นายตลาด & อารมณ์ และ การลงทุนที่ดีขึ้น
โดย เพจซั่มหุ้น
อารมณ์ของตลาดหุ้นเดือนที่แล้ว และ เดือนนี้แตกต่างกันสิ้นเชิง
(เดือนมีค ดัชนีลดลงอย่างรุนแรง ต่ำสุด969จุด และ reboundมาสูงสุดในเดือนเมษายนประมาณ1,270จุด )
การลงทุนที่ดีขึ้น
1.การเข้าใจตลาดจะนำมาสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
ตัวแปร มีทั้งควบคุมได้และควบคุมไม่ได้
นายตลาดเป็นตัวแทนของมวลชน และ ความคาดหวังของทั้ง4กลุ่ม
(ได้แก่ ต่างชาติ ,prop trade,สถาบัน และ รายย่อย)
ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาขึ้น
พอตลาดมีการแปรเปลี่ยนไปทุกขณะ เดือนที่แล้วเป็นขาลงแรงที่สุดในรอบ10ปี
เดือนนี้reboundของหุ้นแต่ละตัวตั้งแต่20%-70%
2.ผัสสะ (กระทบ)
พอตลาดมีการเปลี่ยนแปลง จะกระทบกับผัสสะ เป็นปัจจัยระหว่างภายนอกและภายใน
3.ตัวเรา ( ยึดมั่น ถือมั่น )
ทำให้กลายเป็นเรื่องยึดติด เป็นของตัวเรา ยึดมั่น ถือมั่น
และเป็นตัวขวางให้เราไม่ประสบความสำเร็จ และไม่สามารถสร้างพอร์ตให้ประสบความสำเร็จได้เลย
เราไม่สามารถอยู่กับสภาวะนี้ได้ยาว และ ไม่สามารถใช้วิกฤตแปรเป็นโอกาสได้
เหมือนคุณสถาพร(ฮง)ให้สัมภาษณ์ว่า การศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน
หลังวิกฤต แล้วพอร์ตโตขึ้นเยอะ
แต่หลายคนบอกว่าไม่เก่งหรอก ถ้าเขาได้รับโอกาสแบบนี้ ก็จะรวยบ้าง
แต่ตลาดหุ้น ก็มีกฎว่า มีแค่ 10-20% เท่านั้นที่รวยได้
เราสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้พอร์ตโตได้ไหม
ปัจจุบัน มีบทวิเคราะห์มากมาย แต่เราอาจได้กำไรแค่2-3%ก็ขายไปแล้ว
ดังนั้น ตลาดแปรเปลี่ยน เกิดการกระทบ และ ตัวเราก็ยึดมั่น ถือมั่น
แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่ได้กำไร.
ถ้าเราactionเหมือนตลาด เราก็คือคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้กำไรมาก เราไปเล่นตามสิ่งเร้า
อารมณ์ถูกโน้มเอียงไปตามสิ่งเร้า
เข้าใจตลาด
นายตลาดมีการแปรเปลี่ยนตามปัจจัยในระยะสั้นที่มากระทบ
1.หุ้นขึ้น เพราะอะไร
บางคนบอกว่า มีคนไปไล่ราคา แต่จริงๆคนมองว่า กำไรในอนาคตจะดีขึ้นมากกว่าปัจจุบัน
ดังนั้นปัจจุบัน กำไรอาจแย่ แต่อนาคตกำไรดี ก็ทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้
หุ้นส่วนใหญ่ที่มีพื้นฐาน กำไรไม่ขึ้นกับcommodity ทำให้ต้นทุนบางตัวติดตามได้
เราก็สามารถคาดการณ์ต้นทุน และ กำไรได้
ดังนั้นพอเห็นปัจจัยดังกล่าว ก็จะไปซื้อทันที
แต่คนปกติจะไปซื้อเมื่อกำไรดีแล้ว
ซึ่งกลุ่มแรกที่เข้าไปซื้อก่อน ก็ขายให้
2.หุ้นลง เพราะ กำไรในอนาคตแย่ลง
3.หุ้นไม่ขึ้น ไม่ลงเพราะ กำไรไม่เปลี่ยนแปลงกว่าปัจจุบัน กำลังรอปัจจัยในอนาคต
เหตุที่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคา และเกิดผลลัพธ์ขึ้น
เหตุ มาจาก Fundamental (VI)
