Business of the future By Mission to the moon

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
always24
Verified User
โพสต์: 820
ผู้ติดตาม: 0

Business of the future By Mission to the moon

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Business of the future By Mission to the moon

เคยมีคำถามไหมครับ ว่าถ้าอยากลงทุนระยะยาวมาก ให้ลูก หลาน เหลน โหลน จะลงทุนอะไรดี
.
วันนี้ผมคิดว่าผม “น่าจะ” มีคำตอบมาให้คุณครับ
.
เมื่อเช้าตื่นมาตี่ 4 ครึ่งแล้วเปิดอ่าน Homo Deus ซึ่งคนเขียนเป็นคนเดียวกับ Sapiens ครับ ตอนแรกกะว่าจะอ่านเพื่อรอเวลาออกไปวิ่งตอนตี 5 ครึ่ง แต่อ่านไปอ่านมาเกือบไปได้ออกไปวิ่ง เพราะหนังสือมันส์มาก
.
แค่ 30 หน้าแรก ก็ทำให้ผมรู้สึกว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการเดินทางของมนุษยชาติอีกครั้ง
.
คำว่า Homo Deus มาจากภาษาลาตินสองคำ Homo แปลว่า man ส่วน Deus แปลว่า God รวมกันคือ “God Man” นั่นเอง ต้องบอกว่าหนังสือสนุกมากครับ แค่อ่านไปนิดเดียวยังคิดเลยว่าคนเขียนต้องทำ research เยอะขนาดไหนถึงเขียนหนังสือแบบนี้ออกมาได้ เดี๋ยวอาจจบแล้วจะมาสรุปให้ฟัง แต่วันนี้อยากมาพูด คือ ประเด็นที่เขียนถึงในช่วงต้นๆ ของหนังสือครับ
.
มองไปในอนาคตข้างหน้าเราพอจะคาดเดาได้ว่า เราจะเห็นพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก ซึ่งจะมาพร้อมกับการรับมือกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่น่าจะเป็นปัญหารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
.
แต่ถ้าหากมองลึกลงไปอีกหน่อย สิ่งที่มนุษย์หลายคนอยากได้มาก คือ การชะลอความแก้ ความเจ็บป่วย หรือถ้าจะให้สุดเลยคือความเป็น “อมตะ” ครับ
.
เราลองมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติกันหน่อยนะครับ เราจะพบว่า 3 สาเหตุที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตมากที่สุดคือ ความอดอยาก, โรคระบาด และ สงคราม

_____

ความอดอยาก
เป็นเวลาหลายพันปีที่ความอดอยากคร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด ในอดีตหากมีภัยแล้งขั้นรุนแรงเกิดขึ้น การที่มีผู้เสียชีวิต 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดเป็นเรื่องธรรมดามาก และคนเหล่านี้ขาดอาหารจนเสียชีวิตจริงๆ
.
แต่ในปัจจุบันความอดอยากกลายเป็นเรื่องทางการเมืองไป ความอดอยากใน ซีเรีย ซูดาน หรือ โซมาเลีย เกิดจากฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น หรือถ้าจะให้เฉพาะเจาะจงกว่านั้นต้องบอกว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจที่ทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
.
จริงอยู่ที่มีคนหลายร้อนล้านคนมีสภาวะขาดสารอาหาร แต่คนที่เสียชีวิตจากการขาดอาหารนั้นคิดเป็น % แล้วถือว่าน้อยกว่าในอดีตมาก ส่วนนึงมาจากระบบการช่วยเหลือที่เป็นรูปแบบมากขึ้น ทั้งจากภาครัฐและเอกชน
.
เรื่องการขาดสารอาหารก็เป็นอีกเรื่องนึง

ในปี 2014 มีประชากรโลกที่น้ำหนักเกินประมาณ​ 2,100 ล้านคน ในขณะที่มีคนขาดสารอาหาร 850 ล้านคน
.
มีการคาดการณ์กันว่าในปี 2030 ประชากรโลกราวครึ่งหนึ่งจะมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน
.
ในปี 2010 ความอดอยากและการขาดสารอาหารเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนราว 1 ล้านคน ในขณะที่ความอ้วนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนราว 3 ล้านคน

