Better Trade ช่วง หุ้นผู้ชนะ
วิทยากร ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ,
คุณ โจ ลูกอีสาน และ เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง
คำถาม อยากให้Review ตลาดหุ้นไทยปีนี้
คุณโจ ลูกอีสาน บอกว่า ตลาดหุ้นปีนี้คล้ายกับปีที่แล้ว
ซึ่งกลางปีทีแล้ว ดัชนีขึ้นไปสูงสุดที่ 1850 จุด และลงมาถึงปลายปีค่อนข้างแรง
ปีนี้ก็ขึ้นไปสูงสุดที่ 1750 เมื่อกลางปี และตอนนี้ก็มาอยู่ที่ 1600 จุด
ตลาดบวก1%และรวมปันผล คิดเป็น 3-4%
ตอนนี้พอร์ตของ อ โจ บวกแต่น้อยกว่าตลาด สองปีนี้ตลาดถือว่าลงทุนยาก
วันนี้ Surprise ว่า พวกเรามาฟังกันเยอะ
ส่วนดร นิเวศน์ บอกว่า ชนะตลาดนิดหน่อย แต่ปลายปีอาจแพ้ได้ ช่วงก่อนหน้าชนะตลาดเยอะ และ ลดลง
หุ้นที่ถือเป็นตัวใหญ่ จะชนะตลาดเยอะได้ยาก
อิทธิพลต่างชาติ เวลาขาย ก็ขายตัวใหญ่ เวลาซื้อ ก็ซื้อหุ้นใหญ่
ตอนนี้พยายามประคองไป ตั้งแต่ต้นปี ภาวะของตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย
ต้นปีราคาหุ้นก็ไม่ถูก PE 17 เท่า ยากจะทำให้การลงทุนบวกเยอะ เนื่องจากค่าPEสูง (หมายถึง ซื้อของแพง)
แต่ถ้าPEต่ำ ถึงแม้สมมติว่าตลาดปรับตัวลดลงอีกมาที่ PE 8 เท่า ก็มีโอกาสกลับมาได้ง่ายกว่า
ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ กำไรจะดีต่อนั้นยาก เพราะ กลุ่มปิโตรเคมีปีที่แล้วดีมาก
โอกาสจะดีอีกนั้นยาก
ดังนั้นโอกาสที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน กำไรเท่าเดิมก็ยากแล้ว ทำให้ดัชนีขึ้นยาก
และถ้ากำไรลดลง ก็มีโอกาสให้ดัชนีตลาดติดลบได้
ปีที่แล้วตลาดหุ้นติดลบ 10% ปีนี้ก็มีโอกาสrebound ซึ่งเป็นข้อดี ปีนี้น่าจะดีขึ้น
จากสถิติ โอกาสที่ตลาดหุ้นติดลบสองปีซ้อนยาก
และถ้าตลาดติดลบสองปีซ้อน ปีหน้าก็มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนอัตราดอกเบี้ยก็Natural ไม่ค่อยผลต่อตลาดหุ้นเท่าไหร่
อีกปัจจัย คือ ตลาดหุ้นไทยไม่เคยเจอวิกฤตอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2008
ตอนนี้ทุกคนกลัวว่าอเมริกาจะต้องเจอวิกฤต ซึ่งคาดกันว่าจะเจอในปีหน้า (2020)
แต่ไม่แน่อาจเกิดปีนี้ ปรากฏว่า หุ้นอเมริกา new high
ถ้าทายถูกว่า เกิดวิกฤตจริงในปีหน้า ต้องยกนิ้วให้ว่า ทายล่วงหน้าสองปีถูก
ตอนนี้บริษัทระวังตัว ไม่มีการกู้เงินเยอะๆ ปีนี้สถานการณ์ ตลาดหุ้นทรงๆ
ความคิดเรื่องลงทุน คือการเปลี่ยนmindsetใหม่
ถ้าดัชนีเท่าเดิมก็ดีใจ ได้ปันผล 3% ก็พอใจแล้ว
อยู่ไปเรื่อยๆ รอตลาดหุ้นขึ้นรอบใหม่
