20 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง ถอดบทเรียนอดีตสู่อนาคต อะไรคือสัญญาณที่ต้องระวัง
“ก่อนฟองสบู่จะแตก เศรษฐกิจมันต้องบูมก่อน ทั้งอเมริกา เกาหลีใต้ ขณะที่ประเทศยากจนจะไม่เคยเจอวิกฤต เพราะเศรษฐกิจไม่เคยโต ผมกังวลว่าเราจะไม่ได้เผชิญกับวิกฤตอีกเลย เพราะเราไม่โต ไม่มีความสามารถทางการแข่งขัน ฉะนั้นไม่มีฟองสบู่แน่นอน” กรณ์ จาติกวณิช เผยมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในวันที่ใกล้จะครบรอบ 20 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง
ติดตามอ่านฉบับเต็มที่นี่ :
https://thestandard.co/news-business-le ... ng-crisis/
ที่มา : THE STANDARD
20 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง ถอดบทเรียนอดีตสู่อนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 4337
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 20 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง ถอดบทเรียนอดีตสู่อนาคต
โพสต์ที่ 2
วิกฤตรอบใหม่อาจเกิดขึ้นแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว
updated: 27 มิ.ย. 2560 เวลา 17:03:20 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
โดย ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
ครบรอบ 20 ปีวิกฤตต้มยำกุ้ง...ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยไหม?
เมื่อ 20 ปีก่อน ในวันที่ 2 ก.ค. 2540 เราต้องยอมจำนนต่อการโจมตีค่าเงิน ทางธปท. ต้องปล่อยเงินบาทให้อ่อนค่าตามกลไกตลาดจากเดิมที่ตรึงค่าเงินไว้ที่ราว 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เงินสำรองระหว่างประเทศถูกใช้ในการปกป้องค่าเงิน แต่จะโทษธปท. ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะทั้งธนาคารพาณิชย์และนักลงทุนต่างก็มีส่วนในการปล่อยให้ระบบการเงินมีปัญหา ทั้งจากการประเมินสินทรัพย์และความเสี่ยงที่ไม่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน และความโลภที่บังตา
อย่าว่าแต่เมืองไทยเลย แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่เก่งระดับโลกก็ไม่อาจทำนายวิกฤตการเงินในสหรัฐ ในยุโรป หรืออีกหลายประเทศได้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ต่อให้ในปัจจุบันเราจะมีข้อมูล มีแบบจำลองที่ซับซ้อน และมีผู้เชี่ยวชาญมาเฝ้าระวังมากมาย แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า วิกฤติการเงินจะไม่เกิดขึ้นอีก
อย่าถามนักเศรษฐศาสตร์เลยครับว่าวิกฤตการเงินหรือวิกฤตเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่และด้วยสาเหตุอะไร ผมว่าเสียเวลาเปล่า เพราะพวกเราไม่เคยทำนายได้ถูกหรอกครับ
อย่าวางใจดีกว่า...วิกฤตอาจมาในรูปแบบใหม่
สาเหตุที่นักเศรษฐศาสตร์ไม่สามารถทำนายวิกฤตได้อย่างถูกต้องก็เพราะว่าวิกฤตเปลี่ยนรูปแบบไปมา ต่อให้เราเฝ้าระวังแผลเดิม มันก็มีช่องโหว่สำหรับแผลใหม่ที่เราไม่คาดคิดได้เสมอ
ทีนี้แผลใหม่หรือรูปแบบของวิกฤตรอบใหม่จะเป็นอะไรได้บ้าง ที่แน่ๆ มันคงไม่ซ้ำรอยปี 2540 เพราะทาง ธปท. ดูแลเสถียรภาพการเงินได้ดี เงินสำรองระหว่างประเทศมีเพิ่มขึ้นมาก
หากวิกฤตการเงินเกิดเพราะความโลภ เมื่อเราไม่โลภ วิกฤตก็ไม่เกิด ที่ชัดเจนคือความอยากได้ผลตอบแทนการลงทุนสูงๆ ทั้งส่วนต่างราคาซื้อขายและอัตราผลตอบแทน อัตราดอกเบี้ยในอดีตนั้นสูงอยู่แล้ว แต่คนอยากได้ผลตอบแทนสูงขึ้นไปอีก วิกฤตปี 40 จึงเกิด ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยแสนจะต่ำ คนถูกบีบให้ไปหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพื่อนำไปใช้จ่ายเพียงพอในยามสูงอายุ จนอาจสูญเสียเงินลงทุน และนำไปสู่ปัญหาด้านเสถียรภาพการเงิน แต่นั่นก็อยู่ในวิสัยของ ธปท. ที่กำกับดูแลได้ จึงไม่น่านำไปสู่วิกฤตรอบใหม่ได้
แล้วทำไมผมถึงตั้งคำถามว่าเรากำลังยืนฉงนอยู่ท่ามกลางวิกฤตโดยไม่รู้ตัวหรือไม่?