__________

โรคระบาด
Black Death ในช่วง 1330s คาดการณ์กันว่ากันมีผู้เสียชีวิตประมาณ 75-200 ล้านคน ในอังกฤษจากประชากร 10 คน 4 คนจะเสียชีวิตจากโรคนี้ หรือในเมืองอย่าง Florence มีการบันทึกว่าไว้คนในเมืองเสียชีวิตไปครึ่งหนึ่ง
.
ในปี 1520 เกิดการระบาดของโรคฝีดาษ อย่างในประเทศ Mexico ปริมาณประชากรที่เสียชีวิตมีสูงถึง 8 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 22 ล้านคน ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ 4 เดือนเท่านั้นเอง
.
Spanish Flu ที่เริ่มระบาดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คร่าชีวิตผู้คนไป ราว 50 ถึง 100 ล้านคน ในช่วงเวลาไม่ถึงปี มากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียอีก

แต่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตจากโรคระบาดนั้นลดลงอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่ามาจากพัฒนาการด้านสาธารณสุขที่ก้าวหน้าอย่างมากในช่วงเวลาอันสั้น
.
ยกตัวอย่างเช่น โรคฝีดาษ ในปี 1967 ยังมีคนติดเชื้อโรคนี้ 15 ล้านคนและเสียชีวิตไป 2 ล้านคน แต่ในปี 2014 ไม่มีใครติดเชื้อหรือเสียชีวิตจากโรคนี้อีกแล้ว
..
แน่นอนว่า เรายังคงเจอกับโรคระบาดอยู่เรื่อยๆ แต่อัตราการเสียชีวิตนั้นต่ำกว่าสมัยก่อนมาก ทุกคนยังจำการระบาดของโรค SARS ได้ใช่ไหมครับ การระบาดครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตทั้งโลกรวมกันราว 1,000 คน
.
หรืออย่าง Ebola ซึ่ง WHO บอกว่าเป็น “most severe public health emergency seen in modern times” ก็มีผู้เสียชีวิตราว 11,000 คน

ปัจจุบันมนุษย์มีโอกาสเสียชีวิตจากโรคร้ายแรงที่ไม่ติดต่อ อย่างโรคหัวใจ หรือ มะเร็ง มากกว่าโรคระบาดเยอะ (อันนี้นับรวม AIDS ไปแล้วด้วยนะครับ)

_____

สงคราม
ในอดีตเรามีศึกสงครามเยอะจนเป็นเรื่องปรกติครับ ยกตัวอย่างเช่น ในต้นศตวรรษที่ 20 ถ้าเราพูดว่า เยอรมันกับฝรั่งเศสอยู่ในภาวะสงบสุข เราหมายความว่าสงบตอนนี้ แต่อนาคตอาจจะกลับมารบกันเมื่อไรก็ได้
.
เราอาจพูดได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นถูกหนดโดยกฏของป่า ( Law of the Jungle ) หมายถึงว่าแม้ประเทศต่างๆ จะอยู่อย่างสงบ แต่การรบยังคงเป็นทางเลือกเสมอ ดังนั้น เมื่อผู้ปกครองประเทศ​นักการเมือง ทหาร นักธุรกิจ หรือแม้แต่ประชาชนธรรมดาจะวางแผนสำหรับอนาคตโดยเอาปัจจัยว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นเข้ามาอยู่ในของแผนชีวิตและแผนของประเทศด้วยเสมอ
.
ในยุคเกษตรกรรม ความรุนแรงจากมนุษย์ด้วยกันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึง 15%
.
ในต้นศตวรรษที่ 20 ความรุนแรงที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตราวร้อยละ 5
.
ต้นศตวรรษที่ 21 ความรุนแรงที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตราวร้อยละ 1
.
ในปี 2012 มีคนเสียชีวิตราว 56 ล้านคนทั่วโลก โดยเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกิดจากความรุนแรงของมนุษย์ด้วยกันอยู่ที่ 620,000 คน ในขณะที่มีคนฆ่าตัวตาย 800,000 คน และเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวาน 1.5 ล้านคน

