ดร นิเวศน์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ รู้ไว้ เข้าใจเงินกับ น้องบิว Chittima Tawaret
อาจารย์ได้ให้ความเห็นว่า นาทีนี้มีหุ้นปลอดภัยน่าลงทุน เลือกซื้อได้หลายตัว
แตอย่าคาดหวังผลตอบแทนสูงมากนะ
แต่ก็ยังมีหุ้นจำนวนมากที่ยังแพงอยู่ ต้อง selective buy
ดังนั้น ยังสรุปไมได้ว่าลงทุนช่วงนี้แล้วได้ผลตอบแทนดี
โดยยังมีหุ้นบางตัวที่ยังแพงอยู่ และตลาดหุ้นก็ไม่อยู่ในโซนที่ถูก
โอกาสที่ดัชนีลงต่อ ก็ยังมีอยู่. ตอนนี้ลงมา10กว่า%แล้ว
(ถ้าลงมาอีกเหมือนเมื่อวาน ก็ถือว่าเป็นช่วงวิกฤตแล้ว)
อาจารย์บอกว่าต้องเผื่อไว้บ้าง เพราะถ้ามีการกระจายของผู้ติดเชื้อกว้างขวางขึ้น
ความเสี่ยงก็ค่อนข้างสูง. ดังนั้นหุ้นที่ลงทุนต้องเป็นหุ้นที่defensiveพอสมควร
หุ้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ต้องdiscountมากกว่านี้อีก
แต่หุ้นที่ไม่ถูกกระทบทางตรง. ก็พอลงทุนได้
ต้องดูว่าไวรัสอยู่อีกนานไหม กระทบต่อเศรษฐกิจเยอะไหม
ตอนนี้กลุ่มท่องเที่ยว การบิน ราคายังไม่น่าสนใจ
ตลาดหุ้นตอนนี้ยังไม่เรียกว่าวิกฤต แต่ก็มีโอกาสถึง
เผลอๆถ้ามีcorrection หนักๆอีกสัก10% ก็ถือว่าวิกฤต (ตลาดหุ้นลงเกิน20%ถือเป็นภาวะวิกฤติ
แต่ถ้าปรับตัวน้อยกว่าทเรียกว่าปรับฐาน)
ลงทุนตอนนี้ต้องเผื่อด้วย เราต้องหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านี้
ไปลงทุนหุ้นdefensive และมีปันผล. บริษัทมีอนาคต
และไม่เกี่ยวข้องกับ Covid-19 และถือหุ้นข้ามปีไป ก็มีโอกาสฟื้น
เราหวังแค่เป็นเจ้าของธุรกิจที่ให้ปันผล5% ก็พอใจแล้ว
ตอนวิกฤต แฮมเบอร์เกอร์ มั่นใจ100%ว่าตลาดต้องกลับมา
เพราะเป็นเรื่องของสหรัฐ กระทบเราไม่มาก
แต่ตอนนี้ไม่รู้จบเมื่อไหร่ อาจระบาดเกินปี ถือเป็นปัญหาใหญ่
บ้านเรา ศก ชะลอมาหลายปี บริษัทจดทะเบียนไม่มีgrowth
ไม่เหมือนสมัยต้มยำกุ้ง ที่มีบริษัทส่งออกมาช่วย
คงต้องติดตามดูต่อไป
ขอบคุณ ดร นิเวศน์ สำหรับความคิดเห็นกับตลาดช่วงนี้ครับ
ผมไปค้นหาความหมายของหุ้นdefensiveมา ลองอ่านดูนะครับ
ความหมายของ Defensive Stock คือ หุ้นเชิงรับ หมายถึงหุ้นที่ทนทานต่อสภาวะตลาดในทุกสภาพ ไม่ว่าตลาดจะดีหรือแย่ ดังนั้นโดยมากจึงเป็นหุ้นที่พื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง มีความเสี่ยงต่ำ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ แต่อีกด้าน กำไรเติบโตอาจจะไม่หวือหวา ไม่ได้มี story อะไรมากมาย แต่มีความมั่นคงว่างั้นเถอะ
ทำไมต้องเลือก Defensive Stock..?
ในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ (แบบภาวะปัจจุบันนี้) การที่เราจะคาดหวังราคาหุ้นวิ่งสูงๆ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก มีบางคนให้ความเห็นว่า ช่วงเศรษฐกิจดี ควรเน้นหุ้นเติบโตลงทุนหนัก (เชิงรุก) ช่วงเศรษฐกิจแย่ ควรเน้นหุ้นแข็งแกร่งมีปันผล (เชิงรับ)
สาเหตุเพราะช่วงเศรษฐกิจดี บริษัทควรฉวยโอกาสขยายการลงทุน แทนที่จะเอาเงินมาจ่ายปันผล เสียโอกาสการลงทุน
กลับกัน ตอนเศรษฐกิจแย่ บริษัทขยายอะไรไม่ได้มาก ก็เลือกบริษัทที่ปันผลสม่ำเสมอดีกว่า อย่างน้อยตอนราคาหุ้นไม่วิ่งเราก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากธนาคาร
เงื่อนไขของ Defensive Stock มีอะไรบ้าง..?
ผมเอาแนวคิดของ Benjamin Graham อาจารย์ของ Warren Buffett มาเป็นแนวทาง มีหลักเกณฑ์พื้นฐาน 7 ข้อครับ
1. บริษัทที่มีขนาดไม่เล็กเกินไป คือเน้นพวก mid cap กับ big cap เราอาจจะตั้งเงื่อนไขง่ายๆ ว่า market cap ต้องไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท (ใน SET100 มี market cap เล็กสุดคือ 8,000 ล้าน)
2. ความเสี่ยงต่ำ คือเลือกตัวที่มีหนี้สินไม่มากนัก หนี้สินไม่ควรสูงกว่าทุน หรือ D/E ต่ำกว่า 1 นั่นเอง (บางคนใช้ Current Ratio มาวัดเงื่อนไขนี้ก็ได้นะครับ ไว้ผมจะอธิบายให้ฟังภายหลัง)
3. กำไรสม่ำเสมอ บริษัทควรมีกำไรตลอด 10 ปีติดต่อกัน
4. จ่ายปันผลสม่ำเสมอ บริษัทควรจ่ายปันผลติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 10 ปี
5. กำไรเติบโตไม่ต้องหวือหวา แต่ในช่วง 10 ปี EPS ควรเติบโตโดยเฉลี่ย ซัก 3-5%
6. ไม่แพงจนเกินไป (1) อันนี้เกรแฮมดูจากราคาหุ้นไม่ควรแพงเกิน 15 เท่าของกำไรที่ทำได้ หรือ P/E ไม่เกิน 15 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั่นเอง
7. ไม่แพงจนเกินไป (2) อันนี้เกรแฮมดูจากราคาหุ้นไม่ควรแพงเกิน 1.5 เท่าของมูลค่าทางบัญชี หรือ P/BV ไม่เกิน 1.5 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาครับ
(รายละเอียดพวกนี้ลองหาอ่านได้ในหนังสือ Intelligent Investor)
ในหุ้น 600 กว่าตัวใน SET ถ้าเราคัดกรองด้วยเงื่อนไข 7 ข้อของเกรแฮม ทายสิครับ ว่าเราจะเจอ Defensive Stock กี่ตัว..?
ผมสร้างสูตร Graham’s Defensive Stock Pick ให้ลองเอาไปใช้กัน โดยมีการปรับปรุงสูตรเล็กน้อยครับ เช่น ปรับ D/E จาก 1 เป็น 1.5 ปรับ P/E จาก 15 เป็น 20 ปรับ P/BV จาก 1.5 เป็น 2.0 เนื่องจากต้องการผ่อนคลายกฏเราจะได้เห็นผลลัพธ์ของหุ้นที่มากขึ้น แล้วค่อยตัดสินใจเลือกหุ้นโดยศึกษาเพิ่มเติมจากงบการเงินอีกขั้นหนึ่ง ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ
PS. มุมมองแต่ละคนในเรื่องการคัดเลือกหุ้นก็แตกต่างกันไปนะครับ อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างแนวคิดของเกรแฮม หากเรามีความเชี่ยวชาญ จะสามารถคัดกรองหุ้นได้จากแนวทางอื่นๆ ที่แตกต่างจากนี้