ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นอเมริกากลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่งทั้งที่มีกระแสกดดันตลาดจากอัตราพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีที่แตะระดับ 3% และแนวโน้มการขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
หนึ่งในปัจจัยบวกก็คือสุดยอดผลดำเนินงานของผู้ให้บริการระบบ Cloud Computing ระดับโลกอย่าง Microsoft และ Amazon
สงสัยกันไหมว่าระบบ Cloud Computing คืออะไร ทำไมองค์กรธุรกิจถึงนิยมมาใช้บริการนี้กันอย่างคึกคัก สภาพการแข่งขันเป็นอย่างไร ผมขออธิบายจากประสบการณ์ส่วนตัวดังนี้
Cloud Computing คืออะไร
คือการให้บริการแบบ Outsourcing ระบบไอทีไปให้ผู้ให้บริการ เช่น Microsoft ช่วยบริหารจัดการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น 1) เซิร์ฟเวอร์ 2) Storage เพื่อเก็บข้อมูล 3) ระบบรักษาความปลอดภัยและระบบเน็ตเวิร์ค 4) ระบบอีเมลหรือ Storage เก็บข้อมูลส่วนบุคคลอย่าง Onedrive 5) เทคโนโลยีอนาคตอย่าง Artificial Intelligence และ IOT และอื่นๆอีกมากมาย
อย่างไรก็ตามผู้ใช้จะต้องมีระบบ Internet ที่สามารถเชื่อมต่อจากคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเข้ามาที่ Datacenter (DC) ของผู้ให้บริการ โดย Microsoft มีจำนวน DC มากที่สุดกว่า 54 แห่งทั่วโลก ใกล้ประเทศไทยที่สุดอยู่ที่สิงค์โปร์
#แล้วใครเป็นผู้ให้บริการครบวงจรรายแรกของโลก?
ถ้ามองย้อนกลับไป 15 ปีที่แล้วองค์กรธุรกิจต่างบริหารจัดการระบบไอทีด้วยตัวเองซึ่งประสบปัญหาและความยากลำบากมากมายเช่น
ลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์มาหลายสิบล้านบาทเพื่อใช้สำหรับงานเร่งด่วนแค่ไม่กี่เดือนแล้วก็ใช้ต่อนิดหน่อย ไม่คุ้มค่าการลงทุน
ต้องการขึ้นระบบใหม่อย่างเร่งด่วนแต่กว่าจะผ่านกระบวนการจัดซื้อเพื่อติดตั้งระบบก็ช้ากว่าคู่แข่งไปแล้ว
น้ำท่วมหรือการชุมนุมประท้วงปิดตึกทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินงานไปได้เพราะพนักงานไม่สามารถใช้งานระบบไอทีได้
ระบบไอทีไม่ทำงานแต่ไม่มีระบบสำรองตัองใช้เวลาหลายวันกว่าจะกู้กลับคืนมาได้
ระบบโดนแฮ็คทำให้ข้อมูลที่สำคัญรั่วไหลออกไปภายนอกองค์กร
เพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่ลูกค้าเจอดังกล่าว Amazon จึงเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ตั้งหน่วยงานธุรกิจ Amazon Web Services ในปี 2006 เพื่อให้บริการ Cloud Computing ที่ตอบโจทย์ธุรกิจดังนี้
1. ระบบ On Demand จ่ายเงินตามที่ใช้งานจริง อยากใช้เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่มากๆเพื่อทำแคมเปญการตลาดแค่หนึ่งวันก็สามารถทำได้เพียงแค่กดจากหน้าจอควบคุมคลิกเดียว เมื่อหยุดใช้ก็ปิดไม่ต้องจ่ายต่อไป
2. ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลป้องกันการโดนแฮ็กระดับโลก ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่าข้อมูลจะไม่ถูกแฮ็กเอาไป ด้วยมาตรฐาน ISO และล่าสุดของยุโรป GDPR
3. ระบบช่วยธุรกิจในแง่ของ Business Continuity Plan เมื่อเกิดน้ำท่วมหรือการประท้วง พนักงานก็ยังสามารถเข้าระบบไอทีได้ทุกทีทุกเวลา ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง
4. ระบบ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า ประวัติการซื้อ สินค้าที่ชื่นชอบแล้วนำมาทำแผนงานช่วยธุรกิจในการขายสินค้าได้มากขึ้นหรือการลดต้นทุน
5. ระบบรองรับนักพัฒนาที่ต้องเขียน Application ใหม่แต่ไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะติดตั้งระบบไอทีเพื่อเขียนแล้วทดสอบว่าใช้งานได้จริงไหม ประโยชน์ข้อนี้ช่วยธุรกิจ Start Up และ SME อย่างมากเนื่องจากสามารถเข้าถึงระบบไอทีระดับโลกด้วยเงินระดับท้องถิ่น
โดยสรุปธุรกิจ Cloud Computing คงไปได้อีกไกลมากจากประโยชน์ต่างๆที่ได้รับ ประสบการณ์โดยตรงที่เคยวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการติดตั้งระบบอีเมลใหม่กับไปใช้ Cloud นั้นชัดเจนว่า Cloud ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในห้าปีได้ได้เกือบ 6 ล้านบาทสำหรับผู้ใช้ประมาณ 450 คน
แล้วในธุรกิจนี้มีใครเป็นที่หนึ่ง แข่งขันกันอย่างไร เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังกันตอนต่อไป #Cloud #Microsoft #AWS