นั่นเพราะวิกฤตเปลี่ยนรูปร่างได้เสมอจนเราไม่อาจตามทันได้ วิกฤตที่เราคุ้นเคยมักเกิดขึ้นด้วยช็อกหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด เศรษฐกิจหดตัวแรง เหมือนรูปตัว V เศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุด แต่พอสถานการณ์คลี่คลาย เศรษฐกิจมีการปรับโครงสร้างใหม่ ก็จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วกลับขึ้นมาอีกครั้ง เช่นในช่วงวิกฤตปี 2540 เศรษฐกิจไทยใช้เวลาราว 4 ปีก่อนจะกลับมามีขนาดเศรษฐกิจ หรือ GDP เท่ากับช่วงก่อนวิกฤตได้ในปี 2544 หลังจากนั้นก็เติบโตอย่างรวดเร็วที่เฉลี่ยราว 5.4% ในช่วง 2544-2550 ก่อนวิกฤตลูกใหม่กระทบไทยในปี 2551
ในภาวะปัจจุบัน แม้เราคงไม่เห็นรูปตัว V อีก แต่อย่านิ่งนอนใจไป เพราะวิกฤตที่รุนแรงกว่าเดิมอาจก่อตัวขึ้นแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นคือเศรษฐกิจรูปตัว L ที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำ ราวสัก 3.5% และลากยาวต่อเนื่องไปอย่างยาวนาน หากเทียบวิกฤตรอบปี 2540 กับภาวะปัจจุบันแล้ว แน่นอนว่าปี 2540 มีความรุนแรงกว่ามาก ดังเห็นได้จากเศรษฐกิจหดตัวแรง เรามีปัญหาคนว่างงาน คนยากจน แต่อย่าลืมว่าวิกฤตครั้งนั้นเปิดโอกาสให้มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จนกลับมาทะยานใหม่ได้ หากแต่รอบนี้เราไม่มีโอกาสรู้ตัว การปรับตัวค่อนข้างช้า และการที่เศรษฐกิจซึมยาวนั้น แม้ในระยะสั้นไม่เจ็บปวด แต่ในระยะยาวนั้น ขนาดเศรษฐกิจอาจขยายใหญ่ได้ไม่เท่าการเกิดวิกฤตในรูปตัว V เสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะการเติบโตที่ช้ามันกัดกร่อนศักยภาพและการปรับตัวของคนไทย
แล้วนักเศรษฐศาสตร์มีทางแก้ไหม?
ตามทฤษฎีแล้ว การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาศัยอยู่สองปัจจัย ปัจจัยแรกคือการขยายตัวของประสิทธิภาพแรงงาน และประการที่สองคือการขยายตัวของจำนวนแรงงาน ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ประเทศไทยโชคดีที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของประชากรที่มีวัยทำงานเพิ่มขึ้นเร็ว ต่อให้ประสิทธิภาพของแรงงานเพิ่มขึ้นไม่มาก เศรษฐกิจก็สามารถขยายตัวได้ดี ด้วยจำนวนแรงงานที่เติบโตสูง แต่ในตอนนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ประชากรวัยแรงงานเพิ่มขึ้นน้อยมาก ในขณะที่ประสิทธิภาพของแรงงานยังคงโตช้า แล้วจะไปหวังให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างไร?
