เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 1

โพสต์

กำลังจะรวยกว่า Bill Gate ในอีกไม่ช้า
จากข้อมูลนิตยสารฟอร์ป จัดอันดับคนรวยที่สุดในโลก

ปี 2001
Bill Gate = 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์
Warren = 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์


ปี 2003
Bill Gate = 4.66 หมื่นล้านดอลลาร์
Warren = 4.29 หมื่นล้านดอลลาร์


คงจะเป็นผลของการทบต้น ออกดอกออกผล
เพราะเบอร์กไชร์ เลือกที่จะไม่ปันผล แต่นำกำไรไปลงทุนต่อ
ในขณะที่ Microsoft นำกำไรไปลงทุนต่อ น้อยกว่าเพราะมีการจ่ายปันผล

หากยังเป็นอย่างนี้ อีกไม่นานวอร์เรน จะรวยกว่า บิล เกตน์

และหากเป็นอย่างที่คาดจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่า
แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น จะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จได้ อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว หากกระทำอย่างเคร่งครับ และต่อเนื่อง :D
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
The Beginner
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมเชื่อในแนวคิดนั้น เพราะมัน สมเหตุสมผลมากๆ แค่ซื้อกิจการที่ดีและจะดีในระยะยาว ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง

เพียงแต่ว่า วิธีการคิด การประยุกต์ การคำนวน มุมมองการวิเคราะห์นั้น ต้องอาศัยหลายๆ อย่างประกอบกันมากๆ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ดังนั้น ต้องอาศัยระยะเวลา ประสบการณ์ ความมุ่งมั่น ความอดทนมาก

ขอให้กำลังใจเพื่อนๆ ด้วยนะครับ
Dr.T
Verified User
โพสต์: 1608
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ถ้าพิจารณาอายุอาจทำให้หลายคนไขว้เขวนะครับ
บัฟเฟตเจ็ดสิบกว่าแล้ว แต่บิล เกตส์เพิ่งสี่สิบกลาง ๆ

แต่ล่าสุดหุ้น berkshire 86000$/หุ้นแล้ว :roll:
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 4

โพสต์

Microsoft ก้เป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลไม่มากครับ ปัจจุบันเป็นบริษัทที่มีเงินสดเหลือมากที่สุดครับ และกำลังมีแผนที่จะซื้อหุ้นคืนในตลาด และเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลครับ
โป้ง
Verified User
โพสต์: 2326
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เห็นข้อมูลทำให้มีกำใจ ในการอดทนเฝ้ารอครับ :D
งด เลิก เสพ สุรา บุหรี่ วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีของท่าน
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เคยอ่านเจอว่าวอร์เรน ทำผลตอบแทนทบต้นได้ประมาณ 22% ต่อปี
แต่คิดว่าระยะหลังๆ คงทำผลตอบแทนไม่ได้อย่างนั้นเพราะจำนวนเงินมากขึ้น ทำให้บริหารยากขึ้น หากแค่ทำผลตอบแทน 15% ต่อปี ภายใน 5 ปีก็จะมีเงินเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวเลยทีเดียว :roll:


ตลาดหุ้นไทยตั้งมาประมาณ 28-29 ปี จากดัชนี 100 ตอนนี้ดัชนี 669
คิดเป็นอัตราทบต้นประมาณ 7% และหากรวมปันผลก็คงประมาณ 9-10%
ต่อปีเลยทีเดียว

ผมตั้งเป้าหมายส่วนตัว ในการทำผลตอบแทนทบต้นไว้ที่ 15% ต่อปี
สูงกว่าดัชนีตลาดประมาณ 5% ทุกปี
ซึ่งหากทำได้จะทำกำไรได้ 1 เท่าตัวภายใน 5 ปีเลยทีเดียว
ซึ่งดูแนวโน้มก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยครับ แม้ปีที่แล้วจะทำผลตอบแทนได้
79% ซึ่งคงไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในขณะที่ดัชนีตลาดให้ผลตอบแทน 117%
เท่ากับว่ายังแพ้ผลตอบแทนของตลาดอีกพอสมควร

