Investing 4.0 กับ คุณสมิทธิ์ พนมยงค์
Global Population Trend
โครงสร้างประชากรของหลายประเทศเริ่มเข้าสู่วัยชรามากขึ้น
เช่น ประเทศญี่ปุ่น จำนวนคน 124 ล้านคน ต่อไปจะลดลง1ล้านคน
GDP จะโตต่อมีสองปัจจัยคือ จำนวนคน และ ผลผลิตต่อคน
ถ้าจำนวนคนลดลง และ ผลผลิตที่ได้จากคนในวัยทำงานซึ่งจำนวนลดลงทำให้ผลคูณ
ออกมาลดลง ทำให้GDPไม่สามารถเติบโตต่อได้
อายุเฉลี่ยของคนจากช่วงปี 1930-1950 แค่ 60ปีต้นๆ เพราะการแพทย์ไม่ค่อยดี
อายุเฉลี่ยไม่ยืนยาว ทำให้เกิดการถ่ายโอนwealth ลูกหลานอายุแค่30กว่าก็รับมรดกมา
เหลือเวลาในการลงทุนไม่ถึง 30ปี ก็จากไป ดังนั้นจะไม่ทำธุรกิจ หรือ ทำstart up
ต่อมาวิทยาการทางการแพทย์ดีขึ้น รวมทั้งการเอาใจใส่ในเรื่องสุขภาพ ออกกำลังกาย
ทำให้อายุยืนยาวขึ้น จำนวนคนที่สูงวัยมีมากขึ้น ตัวอย่างของประเทศไทย จะมีคนที่เข้าสู่
Aging Society มากขึ้น รุ่นคุณพ่ออายุมากกว่า 60ปี ก็จะไม่สร้างโรงงานใหม่
อาจแค่ลงทุนในกองทุนรวม เลยทำให้เป็นที่มาของ GDPที่โตช้า เจ้าของทุนไม่ลงทุน
ตอนนี้เทรนแบบนี้เกิดขึ้นทั่วโลก
Subprimeในอเมริกา หลังปี2008 FEDใส่สภาพคล่องผ่านทางการซื้อพันธบัตรรัฐบาล
ทำให้สภาพคล่องเพิ่มขึ้น 3ล้านล้านเหรียญสหรัฐ รวมกับก่อนหน้านี้อีก 1 ล้านล้านเหรียญ
แต่สินทรัพย์ในโลกเท่าเดิม หรือ เพิ่มขึ้นนิดหน่อย ทำให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น
ตามหลัก supply เท่าเดิม แต่demandเพิ่มขึ้น คนที่ได้ประโยชน์คือคนที่เป็นเจ้าของทุนเดิม
หรือ เจ้าของland bank ผู้สูงอายุไม่ค่อยใช้เงิน ทำให้เงินเฟ้อไม่มา
USมีโครงสร้างประชากรสูงวัยเยอะ เงินเฟ้อที่สูงแต่ยืนได้ไม่นาน
แต่อาศัยนำเข้าคนมาทำงาน ทำให้ไม่ขาดคนทำงาน
โครงสร้างประชากรมีผลต่อราคาสินทรัพย์ ความเชื่อที่ว่าราคาที่ดินไม่เคยลดลง
ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด ดูจากญี่ปุ่น ราคาที่ดินลดลงเพราะประชากรลดลง ทำให้
ความต้องการที่ดินลดลง ราคาที่ดินในช่วงที่ผ่านมาลดลง
ไต้หวันเริ่มคล้ายญี่ปุ่นแล้ว เงินเฟ้อไม่มา ดอกเบี้ยต่ำ
รวมถึง เยอรมัน ฝรั่งเศส ประเทศทางยุโรปอีกหลายประเทศ ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
ทำให้เงินเฟ้อในระยะกลางถึงยาว ขึ้นได้ไม่มาก
การขึ้นดอกเบี้ยของFED ทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นได้ แต่ดอกเบี้ยระยะยาวไม่น่าจะขึ้นได้ไม่นาน
ประเทศญี่ปุ่น อายุคนที่เกิน60ปี ตอนนี้ยังมีคน1ใน5ที่ยังต้องทำงานอยู่
จะเห็นคนผมสีดอกเลาที่นั่นยังทำงาน เราต้องรีบลงทุน เพื่อให้มีpassive income ในช่วงหลังเกษียณ
Disruptive Technology Trend
