กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 1

โพสต์

กลยุทธ์การลงทุนในปี2564


ปีที่แล้ว ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ผมโชคดีที่ชนะตลาดSET Total return ที่ติดลบ5% ไม่มากนัก
ซึ่งถือว่าเป็นปีแรกที่ชนะ หลังจากแพ้มาเมื่อปี2019

ปัจจัยที่ทำให้ชนะตลาดในปีที่แล้ว เนื่องจากการกระจายการลงทุนไปในหลายSector
(น้องทีน่า ก็เคยพูดเตือนว่า ลงทุนหุ้นเยอะไป จะกลายเป็นไม่โฟกัส แต่ก็ชื่นชอบหุ้นที่เราไปเยี่ยมชม ก็อดไม่ได้ที่จะลงทุน)
แต่โชคดีที่มีหุ้นบางตัวที่ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ทำให้พอร์ตโดยรวมชนะตลาด

ปีนี้ก็เริ่มศึกษาThemeการลงทุนของ นักลงทุนที่เรานับถือ เช่น อาจารย์นิเวศน์ อาจารย์ โจ ลูกอีสาน
น้องฮง สถาพร รวมถึง เพื่อนๆนักลงทุนที่เก่งๆหลายๆท่านเช่น นายกหลิน (หุ้นต่างประเทศ) น้องแดม (เทพหุ้นPlatform)
น้องตู้ (หุ้นเทคโน) น้องอ๋อง น้องเปี๊ยก (หุ้นสายเทคนิค) เซียนมี่ (หุ้นจีน) และอีกหลายคน พบว่า แต่ละคนก็มีสไตด์การลงทุน
ในหุ้นที่แตกต่างกัน ทำอย่างไรที่จะลงทุนในหุ้นคล้ายๆกับเขาได้บ้าง
ก็เลยมาถึงจุดที่ต้องแบ่งกลยุทธ์การลงทุน โดยศึกษาว่าปัจจัยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมีอะไรบ้าง

ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนมี3ปัจจัย

1. Asset allocation (จัดประเภทสินทรัพย์ในการลงทุน) มีผล 92%

2. Securities Selection (เลือกหุ้นหรือตราสาร) มีผล 5%

3. Market Timing (จับจังหวะลงทุน) มีผล 2%

ดังนั้น เราควรเน้นเรื่องการจัดสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับเราเป็นอันดับแรก เช่น หุ้นกี่% ตราสารหนี้กี่% ตราสารทางเลือกกี่%

หุ้น ก็แยกออกมาว่า หุ้นไทยกี่% หุ้นต่างประเทศกี่%

หุ้นไทย ก็ศึกษาหุ้นแบบรายตัว แบบผสมระหว่าง Bottom up & Top down

หลังจากที่ได้คุยกับนักลงทุนหลายท่านในปีที่ผ่านมา ทำให้ตกผลึกความรู้ด้านลงทุนมากขึ้น
เช่น อาจารย์ โจ ลูกอีสาน ,น้องมี่ ทิวา , พี่พีรนารถ ,น้องอ๊อฟ ซั่มหุ้น,น้องป๊อบ เม่ากลับใจ และอีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยถึง
ก็ยังคิดว่า ยังมีโอกาสทำกำไรจากหุ้นไทยได้ ถึงแม้หุ้นไทยจะไม่เติบโต ได้ฟัง ดร นิเวศน์
พึ่งบอกวันนี้ว่าปีนี้เป็นปีของหุ้นวีไอ เลยมั่นใจมากขึ้นว่าปีนี้น่าจะยังมีหุ้นไทยที่ราคาไม่แพง ลงทุนได้อีก
และปีนี้ถ้าหลังจากCovidผ่านไป คงได้มีโอกาสไปCV และเขียนสรุปมาฝากอีกเช่นเคยครับ

ส่วนหุ้นต่างประเทศ ก็หันไปลงทุนผ่าน ETF ของหุ้นประเทศต่างๆ หรือ ลงในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ
โดยเน้นลงทุนใน RMF เพราะเรามีลงทุนก่อนหน้าเพื่อลดหย่อนภาษีอยู่แล้ว ก็สามารถสับเปลี่ยนกองทุนเดิมมาลงทุนในกองหุ้นต่างประเทศ

วันนี้ฟัง ดร นิเวศน์ จากรายการMoneyTalk “Key takeaway กลยุทธ์วีไอ”
ก็บอกว่าหุ้นเวียดนามกำลังมา ดูกราฟราคา เริ่มขยับขึ้นจาก พย 2020 แล้ว
มีโอกาสกลับไปจุดเดิมที่เคยพีคในช่วงSubprime ก็หาETF เช่น VN Diamond ETF, E1VFVN3001 ลงทุน
ช่วงนี้ หุ้นเกี่ยวกับ การตัดต่อยีนส์ ก็เติบโตมาก ก็ไปดู ETF ของกลุ่ม ARK เช่น ETF ARKG ( ARK Genomic Revolution ETF )
รายละเอียดหาอ่านจากไอเดียหุ้นเด้งได้ครับ

หุ้นน้องแดม น้องตู้ ซึ่งเก่งในเรื่องหุ้นต่างประเทศ
ถึงเราศึกษาไม่ลึกเท่า แต่ก็ลงทุนเลียนแบบได้ อาจได้ผลตอบแทนไม่เท่า ก็พอใจในผลตอบแทนที่ได้รับ
โดยลงทุนผ่าน ETF QQQ(passive fund เกี่ยวกับหุ้นเทคโนในสหรัฐ หรือ กองทุน เช่น ONEUGG ที่ลงในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก

ส่วนหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่หลายๆกูรูมองว่าปีนี้น่าจะมา เช่น จีน อินเดีย เอเชียเหนือ ก็ไม่น่าจะพลาด โดยลงทุน
ผ่านกองRMFหลายๆที่ เช่น TMBCORMF สำหรับหุ้นจีน Ashare เป็นต้น

ส่วน commodity เช่น ทองคำ น้ำมัน ก็ลงทุนผ่านRMF ได้ ถึงจะเสียmanagement Fee แต่ก็สะดวกเวลาสับเปลี่ยนออก
ปีที่แล้วส่วนของcommodityก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี ปีนี้ทองคำก็น่าจะดีต่อ เพราะสหรัฐยังทำQEต่อเนื่อง
เงินเฟ้อ ทำให้คนไม่ถือ$มาถือสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงทองคำเพิ่ม

ตราสารหนี้ ก็มีไว้เพื่อสภาพคล่องเวลา ต้องใช้เงิน และมีดอกเบี้ยให้ทุกไตรมาส ซึ่งก็มีลงทุนในREITsเพื่อหวังปันผล
ใช้จ่ายระหว่างปีได้ และมีโอกาสลุ้นเด้งในปีนี้ด้วย

ช่วงนี้ยังต้องWFH และระวังCovid-19 ดังนั้น ก็ต้องมีประกันสุขภาพด้วยนะครับ
แต่จะลงธรรมดาก็ดูเหมือนไม่ใช่นักลงทุน ก็เลยลงทุนใน Unit Link ควบกับ ประกันสุขภาพเหมาจ่ายไปด้วย
ทำให้เราสามารถเลือกผลตอบแทนจากประกัน ด้วยการเลือกกองทุนที่เราชอบได้ด้วย
การเลือกกองทุนสามารถปรึกษาน้องโบ้ แฟนคุณทีน่าได้อีก

นึกถึงคำพูดนึงของอาจารย์ ชาย ว่า ระหว่างทางในการลงทุนต้องมีความสุขด้วย
ผมว่า การลงทุนแบบนี้ ก็น่าจะมีความสุขได้ครับ

ใครมีข้อคิดเห็นอย่างไรก็แลกเปลี่ยนกันได้ครับ
ส.สลึง
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3653
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ปีที่แล้วไม่ค่อยคิดว่าจะเป็นปีที่ดีนัก
แต่ก็ปรับพอร์ตไปปรับพอร์ตมา

บางธุรกิจกระทบน้อย ราคาไม่ค่อยลง
ตลาดเห็นคุณค่า ก็ไม่ยุ่ง เสียเวลา

บางธุรกิจกระทบบ้าง ราคาลงเยอะ
ก็แกะดู มีน่าสนใจบ้างไหม

แต่ถ้าธุรกิจที่กระทบน้อย
แต่ราคาลงมาเยอะ
อันนี้ต้องจัดให้หนัก

กลายเป็นอีกปีที่ไม่ค่อยได้พักผ่อน

โชคดีที่ผมได้ความมั่นใจ
มาจากระยะเวลาในอดีต
ที่เคยเก็บเกี่ยวข้อมูลไว้บ้าง
เปรียบเหมือนได้มีโอกาสกลับไปคบแฟนเก่า
ที่ถูกชายอื่นไม่เห็นคุณค่า

และโชคดีอีกประการ
ที่หุ้นมันดีดกลับขึ้นมาไวมาก

ที่ว่าผมโชคดี
ก็เพราะผมก็ไม่รู้หรอกว่าหุ้นมันจะขึ้นมาเมื่อไหร่

ปีที่แล้วเลยได้ผมตอบแทนมาสองดิจิต
แต่ก็แลกมาจากปีก่อนหน้าที่นิ่งๆ
ไม่ขึ้นไม่ลง

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ
ปีที่แล้วผมเริ่มทยอยไปบ้าง
ผ่านกองทุนรวมที่ใช้ลดหย่อนภาษี
นอกจากจะได้ไปลงทุนต่างประเทศ
ก็จะมีแต้มต่อด้วย
ส.สลึง
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3653
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 3

