ประสบการณ์การลงทุน & บทเรียนการลงทุนของ เอก ธำรง ภาค2

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

ประสบการณ์การลงทุน & บทเรียนการลงทุนของ เอก ธำรง ภาค2

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ภาค2ประสบการณ์&บทเรียนการลงทุนปี 2563
0164

ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกไลค์ทุกเม้นทุกแชร์ โดยเฉพาะแชร์จากเพจ Seminar Knowledge by Amorn (สะกดเป๊ะตัวใหญ่ตัวเล็กถูกต้องหมด55)ซึ่งทำให้มีคนเข้าถึงบทความได้มากขึ้นอย่างมีนัยยะ ซึ่งส่งผลให้เกิดบทความนี้ขึ้น ไม่งั้นก็อาจจะไม่มีบทความนี้ก็ได้

เป็นมุมมองประสบการณ์ก่อนหน้าจนถึงปี 2563 หลายอย่างเขียนจากความจำข้อมูลไม่ถูกเป๊ะแต่ก็ประมาณนี้เข้าใจผิดแย้งได้เลยครับ

~2020past&present

1.ความแตกต่างของดัชนีตลาดหุ้นปี 2008 กับ 2020 ที่ผมเดาผิด

ลองอ่านบทความเก่าที่ผมเคยโพสต์ช่วงเดือน7ดูครับ

https://www.facebook.com/10224555446661 ... xtid=0&d=n

เศรษฐกิจแย่จริงๆตอนนั้นหลายสำนักคาดการณ์จีดีพีติดลบ 10% +/- ซึ่งดูแล้วเป็นไปได้มาก

จีดีพีไทยปี2019ประมาณ 16ล้านล้านบาท มาจากการท่องเที่ยวในประเทศ 1ล้านๆ ต่างชาติ 2ล้านๆ คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 1,000,000 คน รวมกับที่เกี่ยวข้องทางอ้อมมี3-4ล้าน โอกาสที่ชาวต่างชาติจะกลับมาท่องเที่ยวจำนวนมากๆภายในปี 2020 ก็มีไม่มาก (แต่ก็มีมาบ้างช่วงปลายปี)ยังไม่รวมการล็อกดาวหลายเดือน แล้วไหนจะการบริโภคของนักท่องเที่ยวอีก(10%ก็1.6ล้านๆบาท)

แค่นี้ความเป็นไปได้ก็สูงมากแล้ว

แต่ดูเหมือนคาดการณ์ในปัจจุบันจากหลายเจ้าจีดีพีน่าจะติดลบไม่ถึง 10%

เดาว่าจุดเปลี่ยนมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเงินกู้ลอตใหญ่ของรัฐบาลโดยเฉพาะพวกคนละครึ่ง

กลับมาที่ตลาดหุ้นกลับเป็นคนละเรื่อง

ช่วงเดือน7ผมแอบคิดว่าอีพีเอสตลาดปี2020น่าจะอยู่ที่ 50 กว่า(แต่โพสต์ไว้เดือน7ว่า 60+/-)ซึ่งน่าจะดีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะมีการคาดการณ์กันว่าจบปี 2020 ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ประมาณ 47 ถึง 48

ผมเดาตัวเลขได้ใกล้เคียงความจริงแต่ผิดที่จิตวิทยามวลชน ตอนแรกยังมองเลยว่าดัชนีตลาดที่ 600+/-เป็นไปได้ (พีอีตลาด10จากอีพีเอสตลาดที่เดา60+/-) สถานการณ์ก็ดูแย่กว่าปี 2008 จริงๆ นักท่องเที่ยวเดินทางมาไม่ได้ พีอีตลาด<10ก็เป็นไปได้ ช่วงไตรมาส4ปี 2008 พีอีตลาดระดับนี้ก็เคยมีให้เห็น

ผมเลยเห็นด้วยกับมุมมองเซียนหุ้นหลายท่านที่ออกมาสัมภาษณ์ช่วงนั้นจากหลักคิดนี้ ผมยังเคยคุยกับเพื่อนเลยว่าวิกฤติครั้งนี้ดูง่ายกว่าปี 2008 คือมันแย่ทั้งปีแน่ๆ

