การลงทุนหุ้นอเมริกาเพื่อเปลี่ยนชีวิต...
ตอนช่วงเดือนกันยายน ปี 2014 ผมเริ่มมองตลาดหุ้นไทยมีราคาแพง หาหุ้นพื้นฐานดีราคาถูกยาก เลยเริ่มลองขยับไปศึกษาหุ้นต่างประเทศ
ประเทศที่เล็งไว้ก็คืออเมริกา ไม่ใช่เพราะเคยเรียนอยู่ที่นั่น แต่ชอบธุรกิจชื่อดังที่เราใช้บริการอยู่ทุกวัน คิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่พอมองภาพธุรกิจออก
จึงเริ่มหาข้อมูลจากเวปไซด์ของ CNBC และได้เจอหุ้น VISA (V) เลยหารายงานประจำปีมาอ่าน
ยิ่งอ่านก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่ง เพราะเป็นแพลตฟอร์มตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างผู้ออกบัตรเครดิตและร้านค้า รายได้หลักมาจากค่าบริการที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เรารูดบัตร
ตอนนั้นไปเจอข้อมูลบอกว่า ทั้งโลกมีการใช้งานเครดิตอยู่แค่ 20% ที่เหลือยังใช้เงินสด บริษัทยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกเยอะมาก ตอนนั้นราคา $50 (หลังจากแตกพาร์ 4:1)
อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นย่อมมีอุปสรรค ผมพยายามเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์จากอเมริกาโดยตรงชื่อ E*TRADE ส่งเมลไปถามก็พบว่าเขาเพิ่งปิดบริการคนแถวเอเชีย ด้วยเหตุผลทางด้านความเสี่ยงในการให้บริการ
ทำให้ยังไม่ได้เริ่มต้นซื้อหุ้น หลังจากนั้นก็เจอข้อมูลประมาณปลายปี 2014 ว่าโบรกเกอร์ในไทยมีบริการซื้อหุ้นอเมริกาได้แล้วแบบ Offshore กว่าจะเปิดเรียบร้อย หุ้น V ก็วิ่งขึ้นมาที่ราคา 60 บาทแล้ว
ด้วยความเป็นนักลงทุนวีไอ และเพิ่งลงทุนที่นั่นครั้งแรก จึงเผื่อส่วนต่างความปลอดภัยไว้เยอะ เลยตัดสินใจไม่ซื้อ หลังจากนั้นก็มาทำการบ้านเพิ่ม และเจอหุ้น Google ที่ราคา $520
ทำการหามูลค่าแล้วพบว่าราคาถูกมาก จึงเข้าลงทุนทันทีด้วยเงินทั้งหมดที่ขายหุ้น PB จากประเทศไทย หลังจากนั้นก็ลงทุนเพิ่มมาเรื่อยๆ ไม่เคยขายหุ้นใดๆเลย
ตอนสิ้นปีนี้ ผมก็จะลงทุนครบ 5 ปีแล้ว
ถ้าเปรียบเทียบการลงทุนที่อเมริกา เหมือนการวิ่งมาราธอนระยะ 42.2 กิโลเมตร ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะวิ่งมาได้แล้ว 7 กิโลเมตร หรือประมาณ 16%
ผ่านเหตุการณ์มาหลากหลายทั้ง Dow Jones ลงวันเดียว 800 จุด สงครามการค้า (ไม่รู้กี่รอบ) หรือหุ้นที่ถือลดลงวันเดียว 20%
การลงทุนในอเมริกาไม่ยากและไม่ง่าย ผมก็ไม่ได้เก่ง แต่ชอบการลงทุน เน้นศึกษาหาความรู้ดีๆ และต้องหามูลค่าหุ้นให้เป็น
ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในเป้าหมายที่พึงพอใจ (บริษัทที่ลงทุนไม่จ่ายเงินปันผล)
หุ้น Google สัดส่วน 30% ของพอร์ต ลงทุนต้นปี 2015 จนถึงปัจจุบัน ผลตอบแทนปีละ 20% แบบทบต้น
หุ้น Facebook สัดส่วน 60% ของพอร์ต ลงทุนปลายปี 2017 ผลตอบแทนปีละ 15% แบบทบต้น
หุ้น Microsoft สัดส่วน 10% ของพอร์ต ลงทุนปลายปี 2018 ผลตอบแทนในปี 2019 ทำได้ 47%
ทั้งหมดเป็นผลตอบแทนก่อนผลกระทบค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงไปประมาณ 8% จากเงินลงทุนตั้งต้น
3 สิ่งหลักๆที่ผมเรียนรู้ และอยากแชร์ให้ทุกคนก็คือ
ข้อแรก มีหุ้นที่สามารถลงทุนเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อยู่จำนวนมาก อ้างอิงจากหนังสือ 100 Baggers พบว่ามีหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนมากกว่า 100 เท่าในช่วงปี 1962 ถึง 2014 ทั้งหมดมากกว่า 300 ตัว โอกาสยังมีอย่างต่อเนื่องเพราะมีธุรกิจเกิดใหม่เข้ามาตลอด
ข้อที่สอง แม้ว่าทั้งตลาด Dow Jones และ Nasdaq จะปรับตัวขึ้นมา 4 เท่า และ 5 เท่าตามลำดับหลังจากวิกฤตตอนปี 2009 หุ้นหลายๆตัว เช่น Microsoft Apple และ Starbuck ก็ยังมีค่าพีอีต่ำกว่า 30 เท่า ทั้งที่มีอัตราการเติบโตสองหลัก หุ้นดีๆราคาเหมาะสมยังคงหาได้เสมอ
ข้อที่สาม นักลงทุนต้องมีความรู้เพื่อลงทุน เพราะว่าตลาดที่นั่นมีประสิทธิภาพสูง ถ้ากำไรของบริษัทไม่มาตามที่คาดหวังไว้ หุ้นสามารถปรับตัวลดลงได้มากถึง 40% ในวันเดียว
สุดท้ายนี้ ผมลงทุนระยะยาว เพราะเชื่อมั่นว่าอเมริกาจะยังคงเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปอีก 20-30 ปี แม้ว่าหลายๆคนเริ่มมองว่าจีนจะแซงหน้าอเมริกาได้
สำหรับคนที่ยังไม่กล้าลงทุนเองโดยตรง ผมขอแนะนำให้ออมในหุ้นผ่านทาง ETF ของ Vanguard S&P 500 (ตัวย่อ VOO) เหมือนเราลงทุนในหุ้นชั้นนำ 500 ตัวของโลกเลย
ผลงานในอดีตของ ETF ตัวนี้ในรอบ 10 ปีสามารถทำได้ถึง 200% หรือปรับตัวขึ้นมาถึง 3 เท่าตัว
อย่าเพิ่งลงทุนทันที รอจังหวะตอนปรับตัวลดลงซัก 20-30% ค่อยลงทุนกันครับ #หุ้นอเมริกา #ลงทุนเพื่อชีวิต #ออมในหุ้น