โพสต์

กด Submit เสร็จ
อ่าว ประเด็นคือกลยุทธ์ปี 64
คุยเรื่องปี 63 ซะหมด :oops:

สำหรับปี 64

ผมก็คง selective เหมือนเดิม
(พอร์ตทั้งหมดอยู่ในหุ้น)

ที่สำคัญคือไม่ลงทุนเกินขอบเขตที่มีความรู้

คือรู้ว่าตัวเองโง่เรื่องไหน
ก็แค่ไม่ต้องไปยุ่ง

ส่วนการลงทุนต่างประเทศ
เคยมองมาหลายปี

ผมคิดว่ามันมีข้อจำกัดหลายอย่าง
ที่เป็นอุปสรรคสำหรับตัวผมเอง

จนกระทั่งปีที่แล้ว
มีโอกาสไปฟัง ผจก.กองทุนของ บลจ. ท่านหนึ่ง

เออ มันมีกองต่างประเทศที่ไปลงกองแม่
ที่ค่อนข้างจะ Selective อยู่

ผมคิดว่าน่าสนใจเพราะตรงจริต
และผมก็ไม่คิดจะแหย่มากมายหลายกอง
ก็เลยเริ่มแหย่กองต่างนี้ดู
แต่แทนที่จะแหย่ตรงๆ
กองนี้มันมีแบบ rmf, ssf ด้วย

ผมก็เลยเลือกที่จะใช้บริการแบบมีแต้มต่อครับ
เป็นการบริหารภาษี+แผนเกษียณ
ยังไม่ใช่พอร์ตการลงทุนหลัก
wj
Verified User
โพสต์: 1255
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ตัวผมเองมีกลยุทธ์ลงทุนที่ conservative มาตลอด 17 ปี และผมว่ามันยังใช้ได้อีกนานครับ
ผมเองได้ผลตอบแทน +4x.xx%
- ปี 2019 เป็นปีเดียวที่ผมแพ้ตลาดในรอบ 15 ปี และปีเดียวที่ขาดทุนในรอบ 15ปี(2ปีแรกของการลงทุนจำไม่ได้ครับ)
ผมอยากให้แง่คิดคนรุ่นใหม่ว่า
- อย่าตามเซียน คนเชียร์หุ้น ไม่ว่าจะที่นี่ที่ไหน เพราะเขาอยากได้ capital gain เราเสียเปรียบ ผมไม่เคยซื้อตามใครเพราะไม่มีเหตุผลส่วนตัวเลย และไม่ค่อยฟังใครเท่าไหร่หากจะตัดสินใจซื้อหรือขาย การฟังความเห็นคนอื่นมีคุณค่ามาก
- หุ้นตกหนักๆ มักจะเกิดขึ้นได้ในรอบ 3 ปี หรือกี่ปีก็แล้วแต่ ซื้อให้หมด อย่าทนดูหน้าจอ ปิดไปเลย แล้วจะดีเองทุกครั้งที่ทำ แต่ต้องมีรายการหุ้นในใจ พร้อมข้อมูลแบบแน่ๆเสมอ ตัวผมเองก็ซื้อไม่หมดนะรอบล่าสุดโควิด เพราะหวังว่าปีนี้จะมีโอกาสอีก และตอนนี้เงินสดเหลือๆครับ
- ให้พิจารณาให้ดีว่าหุ้น pe สูงๆ นั้นรองรับการเติบโตหรือไม่ และเราขยันติดตามหาข้อมูลแค่ไหน ถ้าเราต้องพึ่งพาคนอื่น อย่าลงทุนในหุ้นเติบโตสูง
- รอให้เป็น ผมชอบเหลือเงินสด 30-50% ตลอดเวลา แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการสร้างผลตอบแทน เมื่อเราเอาเงินสดที่มีผลตอบแทนต่ำ + หุ้น อาจจะดูเสียเปรียบหากหุ้นขึ้นแรงๆ แต่นั้นแหละผมพิจารณาดีแล้วว่าหุ้นไทยไปไหนได้ไม่ไกลและมีโอกาสทุกๆปีไม่ต้องเสียดาย และเงินสดนี่เองที่ทำให้พอร์ตกระโดดได้ ผมทำแบบนี้มาหลายปีติดกัน(10ปีได้)แต่ผลตอบแทนก็ดูดีมากครับ 2019 ปีเดียวที่ผมขาดทุนและแพ้ set
- เข้าใจกิจการที่เราเรียกว่าคุณภาพ + พารามิตเตอร์ทางการเงิน ย้อนหลังหลายๆปีจะรู้ว่าบริษัทดีมันก็ดี บริษัทห่วยบางทีดีไม่กี่ไตรมาสก็กลับไปห่วยอยู่ดี มีเป็นวัฒนธรรมองค์กรยากที่จะเปลี่ยนในเวลาอันสั้น
- การแข่งขันในกิจการมีตลอดเวลา การค้นหาบริษัทใดๆ ต้องดูในอุตสาหกรรมทั้งหมดหรือส่วนใหญ่เพื่อเปรียบเทียบว่าตัวไหนดูดีกว่ากัน บางทีอาจจะต้องซื้อ 2 ตัวในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- มองหาโอกาสในตลาดที่เติบโตในตปท. ผมไปลงทุนในตปท.ปี 2020 ก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดีการเลือกหุ้นก็ใช้กลยุทธ์ด้านปริมาณในกิจการที่ไม่ได้เน้นคุณภาพมากนัก(เพราะเราอาจจะไม่รู้บริบทที่แน่ชัดในประเทศเหล่านั้นดี) เช่น พลังงานหมุนเวียน, การเงิน, สิ่งแวดล้อม เลือกตัวที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมไว้ก่อน เว้นแต่ว่ามีตัวที่ถูกแต่เป็นรองเล็กน้อย กิจการเหล่านี้ไม่ได้ฟาดฟันกันจนตายไปข้างหนึ่ง เป็นกิจการที่ลงทุนด้วยเงินสูง ผมได้หุ้นที่ปันผลเกืบ 10% ในช่วงหุ้นตกหนักๆ บริษัทหลายตัวมีการเติบโตยาวนานหลายปีมากๆ และปันผลไม่เคยลดลงเลยเป็น 10ๆปี เป็นต้น ส่วนกิจการที่ต้องอาศัยคุณภาพอาจจะลงได้แต่กระจาย
- ผมดูจากสถิติในพอร์ตพบว่าการลงทุนแนวนี้ซื้อหุ้นแล้วมีกำไรถูกถึงเกือบ 80% เลยครับ จึงเพียงพอในการลงทุน

4ข้อต้องเรียนรู้
1.พื้นฐานทางการเงิน ประกอบด้วย แนวคิดทางการเงินและ การบัญชี อันนี้ผมว่าไม่ได้ยากนะครับไม่ต้องรู้ระดับเทพ เราแค่นักลงทุน
2. biz model เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางธุรกิจ เงินมาอย่างไร ไปอย่างไร อ่าน f56-1, financial report ,หนังสือชี้ชวน, อ่านเยอะๆด้านวิทยาศาสตร์ ธุรกิจ สร้างจิตนาการให้ได้
3.วิเคราะห์งบการเงิน ด้วยparameter ทางการเงิน รู้จักข้อจำกัดของมันด้วย
4.แนวคิดในการตัดสินใจในการซื้อหุ้น ปรัชญาการลงทุนเพื่อเตือนใจเราอยู่เสมอ
"คำถามสำคัญกว่าคำตอบนะครับ"
ขอให้น้องๆพี่ๆเพื่อนทุกท่านประสบผลสำเร็จ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 5

โพสต์

กลยุทธ์วีไอ ตอนที่3 ในปี64
นพ พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี
ดำเนินรายการ โดย อาจารย์ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
และ อาจารย์ นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อ นิเวศน์ ถามว่า ปีที่แล้ว เป็นอย่างไร
พี่หมอ เติบโตสองหลัก

ส่วน อ นิเวศน์ บอกว่า เจ็บในปีที่แล้ว หมายถึงเจ็บใจ
ปีนี้ ถามพี่หมอว่าปรับเปลี่ยนอย่างไรในปีนี้

พี่หมอ บอกว่า ผลจากแค่หนึ่งปี ไม่ได้บอกอะไร ไม่มีความหมาย
ต้องดูยาวๆไป ถึงแม้ดีมาหลายปีก็ตาม
ระยะยาว กลยุทธ์ส่วนนึง
มักจะมองไปข้างหน้าสามถึงสี่ปี
ถ้าบริษัทสามารถเติบโตได้ ก็ถือต่อ
หรือ ถ้าเจอบริษัทใหม่ที่ยังโตได้สามปี ก็ซื้อได้
บางบริษัทดูมีปัญหา ก็จะเปลี่ยนโดยขายไปซื้อตัวใหม่
โดย ถ้าบริษัทนั้นกลับมาเมื่อไหร่ ก็จะไปซื้อกลับมา

ปีที่แล้ว ถือหุ้นประมาณ 5-6 ตัว
ไม่ถือเพิ่มเพราะ ถึงแม้มีหลายตัว(10-15)อยู่ในwatch list
แต่ยังไม่น่าสนใจจะซื้อ อาจมาจากราคายังไม่ได้

อ ไพบูลย์ ถามว่า จะถือหุ้นเต็มพอร์ตใช่ไหม
พี่หมอ บอกว่า ปกติก็ถือเต็มพอร์ต รวมถึงณ ขณะนี้
บางครั้งก็อาจมีถือเงินสดบ้าง เพราะมีขายหุ้นบางตัวไป
และรอว่า ราคาได้เมื่อไหร่ก็จะซื้อกลับมา

