวยอย่างรวดเร็วจึงต้องเข้าไปหาส่วนเกินมาเป็นกำไร ทำใจเอาครับ หุ้นที่ผมถือก็ไม่ได้ขายออกมา รอวันคนเห็นคุณค่าเข้ามาเก็บเป็นเพื่อน แต่รู้สึกว่าความหวังมันริบหรี่

ที่ว่าใกล้ยอด
กองทุนที่เข้ามาจากต่างประเทศซื้อแล้ว
ได้กำไรระดับที่เขาพอใจเขาต้องขายแน่นอน
ส่วนคนที่จะเข้าไปรับหุ้น อาจเป็นรายย่อย อาจเป็นกองทุนในประเทศ ถ้ามองในแง่ดี พวกฟันด์ที่เข้ามางานไทยแลนด์ฯก็จะมีพวกกองทุนต่างขาติเข้ามารับหุ้น เหมือนส่งไม้ต่อผลัดกันวิ่ง คงได้แต่ดูกันต่อไป

กังวลเล็กๆ ก็จะเป็นว่า....
ไทยขาดดุลการค้ามา3เดือนแล้ว และจะขาดดุลการค้าต่อไปแบบไม่มีกำหนด หากราคาน้ำมันโลกยังไม่มีทีท่าหยุด ขายส่งออกทั้งหมดประเทศยังไม่พอซื้อน้ำมันเข้ามาเลย คอยดูกันต่อไปผมว่าไตรมาสสุดท้าย พวกส่งออกคงเริ่มกระเตื้องแต่ภาครัฐขาดดุลการค้าแน่นอน
ล็อคหัวข้อ