ลดความคาดหวังว่าจะได้ 15%
ถ้าไม่ขาดทุนก็พอใจแล้ว
ถ้าใครต้องการผลตอบแทนสูง อาจต้องใช้ margin , Block trade ช่วย ซึ่งก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
เสี่ยป๋อง ส่วนตัวก็ติดลบนิดหน่อย จากครึ่งปีแรกบวกนิดหน่อย
ปีนี้เล่นยาก สถานการณ์ตลาดแปลกๆ มีการrotateหุ้น(สลับกลุ่มเล่น)
เรียกว่า transportation , disruptive
กลยุทธ์ของเสี่ยป๋อง ตอนนี้ซื้อหุ้นกระจายๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถือเฉพาะกลุ่ม เพราะ
สมมติว่าถ้ามี หุ้นกลุ่มธนาคาร หรือหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีอยู่เยอะ ก็ติดลบเยอะ
ขาขึ้น new high ไร้แนวต้าน new low ไร้แนวรับ
ใครเล่นหุ้นแนวเทคนิค ถ้าเจอสัญญาณdivergence แล้วต้องซื้อปรากฏว่าติดหุ้น
ผมเคยเจอแบบนี้ เกิดdivergence สี่รอบหุ้นถึงจะขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะซื้อตั้งแต่รอบแรกเลยดอย
ต้องปรับกลยุทธ์ และ เล่นตามนโยบายเดิม พยายามสลัดของถูก(ซึ่งคุณภาพไม่ดี)
เล่นหุ้นต้องมีวินัย เคยโพสว่า กราฟเสียตั้งนานแล้ว แต่ไม่คัต เนื่องจากตอนนั้นถือว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินเย็น
ดังนั้น อย่าปล่อยให้หุ้นลงลึก กราฟเสียต้องขาย
Technical ช่วยในเรื่องรู้ก่อน ขายก่อน
แต่คนจะขายต่อเมื่อรู้ว่าเกิดจากอะไร
ตรงกับสุภาษิตว่า เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย
ซึ่งกว่าจะรู้ว่าผิดเพราะอะไร คือลงไป30%ค่อยขาย
คำถามต่อไป ปรับตัวอย่างไร ในสภาวะที่การลงทุนที่ยากในปีนี้
คุณ โจ ตอบว่า ผมเริ่มสังเกตว่าตลาดหุ้นโดยรวม สัดส่วนผู้ลงทุนแต่ละกลุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลง
ปี40 นักลงทุนสถาบัน มีแค่ 2-3%ของตลาด อีก 25-30% เป็นนักลงทุนต่างประเทศ ที่เหลือเป็นรายย่อย
สองปีที่ผ่านมา สังเกตว่า สัดส่วนนักลงทุนสถาบันเพิ่มมาเป็น 20-30% ส่วนต่างชาติเท่าเดิม
กลุ่มไหนที่ลดลง ซึ่งก็คือ รายย่อยลดสัดส่วนลงมาเหลือ 20-30% ซึ่งเหมือนแนวโน้มในต่างประเทศ
รายย่อยจะค่อยๆหายไป ถ้าไม่ปรับตัว เราต้องหาจุดแข็งของรายย่อย
ธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมากหลังจากมี internet
ถ้าไม่ใช่ธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งแล้ว การซื้อและถือหุ้นไปนานๆ ทำได้ยาก
เช่น ธุรกิจ สื่อ สิ่งพิมพ์ ซึ่งโดนdisrupt ส่วนพลาสติก รัฐให้เลิกใช้
แต่ควรมีมาตราการช่วยเหลือโรงงานที่โดนกระทบ
