Jeff Bezos เศรษฐีอันดับ 1 ของโลกทำธุรกิจอะไรบ้าง??

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
always24
Verified User
โพสต์: 820
ผู้ติดตาม: 0

Jeff Bezos เศรษฐีอันดับ 1 ของโลกทำธุรกิจอะไรบ้าง??

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Jeff Bezos เศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ทำธุรกิจอะไรบ้าง??
By Billionaire mindset

เรารู้กันดีว่าธุรกิจหลักก็คือ Amazon ซึ่งสร้างรายให้เขาอย่างมหาศาล

หลังจากก่อตั้งเมื่อปี 1995 จนปัจจุบันกลายเป็นอีคอมเมิร์ซอันดับ 1 ของอเมริกาและของโลก

ขยายสาขาไปยัง 16 ประเทศ

สร้างรายได้ในปีล่าสุดสูงถึง 5.7 ล้านล้านบาท!!

นอกจาก Amazon แล้ว เขาก็ยังเป็นนักธุรกิจที่เข้าไปซื้อกิจการต่างๆ มากมาย

มีที่ซื้อมาแล้วรุ่งบ้าง ร่วงบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา บางกิจการก็ซื้อมาเพื่อเป็นการป้องกันคู่แข่งเกิดใหม่

จึงจะเห็นได้ว่า Amazon มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอยู่ในเครืออยู่มากมาย

Jeff เริ่มควบรวมและเข้าซื้อกิจการอื่นๆ มาตั้งแต่ปี 1998

มาจนถึงปัจจุบันผ่านการซื้อมาแล้ว 88 บริษัท หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยการซื้อกิจการปีละ 4.4 บริษัท

นับเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย!!

จนถึงปัจจุบัน กิจการอื่นๆ ที่น่าสนใจของเขาก็มีดังนี้ครับ...

1. IMDB และ Box Office Mojo
เนื่องจาก Amazon เป็นเว็บขายหนังสือ แล้วจึงตามมาด้วยการขายสื่อความบันเทิงต่างๆ จึงดูเหมือนเขาจะมีความเข้าใจและชอบภาพยนตร์เป็นพิเศษ

ในปี 1998 ที่เริ่มซื้อกิจการ ก็เลยตัดสินใจซื้อ IMDB ในทันที

ส่วนทางด้าน Box Office Moko รายหลังนั้นถูกซื้อในปี 2008

ทั้งสองเป็นเว็บที่ให้บริการข้อมูลด้านภาพยนตร์ในลักษณะที่คล้ายกัน

การเป็นเจ้าของทั้ง 2 เว็บไซต์ คือการการันตีว่าเขาได้ครอบครองแหล่งข้อมูลภาพยนตร์อันดับ 1 ของโลกแน่นอน

2. Blue Origin
Jeff เป็นคนที่ชื่นชอบด้านอวกาศมาตั้งแต่เด็ก

ตอนอายุ 18 ปีเขาฉลาดจนมีโอกาสให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น

บอกว่าเขามีความคิดอยากจะไปอาณานิคมบนอวกาศ ที่มีทั้งโรงแรม สวนสนุก และรองรับคนได้มากถึง 2 ล้านคน

ต่อมาตอนอายุ 36 ปี เขามีเงินจากธุรกิจของตัวเอง ก็มาทำตามฝันด้วยการตั้งบริษัท Blue Origin ขึ้นในปี 2000

จนถึงปัจจุบันบริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตยานอวกาศ และเตรียนจัดทัวร์ไปเที่ยวในอนาคตอันใกล้

3. Amazon Web Services
นี่ไม่ใช่การเข้าซื้อกิจการ แต่เป็นการให้บริการธุรกิจด้านคลาวด์มาตั้งแต่ปี 2006

บริการนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยบริษัทประกาศเมื่อ 3 ปีก่อน ว่ามีผู้ใช้รายเดือนมากกว่า 1,000,000 ราย ใน 190 ประเทศ

ซึ่งต้องใช้เซิฟเวอร์มากกว่า 400,000 ตัว และตั้งศูนย์ข้อมูล 11 แห่งรอบโลก เพื่อรองรับการใช้งาน

ปัจจุบันบริการ AWS ทำรายได้ให้บริษัทปีละกว่า 560,000 ล้านบาท และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