ศึกษาเหตุจาก กิจการที่ดี ความเสี่ยงต่ำ ในราคาตลาด
ทำให้ ไม่ถูกเอาเปรียบ
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคา
ผลลัพธ์ Technical Analysis
ศึกษารูปแบบของผลลัพธ์ ให้เกิดความได้เปรียบในการเข้าลงทุน
ส่วนที่อยู่ตรงกลางระหว่างFundamental & Technical คือ
Hybrid Investing 70/30
และTrend Following 30/70
เมื่อเข้าใจนายตลาดแล้ว
ในทางพุทธศาสนา ผัสสะ ปัจจัยภายนอกและภายในมาเจอกัน + เกิดความไม่รู้
ทำให้เกิดการยึดมั่น ถือมั่น
ทำให้เกิดโทษ ได้แก่
1.การเปลี่ยนแปลงของราคา ทำให้เกิดความทุกข์ จาก กำไร (ขายหมู) หรือ ขาดทุน
ทำให้เกิดอารมณ์ไม่อยากมีความทุกข์
เป็นความกลัว ไม่อยากทุกข์
ขาดทุน เท่ากับ ทุกข์
กำไร (ขายหมู) เท่ากับทุกข์
กำไร (หายไป). เท่ากับทุกข์ หมายถึง เคยกำไรมาก แล้วดัชนีลดลง ทำให้กำไรเริ่มหายไป
คุณออฟ ก็มีความทุกข์ จาก การขายหมู มากกว่า ขาดทุน
ปีที่แล้ว ได้ตามหุ้นตัวนึง ทำการบ้านมาอย่างดี แต่ปรากฏว่าซื้อไม่ทัน เลยไม่ซื้อ และหุ้นขึ้นไป 30-40%
มีความทุกข์มาก แต่ถ้าเราคิดว่า เราไม่ได้ลงทุนอะไร และ ได้ความรู้เพื่อนำไปซื้อหุ้นตัวต่อไปได้
เกิดโทษอย่างที่สอง
2.ทำให้ไม่สามารถลงทุนได้เป็นปกติ
2.1 ไม่ทำตามแผน เวลาหุ้นผ่านแนวต้าน คราวที่แล้วหุ้นไม่ไป เลยไม่ซื้อตามแผนรอบนี้ ปรากฏว่าหุ้นขึ้นต่อ
2.2 ซื้อในจุดที่ไม่ควรซื้อ / ขายในจุดที่ไม่ควรขาย /รอไม่เป็น
ตอนนี้เราอยู่ในวิกฤต ดังนั้นหุ้นไม่แพง ถ้าวิกฤตจบลง หุ้นก็ไม่สามารถอยู่ที่ราคานี้ได้
ถ้าเราไม่กล้าซื้อ ราคาขึ้นตอนเหตุยังไม่จบ ถ้าเราไม่กล้าซื้อ ก็จะซื้อไม่ทัน
หุ้นขึ้น. กลัวตกรถ ไล่ราคา
ไล่ราคา. ก็คือซื้อราคาสูง
ซื้อสูง. ขายเอากำไรสั้นๆ ก่อนดีกว่า
ขาย. หุ้นลง / หุ้นไปต่อ
สาระสำคัญของการลงทุน
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะไม่เดาตลาด เพราะไม่รู้ตลาดหุ้นเป็นอย่างไร
แต่จะรู้ในสิ่งที่เขาลงทุนเป็นอย่างดี ระหว่างทางขึ้นกับสภาวะจิตใจ
ไม่ใช่ความบังเอิญ เช่น ช่วงSubprime ขึ้นจาก 400 ไป 800จุด และ ขึ้นสูงสุดที่ 1850 จุดในปี2018
ดังนั้นการขึ้นมาแค่30% ยังสามารถขึ้นได้อีก
เรายืนอยู่บนวิกฤต ดังนั้นควรได้รับผลตอบแทนที่สูงหลังผ่านวิกฤต
ซึ่งเปรียบเทียบกับรายย่อย ซึ่งอยากรู้ว่า แนวรับ แนวต้าน อยู่ที่ไหน ซื้อแนวรับ ขายแนวต้าน
และลงทุนระยะสั้น คาดเดาตลอดเวลา เวลาตลาดเป็นขาขึ้น เราจะพลาด
เพราะเราไม่เข้าใจตลาดหุ้น
การลงทุนที่ปราศจาก Bias
1. นักลงทุนจะไม่เดาหรือคาดการณ์ตลาด แต่ทำการบ้านให้มาก
2. ถ้าเราทำเหมือนตลาด แสดงว่าเราคือคนส่วนใหญ่ของตลาด
3. ไม่เอาอารมณ์ มาแย่งความสามารถในการตัดสินใจไปจากเรา
4. ความหวัง ไม่จำเป็นในการเล่นหุ้น ถ้าเราทำเหตุที่ดี หวัง หรือ ไม่หวัง ผลลัพธ์ที่ดีจะเกิดขึ้น
สุดท้ายขอบคุณน้องAof เพจซั่มหุ้น ที่มาให้ความรู้นะครับ