เทรนนี้จะมาเรื่อยๆ ทำไม ปูนซิเมนต์ไทย ทำนิวโลว์ ในรอบหลายปี
เพราะจริงๆ บริษัทนี้น่าจะชือ ปิโตรไทยมากกว่า เพราะ กำไร70%มาจากปิโตรเคมี
และตอนนี้ปูนใหญ่ไปสร้างโรงงานที่เวียดนาม เราต้องติดตามต่อว่าจะกระทบอย่างไรบ้าง
กระแส E-commerceก็มาแรง เมื่อก่อนไม่เคยซื้อของonline แต่ปีนี้ผมเริ่มลองซื้อของonlineดู ปรากฏว่าติด
จ่ายเงินซื้อไปแสนกว่าบาทแล้ว รู้สึกสนุกการซื้อ เช่น ซึ้อทุเรียนจากกรุงเทพ
คนอื่นก็คงไม่ต่างกับผมมาก ดังนั้น ต้องระวังธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
เช่น ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ ราคาหุ้นตอนนี้ก็เริ่มปรับตัวลดลงแล้ว
แต่ไม่ควรหวาดระแวงจนเกินไป ปิโตรเคมี ได้ผลกระทบ แต่ทำไมโรงไฟฟ้าขยะยังดีอยู่ ก็น่าจะถูกกระทบด้วย
เนื่องจากปริมาณพลาสติกลดลง ทำให้ค่าความร้อนที่ได้รับลดลงด้วย
โลกเปลี่ยนไป มีสองทางเลือก ผมเลือกทางเลือกที่สองว่า
โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนตามโลก
นักลงทุนสถาบันมีอิทธิพลเยอะ เม็ดเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หุ้นที่ลงทุนได้มีไม่เยอะ
ทำให้เกิดการย้ายกลุ่มกันในตลาดหุ้น
รายย่อยทำอย่างไร ก็ต้องอดทน มันไม่ใช่แบบนี้ตลอดไป
แต่หุ้นที่ถือต้องดี เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค
เชื่อว่า หุ้นเล็ก กลาง จะทรงๆ ทรุดๆไปเรื่อยๆ
มองภาพในอนาคตอย่างไร ครับ ดร นิเวศน์
ดร นิเวศน์ บอกว่า ศึกษาแล้วพบว่า คนไทยนั้นแก่ตัวลงเร็วมาก เป็นปัญหาของทุกอย่าง
ความคิด แรง การทำงาน ได้แค่นี้ สิ่งที่ตามมา คือ ความสามารถในทางแข่งขันลดลง
เมื่อก่อน เราสามารถแข่งขันได้ทั่วโลก ตอนนี้เวียดนามเหมือนเราสมัยก่อน
เขาไม่เคยกลัวประเทศอื่น
เวลานี้ ไทย ส่งออกยาก สินค้าสู้เวียดนาม จีนไม่ได้
การผลิตในไทย 70%ส่งออกไปแข่งขันกับทั่วโลก รวม ฟิลิปปินส์ อินโด
ก็แข่งขันไม่ไหว ค่าเงินบาทแข็งกว่าเพื่อนบาท เทียบกับเวียดนาม ที่ได้เปรียบจากค่าเงิน 15%แล้ว
นิคมอุตสาหกรรมในEEC ผมสังเกตดูไม่ค่อยมีใครมา นอกจากมาตั้งคลังสินค้า
การบริการ สมัยก่อนการบริการดี ป้องกันต่างชาติได้ ต่างชาติค้าขายในไทยไม่ได้
แต่ตอนนี้ การบริการแบบ 4G มีการโอนเงินได้ ธุรกิจธนาคารก็เริ่มถูกdisruptแล้ว
ห้างก็ถูกกระทบ มีแต่คนเดินเล่น เวลาซื้อก็ซื้อผ่าน E commerce
ร้านค้าก็อยู่ไม่ได้ และหายไป
การท่องเที่ยวก็ยังพอได้ เพราะคนมาชมสิ่งเก่า โบราณอย่างเดียว