สรุปเดาผิดครับ

ผมเลยมานั่งครุ่นคิดและสรุปเอาเองว่าปี 2020 มันต่างจาก 2008 ตรงที่ว่าวิธีแก้วิกฤติมันชัดเจนมาแล้วจบ(วัคซีน) แต่ปี 2008 หลังจากเลห์แมนล้มช่วงปลายปี ช่วงนั้นตลาดแตกตื่นกันใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานเกินรออเมริกาอัดคิวอี น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อัดเงินเยอะขนาดนี้ (คุ้นๆว่าเคยมีการทำลักษณะนี้ในอดีตแต่ไม่มากเท่า)แล้วพอหลายอย่างมันชัดเจน(ตอนยังไม่ชัดก็งงงงกันอยู่ บ้างก็ว่าจะลงไประดับ 200จุดเหมือนช่วงต้มยำกุ้ง)หุ้นก็เริ่มขึ้นช่วงเดือนมีนาปี 2009 ทั้งที่จีดีพีเริ่มกลับมาดีช่วงปลายปี แน่นอนมีปัจจัยหลายอย่างในตลาดหุ้น สูตรสำเร็จในตลาดหายาก แต่ไม่ใช่ไม่มี แล้วอย่างนึงที่แน่นอนคือตลาดมองไปข้างหน้าเสมอ 3-6เดือนมี

แต่สิ่งที่เหมือนกันเปี๊ยบของ2ปีนี้เลยคือดัชนีตลาดลงหนักมากตอนที่คนกำลังตื่นตระหนกกัน แล้วมีคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเลยที่คิดว่าต้องลงหนักกว่านี้อีก(ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น)

จริงๆ 2020 กับ 2008 มันอาจจะเหมือนกันก็ได้ในแง่ที่ว่าวัคซีน=คิวอี ทางออกมันชัดเจน ตลาดมองเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว(วันไทม์) นึกไม่ออกลองคิดถึงหุ้นบางตัวก็ได้ครับที่ขาดทุนชั่วคราว ครั้งเดียว ถ้าทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากตลาดมีสติราคาก็จะกลับมา จากข้อมูลตอนนั้นวัคซีนน่าจะมากลางปีนี้แต่สุดท้ายมาตั้งแต่ไตรมาสสี่ปี 2020 แต่จากข้อมูลตอนนั้นอย่างเร็วตลาดหุ้นจะกลับมาดีก็ต้องมีต้นปี 2021 จากการคาดการณ์วัคซีนมาแน่ๆช่วงกลางปี2021 แต่เหลือเชื่อว่าหลังจากลงหนักมากๆช่วงเดือนมีนา แล้วยังไม่มีวี่แววว่าวัคซีนจะมาปลายปี 2020(อาจจะมีแต่ผมเข้าใจอย่างนี้ว่าอย่างเร็วกลางปี 2021) ตลาดก็ขึ้นหูตับตับไหม้ชนิดที่ว่าไม่เคยลงมาต่ำกว่าตอนนั้นอีกเลยตลอดทั้งปีแม้จะมีความผันผวนเป็นระยะ สมมติรู้ว่าวัคซีนจะมาปลายปีมันก็น่าจะเริ่มขึ้นช่วงเดือน5เดือน6

สรุปคำพูดที่ว่าอย่าเดาตลาดมันค่อนข้างจริง ไม่ว่าผมจะเดายังไงก็เดาไม่ออกเลยว่าหลังจากลงแหลกมันจะขึ้นแรงได้เร็วขนาดนั้น เพราะอย่าลืมว่าปีนี้ก็ยังมีหลายธุรกิจที่ยังไม่กลับไปเทียบเท่าปี 2019 ด้วยซ้ำ ต้นปีนี้ก็ยังเข้าใจอย่างนี้

2.บทเรียนที่แก้ไข

สิ่ง1ที่ผมจำได้ไม่มีลืมคือปี 2009 หายไปจากตลาดเกือบทั้งปี จากความเสียหายช่วงปี 2008 แล้วปรากฏว่าปี 2009 ผลตอบแทนดัชนีตลาดพุ่งขึ้นมา 60 กว่า%

บทเรียนที่ได้คือเศร้าได้ ท้อได้ แต่อย่าถอย ความผิดพลาดอย่างเดียวในครั้งนั้นคือเสียใจนานเกินไปจนไม่ได้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนในปี 2009 อย่างที่ควรจะเป็น