สุดท้ายทางออกก็หวังว่ารูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Thailand 4.0 จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน ให้เกิดการลงทุนด้านใหม่ๆ ให้แรงงานคนเดิมผลิตของได้มากชิ้นขึ้น หรือสร้างรายได้หรือมูลค่าสินค้าได้ดีขึ้น เสมือนการปรับโครงสร้างเช่นในอดีต ให้เศรษฐกิจไทยผ่านวิกฤตตัว L กลับมาเป็น U หรือ V ได้ในอนาคต แต่ที่สำคัญคือ ประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตที่เรายังไม่รู้ตัวไปได้หรือไม่ ก็ฝากความหวังไว้กับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ไว้ด้วย หาไม่แล้ว ศักยภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่จะโตได้เพียง 3.5% ต่อปี คงเป็นการตอกย้ำว่าเราไม่อาจผ่านพ้นวิกฤตรอบนี้ไปได้
updated: 27 มิ.ย. 2560 เวลา 17:03:20 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
โดย ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
ครบรอบ 20 ปีวิกฤตต้มยำกุ้ง...ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยไหม?
เมื่อ 20 ปีก่อน ในวันที่ 2 ก.ค. 2540 เราต้องยอมจำนนต่อการโจมตีค่าเงิน ทางธปท. ต้องปล่อยเงินบาทให้อ่อนค่าตามกลไกตลาดจากเดิมที่ตรึงค่าเงินไว้ที่ราว 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เงินสำรองระหว่างประเทศถูกใช้ในการปกป้องค่าเงิน แต่จะโทษธปท. ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะทั้งธนาคารพาณิชย์และนักลงทุนต่างก็มีส่วนในการปล่อยให้ระบบการเงินมีปัญหา ทั้งจากการประเมินสินทรัพย์และความเสี่ยงที่ไม่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน และความโลภที่บังตา
อย่าว่าแต่เมืองไทยเลย แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่เก่งระดับโลกก็ไม่อาจทำนายวิกฤตการเงินในสหรัฐ ในยุโรป หรืออีกหลายประเทศได้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ต่อให้ในปัจจุบันเราจะมีข้อมูล มีแบบจำลองที่ซับซ้อน และมีผู้เชี่ยวชาญมาเฝ้าระวังมากมาย แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า วิกฤติการเงินจะไม่เกิดขึ้นอีก
อย่าถามนักเศรษฐศาสตร์เลยครับว่าวิกฤตการเงินหรือวิกฤตเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่และด้วยสาเหตุอะไร ผมว่าเสียเวลาเปล่า เพราะพวกเราไม่เคยทำนายได้ถูกหรอกครับ
อย่าวางใจดีกว่า...วิกฤตอาจมาในรูปแบบใหม่
สาเหตุที่นักเศรษฐศาสตร์ไม่สามารถทำนายวิกฤตได้อย่างถูกต้องก็เพราะว่าวิกฤตเปลี่ยนรูปแบบไปมา ต่อให้เราเฝ้าระวังแผลเดิม มันก็มีช่องโหว่สำหรับแผลใหม่ที่เราไม่คาดคิดได้เสมอ
ทีนี้แผลใหม่หรือรูปแบบของวิกฤตรอบใหม่จะเป็นอะไรได้บ้าง ที่แน่ๆ มันคงไม่ซ้ำรอยปี 2540 เพราะทาง ธปท. ดูแลเสถียรภาพการเงินได้ดี เงินสำรองระหว่างประเทศมีเพิ่มขึ้นมาก
หากวิกฤตการเงินเกิดเพราะความโลภ เมื่อเราไม่โลภ วิกฤตก็ไม่เกิด ที่ชัดเจนคือความอยากได้ผลตอบแทนการลงทุนสูงๆ ทั้งส่วนต่างราคาซื้อขายและอัตราผลตอบแทน อัตราดอกเบี้ยในอดีตนั้นสูงอยู่แล้ว แต่คนอยากได้ผลตอบแทนสูงขึ้นไปอีก วิกฤตปี 40 จึงเกิด ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยแสนจะต่ำ คนถูกบีบให้ไปหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพื่อนำไปใช้จ่ายเพียงพอในยามสูงอายุ จนอาจสูญเสียเงินลงทุน และนำไปสู่ปัญหาด้านเสถียรภาพการเงิน แต่นั่นก็อยู่ในวิสัยของ ธปท. ที่กำกับดูแลได้ จึงไม่น่านำไปสู่วิกฤตรอบใหม่ได้
แล้วทำไมผมถึงตั้งคำถามว่าเรากำลังยืนฉงนอยู่ท่ามกลางวิกฤตโดยไม่รู้ตัวหรือไม่?