มีบางส่วนที่พอได้ แต่เหลือน้อยลง
ยังมีอันไหนที่มี local monopoly ที่ต่างชาติยังเข้ามาไม่ได้ อันนี้น่าสนใจ
ธนาคารก็ถูกกระทบ ถึงแม้ราคาลงหนัก แต่มีโอกาสถูก disrupt
เมื่อก่อนชอบธนาคารขนาดใหญ่เพราะได้ค่าธรรมเนียนมจากการให้บริการ
แต่ตอนนี้ชอบธนาคารขนาดเล็ก เพราะไม่โดนdisruptจากค่าธรรมเนียม ซึ่งไม่เคยมีรายได้จากส่วนนี้
การบริโภค การผลิต โดนdisruptหมด
ส่วนเวียดนาม การทำห้างยังดีอยู่เพราะไม่ค่อยมีห้างที่เวียดนาม
ธุรกิจที่อยู่รอดได้ ต้องดูเป็นรายบริษัท เช่น ธุรกิจการบริการ
ส่วนการผลิต ต้นทุนแรงงานสูง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ค่าแรงถูก
ตอนนี้ดูรายละเอียดแต่ละตัวของretail ว่าเป็นอย่างไร แต่เมืองนอกเจ้งเป็นแถว
เสี่ยป๋อง เห็นด้วยกับ อ นิเวศน์
อะไรที่เป็นรุ่นเก่า เช่น โรงงาน เหนื่อย
มองโครงสร้าง แล้ว เหลือรอดไม่เกิน 10%
แต่ธุรกิจรุ่นเก่าอาจไม่เจ้ง เพียงแค่ธุรกิจไม่โต คนก็ไม่สนใจซื้อหุ้นแล้ว
โลกอนาคต megatrend แบ่งออกเป็นสามอย่าง
1. Alternative Energy น่าสนใจ แต่ถ้าเป็นพลังงานเก่า เช่นฟอสซิล ก็จะค่อยๆหายไป
รถยนต์ก็เปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมัน
รถไฟฟ้า การเติมไฟฟ้า โดยยกเปลี่ยนแบตน่าจะดีกว่า ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้าร้อนแรงจากทุนต่างชาติเข้ามา รวมถึง เป็นหุ้นdefensive มีรายได้แน่นอน การเข้าลงทุนต้องดูราคาด้วย
2. ธุรกิจขนส่ง จะโตเนื่องจาก Ecommerce ที่ขยายตัว
3. การติดต่อสื่อสาร โลกอนาคตจะเป็น 5G หรือมากกว่านั้น ธุรกิจที่มีใบอนุญาตก็อยู่ต่อได้
คุณโจ บอกว่าทุกคนพอรู้ คือ Trendที่มีอนาคตและไม่มีอนาคต
ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงกลุ่มที่ไม่มีอนาคต เช่น ธุรกิจสื่อ หรือ ธุรกิจที่ตรงข้ามกับonline เช่น ธุรกิจการให้เช่าพื้นที่ห้าง
พลาสติก เป็นกลุ่มไม่มีอนาคต
กลุ่มที่มีอนาคต แต่มีน้อยในตลาดหุ้นไทย เราทำอะไรได้บ้าง
เราก็ไปลงทุนในเมืองนอก การซื้อขายในเมืองนอกไม่มีข้อจำกัด เราสามารถเทรดผ่านโบรกได้
เช่น บริษัท Kerry ที่list in Hongkong หรือ ซื้อบริษัทไทย ที่ไปถือหุ้นของKerry thaiก็ได้
เวียดนาม เคยไปเมื่อห้าปีที่แล้ว 1 ล้านด่อง เท่ากับ 1,580 บาท ตอนนี้เหลือ 1,300 บาท จนลงโดยอัตโนมัติ
มีความเสี่ยงอย่างอื่นเข้ามา แต่ไม่ทำให้หมดอาลัยกับตลาดหุ้นไทย
เจอเพื่อนนักลงทุนในโต๊ะอาหาร (อาจารย์ไปร่วมงานแต่งงานของน้องบิ๊ก) ดูเงียบๆไปหน่อย