เส้นทางนี้อีกยาวไกลครับ

วอร์เรน เคยกล่าวว่า "เวลาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจที่ดี แต่เป็นเสมือนคำสอบแช่งสำหรับธุรกิจที่ไม่ดีอย่างแท้จริง"
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
บุคคลทั่วไป
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 7

โพสต์

Buffett เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดไปแล้วครั้งนึงเมื่อปี 1993 ครับ อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งที่ว่ามักจะคิดจากราคาหุ้น ฉะนั้น ถ้าจะวัดกันแบบจริงๆ ผมว่าต้องดูด้วยว่า ราคาหุ้น Microsoft และ Berkshire นั้น undervalued , fairly valued หรือ overvalued ครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนกุมภา ปี 2000 Masayoshi Son เจ้าของ Softbank ซึ่งถือหุ้น Yahoo, E-Trade , Geocities เคยรวยถึง$ 76 billion รวยกว่า Bill Gates เสียอีก แต่มันก็เป็นเพียงช่วงสั้นมากเท่านั้น เนื่องจากในช่วงนั้น หุ้น Internet มีราคาที่ overvalued มากๆๆๆๆ
แต่ถ้าเราตั้งสมมติฐานว่า ราคาหุ้น Berkshire สะท้อนพื้นฐานของบริษัท ราคาที่ว่าก็สะท้อนถึงการลงทุนในตลาดหุ้นน้อยลงไปทุกทีครับ ปี 1997 asset ของ Berkshire ถึง 73% เป็นการลงทุนในตลาดหุ้น พอมาถึงปี 2002 การลงทุนในตลาดคิดเป็นเพียง 26% ของ asset ของ Berkshire เท่านั้นครับ พักหลัง Buffett หันไปซื้อบริษัทนอกตลาดมากขึ้นๆ ซึ่งปี 2002 คิดเป็น 30% ของ asset ของ ฺBerkshire ทีเดียว การซื้อบริษัทนอกตลาดของ Buffett เป็นความสามารถเฉพาะตัวซึ่งยากที่ใครจะเลียนแบบ ซึ่งผู้ถือหุ้น Berkshire ก็กังวลไม่น้อยว่าตรงจุดนี้ใครจะมาทำแทน Buffett ได้ เจ้าของบริษัทหลายๆแห่งที่อยากจะรักษาวัฒนธรรมองคํกรและเอกลักษณ์ของบริษัทไว้ ขณะเดียวกันก็อยากจะมีสภาพคล่องและยังทำงานในบริษัทต่อไป จะเลือกขายบริษัทให้ Buffett ในราคาที่สมเหตุผลแทนที่จะเอาบริษัทเข้าตลาดหรือขายให้คนอื่น Buffett สร้างความน่าเชื่อถือตรงนี้ไว้อย่างยาวนานมากว่าพอซื้อบริษัทมาแล้วจะไม่เข้าไปปรับเปลี่ยนซึ่ง Buffett จะบริหารแบบไม่เข้าไปบริหาร Buffett จะคอยให้คำปรึกษาเมื่อถูกร้องขอ และจะเน้นเรื่อง asset allocation เท่านั้น ส่วนนี้มีความสำคัญกับ Berkshire มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง Buffett เองก็บอกว่ามองตัวเองเป็น manager มากขึ้นๆ
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า วันนี้ของท่านมาจากการลงทุนในตลาดหุ้นและเป็นการใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า จึงน่าจะสรุปได้ว่า การลงทุนแบบ VI นั้นสามารถสร้างความมั่งคั่งได้แน่
สรุปของสรุปก็คือ ทั้ง Gates และ Buffett ต่างก็ประสบความสำเร็จในแง่ที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะเป็นความสำเร็จที่เราๆสามารถไข่วคว้าได้ไม่ยากนัก เมื่อไรที่เราได้ทำงานที่ตัวเองรัก เราอาจจะพอลืมๆคำว่าอิสรภาพทางการเงินลงไปได้บ้าง นักกีฬาประเภทอื่นที่หันไปเล่นเทนนิสเพียงเพราะเห็นภราดรทำเงินได้มากมายคงประสบความสำเร็จได้ยากฉันใด คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดเพียงเพราะอยากรวยก็คงจะประสบความสำเร็จได้ยากฉันนั้น ผมว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีความรักในกระบวนการครับ ความเห็นส่วนตัวนะครับ บางท่านอาจจะไม่เห็นด้วย
WEB
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1139
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ข้างบนผมเองครับ WEB ผมว่าผม log in แล้วนะ แฮะๆ
ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็น