อุตสาหกรรมของโลก แบ่งออกเป็น 4 ยุค
ยุคที่1 จากวิวัฒนาการของคน จากแรกเริ่มที่เป็นลิง เข้าสู่ยุคเกษตรกรรม คนเริ่มผลิตสิ่งของตามบ้าน
ยุคที่2 ต่อมาเริ่มมีการตั้งโรงงาน ผลิตจำนวนเยอะๆเพื่อให้ต้นทุนการผลิตลดลง แต่รูปแบบน้อยมาก
ยุคที่3 เริ่มมีการนำเครื่องจักรที่เป็นแขนกลเข้ามาช่วยในการผลิตในโรงงาน ทำให้เกิดการผลิตได้เร็วขึ้น
ยุคที่4 เข้าสู่ยุค internet of thing เครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มพัฒนามากขึ้น โดยมีBig data
เป็นแหล่งในการนำมาวิเคราะห์และป้อนให้กับ IOT รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่าง
IOT แต่ละอย่างผ่านทาง Cloud
ตัวอย่างเช่น รถยนต์ที่ขับเองได้ เมื่อก่อนต้องอาศัยประสบการณ์
ของตัวเองมาเพื่อเรียนรู้ แต่ต่อไป ถ้ารถคันนี้เจอประสบการณ์อะไรก็แชร์ผ่านมาทางcloud
ก็ทำให้รถคันอื่นได้เรียนรู้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้การพัฒนาในการขับเองได้เร็วขึ้น
Internet เร็วขึ้น คลื่นจาก2G -> 3G -> 4G -> 5G จำนวนข้อมูลที่เยอะ ระบบก็สามารถรองรับได้แล้ว
ทำให้AIทำงานเองได้
Google translate ก็สามารถเรียนรู้ภาษาต่างๆได้ในเวลาไม่นาน ทำให้เราสามารถเข้าใจภาษาต่างๆได้
เวลาไปทำธุรกิจในต่างประเทศ
หุ่นยนต์โซเฟีย เป็นปัญญาประดิษฐ์ พูดจาโต้ตอบเราได้ เรียนรู้จากการพูดคุยกับคน
เวลาเดินผ่านจะชวนเราคุย สามารถเข้าใจสำเนียงแตกต่างกันของภาษาอังกฤษได้จาก
คนญี่ปุ่น คนอินเดีย และโต้ตอบกลับได้อย่างเป็นธรรมชาติ
มีapplication ที่วิเคราะห์โรคซึ่งอยู่บนapple product ได้มีการนำไปวิเคราะห์โรคskin cancer แข่งกับ
หมอที่มีชื่อเสียงจำนวน 20 คน ปรากฏว่าชนะหมอ19คน
รองเท้าเมื่อก่อนต้องผลิตโดยคนเท่านั้น เพราะมีส่วนโค้ง เว้า ซึ่งหุ่นยนต์ไม่สามารถตัดรองเท้าได้
เพราะตัดได้แต่เส้นตรง แต่ต่อมาทำได้แล้ว ทำให้มีผลกระทบต่อประเทศในCLMV
ซึ่งปกติมีการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีน้อยไปสู่ประเทศที่ค่าแรงต่ำ
เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เริ่มจากญี่ปุ่น ไปไต้หวัน ไปไทย ต่อไปอาจไม่ได้ไปที่ประเทศในCLMV
สาเหตุจากการย้ายฐานการผลิต เพราะคนเป็นปัจจัยสำคัญ ค่าแรงที่แพงขึ้นเลย
ต้องย้ายฐานไปประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า
ในอนาคตสามารถผลิตรองเท้าได้จากที่อเมริกา โดยใช้แขนกลของหุ่นยนต์ผลิตแทน ทำให้รูปแบบเดิมๆมีการเปลี่ยนแปลงไป ประเทศCLMVอาจไม่ได้มีการพัฒนาของอุตสาหกรรมเหมือนกับประเทศไทยที่เริ่มจาก อุตสาหกรรม
ที่ไม่ใช้เทคโนโลยีเน้นค่าแรงถูก แล้วค่อยๆวิวัฒนาการต่อไป
คงต้องติดตามกันต่อไป