4. The Washington Post
การเข้ามาของโลกออนไลน์ ทำให้หนังสือพิมพ์เก่าแก่ฉบับนี้เริ่มประสบปัญหา

จนกระทั่งตระกูลผู้ก่อตั้ง ขายกิจการให้กับ Jeff ในปี 2013 เป็นมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท

ตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่โตมาก เพราะฝ่ายหนึ่งเป็นหนังสือพิมพ์เก่าแก่

อีกฝ่ายหนึ่งคือยอดนักธุรกิจออนไลน์ผู้รักการอ่าน

แม้เขาจะไม่ค่อยมีความรู้ในด้านสื่อสิ่งพิมพ์เลย แต่ดูเหมือนว่าเขามองเห็นโอกาสบางอย่าง

หลังจากนั้น Washington Post ก็เน้นในด้านสื่อออนไลน์มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้สื่อยังคอยเป็นปากเป็นเสียงให้กับเขาและบริษัทของเขาเอง แต่มันก็ไม่ได้เป็นธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินให้กับเขาได้มากนัก

5. Twitch
Twitch.tv คือเว็บไซต์ที่โด่งดังในเหล่าเกมเมอร์ สามารถถ่ายทอดสดการเล่นเกมของเราเอง ให้คนอื่นๆ มานั่งชมได้

เมื่อเว็บไซต์ดังกล่าวเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแนวโน้มของธุรกิจ eSports ที่กำลังมาแรง

Jeff ก็เลยไม่รอช้า เข้าซื้อกิจการมาเป็นส่วนหนึ่งของ Amazon ในปี 2014

ทีนี้เขาเองก็จะมีทั้งแหล่งข้อมูลภาพยนตร์อันดับหนึ่ง เว็บด้านถ่ายทอดสดเกมอันดับหนึ่ง และหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่

เขาก็เลยจับมารวมกับ Prime Video บริการดูหนังออนไลน์ (ซึ่งเป็นคู่แข่งกับ Netflix)

เมื่อผู้ใช้สมัครใช้งาน ก็สามารถใช้บริการของสื่อบันเทิงต่างๆ ในเครือแบบพรีเมียมไปได้พร้อมๆ กัน

ธุรกิจของเขาจึงสามารถเกื้อหนุนให้กันและกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ...


6. Whole Foods Market
นี่คือห้างที่เน้นขายอาหารออร์แกนิค ซึ่งเริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวในปี 1980

หลังจาก Amazon ทดสอบร้านสะดวกซื้อ Amazon GO แล้วได้ผลตอบรับค่อนข้างดี

Jeff เล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายกิจการด้านนี้ จึงตัดสินใจเข้าซื้อ Whole Foods Market ในปี 2017

ปัจจุบันห้างนี้มีอยู่ 479 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกา

และเป็นอีกแผนหนึ่งในการครอบครองส่วนแบ่งของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ-ซูเปอร์มาร์เกต ที่เขากำลังเดินหน้าอยู่ในปัจจุบัน


บทเรียนจากเศรษฐีอันดับหนึ่ง...

Jeff คือคนที่มองเห็นธุรกิจและกระแสของโลกใบนี้แบบภาพรวม

เขาเข้าใจว่าเทรนด์ไหนกำลังจะมา และไม่เพียงเข้าใจเท่านั้น เขายังเข้าไปลุยกับมันเลย

เพราะคนที่สามารถมองเห็นโอกาสได้ก่อน และเข้าไปคว้าโอกาสนั้นไว้

แม้มันไม่การันตีว่าจะสำเร็จได้แน่ๆ แต่มันก็ดีกว่าปล่อยให้ผ่านไป หรือเข้าไปเป็นลูกไล่ทีหลัง

เขาก็เลยไม่ต้องใส่ใจว่า 88 กิจการที่ซื้อมาตลอด 20 ปีนั้น จะมีบริษัทไหนเจ๊งไปบ้าง

ตราบใดที่ยังวิเคราะห์ถูกมากกว่าผิด เขาก็ยังร่ำรวยขึ้นได้เสมอ

การวิเคราะห์ผิด อย่างแย่ที่สุดก็คือเสียไป 1 กิจการ มีมูลค่าความเสียหายจำกัดอยู่ตรงนั้น

แต่ถ้าวิเคราะห์ถูกต้องแล้วล่ะก็ อาจจะได้กำไรมหาศาล รวมถึงเปลี่ยนโลกไปแบบที่เราอาจจะคาดไม่ถึงเลยเช่นกัน...
โพสต์โพสต์