http://WarrenBuffettFan.blogspot.com/
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เห็นด้วยกับคุณ WEB 100% ครับ

ผมคิดว่าตัวเองโชคดีพอสมควรที่สามารถค้นหางานที่ตัวเองรัก และงานนั้นก็ให้ผลตอบแทนที่ดีได้รวดเร็วพอควร ผมว่าหลายคนในโลกนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองรักที่จะทำงานอะไร เรียกว่ายังค้นหาตัวเองไม่เจอ และหลายคนก็หลงทางต้องไปทำงานที่ตัวเองไม่ได้รัก เพราะผลตอบแทนของงานนั้นมันยั่วยวนใจ (ผมว่าหลายคนที่เข้ามาซื้อขายหุ้นก็เพราะผลตอบแทนที่สูงนั้นเอง)

การที่คนบางคนมีเงินมากมายเรียกว่าใช้หลายชาติก็ยังไม่หมด แต่ก็ยังไม่มีอิสระภาพทางการเงิน เนื่องจากกิจการของครอบครัวที่ต้องบริหารต่อนั้นไม่ใช่งานที่ตัวเองใฝ่ฝันไว้ แต่ยังคงต้องทำเนื่องจากกิจการนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นก่อนๆ
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 10

โพสต์

เข้าใจว่าคุณเทียม โชควัฒนา เคยกล่าวประโยคอมตะไว้ว่า

"การทำงานคือการพักผ่อน"

กวีคาลิล ยิบราน ผู้ประพันธ์ปรัชญาชีวิต ก็กล่าวในเรื่องการงาน ไว้ว่า

"การงานคือความรักปรากฎตนเป็นรูปร่าง
และถ้าเธอไม่อาจประกอบการงานได้โดยมีความรัก
แต่ด้วยความจำใจเบื่อหน่าย เธอก็ควรวางมือ และไปนั่งตามประตูโบสถ์
ขอทานท่านผู้ทำงานด้วยความชื่นชมจะดีกว่า

เพราะถ้าเธอปิ้งขนมปังอย่างไม่แยแส เธอก็จะได้ขนมปังอันมีรสขม
และบรรเทาความหิวโหยของมนุษย์ได้เพียงครึ่งเดียว

และถึงแม้เธอจะร้องเพลงได้ด้วยเสียงดุจเทพธิดา
แต่ถ้าเธอมิได้รักการร้องเพลงนั้น
เธอจะทำให้หูของมนุษย์หนวกต่อสำเนียงของวันและคืน"



ผมเห็นด้วยครับว่าคนที่ทำงานที่ตนเองรัก และงานนั้นสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้เป็นคนที่มีชีวิตน่าอิจฉามากครับ

แต่ปัญหาก็คือบางคนหาตัวเองไม่เจอนี่ซิครับคือไม่รู้ว่าตนเองถนัดหรือชอบงานแบบไหน หรืออาจจะรู้ว่าตัวเองชอบงานแบบไหน แต่งานนั้นให้รายได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่ซิครับ :roll:

และผมคิดว่าหลายคนที่ยังหาตัวเองไม่เจอ หากได้รับการบันดาลใจจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะหลายครั้งเราไม่รู้ว่าเราชอบงานนั้นหรือเปล่า จะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้ลองทำงานนั้น และการได้ทำงานซ้ำๆ ก็ทำให้เกิดความรักในการงานนั้นเช่นกันครับ