อ นิเวศน์ ถามว่า มีไปถือหุ้นต่างประเทศหรือเปล่า
พี่หมอ ตอบว่า ไปซื้อกองทุนในเวียดนาม
ซึ่งไม่ใช่สไตด์การลงทุนของพี่หมอ
เพราะว่า มีอุปสรรคในการลงทุนในต่างประเทศ และไม่ได้ถือเยอะ
เลยซื้อผ่านกองทุนรวม เป็นการเรียนรู้มาระยะนึง
เริ่มจะเข้าใจ Frontier market ex Vietnam
ถ้าวันนึง ตลาดหุ้นไทย ไม่ดีเท่า ก็จะย้ายไปเวียดนามมากขึ้น
ส่วนหุ้นเทคในต่างประเทศ ราคานี้แพงไป เคยซื้อและขายไปแล้ว

อ นิเวศน์ ถามว่าปีน้ีหุ้นไหนน่าจับตามอง
พี่หมอ บอกว่า มีดูอยู่10-15 ตัว ที่เพิ่มmarket share ในขนาดที่ไม่โตมาก
หมายถึงมีroomที่สามารถเพิ่มmarket share
ถ้าดีกว่าตัวเดิม ก็จะเปลี่ยนไปลงตัวใหม่ในwatch list
กลุ่มน่าสนใจ คือ กลุ่มอาหาร ค้าปลีก ธุรกิจตัวแทน
ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่เริ่มกินmarket shareบริษัทอื่น
และต้องมีroomที่จะสร้างmarket shareได้อีก เช่น มีแค่10-15%
สามารถโตไปที่ 30-40% ได้ เป็นบริษัทที่น่าสนใจแล้ว
แต่ถ้าบริษัทไหนที่มี market share 70% แล้วก็โตตามตลาดจะไม่สนใจ
ดังนั้น ไม่ขึ้นกับว่า บริษัทเล็กหรือบริษัทขนาดใหญ่

อ ไพบูลย์ ถามว่า เน้นหุ้นวีไอ หรือ หุ้นเติบโต
พี่หมอ บอกว่า เปรียบเทียบหลายอย่าง
หุ้นวีไอ ต้อง Deep value. มาก เช่น มีมูลค่าตำ่กว่า50% ลงทุน3ปีน่าสนใจ
ส่วนหุ้นเติบโต จะซื้อตอนที่มีปัญหา จะดูน่าสนใจที่สุด ถ้าราคาแพงก็รอ
เรื่องสภาพคล่อง ก็ดู ถ้าmarket cap ต่ำกว่า 10,000 ลบ ไม่น่าศึกษา
ดังนั้นหุ้นที่พี่หมอสนใจ จะมี market cap มากกว่า 10,000.ลบ
หรือ บริษัทที่มี market cap 4,000 ลบแต่จะโตมากกว่า 10,000 ลบ ก็ได้
หุ้นที่มี PB ต่ำ แต่ถ้าไม่ได้ศึกษามาก่อน ก็จะไม่กล้าซื้อ
เพราะเราประเมินมูลค่าไม่ถูก ความสามารถเราไม่พอ ต้องยอมผ่าน
ไปดูหุ้นที่เราศึกษาดีกว่า

อ นิเวศน์ ถามถึงวิธีในการศึกษา
พี่หมอ บอกว่า บางธุรกิจที่ไม่ยาก ก็ดูผ่านopp day
แต่บางธุรกิจที่ยาก ก็หาโอกาสไปพบและพูดคุยกับผู้บริหาร

อ นิเวศน์ ถามหุ้นในwatch list เป็นหุ้นเดิมใช่ไหม
พี่หมอบอกว่า ก็มีตัวใหม่ เพราะบางบริษัทที่มาIPOใหม่
หรือบริษัทเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งพี่หมอ ทำเท่าที่ทำได้ เพราะทำคนเดียว ไม่สามารถสกรีนได้มากกว่า 15ตัว

อ ไพบูลย์ บอกว่า กลยุทธ์ ของพี่หมอ ถ้ารู้จักจริงๆ จะถือในสัดส่วนที่มาก
พี่หมอ บอกว่า จริงๆไม่ได้ตั้งใจถือเยอะ แต่ราคาลงมากเกินไป
เราก็ซื้อไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ไม่ซื้อแล้ว
บางตัวมีให้ซื้อทุกปี จนถือเป็นสัดส่วนที่เยอะ
เรื่องการบริหารบริษัทที่ถือ ไม่เคยคิดไปบริหาร
ถ้าผู้บริหาร ทำได้แย่กว่าเรา ก็จะไม่เข้าไปถือหุ้นนั้น

อ ไพบูลย์ บอกว่า พี่หมอ รู้เรื่องรพ ดี แต่ทำไมไม่ถือหุ้น รพ
พี่หมอ ตอบว่า เคยซื้อ แต่ ธุรกิจโตช้า ลงทุนเยอะ รอนานกว่าจะเก็บเกี่ยว
ธุรกิจโตได้ต้องใช้เงินลงทุน ไม่ใช่Growth stockที่น่าสนใจ
นอกจากช่วงนึง ที่รพ ขนาดใหญ่ไปซื้อรพ ขนาดเล็กและโต
หรือช่วงที่ต่างชาติเข้ามารักษาในไทย
ช่วงปกติ รพ กำไรไม่เติบโตเร็วมากนัก
ส่วนเรื่องMega trend เรื่อง Aging Society
เห็นด้วย แต่ควรลงทุนในช่วงที่คู่แข่งเข้ามาได้ยาก
แต่ช่วงนี้ถือเป็น Red ocian ไม่น่าสนใจ

อ นิเวศน์ ถามว่าอุตสาหกรรมไหนน่าสนใจ
พี่หมอ บอกว่า Digital technologyน่าจะมา
แต่ในไทยไม่มี แต่เราสามารถศึกษาบริษัทที่อยู่ในsupply chain
หรือบริษัทที่มีrelate กับบริษัทเหล่านี้
บางsecmentที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์เหล่านี้
มีหลายธุรกิจที่มีขนาดเกิน 10,000 ลบ

อ ไพบูลย์ ถามว่า ปีนี้มองว่านักลงทุนวีไอจะได้ผลตอบแทนดีหรือไม่
พี่หมอ มองว่า ตลาดหุ้นปี64น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
อัตราดอกเบี้ยต่ำ มีโอกาสเติบโตได้อีก ภาพรวมน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
หุ้นวีไอ ต้องดูเหมือนกัน หุ้นวีไอบางตัว เช่น ท่องเที่ยว ขึ้นมาเร็วเกิน
ปีหน้าจะไปต่อได้อย่างไร
หุ้นสถาบันการเงินก็ขึ้นเร็ว ถ้าหนี้เสียคุมได้ ก็ไปต่อได้
ต้องประเมินว่าหุ้นแต่ละตัวจะขึ้นต่อได้จากผลประกอบการในอีก3ปีหรือเปล่า

ส่วนหุ้นปันผล ไม่ค่อยประทับใจ ได้แต่ปันผล หุ้นไม่ค่อยไปไหน
ธุรกิจที่ปันผลดี โอกาสเติบโตไม่ค่อยมีมาก
ถ้าเราเจอโอกาสดีกว่านี้ หุ้นปันผลถือว่าเป็นทางเลือกที่สอง

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ สามปีนี้ ยังมองบริษัทไทยยังไปต่อได้
แต่เลยสามปี ก็ไม่แน่ใจว่าไปต่อได้ ดังนั้นอีกสามปีข้างหน้า
อาจเป็นเรื่องจำเป็นต้องออกต่างประเทศอย่างจริงจัง
เช่นบางบริษัทที่กินmarket shareเกือบหมดแล้วจะโตต่อได้อย่างไร
การลงทุนในเวียดนาม ซึ่งคล้ายไทย เลยสนใจลงทุนในเวียดนาม
ซึ่งถือว่าเรารู้จริง เทียบกับหุ้นเทคโน ซึ่งราคาแพงไปเเล้ว
ส่วนจีน ก็กลัวเรื่องรัฐบาลเข้าไปแทรกแซง ถ้าจะลงก็เลือกเวียดนามดีกว่า
เพราะมีโอกาสโตได้มากกว่าไทย

อ ไพบูลย์ ถามว่า นักลงทุนวีไอ เริ่มลงทุนสิบกว่าปี
และพอร์ตใหญ่ ตอนนี้เริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปหาอะไรที่passiveและมั่นคงมากขึ้น
พี่หมอตอบว่า ยังลงทุนเหมือนเดิม ยังพอเห็นธุรกิจเติบโตอยู่
ในอีกสามปี พี่หมอ ยังสนุกกับการลงทุนอยู่
อ ไพบูลย์ บอกว่า พี่หมอ ติดtop5ที่ไม่ได้เป็นนักธุรกิจที่เป็นเจ้าของบริษัท
พี่หมอ บอกว่าเป็นความสุขในการหาบริษัทที่เติบโตและลงทุนไปกับบริษัท
ถือว่าเป็นความสนุก ที่เราเห็นแต่คนอื่นไม่เห็น

สุดท้ายขอขอบคุณ อ ไพบูลย์ อ นิเวศน์ และ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ มากๆครับที่มาให้ข้อมูล
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 6

โพสต์

กลยุทธ์วีไอปี64 ตอนที่4
คุณพีรนารถ โชควัฒนา

พิธีกรดำเนินรายการ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร นิเวศน์. เหมวชิรวรากร