มีเรื่องที่ทั้งควรเสียใจ&ดีใจในคราวเดียวกันคือปี 2019 ผมเจอหุ้นตัว1ถือเยอะแล้วไม่เป็นอย่างที่คาด แรงจูงใจในการลากชัดเจน มีการเตรียมการพอสมควร แต่สุดท้ายพื้นฐานมันไม่มาเลยต้องคัทลอส (ตอนผมสอนหุ้นสอนให้ลืมต้นทุนแต่ส่วนใหญ่ผมจำได้นะ55ประเด็นคือเมื่อรู้ตัวว่าคิดผิดหรือเจอตัวใหม่ที่น่าจะขึ้นมากกว่าต้นทุนห้ามเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจ)

แต่สิ่งที่น่าดีใจคือใช้เวลาเสียใจไม่นานเกินไปน่าจะหลักอาทิตย์ และบทเรียนใหม่ที่ได้คือแรงจูงใจในการลากต้องมาพร้อมพื้นฐาน ยกเว้นกรณีถ้าจะลากแบบลากได้ พื้นฐานอาจจะไม่เกี่ยวขอแค่คนเชื่อกันว่ากำไรจะโตกระฉูดไปอย่างน้อยระยะ1 แล้วถ้าพื้นฐานก็มา มันนี่เกมก็มา หุ้นขึ้น Volume หายก็มา มาแค่สองในสามอย่างนี้ น่าจะมีเฮ(ไหม?)

3.ดวง

10 ปีที่ผ่านมาผมไม่สนใจดูดวงเพราะเชื่อว่าอดีตก่อเกิดปัจจุบัน(ซึ่งส่วนใหญ่พอจะเดาอดีตได้อยู่แล้วจากปัจจุบันที่เป็น) อยากให้อนาคตดีทำปัจจุบันให้ดี อยากได้อะไรก็ทำอย่างนั้น

ไม่กี่ปีที่แล้วมีเพื่อนผมที่เป็นนักลงทุนแล้วดูดวงแบบเก็บสถิติ เคยทายว่าดวงการลงทุนจะดีมาก แล้วก็ดีจริงๆ หุ้นเกือบทุกตัวที่มีเบรคนิวไฮได้เรื่อยๆ แล้วมีหุ้นตัวหนึ่งที่กลุ่มเพื่อนผมที่เก่งกว่าและมีกำลังเงินเยอะกว่ามีอยู่ก่อน ผมพูดเลยว่าถ้าตัวนี้ผมได้แล้วกลุ่มเพื่อนผมไม่ได้กันผมจะเริ่มเชื่อดวง สุดท้ายได้ และที่ไม่เหลือเชื่อเลยคือเป็นเหตุผลเดียวกับที่พวกเพื่อนผมคิดไว้ทุกอย่าง เพียงแต่ดันออกไปก่อนที่ราคาจะพุ่งไม่กี่เดือน

ช่วงดวงไม่ดีผลงานก็ไม่ค่อยดีแต่หลักคิดหนึ่งเลยคือห้ามนอนรอความตายเรียนรู้จากความผิดพลาดและแก้ไขซึ่งประสบการณ์ที่ผ่านมาจากข้อ2ผมน่าจะผ่านมันไปได้สบายๆ

จู่ๆก็คิดไอเดียดีๆออก

ปกติเวลาลงทุน ผมจะคาดการณ์ราคาหุ้นว่าจะไปเมื่อไหร่ เท่าไหร่ เพราะอะไร ดังนั้นเลยลองถามชะตาชีวิตช่วงนั้นนั้นมาเทียบกับไทม์มิ่งของหุ้นที่คิด แต่เอาจริงๆวิธีนี้การตัดสินใจซื้อขายหุ้นมันต้องมีสติต้องเทคแอ็คชั่นตามเหตุผลที่คิดล้วนๆ มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องเฉพาะตัว เพราะส่วนใหญ่มันก็เป็นหนึ่งในปัจจัยการตัดสินใจในกรณีของหลายๆคน ช่วง1ที่ดูดวงแล้วไม่ค่อยดี ผมก็ไม่หยุดนิ่งซื้อหุ้นไป แล้วก็ได้เล็กน้อย ผมคิดว่าตัวเองไม่เอาตรงนี้มาตัดสินใจ(แต่อาจจะคิดผิดก็ได้55)