ผมเห็นด้วยกับคุณ WEB ครับว่าสินทรัพย์ของทั้งของ Bill Gate และ Warren
จะผันผวนไปตามราคาหุ้นในตลาด และหากเป็นอย่างที่คุณ WEB ว่าไว้ 74% ของสินทรัพย์วอร์เรน อยู่นอกตลาดหุ้นซึ่งไม่มีราคาตลาด ดังนั้นมักจะใช้ราคาตามบัญชีในการวัดมูลค่า ในขณะที่กิจการที่อยู่ในตลาดจะใช้ราคาตลาดวัดมูลค่า ซึ่งมักจะสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีมากทีเดียว อาจจะหลายเท่า
ดังนั้นผมก็ตั้งสมมุติฐานได้ไหมครับว่า หากใช้มาตรฐานเดียวกันในการวัดมูลค่าสินทรัพย์ Warren น่าจะรวยกว่า Bill Gate ไปแล้ว :roll:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
WEB
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1139
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 11

โพสต์

คุณลูกอีสานครับ ผมเข้าใจว่า Berkshire บันทึกมูลค่าหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ถืออยู่ตามราคาตลาดครับ ( ซึ่ง Buffett ก็ยอมรับว่าราคาหุ้นหลายๆตัวแพงเกินไป) ส่วนกิจการนอกตลาดนั้น Berkshire จะบันทึกตามราคาต้นทุนที่ซื้อมาซึ่งส่วนใหญ่จะสูงกว่ามูลค่าตามบัญชีครับ ซึ่งจะเกิดรายการค่าความนิยมที่ Berkshire จะต้องตัดจำหน่ายไปในแต่ละปี อีกข้อหนึ่งก็คือ ราคาหุ้น Berkshire สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีของ Berkshire ครับ( เมื่อสิ้นปี 2003 อยู่ที่ $ 50,498 )
ข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลครับ ผมก็ไม่ทราบครับว่าหากเราเอา intrinsic value มาคิดแล้วใครจะเป็นที่ 1 ผมเพียงแต่คิดว่าทั้ง 2 ท่านคงมองข้ามเรื่องนี้ไปแล้ว จริงๆแล้วผมเองก็เชียร์ Buffett มากกว่าครับ ก็ท่านเป็นต้นแบบในแวดวงการลงทุนนี่ครับ แทบจะไม่มีวันไหนเลยครับที่ผมไม่ได้พูดถึง Buffett
ผมเห็นด้วยกับคุณลูกอีสานครับว่าหลายๆคนไม่รู้ครับว่าตัวเองชอบอะไร และถึงรู้บางทีสิ่งนั้นก็ไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ ก็คงต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่หลากหลายครับเผื่อจะเจอสิ่งที่เราชอบ ส่วนที่ว่าจะเลี้ยงชีพได้มั้ย บางทีมันก็อยู่ที่ว่าเราชอบมันมากขนาดไหนเหมือนกัน ผมไม่ทราบนะครับแต่เข้าใจว่ากว่าที่อ. เฉลิมชัยจะขายรูปได้แพงๆ คงต้องวาดทิ้งวาดแจกไปพอดูเหมือนกัน แต่ต้องยอมรับครับว่าลำบากเหมือนกันหากสิ่งที่เราชอบให้ผลตอบแทนต่ำ แต่ในทางกลับกันผมว่าเราไม่ควรทำกิจกรรมหนึ่งๆด้วยเหตุผลเรื่องผลตอบแทนสูงๆเป็นหลักโดยไม่ได้พิจารณาว่าเรามีความถนัดหรือไม่ ผมว่าโลกเราเป็นโลกเฉพาะทางครับ ทำให้เชี่ยวชาญแล้วน่าจะเกิดผลครับ หากตอน Telecom บูมสุดขีด Aprint, S&P, TR หันไปทำด้วยคงจะยุ่งน่าดูครับ
ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็น

http://WarrenBuffettFan.blogspot.com/
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ผมไม่คิดว่าการทบต้นแบบธรรมดาจะทำให้ผลตอบแทนดีขนาดนั้นนะครับ
หากไม่มีการลงทุนสำคัญๆ อย่าง General Re, Geico ของบัฟเฟต หรือ MS-DOS, Windows ของเกตส์ คงไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ผมว่าระบบการศึกษาระดับมัธยมของประเทศเราน่าจะเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะครับ ปัจจุบันเน้นแต่การศึกษาด้านวิชาการเท่านั้น เพียงเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนสูงๆ

นักเรียนก็หวังที่จะสอบเข้าแต่คณะดังๆ ที่จบแล้วมีงานดีเงินเดือนเยอะ โดยไม่มีความรู้เลยว่าอาชีพนั้นๆ ในแต่ละวันทำงานอย่างไร ต้องประสบเจออะไรบ้าง แล้วตัวเองชอบหรือรักที่จะทำงานประเภทไหน

พอเรียนจบก็ต้องทนทำงานอาชีพนั้นแบบไม่ค่อยมีความสุขหนัก ถ้าใครเปลี่ยนอาชีพได้ก็เปลี่ยน วิชาความรู้ที่เรียนมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ต่อสังคม

ถ้าเราเน้นให้นักเรียนระดับมัธยมได้เรียนรู้อาชีพต่างๆมากขึ้น ผมว่าคงจะช่วย PUT MAN ON THE RIGHT JOB ได้นะครับ

และเราคงจะเห็นคนจบวิศวะ แพทย์ อยู่ในงานสายการเงินน้อยลง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Amorna
Verified User
โพสต์: 454
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 14

โพสต์

เห็นด้วยกับพี่ฉัตรชัย คุณ WEB และพี่ๆ ค่ะ

การทำงานเพื่อหวังเงิน แตกต่างกับการทำงานเพราะความสนุกอย่างสิ้นเชิง

สังคมของไทยเราชอบวัดความสำเร็จของคนที่เงิน โดยลืมไปว่า คุณภาพของงานต่างหากที่ทำให้คนเป็นคนที่มีคุณค่า...ส่งผลให้ระบบการศึกษาไทย ไม่สามารถสะท้อนคุณภาพของประชาชนได้

เมื่อไหร่หนอที่ลูกหลานเราจะได้เรียน ในสิ่งที่ตนสนใจจริงๆ มิใช่ปัจจัยการยอมรับจากบุคคลภายนอก เพราะตราบใดที่ยังเลือกเรียนตามกระแสสังคมอยู่ เค้าจะไม่สามารถดึงศักยภาพที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างเต็มที่
Price is what you pay, value is what you get.
ภาพประจำตัวสมาชิก
harry
Verified User
โพสต์: 4200
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ทำงานในสิ่งที่ชอบ แต่ก็ต้องมีรายได้พอกินพอใช้ด้วยครับ อยากให้ข้าราชการไม่โกงกิน ก็ให้เงินเดือนพอกินก่อนครับ เงินเดือน 4-5000 บาท จะไปพอได้งัย แต่พวกนักการเมืองนี่ผมว่าเยอะแล้วนะ เรื่องโกงกินมันโลภมากเองอ่ะ ของอย่างนี้มันแก้ยาก
Expecto Patronum!!!!!!
WEB
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1139
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ความเห็นผม ผมว่า คนที่ทุ่มเทกับงานที่ตัวเองรักและมีความถนัด จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้นอีกมาก แม้ว่ามันจะรับประกันไม่ได้ก็ตาม ความสำเร็จอันลือลั่นที่เราเห็น ๆ กันอยู่ บางครั้งก็เกิดจากส่วนผสมหลายอย่าง จนดูเหมือนเป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคลไป อย่างความสำเร็จของ Gates แม้ว่าจะเกิดจากความรัก, ความถนัด และความทุ่มเทส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่น ๆ อย่างเช่น การได้เรียนในโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะ (ช่วงนั้นมีโรงเรียนเพียงไม่กี่แห่งที่มีคอมพิวเตอร์) , การมีเพื่อนที่เสริมกันอย่าง Paul Allen , การเกิดถูกประเทศถูกเวลา, การที่คู่แข่งมองข้ามมองพลาด จะเห็นได้ว่าหลาย ๆ อย่างเป็นสิ่งที่ Gates ควบคุมไม่ได้ Buffett เองก็เคยบอกว่า หากเขาเกิดในยุคโบราณ เขาก็คงเป็นได้แค่อาหารสัตว์ เนื่องจากเขาวิ่งช้าและปีนต้นไม้ไม่เป็น ถ้าเขาไปเกิดในประเทศเปรู ความสามารถในการลงทุนของเขาก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย
ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็น