เราอยู่ในยุคที่ดูเหมือนว่าน้ำตาลจะอันตรายกว่าปืนหรือระเบิดซะอีก
________

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เราเสียชีวิตจากการกินมากไปมากกว่าไม่มีกิน เสียชีวิตจากความแก่มากกว่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่าถูกฆ่าโดยทหาร ผู้ก่อการร้าย และอาชญากร รวมกัน
.
มนุษย์โลกในศตวรรษที่ 21 มีโอกาสเสียชีวิตจากการกิน fast food มากเกิน มากกว่าเสียชีวิตจาก ภัยแล้ง อีโบล่า หรือการก่อร้าย

ถ้าหากมนุษยชาติ ไม่ต้องกังวลเรื่อง ความอดอยาก, โรคระบาด และ สงคราม แล้วอะไรคือสิ่งที่เราค้นหาต่อไป? เพราะธรรมชาติของเราที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ทำให้เราต้องค้นหาสิ่งที่ ใหม่กว่า ดีกว่า ของเดิมเสมอ

เป้าหมายต่อไปของมนุษยชาติน่าจะเป็น การแก่ให้ช้าที่สุด เจ็บป่วยให้น้อยที่สุด หรือถ้าจะให้สุดจริงๆ คือ ไม่ตายเลย
.
เรียกว่า “immortality” หรือ ความเป็นอมตะ คือความฝันสูงสุดของมนุษย์หลายๆ

ถ้าทำแบบนั้นได้เราจะอัพเกรดตัวเองจาก Homo sapiens เป็น Homo deus ที่ความตายจะเป็นเรื่องในอดีต

วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มองความตาย (ที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ หรือโดนฆ่าตาย) เป็นความผิดพลาดทางเทคนิคทั้งสิ้น
.
หัวใจหยุดสูบฉีดเลือด เส้นเลือดแตกในสมอง การกระจายตัวของเซลล์มะเร็งในตับ การขยายตัวของเชื้อโรคในปอด ฯลฯ ล้วนเป็นปัญหาทางเทคนิคทั้งสิ้น ซึ่งมนุษยชาติก็ทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาทาง “เทคนิค” เหล่านี้ ด้วยการพัฒนาทาง genetic engineering, regenerative medicine หรือ nanotechnology
.
ยกตัวอย่าง Google มีบริษัทลูกชื่อ Calico ที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความตาย
.
Peter Thiel หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Paypal เคยบอกว่าเป้าหมายของเขา คือ การมีชีวิตเป็นอมตะ เขาบอกว่าเมื่อพูดถึงความตายเรามีทางเลือกด้วยกันสามทาง คือ ยอมรับ ปฏิเสธ หรือสู้กับความตาย คนส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธ แต่เขาเลือกที่จะสู้
.
ถ้าคนธรรมดาพูดคงไม่มีอะไรแต่ Peter Thiel คือ มหาเศรษฐรีและผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของ Silicon Valley สิ่งที่เขาพูดจึงน่าสนใจมากทีเดียว

การอยู่เป็นอมตะอาจจะฟังดูไกลไปหน่อย แต่ถ้าหากเราจะยืดอายุเฉลี่ยของมนุษย์อีกหนึ่งเท่าตัวจาก 75 ปี เป็น 150 ปีละ จะเป็นไปได้ไหม ?
.
อายุเฉลี่ยของมนุษย์ในปัจจุบันมากกว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์ในศตวรรษท่ี 20 เกือบหนึ่งเท่าตัว
.
ดังนั้นการพยายามจะเพิ่มอายุเฉลี่ยของจาก 75 เป็น 150 ปี ก็เป็นเรื่องที่พอจะอยู่เกณฑ์ที่เป็นไปได้ ถ้าหากคนเรามีอายุ 150 ปีจริง เรามีเรื่องจะต้องคิดเยอะมากเลยครับ
.
ตั้งแต่ความสัมพันธ์ของ พ่อแม่ ลูก ลองนีกภาพ แม่อายุ 130 ปีคุยกับลูกอายุ 100 ปีดูครับ, การแต่งงาน ถ้าแต่งงานอายุ 30 หมายความต้องอยู่กับคู่ของคุณ 120 ปี หรืออายุเกษียณของการทำงานจะยังเป็น 60 ปีได้ไหม?

แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม สื่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้แน่ๆ

มนุษยชาติเริ่มลงทุนอย่างเงียบๆในการสู้กับความตายแล้วครับ
โพสต์โพสต์