Business -The Great, the Good and the Gruesome
คัดลอกมาจากจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ berkshire hathaway 2007
ผมตัดมาบางส่วนเท่าที่ผมเข้าใจและน่าจะเป็นเนื้อหาหลัก
ในวงเล็บ คือ ส่วนที่ผมอธิบายเพิ่มเติม
วอร์เรนจะอธิบายลักษณะของธุรกิจแบบต่างๆ ซึ่งมีอยู่ 3 กรณี คือ
The Great กิจการยอดเยี่ยม
The Good กิจการดี
The Gruesome กิจการแย่ๆ
The Great ต้องมีคูเมือง (moat) ซึ่งสามารถเป็นเกราะป้องกัน อัตราผลตอบแทนที่สูงได้ (กิจการบางอย่างสามารถมี high return ได้ในบางช่วงเวลา แต่หากไม่มีคูเมือง อัตราผลตอบแทนจะลดลงเรื่อยๆ)
ตัวอย่างคูเมืองที่ว่า เช่น การเป็นผู้ผลิตต้นทุนต่ำ (low cost producer) เช่น GEICO,Costco การมีตราสินค้าระดับโลก เช่น Coca-Cola,Gillette,American Express
ตัวอย่าง See's Candy รายได้จากการขาย คือ 16 ล้านปอนด์ ในตอนที่ Blue Chip Stamps ซื้อมาในปี 1972 ในปีที่แล้ว (ปี 2007) ขายได้ 31 ล้านปอนด์ อัตราการเติบโตอยู่ที่แค่ 2% ต่อปี
ในตอนที่ซื้อบริษัท See ใช้เงินจำนวน 25 ล้านเหรียญ ในขณะที่ See มีรายได้จากการขาย 30 ล้านเหรีญและมีกำไรก่อนภาษีน้อยกว่า 5 ล้านเหรียญ (ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติม ในตอนนั้น See มี Equity อยู่ที่ 8 ล้านเหรียญ และมีกำไรสุทธิที่ 2 ล้านเหรียญ คิดเป็น PE 12.5 เท่า PB 3.125 เท่า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วอร์เรน ยอมจ่ายราคาแพงขนาดนี้ แม้ในตอนนั้นเขายังยึดแนวทางซื้อกิจการแบบ cigar butt อยู่ก็ตาม)
สาเหตุที่ See สามารถทำ high return ได้ ( ROE =2/8= 25%) เนื่องจาก สินค้าขายเป็นเงินสดซึ่งทำให้ลดจำนวนลูกหนี้การค้าลงต่ำ สอง เวลาการผลิตและกระจายสินค้าสั้นมาก ซึ่งทำให้สินค้าคงเหลืออยู่ในระดับต่ำมาก
ปีที่แล้ว มีรายได้ 383 ล้านเหรียญ กำไรก่อนภาษี 82 ล้านเหรียญ เงินทุนที่ต้องการใช้ในการดำเนินธุรกิจ (เข้าใจว่า คือ Equity)อยู่ที่ 40 ล้านเหรียญ นี่หมายความว่า ลงทุนเพิ่มแค่ 32 ล้านเหรียญ (40-8 =32) ตั้งแต่ปี 1972 ในขณะที่ผลรวมกำไรก่อนภาษี (2007-1972=35 ปี) เท่ากับ 1.35 พันล้านเหรียญ ซึ่งยกเว้นเงิน 32 ล้านเหรียญ ได้ถูกส่งให้แก่ berkshire hathaway
บริษัทอเมริกันโดยทั่วไป การเพิ่มกำไรจาก 5 ล้านเหรียญเป็น 82 ล้านเหรียญ จะต้องใช้เงินทุนประมาณ 400 ล้านเหรียญ (See ใช้แค่ 32 ล้านเหรียญ)
(มีต่อ...)