http://WarrenBuffettFan.blogspot.com/
Boring Stock Lover
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 17

โพสต์

พอดีเห็นผลของปีนี้ เลยตัดตอนมาฝาก

Bill Gates may not have had much of a pay raise this year, but he did manage to add $2 billion to his fortune, bringing the total to $48 billion and keeping him on top of the Forbes 400 list of the wealthiest Americans.

And while being a billionaire isn't as prestigious as it used to be--there are 313 on the list this year, compared with 262 last year--Gates is a couple of lengths ahead of his nearest competitor, the legendary "Sage of Omaha" investor Warren Buffett, who has $41 billion. And Gates is half the track ahead of No. 3 Paul Allen, who sits on a mere $20 billion, after dropping $2 billion since last year.

This is the 11th year that Gates has topped the Forbes list.
ผ่านมา
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ผมมีความเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่กล้าเสนอเพราะมันจะกระทบหลักการ ของVI พันธ์แท้ อยู่บ้าง เดี่ยวจะหาว่ามาป่วน :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Muffin
Verified User
โพสต์: 874
ผู้ติดตาม: 0

คุณฉัตรชัยตอบได้โดนใจจริงๆครับ

โพสต์ที่ 19

โพสต์

คุณฉัตรชัยตอบได้โดนใจจริงๆครับ
ในเรื่องงานและความชอบ และธุรกิจครอบครัว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 20

โพสต์

คุณผ่านมาตอบได้ครับ ถ้าเห็นต่างกัน จะกลัวอะไรถ้าคุณเสนออย่างสุภาพ ทุกคนที่ไม่เห็นด้วยก็ตอบชี้แจงไปตามความเห็น ผมไม่เคยเห็นมีใครด่าคนที่เห็นต่างกันในนี้ นอกจากมีคนมาเหน็บผมเล็กๆน้อยๆตอนไม่ยอมบอกว่าเล่นหุ้นอะไร
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
ForrestGump
Verified User
โพสต์: 1435
ผู้ติดตาม: 0

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์ที่ 21

โพสต์

เห็นด้วยกับคุณ มน ครับ

คุณ คนผ่านมา แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างในเวปนี้ได้อยู่แล้ว ดีเสียอีกที่ได้พูดคุยกัน ด้วยเหตุผล ด้วยความรู้ ด้วยประสบการณ์ ด้วยมุมมอง ที่ไม่เหมือนกัน บางทีเราอาจจะได้รู้จุดอ่อนของการลงทุน เพื่อนำไปแก้ไข ว่ากันมาเลยครับ เพราะเพื่อนๆในเวปนี้ ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้ (ไม่เหมือน "คนทีคุณก็รู้่ว่าใคร" ที่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยแล้ว อาจจะด่าคุณว่า คุณมันโง่เกินกว่าจะรู้ทันผม หรอกครับ คุ้นๆ มั้ยครับ อิอิ :lol:

แล้วใครที่เข้าเวปนี้เพื่อหาเลขเด็ดจากที่นี่ ก็คงผิดวัตถุประสงค์ครับ เพราะเวปนี้ ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เพื่อให้มีความรู้ความสามารถไปวิเคราะห์ เพื่อเลือกแนวทางการลงทุนได้เอง จริงมั้ยครับ คุณ มน

เอ ว่าแต่คุณ มน ว่า วันนี้ซื้อหุ้นอะไรดีครับ :-)
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
ล็อคหัวข้อ