ตั้งแต่ต้นปี2562 มีหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ถึง 60กว่าตัว
คิดเป็น 10%ของตลาดก็เยอะ
ผมก็มีหุ้นบางตัวอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แต่ก็มีบางตัวขาดทุน50% ทำให้พอร์ตปีนี้ไม่ไปไหน
ถ้าเราอยากเป็นคนพิเศษ ทุกอย่างมีต้นทุน เต็มใจที่จะทำหรือเปล่า โอกาสยังมี
ตราบใดที่ยังหุ้นขึ้น 50-100% ทำไมจะเจอหุ้นเหล่านั้นไม่ได้ อย่าไปท้อ
เราต้องเกาะเกี่ยวหุ้นที่ขึ้น 100%
เทคนิคในการเลือกหุ้น
อ โจ บอกว่า การลงทุนมีสองมิติ คือคุณภาพและราคา
1. ดูหุ้นที่มีคุณภาพดี กำไรเติบโตไปเรื่อยๆ มีความสามารถในการแข่งขัน
เช่น 7-11 , AOT , BDMS
บางบริษัทเติบโตจากการกินแชร์ของคนอื่น (CPALL)
แต่มีบางบริษัทจากอุตสาหกรรมที่เติบโต เช่น AOT มีอำนาจในการผูกขาด
แต่ต้องไม่ใช่อยุ่ในธุรกิจ downtrend
2.เราต้องดูราคาหุ้นด้วย ต่อให้หุ้นดีแค่ไหน ซื้อแพง ก็ซวยได้
อย่าละเลยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ตอนนี้นักลงทุนเริ่มดูปัจจัยคุณภาพมากขึ้น
หุ้นอสังหา PE 6 เท่า ทำไมไม่มีคนสนใจซื้อ
แต่หุ้นที่ดีมีอนาคต นั้นมี PE 20กว่าเท่า
ระยะหลัง ให้ความสำคัญกับปัจจัยคุณภาพมากขึ้น แต่ดูราคาด้วย
ส่วนดร นิเวศน์ บอกว่า พยายามหาหุ้นที่ผิดราคา
ตลาดหุ้นแปลกในช่วงนี้ ตอนนี้ตลาดหุ้นแพง แต่พบหุ้นบางตัวผิดราคา
สมัยที่ลงทุนช่วงต้มยำกุ้น ซื้อหุ้นตอน 800 จุด ได้ลงทุนหุ้นผิดราคา เวลาตลาดหุ้นลง 204จุด
ปรากฏว่า หุ้นที่ถือไม่ได้ลง เพราะมีกำไรดี ปันผลดี
ตอนนี้ตลาดหุ้นแพง แต่บางตัวพอซื้อได้แล้ว
อาจบางทีคนอาจเข้าใจผิด ทำให้ไม่สนใจ เกิดหุ้นผิดราคาขึ้น
ถ้าเราซื้อไป ก็รับปันผลในช่วงนี้ได้
นาทีนี้ มีหุ้นผิดราคา พอลงทุนได้ ไม่เหมือนกับเมื่อ สามหรือสี่ปีก่อน ซึ่งก่อนหน้า ดร ไม่ได้ซื้อหุ้นมาปีครึ่ง
สรุป ดร เริ่มซื้อหุ้นที่ผิดราคาแล้ว
ส่วนเสี่ยป๋อง ตอนนี้เลือกหุ้นลำบาก เลยมาฟังหมอดูฟองสนาน
(ฟองสนาน อินเด็กซ์ ) ดาวพฤหัส พ้นจากสิ่งไม่ดี ตั้งแต่พฤหัสที่ผ่านมา จนถึง 17 มีค 2563
หลังจากนั้นค่อยมาดูกันใหม่ ก่อนหน้าเจอดาวถอยหลัง ก็เลยทำให้ตลาดไม่ดี (เข้าใจว่า เสี่ยป๋องพูดเล่น)
ผมดูจากเทคนิเคิลเป็นหลัก ดัชนี DJ จ่อHigh แล้ว
แต่ไทย เหมือนจะลงใต้ยังไงก็ไม่รู้
ถ้าตราบใดไม่ลงต่ำกว่า 1546 ก็ยังดีอยู่ ห้ามหลุดนะ ถ้าลงต่ำกว่า ก็ไม่รู้แล้ว
แรงขายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านม สถาบัน R&I จากญี่ปุ่น มา upgrade thai เป็น A- แต่ลบ 11จุด