อ นิเวศน์ถามว่า อยากให้เล่าภาพในปี63 หลังจากนั้นค่อยเข้าประเด็น
พี่พี บอกว่า เป็นFailureอย่างหนักในช่วงต้นปี63
แต่อยากเล่าย้อนหลังไปในช่วงปลายปี62
ช่วงเดือนพย 62 มีปัญหาคอนโดที่จะต้องโอนปี63เยอะที่สุดในชีวิต
คือประมาณ 13-14 ห้อง แล้วบางโครงการดึงเข้าโอนในเดือน ธค 62
ผมกู้มามากแล้ว ที่โอนใหม่ต้องจ่ายเงินสดหมด
ต้องเสียเงินสดค่อนข้างเยอะ ต้องเอาจากไหนมาโอน
พอช่วงCovidมา ถือเป็นBlack swan เพราะหุ้นที่ถือเยอะสุด
ราคาลงมา ที่ 1.08 บาท อีกตัวราคาลงจาก12 เหลือ 4บาท
ผมใช้marginอยู่แล้ว ก็มีปัญหาหนักมาก
ทำให้คิดถึงอาจารย์เลยว่า ปลายปีที่แล้ว คงไม่ได้ออกรายการแน่
จบชื่อเสียงไปเลย
ส่วน อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่าตัวเองอาจต้องปิดรายการMoneytalk
และพอร์ตก็ลดลงไป50%

พี่พีพูดต่อ Ananตอนเข้าตลาดด้วยเกณฑ์ market cap ยังไม่มีกำไรเลย
ตอนเข้าไปช่วงต่ำสุดคือ 1.75 บาท ไม่ได้นึกว่าบริษัทราคาจะลงไปลึกขนาดนั้น
ไม่ได้นึกถึงว่าจะถูกcall หรือ Force sell
ในวันที่หุ้นลงมาเรื่อยๆ ยินดีขายคอนโด และ หุ้นที่ขาดทุน
หุ้นที่ต้องขาย40-50ล้านหุ้น แต่มีBidแค่แสนหุ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขายออก
ถ้าขายลงไป ก็ทำร้ายตนเอง เพราะราคาจะลงไปด้วย
เงินสดก็ไม่มีเพราะโอนคอนโดไป 3ห้อง ถ้ารู้ว่ามีปัญหาแบบนี้ก็ทิ้งดาว์นคอนโดไปแล้ว
ดังนั้นเราไม่ได้เตรียมเงินสดไว้ แต่มีหุ้นที่อยู่ในบัญชีเงินสด
เราเตรียมขายเพื่อจะไปโอนคอนโดที่ต้องโอนช่วงนั้น
สิ่งที่ต้องทำ คือ หุ้นที่ถือเป็นตัวเล็ก ไม่สามารถเอาไปค้ำประกัน
ส่วนตัวที่รับ เพื่อโอนไปค้ำประกัน ก็โอนไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พอตลอด

คอนโดคิดว่าจะขายได้ไหม ผมลดราคาก่อนเจ้าของคอนโดเสียอีก
คุณบอย ท่าพระจันทร์ โอนขายพระเครื่องง่ายกว่าผมอีก
เลยเข้าใจคนที่คิดฆ่าตัวตาย
ผมเลยมาเล่าในส่วนที่พลาดขนาดหนัก ให้คนในรายการฟัง
ผมไม่มีโอกาสที่ซื้อ แต่คิดว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร
นอนไม่หลับมาหลายสัปดาห์
แหล่งแรกสุด คือ ยืมเงินจากครอบครัว แต่ไม่ใช่ทุกคนจะให้ยืม
เลยต้องหาคนที่มาซื้อbiglot ให้ได้ สุขภาพแย่ ต้องalertตลอดเวลา
คุณแม่ส่งคำเทศนามาให้พี่พีฟัง ช่วงนี้เลยได้ฟังคำเทศนา
ในที่สุด คือแก้ปัญหา ใช้สมองแก้ไม่ได้ เลยใช้วิธี
คุกเข่าสวดมนต์ ในที่สุด เราไม่คิดว่าบางคนที่เราไม่คิดรบกวน
ก็มาอาสาแก้ปัญหาให้
เขามาช่วยซื้อหุ้นไป และก็มีคนlineมาถามให้ หุ้นกู้Anan
ปลอดภัยไหม ผมก็ไปช่วยรับประกันให้ ทำให้เราดีขึ้นในเรื่องหุ้น
ทำให้ผมสามารถผ่านสิ่งเหล่านี้มาได้

ทำให้มีเวลาไปอ่าน Why we sleep ที่Bill Gatesแนะนำ
เเละเลื่อนเวลานอนจากตีหนึ่งมานอนสี่ทุ่มแทน
แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ผมก็อธิษฐานทุกวัน และนอนหลับได้เร็วขึ้น
สุขภาพก็ดีขึ้น
ช่วงเดือน มีนาคม และ เมษายน หนักสุด และช่วงเดือนพฤษภาคมก็เบาลงเเล้ว

ปัญหาหุ้นก็เบาลง หลังหุ้นreboundขึ้น ที่มีmarginก็พอซื้อหุ้นได้แล้ว
แต่ปัญหาคอนโดยังไม่จบ จริงๆก็ปล่อยยึดไปก็ได้
แต่ก็ไม่อยากให้ยึดคอนโดไป
อยู่ดีๆก็มีคนมาติดต่อขอซื้อคอนโด แน่นอนครับว่าราคาขายก็ขาย
ขาดทุน30-40% ผมขายก่อน developerอยู่แล้ว
โดยขายคอนโดที่ไม่ชอบ และ โอนคอนโดที่ชอบเก็บไว้โดย
ขายคอนโดที่มีอยู่ไป กำไรบางคอนโดก็ลดลงเยอะมากเทียบกับคนอื่นขายก่อนหน้า
ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายสิ่งต่างๆที่เจอมา ก็ผ่านไปให้ (ลุ้นแทนพี่พีซะเหนื่อยเลย
ไม่เคยทราบมาก่อนว่าเจอขนาดนี้ พี่พีไม่เคยเล่าสิ่งเหล่านี้มาเลย)

เหตุการณ์ช่วงเมษายน ที่รอดมาได้ หลังจากรู้จักกับพระเจ้าและอธิษฐานทุกวัน
ตอนที่เคยเป็นกรรมการมา2ปีของบริษัทSinger คนที่ส่งผมไปเป็นกรรมการ
ต้องการเอาผมออกจากการเป็นกรรมการ ซึ่งผมมีความรู้สึกเสียใจมาก
ว่าเราไม่เคยทำอะไรผิดเลย ผมทำเต็มที่ในฐานะกรรมการ
อันนี้อาจเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ไม่เคยใช้marginกับหุ้นSinger
เพราะขี้เกียจมารายงานตลาดหลักทรัพย์ ตอนขายอาจโดนว่า
ผมมานั่งคิดดูว่า เขาไม่ไว้ใจในการมาเป็นกรรมการsinger
แต่คิดว่าsingerเป็นบริษัทที่ดี เลยซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นเยอะเลย
ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ว่า ถ้ายังเป็นกรรมการอยู่ก็คงไม่ได้ซื้อหุ้นนี้เยอะขนาดนี้
โดยใช้marginส่วนนึง และ เงินจากการขายหุ้นAnanส่วนนึง
ตอนนั้น คนที่เลือกซื้อหุ้นระหว่างAnanกับ Jmart เขาเลือกAnan
ผมก็ดีใจว่าทุกคนที่ช่วยซื้อหุ้นbig lotจากผม ทุกคนกำไรหมด แต่ผมขาดทุนคนเดียว
แต่กลายเป็นว่าถ้าตอนนั้น ไม่เคยคิดจะขายหุ้นAnan
แต่พอดีต้องหาเงินสดเลยต้องขายAnanไป
และหลังจากน้ันก็เลือกซื้อหุ้นอีกหลายตัวที่out performมากๆ

rvกลายเป็นว่า failureของปีที่แล้ว กลายเป็นSuccessful Failure

เจ้าของAmazonเคยพูดไว้ว่า ไม่ต้องกลัวFailure เพราะในที่สุด
เราก็ได้เรียนรู้จากFailure
เมื่อก่อนมีความเกรงใจตอนขายหุ้น หรือ คอนโดออก
แต่ตอนนี้เคยขายหุ้นหรือคอนโด ตอนที่ขาดทุน
เราก็ขายหุ้นหรือคอนโดตอนที่กำไรได้
คุณอดิศักดิ์ จากJmart ก็มาบอกว่า เห็นคุณลงทุน และหุ้นขึ้นลงหลายรอบ
คราวหน้าก็ขายหุ้นไปบ้างก็ได้ ตอนหุ้นขึ้น
ไม่ใช่ถือตลอด ตอนหุ้นขึ้น ลง
ทำให้เราเปลี่ยนไป ขายขาดทุนได้ เปลี่ยนทัศนคติใหม่
ผมได้ตายไปและเกิดใหม่
ทุกสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นของพระเจ้า และผมเป็นผู้บริหารแทน
บริษัทหลานปู่ที่บริหารให้ครอบครัว ไม่ค่อยขาดทุน มีการขายตอนกำไร
ตอนนี้พอร์ตตัวเอง จะไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวแล้ว

มุมมองปีนี้จะเปลี่ยนไป ถ้าหุ้นขึ้นไปก็จะขายเพราะผมบริหารไม่ใช่เจ้าของ
ทำให้การตัดสินใจลงทุนดีขึ้น
เมื่อก่อนหุ้นขึ้น ก็เกรงใจเจ้าของ เลยไม่ขาย
ตอนนี้พอร์ตยังลดลงเมื่อเทียบกับพอร์ตปลายปี62
เดือนธค เริ่มคืนหนี้เงินกู้ แต่ยังไม่ได้คืนmargin
ตอนนี้ถ้ามีคนสนใจคอนโดที่ผมไม่ชอบ สามารถขายขาดทุนได้
เพราะมีผ่อนคอนโดสิบกว่าหลัง และยังต้องรอโอนอีก

อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า จริงๆแล้ว คุณพีรนารถ รู้จักคนเยอะในวงการการลงทุน
ถ้าบอกว่ามีสินทรัพย์ที่จะขาย ก็มีหลายคนสามารถมาช่วยได้
เพราะกลุ่มวีไอที่รู้จักกันมา ไม่ใช่กลุ่มรู้จักฉาบฉวย สามารถช่วยเหลือกันได้
หุ้นที่เสนอขายเป็นBig lot ก็น่าสนใจซื้อในราคาที่สมเหตุผลตอนนั้น
แต่ที่ผ่านมา คุณพีรนารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
พี่พี บอกว่า หลังจากเหตุการณ์นั้นเเล้ว มีหลายคนพูดเหมือน
อาจารย์นิเวศน์ว่า ไม่รู้ว่าจะเจอหนักขนาดนี้ ไม่งั้นก็สามารถช่วยเหลือกันได้

อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่า พี่พีถือเป็นน้อยคนที่มาเผยบทเรียนที่พลาดมา
และมาเล่าหลายครั้งแล้ว
ซึ่งถือเป็นบทเรียนให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่จะได้เรียนรู้และระวังไว้


อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า ถือเป็นอุทาหรณ์
นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่เคยเจอแบบนี้ ได้ยินแต่success story

ถามเรื่องกลยุทธ์การลงทุนในปี64จะทำอย่างไร
พี่พีตอบว่า ลงทุนแบบวีไอ ลงทุนในบริษัทที่รู้จัก
ส่วนcommodityก็ไม่คุ้นเคยและไม่อยากศึกษา
ปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
ดูบริษัทที่ช่วงq2 63 ไม่ขาดทุน ช่วงที่แย่สุด ยังมีกระแสเงินสดอยู่
ดังนั้นบริษัทเหล่านี้ ก็สามารถอยู่รอดได้ในปีนี้
บริษัทที่มีPE20-30เท่า ส่วนกลับของpeคือ กำไรคิดเป็น 3.3%สำหรับPE 30เท่า
ถ้าปันผลครึ่งนึง คิดเป็นปันผล 1.7%ก็ไม่เลว
แต่จริงๆพี่พีคงไม่ซื้อหุ้นตอนPE 30 เพราะมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยmargin6%ด้วย
พี่พีซื้อหุ้นที่PE20เท่าก็พอไหว อาจขาดทุนดอกเบี้ยบ้างนิดหน่อย
ดังนั้นปีนี้ยินดีถือหุ้นที่ซื้อตอนPE 20 ถือยาวจนถึง PE 30ได้

หุ้นกลุ่มอสังหา ปีที่แล้วดูดีหลายตัว แต่ตลาดไม่ให้peสูงเลย
อาจมีปัญหาในส่วนของคอนโด แต่ถ้าเป็นส่วนแนวราบ
และราคาต่ำกว่าBook valueเยอะ PEไม่สูงมาก ก็น่าสนใจ
พี่พี ก็ยังมีหุ้นอสังหาอยู่ไม่ได้ขาย เลยต้องbalance port
อาจมีswitchในกลุ่อสังหาด้วยกัน
แต่สินทรัพย์อื่น ไม่ยุ่ง เช่น บิตคอย ทอง
ส่วนหุ้นต่างประเทศ พยายามปิดหูไม่ฟัง ถ้าไปลงทุนก็เป็นฐานคนอื่นแน่
ไม่ใช่เวลานี้ที่จะไปต่างประเทศ
ผมบริหารเงินให้คนอื่นและบริหารให้พระเจ้า กำไร30%คนถือก็appriciateแล้ว

อาจารย์ไพบูลย์ ถามถึงในเเง่มุมมองความเสี่ยง
ปรับให้เข้ากับความเสี่ยงที่ไม่Take risk อย่างไร
พี่พีตอบว่า ก็พยายามขายคอนโดออกไป และก่อนจะซื้อคอนโด
จะตอบถามพระเจ้าก่อนซื้อ

อาจารย์นิเวศน์ ถามว่าจะมีวันที่ลดขนาดพอร์ตลงโดยไม่ใช้marginหรือเปล่า
พี่พีตอบว่า มีโอกาสที่จะลดพอร์ตลง ไม่ใช้marginครับ
แต่ต้องใช้marginช่วงนี้ไปก่อน ไม่งั้นก็ไม่สามารถคืนหนี้ได้
หุ้นธนาคารดูก็ถูก แต่ไม่ได้ศึกษา
หุ้นjmartที่ซื้อ ตอนแรกขายมือถือ ตอนนี้เปลี่ยนไปปล่อยกู้แล้ว
เขามีexprosureค่อนข้างสูงอยู่แล้ว

อาจารย์ไพบูลย์เสริมว่า คุณพีรนารถบอกว่าไม่เชี่ยวชาญหุ้นกลุ่มอื่นๆ
แต่ตอนเรียนวิศวะจุฬา ได้เกียรติ์นิยมเหรียญทองอันดับหนึ่งนะครับ
Background คือ ถ้าจะศึกษาอะไรจริงๆก็สามารถทำได้
และที่บอกว่าไม่รู้จริงๆ ก็รู้มากกว่าคนอื่นได้
จริงๆคุณพีรนารถ จะลงทุนแต่สิ่งที่ตัวเองถนัด ถือเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ได้

อาจารย์ไพบูลย์ สรุปก่อนจบสัมมนาว่า
สุดท้ายเงินไม่ใช่สิ่งสุดท้ายของชีวิต ไม่ต้องมีเงินหลักหลายสิบล้าน
แต่ใช้สิ่งชีวิตอย่างมีความสุข

ขอขอบคุณ พี่พีรนารถที่มาเปิดใจถึงบทเรียนอันมีค่ากับผู้ฟังรายการนะครับ
ขอขอบคุณ อาจารย์ไพบูลย์ และ อาจารย์นิเวศน์ที่เชิญพี่พีมาออกรายการและสัมภาษณ์ประสบการณ์ในช่วงCovidด้วยครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 7

โพสต์

กลยุทธ์วีไอปี64 ตอนที่5 ในปีแห่งการฟื้นตัว
ข้อคิด:การลงทุนในต่างประเทศ?
และเส้นทางลงทุนกับเส้นทางธรรม
โดย อาจารย์ชาย มโนภาส

พิธีกรดำเนินรายการ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร นิเวศน์. เหมวชิรวรากร

อาจารย์นิเวศน์เริ่มคำถามแรก กับอดีตนายกThaivi
ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ไหม
เพราะเจอหุ้นที่อยู่ๆก็ขึ้นและลงทีละ20-30%
Volumnซื้อขายของSETสูง 100,000กว่าล้านบาท

อาจารย์ชายตอบว่า สำหรับผม หลักการลงทุนในการลงทุนแบบวีไอก็เหมือนเดิม
ถึงแม้สภาพแวดล้อมในการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไป
ผมอ่านresearchของตปท ตอนนี้ในโลกสภาวะที่คล้ายกัน
เงินล้นโลก ปริมาณเงินM1,M2 สภาพคล่องสูงล้นโลก
การเก็งกำไรก็สูง สินทรัพย์แบบบิตคอยก็ผันผวนสูง
ดอกเบี้ยต่ำ คนเลยเอาเงินไปลงทุนแบบเสี่ยงดีกว่า
ไม่แน่ใจที่ขึ้นจาก ปัจจัยพื้นฐาน หรือ การเก็งกำไร

หลักการของผมคล้ายเดิม ที่เปลี่ยนแปลงคือ
สนใจในบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น จากการอ่านresearch
ทุกอย่างจะต่อเชื่อมกันด้วยinternet
4Gที่เกิดขึ้นทำให้การเชื่อมโยงผ่านinternet
ข้อมูลข่าวสาร ทั้งข้อมูลวิเคราะห์ ด้านสาระ และบันเทิง
ข้อมูลได้รับการเชื่อมผ่าน4G
พอ5Gเกิดขึ้น ผมเชื่อว่า
การเชื่อมโยงinternet of thing (IOT)มากขึ้น ซึ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม 100 เท่า
เปรียบเหมือนกับ ถนนเปลี่ยนจาก 1 เลน เป็น 100เลน
การเชื่อมโยงของอุปกรณ์ง่ายขึ้น
เช่น Telemedical, Smart Manufacturing , Autonomous จะสนใจมากเป็นพิเศษ
ที่เปลี่ยนไปในการดู Ratio เช่น PB จะมีผลค่อนข้างมาก ซึ่งสินทรัพย์เมื่อก่อนเรามาจาก
Manufacturing base สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะเป็นสินทรัพย์จับต้องได้(Tangible )
ต่อไปเชื่อว่า สินทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็น สินทรัพย์แบบจับต้องไม่ได้ (Intangible)
เช่นบริษัท Software company
ต้องดูทรัพย์สินมากกว่าเดิม มีpatientอะไรบ้าง Softwareอะไรบ้างที่ก่อให้เกิด
กระแสเงินสด
อะไรที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่ลงทุนเหมือนเดิม