สรุปไม่ว่าชีวิตช่วง1จะแย่อย่างไรก็ห้ามนอนรอความตาย ทำปัจจุบันให้ดีอนาคตดีขึ้นแน่ มากหรือน้อยโชคชะตา กรรมดีที่ทำมามีผลแน่นอน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ได้อะไร เหมือนเทวดาบอกเลขหวยรางวัลที่1แต่ถ้าเราไม่ไปซื้อมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ปล ไว้คอยดูในอนาคตอีกไม่นานไอ้ที่ว่าจะดีจนตัวเองตกใจ มันจะดีขนาดไหนและดีจริงไหมในตอนนั้น

4.เล่นสั้นได้หลายๆรอบก็10เด้ง

มีคนทักและเคยถามตัวเอง หุ้น 10 เด้งมีสองวิธีที่จะได้คือ ถือหุ้นตัวเดียวแล้วรอให้รายได้กำไรมันโตในระยะยาว ราคามันก็จะขึ้นไปเอง กับอีกวิธีคือเปลี่ยนหุ้นไปมาได้ทีละไม่กี่เปอร์เซ็นต์หลายครั้งเข้ามันก็ขึ้นไปหลายเท่าเอง

ส่วนตัวผมใช้วิธีที่สองแต่ไม่ใช่ในระยะสั้นมากระดับวันหรืออาทิตย์

ช่วงหลังบางตัวที่เห็นภาพใหญ่ชัดเจนและเข้าใจธุรกิจบริษัท บางทีรายงานประจำปีนี่ไม่อ่านเลยนะครับ แต่ประเด็นคือต้องจับประเด็นให้ออก มองภาพให้ชัด

กลยุทธ์ชีวิตส่วนตัวของผมคือยอมรับความจริงไม่หลอกตัวเองเลยคือเราเก่งด้านไหนไม่ถนัดด้านใด ผมเคยลองเดาภาพที่มันใหญ่ระดับหนึ่งหลายครั้งก็เดาผิด(ยังจำข้อหนึ่งได้ไหมครับ เดาถูกบางอย่างผิดบางอย่างแต่ผลลัพธ์ออกมาไม่เหมือนผลลัพธ์ที่คิดไว้คือตลาดลงเละเทะ)

การเป็นนักลงทุนที่สำคัญคือภาพใหญ่อย่าผิดบ่อยโดยเฉพาะภาพใหญ่ที่เราลงเงินในสัดส่วนที่เยอะ ภาพย่อยผิดบ่อยไม่เป็นไร

สำคัญอยู่ที่ว่าตอนได้ได้เท่าไหร่ตอนเสียเสียเท่าไหร่

อ้อ ปีนี้ชนะตลาดนะครับ

บทความเรียบเรียงไปๆมาๆใช้เวลาเกิน1ชั่วโมง และยาวมาก ถ้าดูแล้วผลตอบรับดี คงเขียนภาคจบซึ่งคือมุมมองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจมากในปี 2021 พร้อมหลักคิด ถ้า
ผลตอบรับดีมากอาจจะเขียนโบนัสวิธีหาหุ้นเด้งทั้งจากหุ้นทั่วไปที่รู้กัน(โดยเฉพาะกลุ่มนี้เลย)และหุ้นเทค

feedback เท่านั้นที่จะบอกว่ามีอีกบทความไหม

# สนใจสั่งซื้อหนังสือตามรูปโปรไฟล์อินบ็อกซ์มาได้ครับราคาปก 250 จ่ายเพียง 200 แถมส่งฟรี ไฮไลท์คือแชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นเป็นตัวๆทุกปี รวมกัน 10 ปี ไม่ต้องไปโดนเองก่อนในตลาดหุ้น ลิงค์สรุปเนื้อหาหลักๆในหนังสือ

https://www.facebook.com/10224555446661 ... =n&sfns=mo

ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์
ข้อมูลดีๆซ่อนอยู่ในคอมเม้นต์อย่าลืมอ่านกัน
ทุกไลค์ทุกแชร์ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจและสื่อให้ผมรู้ว่าคอนเทนท์ลักษณะนี้มีคนชอบกันขนาดไหน คอนเทนท์ลักษณะไหนไม่ค่อยนิยมจะค่อยๆหายไปครับ

VI Buffet byเอกธำรง #ประสบการณ์&บทเรียนการลงทุนปี 2563
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
โพสต์โพสต์