แต่เราต้องมีความหวัง คิดว่า moody,S&P น่าจะประกาศratingใหม่
ถ้าจะเลือก ตอนนี้ยังเลือกไม่ถูก แต่กลุ่มที่พูดก่อนหน้า ถ้าลงมาแนวรับ ก็เป็นโอกาส
MACD Month จ่อต่ำกว่า 0 ต้องรีบขึ้นเหนือ ดัชนีวิ่งถึง1700จุด MACD Month ถึงจะเกิน 0 ได้
มีคนคาดการณ์ว่า FED ลดดอกเบี้ยตั้งแต่ครั้งที่สอง จะไม่ดี เพราะแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ดี
ปรากฏว่า ลดดอกเบี้ยไปสามครั้ง หุ้นขึ้นตลอด
อยากให้คนไทยคิดแบบสหรัฐ ป่านนี้หุ้นไทยขึ้นไป6,000 จุดแล้ว
สรุปแล้ว ผมต้องรอสัญญาณก่อน ถึงตัดสินใจเรื่องลงทุนได้
แนวทางในการจัดพอร์ตในปีหน้า
เสี่ยป๋อง เล่นไปตามป้าฟองไปก่อน 555
ปีหน้า ของจริงแน่ ที่เกิด recession
มีการtransformจากธุรกิจเก่าไปใหม่ ดังนั้น ตลาดหุ้นทั้งโลกจะมีปัญหา
ผมระแวงมาก ยิ่ง ดร มาพูด ก็ยิ่งระแวงขึ้นไปอีก
อ โจ ผมคิดถึงหลักจิตวิทยา คนที่เจ็บจากอะไร จะขยาดกับสิ่งนี้
เวลาหุ้นลง เราก็คิดว่าหุ้นลงต่อ หรือ เวลาหุ้นขึ้น ก็จะคิดว่าหุ้นขึ้นต่อ
ซึ่งเป็นจิตวิทยาของคนส่วนใหญ่
ดังนั้นหลักการจัดพอร์ตของ อ โจ ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 70ตัว จาก 50 ตัวในปีที่แล้ว
ผมพึ่งมาใช้วิธิใหม่ในปีนี้ ดร พูดว่า ท่านซื้อหุ้นที่ผิดราคา ราคาหุ้นต่ำกว่าเป็นจริง
แต่ถ้าหุ้นที่ผิดราคาในอีกทาง คือ สูงกว่าที่เป็นจริง เมื่อก่อนทำอะไรไม่ได้
กลต ใจดี เพิ่มเครื่องมือมา ให้เราshort futureได้
ตัวไหน overvalue ก็ไปshort ทำมา 10 ตัวประสบความสำเร็จ 9 ตัวในช่วงนี้
ธุรกิจปีหน้าก็คิดว่าเหมือนปีนี้ เพราะกิน ใช้เหมือนเดิม
ผมคิดว่า GDP ปีหน้าก็ประมาณ 2% เพราะการกระตุ้นช่วงนี้มีผลน้อย
เพราะสินค้าเกษตรไม่ดี ถึงแม้ภาครัฐประกันราคา แต่ช่วยเฉพาะจุด จะยั่งยืนไหม
ประกอบค่าเงินบาทแข็งมาก ทำให้ส่งออกไม่ดี แข่งขันกับเพื่อนบ้านยาก
ดังนั้น คิดว่าหุ้นตัวไหนขึ้นน่าหมั่นไส้ ก็สามารถshortหุ้นนั้นเลย
ดร นิเวศน์ พูดปิดท้าย ผมมองหุ้นหลายตัวแพงเกินไป แต่ไม่ได้ไปshortหุ้น
ตอนนี้ ความมั่งคั่งเป็นเรื่อง relative
ตอนนี้มีหลายหุ้นถูก ก็ซื้อสะสมไว้
ไม่สนใจว่าหุ้นลง อนาคตหุ้นที่ถืออยู่ที่รวบรวมมานี้ น่าจะชนะบริษัทส่วนใหญ่
และเรื่องปันผลก็เป็นเรื่องสำคัญ พยายามหาหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ดูแล้วไม่น่าแพ้บริษัทอื่น
ที่สำคัญคือราคาถูกมากในช่วงนี้
สุดท้ายขอขอบคุณ E finance และ วิทยากรทุกท่านที่มาให้คำแนะนำในช่วงตลาดไม่ดีนะครับ