อาจารย์ไพบูลย์ถามอาจารย์นิเวศน์ ว่าหุ้นที่ผันผวน ได้กำไรในเวลาเพียง1-2 วัน
อาจารย์นิเวศน์ตอบว่า ไม่ทำอยู่แล้ว ไม่สามารถปรับตัวไปลงทุนแบบนี้ได้
คนรุ่นใหม่คิดกำไรกันเป็นรายวันเช่น ต้องได้วันละแสนบาท
เขาจะทนไหวเหรอ ที่ถือหุ้นและไม่ไปไหนเลย แต่หุ้นอยู่บนกระดาน
ที่ขึ้นทุกวัน เลยย้ายไปหุ้นที่ผันผวน ตอนนี้หุ้นที่ถูกconnerกำไรวันละ
25% แต่เขาบอกว่ามีวิธีในการลงทุน
มีผู้นำในการจับตาหุ้นแต่ละตัว อาจารย์ไม่อยากไปยุ่งถึงแม้จะเจ็บใจก็ตาม
หุ้นที่ถือจะนิ่งไปอีกกี่ปี

อาจารย์ไพบูลย์บอกว่า ประวัติศาสตร์สอนเราว่า
ปีนี้จะมีนักลงทุนรวยหุ้นด้วยการลงทุนแบบนี้100คน
แต่พอผ่านไปปีนึงจะเหลือแค่5คน อีก90กว่าคนก็ตายจะตลาดไป
เป็นแบบนี้มาตลอด ใครจะเป็น5คนที่รอดซึ่งจะรวยมากๆ
และจะไปสร้างความรู้สึกว่าลงทุนแบบนี้จะได้กำไรมากๆ

กลับมาถามอาจารย์ชายว่า ที่พูดมาทั้งหมดในไทยมีไหม
อาจารย์ชายตอบว่า เมืองไทยหายาก เพราะเรายังเป็นmanufacturing base
และขึ้นกับการท่องเที่ยวด้วย(17%ของGDPในปี62)
ถ้าเป็นเทคโนโลยีสูง , Software company , Software as a service
หายาก ถ้ามีก็จะเป็นบริษัทเล็กๆ 2-3 บริษัทในตลาดต่างประเทศ
แต่หาได้เยอะในตลาดต่างประเทศ
ถ้าเป็นนักลงทุนในตลาดมา5ปี ควรศึกษาสัก1-2ปี
เพื่อศึกษาความรู้และกฏเกณฑ์ต่างๆ
แต่ถ้าใครที่คิดว่าเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ไปลงทุนตปทก็จะได้ความรู้กว้างขวาง
นำไปใช้กับตลาดหุ้นไทยได้ แต่ต้องระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย
เพราะภาพแมคโครเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน
เช่นในละตินอเมริกา อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน10%กว่า
ถ้ากำไรหุ้นแล้วมาขาดทุนค่าเงิน อยู่ตลาดหุ้นไทยจะดีกว่า

อาจารย์ไพบูลย์ถามว่า มีบลจเปิดกองทุนใหม่ๆเยอะ โดยเฉพาะ
ไตรมาสสี่ปีที่แล้ว นักลงทุนไทยซื้อกองทุนหุ้นแบบนี้ดีไหม
อาจารย์ชายตอบว่า เป็นทางเลือกที่ดี กองทุนมีหลากหลายต้องจัดสรรให้ดี
หลายกองคิดค่าธรรมเนียมค่อนข้างแพง ซื้อตรงจะดีกว่า
ถ้าเราเชื่อใจ ผจก กองทุน และถืออย่างเข้าใจ
แต่ไม่เห็นด้วยที่ซื้อกองทุนตามแห่
อยู่ดีๆNAVกองทุนลดลงอย่างมาก
ดังนั้นควรศึกษากองทุนให้ดีก่อนลงทุน เหมือนกับการซื้อหุ้น
ที่เราต้องศึกษาก่อนการลงทุน ให้รู้ว่ากิจการทำอะไรอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร

เราต้องรู้ว่า กองทุนนี้ปันผลหรือเปล่า มีการhedgeอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่
ลงทุนfeeder fundกองเดียวหรือเปล่า

ปี63ลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน20%ของport
ปีนี้ก็คงสัดส่วนเท่าเดิม เพราะยังลงทุนหุ้นไทยได้ดี
ต้องรักษาสุขภาพ เพราะการลงทุนต่างประเทศ ต้องนอนดึกเพื่อดูหุ้น
บริษัทที่ขึ้นราคาสูงๆได้ในต่างประเทศ ทุกๆปีต่อเนื่องยาวนาน
มีค่อนข้างมาก แต่หายากในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ยังมีบริษัทที่น่าสนใจเหลืออยู่บ้าง
ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Domestic play ทางด้านบริการ
แต่ถ้าพวกการผลิต ไม่ค่อยมีหุ้นในเมืองไทยมากนัก
มีบ้างซึ่งไม่ได้ลงcapexไม่มาก แต่สามารถขยายงานต่อไปเรื่อยๆ

ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามมีpotential
อาจารย์ชายมองว่าศักยภาพในการลงทุน ไม่สามารถลงทุนได้3-4ประเทศ
ผมเลยลงทุนในต่างประเทศแค่ที่เดียว ไม่ต้องไปศึกษา accounting policy
หลายประเทศ ซึ่งมีกฏเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน
การลงทุนในไทยได้ผลตอบแทนชนะเงินฝากมาหลายปี
มีecosystem ที่ทำให้การลงทุนได้ผลตอบแทนดี เช่น
มีเเหล่งข้อมูลที่ดีมากจาก Webboard Thaivi, Settrade.com,set.or.th
นอกจากนี้ มีรายการหลายรายการที่ให้ความรู้ข้อมูลข่าวสาร เช่น Moneytalk
เลยเลือกอเมริกา ซึ่งมีecosystemพอๆกับที่หาได้ในเมืองไทย
มีwebboard รายการที่ให้ข่าวสารเยอะมาก
ปัญหาคือดูไม่ทัน ก็เลยเลือกลงทุนในอเมริกา
ส่วนที่เวียดนาม ก็สนใจ ถ้าดูจาก GDP, รายได้ประชากรต่อหัว มีโอกาสเติบโตอีกมาก
แต่ได้ยินว่า นักลงทุนบางท่านไปเรียนภาษาเวียดนาม ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้

อาจารย์นิเวศน์ ไปลงทุนที่เวียดนามแบบETFในช่วงหลัง
ส่วนอาจารย์ก็ลงทุน5 ตัวในตลาดหุ้นอเมริกา
โดยเน้นหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก
ส่วนหุ้นที่ถือ market cap อย่างน้อยสุด 20,000ล้าน$
หุ้นในBig tech สามารถทำได้หลายธุรกิจและเปลี่ยนไปทำธุรกิจได้ง่ายมาก
ก็เลยมีถือหุ้นลักษณะไว้เหมือนกัน
หุ้นฮุนได ขึ้นมา20%กว่าหลังมีข่าวว่าจะพัฒนารถกับบริษัทApple

อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่า อาจารย์ชายดำเนินชีวิตในสายธรรมด้วย
เป็นลูกศิษย์ของ พระอาจารย์ภาวนาวิสุทธิญาณเถร(แบน ธนากโร) วัดดอยธรรมเจดีย์
ปฎิบัติธรรมตลอด อายุเพียง49ปี ถึงเวลาปรับชีวิตไปทางใดทางหนึ่งมากขึ้นไหม

อาจารย์ชายตอบว่า ทุกวันนี้ที่ปฏิบัตอยู่ คู่ขนานกันไป ทั้งสายธรรมและการลงทุน
ตอนเช้าตื่นมาปฏิบัติ เดินจงกรม หนึ่ง ชม และนั่งสมาธิ หนึ่งชม
สามารถเดินในคอนโดได้เลย ถ้าจดจ่อกับการมีสติ ก็จะไปเดินในสวนสาธารณะก็ได้
อาจารย์ไพบูลย์บอก เดินจงกรม โดยอยู่กับที่ก็ได้
ส่วนการออกกำลังกาย โดยตีแบตสัปดาห์ละสองครั้ง

สำหรับการให้คำแนะนำกับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เป็นวีไอ
นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่ควรลงทุนอะไรที่ไม่เข้าใจ โดยไม่เข้ากลไกของบริษัท
อาจารย์ชายจะไม่สนใจว่าจะชนะหรือแพ้ตลาด
เปรียบเหมือน ชอบเล่นบาส แล้วมีคนมาชวนเล่นบอล โดยมีรางวัล
ซึ่งถ้าเราย้ายไปเล่นบอล ก็อาจแพ้ได้เพราะเราไม่ชำนาญกับกีฬาใหม่
ดังนั้นผมอยู่กับที่ลงทุนแบบเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างไร เข้าใจผู้บริหารของบริษัทนั้น

ในโลกของการลงทุนที่สภาพคล่องสูง จะมีเหนือการคาดหมาย
คนที่ไปซื้อ negative bond yield มูลค่าของบอนด์ 15ล้านล้าน $
เท่ากับmarket cap ของตลาดแนสแดกตอนนี้
เกิดจากการเก็งกำไร และ regulationของบริษัทประกันว่าต้องซื้อ
ถึงแม้ดอกเบี้ยติดลบก็ตาม
ซึ่งมูลค่าขนาดนี้อาจทำให้เกิด super bubble
ถ้าโรคระบาดหายไป เงินเฟ้อจะกลับมาเร็วมาก เพราะดอกเบี้ยของบอนด์กินดอกเบี้ยต่ำมาก
อาจารย์ไพบูลย์เสริมว่า เงินเฟ้อเพิ่ม จะทำให้เกิดการซื้อทรัพย์สินมาก และจะเกิดฟองสบู่

