MoneyTalk special 29 Apr 2020 คุณโจ อนุรักษ์ บุญแสวง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

MoneyTalk special 29 Apr 2020 คุณโจ อนุรักษ์ บุญแสวง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

MoneyTalk special 29 Apr 2020 6.00
คุยกับคุณโจ ลูกอีสาน ซึ่งมาพูดในรายการ MoneyTalk Special
ในหัวข้อ
-วิกฤตมาต้องทำอย่างไร
-ปรับพอร์ตอย่างไร
-วิกฤตรอบนี้ กลุ่มไหนต้องหลีกเลี่ยง กลุ่มไหนน่าสนใจ
-กลยุทธ์รอบนี้แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่
-คุณโจคิดว่าตัวเองยังเป็นวีไออยู่หรือไม่

คุณโจ อนุรักษ์ บุญแสวง ถือว่าเป็นนักลงทุนวีไอ ที่มีวิวัฒนาการในการลงทุนท่านนึง
หลังจากเคยพูดคุยกับคุณโจ เมื่อต้นเดือนธค 2562 ว่าคุณโจ ได้เริ่มลองShort หุ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นเกินพื้นฐาน เนื่องจากยังมีแรงเก็งกำไร และ ประสบความสำเร็จพอสมควร

ในปีนี้ คุณโจ ก็เริ่มสังเกตวิกฤตโคโลน่าไวรัส ซึ่งเป็นชื่อเรียกในช่วงต้นๆ ตอนเริ่มเกิดที่ อู่ฮั่น ประเทศจีน

คุณโจบอกว่าเคยมีประสบการณ์จากโรคระบาดSarsมาแล้ว เพราะต้องไปทำธุระที่รพ ซึ่งมีคนป่วยอยู่ เลยเริ่มใส่ใจสถานการณ์ในช่วงนั้นที่เริ่มมีโรคระบาดที่อู่ฮั่น
และเริ่ม Short TFlex SET50 ในสัดส่วน 10% ของพอร์ตลงทุน เพื่อป้องกันหุ้นในภาวะขาลง. หุ้นไทยได้ตกหนักในเดือนมีนาคม และ มีcircuit breakerติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้พอร์ตลดลงมามาก
แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงที่น่าลงทุนที่สุดในรอบ10ปี ซึ่งดูย้อนแย้งกับความรู้สึก ซึ่งคนส่วนใหญ่จะกลัว ไม่กล้าลงทุน


หลังจากที่สถานการณ์ที่จีนเริ่มดีขึ้น รวมถึง ไทยมีคนติดเชื้อใหม่ลดลงเหลือ2หลัก ก็เริ่มสะสมหุ้นเข้าพอร์ต

คำถามว่า คุณโจ ถือหุ้นเต็มพอร์ต แล้วมีวิธีหาเงินมาซื้อหุ้นได้อย่างไร
คุณโจบอกว่าเงินที่นำมาลงทุนได้มาจาก 5 วิธี ดังนี้

1. หลังจากshort ดัชนีSET50 ในช่วงเริ่มเกิดโรคระบาด และดัชนีลงไป 30%แต่มีgearingสูง ทำให้ได้กำไรมา2เท่า ก็ขายและมาซื้อหุ้นที่ต้องการ

2.หุ้นที่อยู่ในพอร์ต ระดับราคาตกลงมาไม่เท่ากัน ตั้งแต่ 15%-70%
ซึ่งหุ้นที่ตกลง 15% เวลาขึ้นก็ไม่น่าจะเกิน 20%
ดังนั้น จึงได้ขายหุ้นที่ลงน้อยเพื่อไปซื้อหุ้นที่ดี แต่ราคาลงหนัก
ซึ่งมีโอกาสขึ้นในภายหลังมากกว่า

3.คุณโจมีลงทุนหุ้นในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ปกติ หุ้นขนาดใหญ่จะขึ้นลงตามดัชนีตลาดหุ้น
แต่หุ้นขนาดเล็กจะไม่เคลื่อนไหวตามตลาด ก็จะทำการขายออก ซึ่งยังมีกำไร และนำมาลงทุนหุ้นไทย

4.นอกจากนี้ช่วงเดือน เมษายน จนถึงปลายเดือน พฤษภาคม เริ่มได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่ลงทุนก็นำเงินปันผลมาลงทุนต่อ

5.สุดท้ายก็เริ่มใช้บัญชีMarginมาซื้อหุ้นซึ่งขณะที่ใช้ ดัชนีตกไปแล้ว 40% ซึ่งความเสี่ยงจะตกต่อก็น้อยลง
ก็ถือเป็นเงินลงทุนอีกก้อนที่สามารถนำเงินส่วนนี้มาลงทุนเพิ่มได้ แต่มีlimitว่าไม่เกินความเสี่ยงที่รับได้ (น่าจะ10%ของพอร์ต)

ช่วงนี้หุ้นไทยขึ้นมา 30%แล้วจากจุดต่ำสุด ก็มีหุ้นหลายตัวขึ้นมา 70% ก็มีขายออกไปบ้างแต่ส่วนใหญ่ยังถืออยู่ เพราะ วิกฤตคราวที่แล้ว ไม่ได้ประโยชน์จากวิกฤตมาก (น่าจะขายออกไปก่อน หรือ ไม่ได้ซื้อตอนต่ำๆมากพอ ) คราวนี้ก็จะถือข้ามวิกฤตไป เพราะหลายตัวปันผลกว่า 10%

หลังจากนี้ ถ้าจะลงทุนเพิ่ม ก็จะดูข้อมูลมากขึ้นหน่อย เพราะหุ้นก็ถูกน้อยลง ต้องเลือกเยอะขึ้น

อาจารย์เสน่ห์ถามคุณโจ ว่ายังเป็นนักลงทุนวีไอ อยู่หรือเปล่า
คุณโจตอบว่า ยังเป็นนักลงทุนวีไอซื้อหุ้น ยังยึดในหลักการลงทุนแบบวีไอ
ลงทุนหุ้นราคาที่มีส่วนลด และเป็นหุ้นที่ดี อยู่รอดได้ในอนาคต
แต่รายละเอียดในวิธีการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป

ส่วน ดร นิเวศน์ เคยใช้Margin ในการซื้อหุ้น ตอนวิกฤตSubprime แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้ แต่ก็มีเงินสด 6-7% ในพอร์ต ที่พร้อมลงทุน หลังลงทุนหุ้นเพิ่มไปหลายตัว (ตัวเดิม) แล้ว

ดร นิเวศน์ให้ความเห็นว่า ที่หุ้นขึ้นทั้งที่ Covid-19 ยังระบาดอยู่ เพราะว่า คนเริ่มเรียนรู้ว่าโรคระบาด ท้ายสุดก็มีจะวัคซีนในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ซึ่งมี70กว่าบริษัทกำลังออกวัคซีน

คนส่วนใหญ่รวมสถาบันก็เลยเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นกลับ และ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐ ก็สามารถกลับขึ้นมาสูงกว่าเดิม เพราะรายได้สูงขึ้น จากวิกฤตนี้

ส่วน ดร ไพบูลย์ พูดว่า วิกฤตคราวนี้ จะระวังเรื่องสุขภาพเป็นอันดับแรก เนื่องจากอายุมากขึ้น
และพอร์ตโตกว่าตอนSubprimeเยอะ อันดับต่อมาค่อยมาดูเรื่องพอร์ตการลงทุน

สุดท้ายขอขอบคุณ พิธีกร ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อจ.เสน่ห์ อจ. ถาวร และ คุณโจ ที่มาให้ความรู้ครับ
โพสต์โพสต์