อาจารย์ชายไม่ห่วงว่าพอร์ตจะunderperformถ้าไม่ได้ลงทุนสินทรัพย์ที่ขึ้นมาเยอะ
แต่อาจมีเล่นบ้างเล็กน้อยเพื่อหาประสบการณ์ เช่น
เทสล่า ตอนแรกก็ไม่สนใจ พอศึกษามากขึ้น ก็เห็นเหตุผลที่ทำไมราคาขึ้น
แต่ไม่เอาเงินส่วนใหญ่มาลงทุน

ส่วนอาจารย์นิเวศน์ ไม่ลงทุนแบบนี้เลย ไม่รู้จะทำไปทำไม อายุขนาดนี้
Enjoyกับชีวิตดีกว่า
อย่างตลาดเวียดนาม ควรศึกษามากกว่านี้ แต่ก็ไปลงทุนผ่านETFดีกว่า

อาจารย์ชายบอกว่า เมืองไทยยังมีสิ่งนึงที่undervalue
ทางภูมิศาสตร์ เราเหมาะเป็นศูนย์การlogistic โดยต่อรถไฟรางเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน
รวมทั้งถนน ทำให้เพิ่มมูลค่ากับที่ดิน
ที่ดินเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านถูกมาก และเป็นfreeholdด้วย
Wealthของประเทศไทยมีโอกาสขยับขึ้นอีก จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดิน
และสำหรับคำถามเรื่องสัดส่วนในการลงทุนต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นไหมในอนาคต
อาจารย์ชายตอบว่า มีแนวโน้มจะขยายพอร์ตลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
จะหลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่สามารถต่อเชื่อมกับinternet , IOTได้
บริษัทคาร์เทอพิลาร์ ผลิตรถขุดดิน ตอนนี้เป็นAutonomousแล้ว
ถ้าเราเข้าไปที่เหมือง จะไม่เห็นคนในเหมือง รถทำงานเองหมด
บริษัทที่เป็น old economy แต่ก็เอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ก็ดูน่าสนใจ
แต่valuationอาจไม่เท่าบริษัทเทคโนโลยี
มีmarket share ใหญ่กว่าอันดับสองและสามรวมกัน

สำหรับหุ้นเทคโนโลยี น่าลงทุนแต่ต้องดูว่าราคาแพงไปหรือไม่
บัฟเฟตต์ ตอนที่ซื้อapple ก็ซื้อในราคาที่ดีมาก ซึ่งห้าปีที่ผ่านมา
ชนะamazon , google (สรุปคือเลือกหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม)

สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์ชาย ที่มาให้ความรู้
และขอบคุณอาจารย์ไพบูลย์ และ อาจารย์นิเวศน์ สำหรับคำถามดีๆครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ปัญหาโลกแตกในตลาดหุ้น ซื้อเมื่อไหร่&ขายเมื่อไหร่

หลังช่วงcovid จะเห็นหุ้นขึ้นเยอะมาก และมีปัญหาว่าจะขายตอนไหนดี

น้องออฟจากเพจซั่มหุ้นมาแชร์มุมมองเรื่องนี้

หัวข้อ
1.ซื้อหุ้นอะไรดี
2.ซื้อเมื่อไหร่
3.ขายเมื่อไหร่

1.ซื้อหุ้นอะไรดี : หุ้นที่มีปัจจัย
1.1แนววีไอ&หุ้นgrowth จับที่core business แล้วไปดูเรื่องอื่น ถ้าดีจริง แต่ราคายังไม่ขึ้น ไม่กลัวที่จะซื้อเลย
-ดูเรื่องกิจการที่ดี
-มีการเติบโต เน้นหุ้นเติบโต
-ราคาสมเหตุ&ผล ไม่ได้เน้นราคาถูก
บางครั้งนักวิเคราะห์ไปเจาะประเด็นและมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปรู้ ทำให้ราคาวิ่งเลย
1.2แนวเก็งกำไรด้วยพื้นฐาน เช่นเก็งงบที่จะออกดี หรือ เก็งstory แต่ไม่สามารถทำต่อได้บ่อยๆ
-เก็งงบ
-เก็งstory
-เก็งการประมูลงาน
การลงทุนดูพื้นฐานเหมือนกันกับเก็งกำไรด้วยพื้นฐาน

1.3แนวเก็งกำไร กราฟเทคนิคมีหลายสาย เล่นสั้น เล่นยาว
เก็งด้วยกราฟ ไม่สนใจซื้อถูก แต่ซื้อแล้วขึ้นหรือเปล่า ต้องซื้อในแนวโน้มขาขึ้น
-เก็งแรงซื้อ
-เก็งแนวโน้มขาขึ้น
ทุกแนว มีแนวทางของตัวเอง แต่บางครั้งอาจเป็นหุ้นตัวเดียวกันได้

เวลาเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับนักลงทุน
สายลงทุน เมื่อซื้อหุ้นที่ดี เวลาเป็นเพื่อนที่ดีของนักลงทุน
บางทีซื้อแพง เวลาก็มาช่วยทำให้เกิดกำไรในที่สุด

2. ซื้อเมื่อไหร่
2.1แนววีไอ&growth
-ดูที่ความคุ้มค่า
-upside ในเวลาหนึ่งปี หุ้นควรจะขึ้นเท่าไหร่ ถ้าส่วนต่างกว้างเช่น 30%ก็ถือเป็นโอกาสซื้อ
-ถ้าหุ้นไม่ขึ้น เราจะได้อะไร สำคัญมาก หลายครั้ง ซื้อแล้วหุ้นไม่ขึ้น
Upside จากหุ้นแพงแล้วมีโอกาสแพงได้อีก เราไปจับในจังหวะที่แพงเกินไป
สิ่งที่ได้ คือหุ้นที่แพง ถ้าเราคิดผิด ผลก็ไม่เกิด คือ ราคาไม่ขึ้น
ที่เราได้ 1. Dividend 4-5%
2.ได้ราคามาถูกเช่น PE 15 เท่า ปีหน้า PE จะลดลง เพราะหุ้นมีการเติบโต

หุ้นดี แต่อนาคตไม่ดี ก็ลงได้ ถ้าหุ้นที่ดี แต่ช่วงวิกฤตเช่น Covid ถูกdriveด้วยความกลัว
ก็มีโอกาสลงเยอะกว่าปกติ แต่ขึ้นกลับไปเป็น2เท่า
ถ้ามนุษย์ยังมีความกลัว ก็จะเกิดแบบนี้อีก คนที่รู้ก็จะใช้โอกาสนี้ซื้อหุ้นถูก
ถ้าเราเข้าใจภาพนี้ การpanicก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร

2.2 การเก็งกำไรพื้นฐาน
-เก็งงบ เช่น stockบวม แสดงว่ายอดขายจะโตในไตรมาสหน้า รวมถึงได้ต้นทุนดี ก็จะได้กำไรเยอะ
-storyมา
-ตัวปลดล๊อคมูลค่าหุ้น
-Upside

2.3 เก็งกำไร กราฟเทคนิค
-มีdemandเข้ามา
-ผ่านแนวต้านสำคัญ
-ทำnew high
-ย่อตัวในขาขึ้น

Fact ของการซื้อหุ้น
-เราไม่สามารถซื้อได้ที่ราคาต่ำสุด ไม่ต้องซีเรียส
-ซื้อเมื่อควรซื้อ เราจะรู้ด้วยตัวเองว่าตอนไหนน่าซื้อ บางครั้งถ้าหุ้นขึ้นไปก่อนเช่นเขียวสองวันติด ก็จะไม่ซื้อแล้ว
-ไม่ซื้อเพราะอยากซื้อ หรือ คิดว่าราคาจะขึ้น
พยายามไม่ใช้อารมณ์ในทุกขณะของการลงทุน

การประเมิน Upside (ผลตอบแทนของการลงทุน)

1.ประเมินแบบ Conservative ประเมินหุ้นที่เราประเมินได้ ถ้าไม่เข้าใจต้องหาวิธีอื่น
-ประเมิน รายได้-กำไร แบบโอกาสพลาดน้อย

2.คิดเผื่อคนซื้อ
-ทำไมจะมีคนมาซื้อต่อจากเรา
-ความเป็นไปได้ มีราคาที่คนยอมจ่าย

3.ขายเมื่อไหร่
3.1 แนววีไอ
-พื้นฐานเปลี่ยน
-Upside เหลือน้อย ไม่รอให้ถึงเป้า อาจไปก่อน เพื่อเข้าตัวใหม่
-ถึงแม้upsideเหลือน้อย แต่ไม่ขาย แล้วมองภาพใหญ่ มีโอกาสโตได้อีก หรืออยู่ในMega trend เช่นหุ้นค้าปลีก

3.2 เก็งกำไรพื้นฐาน
-เราคิดผิด
-Upside เหลือน้อย

3.3 เก็งกำไร กราฟเทคนิค
-หลุดแนวรับ
-ถึงจุดตัดขาดทุน

Factของการขาย
-เราไม่สามารถขายได้ราคาสูงสุด เป็นปกติ
-อย่าเป็นคนที่ตกใจง่ายในตลาดหุ้น
-จุดที่น่าขายที่สุดในตลาด คือจุดที่ไม่ควรขาย ส่วนใหญ่ที่ขายเพราะคนอื่นขาย เราก็ขายตาม
-ซื้อเพราะสิ่งใด ขายเมื่อสิ่งนั้นหมดไป

สุดท้ายขอขอบคุณน้องออฟที่มาให้ความรู้นะครับ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: กลยุทธ์การลงทุนในปี2564

โพสต์ที่ 9

โพสต์

กลยุทธ์วีไอปี64 ตอนที่7 ทิวา ชินธาดาพงศ์
ดร ไพบูลย์และ ดร นิเวศน์ ดำเนินรายการ

กลยุทธ์วีไอในปี63 ของคุณมี่ หลังcrisis ทำให้หุ้นลงไป ถึง969 จุด
ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น หุ้นตัวไหนที่เราศึกษา จะเห็นupsideแต่ละตัวได้ชัด ทำให้ลงทุนง่าย
พอถึงปี64 การvaluationตลาด EPSตลาดปีที่แล้วปิดปีที่53บาทต่อหุ้น
ปีนี้จะได้ประมาณสูงสุด 78บาท แต่พอเจอCovidตั้งแต่ต้นปี64
ทุกคนปรับEPSตลาดเหลือ62-66 บาท จริงๆแล้ว
มองด้วยPBไม่แพงแต่มีปัญหาในการมอง ปีที่แล้วเป็นปีแห่งการเล่นหุ้น
ปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกหุ้น

ปี63 มีเหตุการณ์พิเศษ 2-3 เรื่อง
1.คนว่างงานกันเยอะ ปกติตลาดหลักทรัพย์มีคนเปิดบัญชีใหม่300,000-350,000คน
แต่ปีที่แล้วมีการเปิดบัญชีใหม่ 660,000 คน
2. ตลาดหลักทรัพย์เก็บข้อมูลปกติคนเทรดจริงแค่300,000คน
ปีที่แล้วมีคนเทรดจริง500,000คน มีน้องใหม่เข้ามา ซึ่งหลายสื่อเชียร์หุ้น
ทำให้เกิดการเก็งกำไร
ตลาดหุ้นที่ดัชนี 1,500—1,600 จุดด้วยEPSตลาดแบบนี้ คิดว่าเต็มมูลค่าไปแล้ว
อจ ไพบูลย์เสริมว่า ภัทรมองนักท่องเที่ยวปีนี้เข้ามาเพียง 2ล้านคนเอง
คุณมี่บอกว่าปีนี้การลงทุนหุ้นถือว่ายาก ต้องเลือกหุ้นที่ดี และดูกำไร(EPS)
ตลาดกลับมาอยู่ในหมวดที่มีเหตุผล
ปีที่แล้ว หุ้น100ตัว มีหุ้นunder valueให้เลือกถึง 60-70ตัว
แต่ปีนี้จะมีหุ้นunder valueให้ดูแค่20ตัว ต้องดูให้ดี
อจ นิเวศน์ บอกว่าปีนี้เปิดปีนี้ด้วยความสุดยอด ขึ้น6-7%
คุณมี่บอกว่าด้วยEPSขนาดนี้ หุ้นใหญ่จะไปไกลกว่านี้ก็ลำบาก
แต่หุ้นตัวเล็ก มีกำไรnew high
การแข่งขันทางธุรกิจยากขึ้น มีคู่แข่งจากจีนเข้ามา การวิเคราะห์หุ้นก็เหมือนกัน
ปีนี้ ต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น

อจ นิเวศน์บอกว่า มีหุ้นที่ไม่ขึ้นอีกเยอะ นักลงทุนรุ่นใหม่อดทนน้อย
แค่ไม่ขึ้น3วัน ก็ไม่ถือแล้ว
สถานการณ์แบบนี้ คุณมี่มองว่าเปลี่ยน
แต่ตลาดหุ้นมีการหลอกล่อ บางทีอาจเจอ3-4ปีที่หุ้นไม่ขึ้น

คุณมี่ เคยฟังเทปmoneytalkที่ โจเอล กรีนแบตพูดถึง Magic formula แล้วชอบมาก
เพราะบางครั้งการลงทุนในแนววีไอ อาจได้ผลตอบแทนไม่ดี แค่ 5-6%ในบางช่วง
ดัชนีDJ ปี2000-2010 ไม่ค่อยไปไหน เพราะเจอวิกฤตหลายรอบ เช่น Crisis ดอดคอม , แฮมเบอร์เกอร์
แต่มีกองทุนที่ทำเฉลี่ยทบต้นได้ปีละ 18% แต่นักลงทุนในกองนี้ -11% เพราะนักลงทุนซื้อขายตลอดเวลา
อจ นิเวศน์พูดถึง ตลาดหุ้นเวียดนามที่ไม่ไปไหนหลายปี ปีนี้ขึ้นดีมาก

แต่คุณมี่ก็เชื่อในการลงทุนวีไอ และมั่นใจในตัว อจ นิเวศน์ ที่เปรียบวีไอคล้ายๆเต่า
การลงทุนแบบเต่า ลักษณะของเต่า คือ กินอะไรที่อยู่นิ่ง (หมายถึงเคลื่อนไหวช้า แต่มั่นคง)
แต่การกินของปลา ชอบกินเหยื่อที่กระดุกกระดิก และ ปลาความจำสั้น
ส่วนเต่าความจำแม่น จำฐานที่เกิดได้ วางไข่ที่หาดที่เต่าเกิด
ตอนนี้อาจเป็นช่วงที่ปลาทองกำลังเล่นหุ้นอยู่ ส่วนเต่าก็เหงาหงอยเศร้าซึม

อจ ไพบูลย์ถามคุณมี่ ถึงตลาดหุ้นเวียดนาม และ หุ้นต่างประเทศที่มีPEสูง มองว่าอย่างไร
คุณมีตอบว่า ต้องดูในแต่ละตลาด เช่น ตลาดอเมริกา เคยเข้าไปศึกษา (น้องที่เข้าไปลงทุนได้กำไรดีมาก)
พบว่ามีหุ้นกลุ่มเดียวที่ขึ้น เลยต้องศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
การลงทุนในอเมริกา ก็คล้ายกับลงทุนในไทย คนฉลาดชนะ คนโง่แพ้
แต่ปี2008-2014 นั้น ถึงแม้คนโง่มาลงทุนในตลาดหุ้น ก็ชนะ
ไม่ต้องรู้เรื่องหุ้นเยอะ แต่ภาพรวมของธุรกิจดี GDPโต
ดังนั้นแบ่งแยกตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรก ตลาดหุ้นที่คนเก่งเท่านั้นถึงจะทำกำไรได้ ผมไม่สนใจ ลงทุนหุ้นไทยดีกว่า
กลุ่มที่สองที่สนใจ มีตลาดหุ้นต่างประเทศสองตลาดที่น่าสนใจ
เมืองจีนและเวียดนาม มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างGDP
ที่เห็นได้ชัดคือ Covid กระทบรุนแรง แต่GDPของจีนและเวียดนามเป็นบวก
PE ก็ไม่ได้แพงมาก จีน A share PE 15 เท่า , H share 8 เท่า เปรียบกับ
PE ตลาดหุ้นอเมริกา 28 เท่า
ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม PE 20 เท่า ก็ยังมองว่าOkเมื่อเทียบกับการเติบโต
เราไปสองประเทศนี้ที่กำลังเติบโตสูง 6-7% ถึงแม้เราไม่เก่งสุด แต่เราก็โตไปกับเขาได้
อินโดนีเซียก็น่าสนใจ GDPก็โตมาก

ตอนนี้คุณมี่ ไปจีนประเทศเดียว ในสัดส่วน30%ของPort
ก่อนหน้านี้ลงทุนหุ้นเล็ก แต่ต่อมาเริ่มเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นที่ทุกๆคนรู้จัก
(มาจากการฟังคุณตันเลือกตำแหน่งของที่ดินที่ซื้อ ต้องเป็นที่รู้จัก)
เช่น Xiaomi , กล้อง Hi-vision
เพื่อกันแรงการโกง ถึงแม้PEสูงก็ตาม Xiaomi ซื้อตั้งแต่ 10เหรียญ ตั้งแต่ April 2020

อจ ไพบูลย์ บอกว่า คนทั่วไปเลือกหุ้นรายตัวยาก แนะนำลงทุนผ่านกองทุนรวมไหม
คุณมี่ตอบว่า สามารถลงทุนผ่านกองทุน หรือ ETFได้ ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนETFในจีน
จะมีแยกETFที่ลงทุนในแต่ละแบบ เช่น กลุ่มTechnology ซื้อ K wave เลย
ส่วน consumer ให้ซื้อ หนงฝู ขายน้ำแร่ หรือ เหมาไถ ที่ขายเหล้า
ไม่แนะนำให้ดัชนีรวม เพราะหุ้นธนาคารไม่ไปไหนเลย
เดี๋ยวนี้ กองทุนไทย เริ่มมีให้แยกซื้อแต่ละกลุ่ม หรือ หุ้นตามTrendได้แล้ว
(Fund of Fund) แต่มีข้อเสียคือ เสียค่าธรรมเนียมทั้งสองฝั่งคือค่าบริหารทั้งฝั่งไทยและจีน
อจ ไพบูลย์ เสริมว่ายังค่าธรรมเนียม Front end ตอนซื้อกองทุนด้วย
คุณมี่ พูดถึงการลงทุนในETFว่า จะไม่พยายามเก็งกำไร เข้าออก แต่จะลงทุนแบบวีไอ
และตั้งใจว่าจะถือยาว ไม่ขาย แต่การลงทุนในหุ้นไทย จะถือแค่1-2ปี
เช่น Xiaomi มองเรื่องIOT เป็น Theme ระยะยาว
ส่วนที่ลงทุนใน Hivision จะมองTheme Smart city ซึ่งจะใช้กล้องเยอะมาก
เดี๋ยวนี้นอกจากการดูเรื่องการจราจรแล้ว ยังเอามาจัดการเรื่องเวลาในการเปิด ปิดไฟจราจรด้วย
ถือเป็น Mega trend ของต่างประเทศจริงๆ
โพสต์โพสต์