นั่นเพราะวิกฤตเปลี่ยนรูปร่างได้เสมอจนเราไม่อาจตามทันได้ วิกฤตที่เราคุ้นเคยมักเกิดขึ้นด้วยช็อกหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด เศรษฐกิจหดตัวแรง เหมือนรูปตัว V เศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุด แต่พอสถานการณ์คลี่คลาย เศรษฐกิจมีการปรับโครงสร้างใหม่ ก็จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วกลับขึ้นมาอีกครั้ง เช่นในช่วงวิกฤตปี 2540 เศรษฐกิจไทยใช้เวลาราว 4 ปีก่อนจะกลับมามีขนาดเศรษฐกิจ หรือ GDP เท่ากับช่วงก่อนวิกฤตได้ในปี 2544 หลังจากนั้นก็เติบโตอย่างรวดเร็วที่เฉลี่ยราว 5.4% ในช่วง 2544-2550 ก่อนวิกฤตลูกใหม่กระทบไทยในปี 2551
ในภาวะปัจจุบัน แม้เราคงไม่เห็นรูปตัว V อีก แต่อย่านิ่งนอนใจไป เพราะวิกฤตที่รุนแรงกว่าเดิมอาจก่อตัวขึ้นแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นคือเศรษฐกิจรูปตัว L ที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำ ราวสัก 3.5% และลากยาวต่อเนื่องไปอย่างยาวนาน หากเทียบวิกฤตรอบปี 2540 กับภาวะปัจจุบันแล้ว แน่นอนว่าปี 2540 มีความรุนแรงกว่ามาก ดังเห็นได้จากเศรษฐกิจหดตัวแรง เรามีปัญหาคนว่างงาน คนยากจน แต่อย่าลืมว่าวิกฤตครั้งนั้นเปิดโอกาสให้มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จนกลับมาทะยานใหม่ได้ หากแต่รอบนี้เราไม่มีโอกาสรู้ตัว การปรับตัวค่อนข้างช้า และการที่เศรษฐกิจซึมยาวนั้น แม้ในระยะสั้นไม่เจ็บปวด แต่ในระยะยาวนั้น ขนาดเศรษฐกิจอาจขยายใหญ่ได้ไม่เท่าการเกิดวิกฤตในรูปตัว V เสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะการเติบโตที่ช้ามันกัดกร่อนศักยภาพและการปรับตัวของคนไทย
แล้วนักเศรษฐศาสตร์มีทางแก้ไหม?
ตามทฤษฎีแล้ว การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาศัยอยู่สองปัจจัย ปัจจัยแรกคือการขยายตัวของประสิทธิภาพแรงงาน และประการที่สองคือการขยายตัวของจำนวนแรงงาน ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ประเทศไทยโชคดีที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของประชากรที่มีวัยทำงานเพิ่มขึ้นเร็ว ต่อให้ประสิทธิภาพของแรงงานเพิ่มขึ้นไม่มาก เศรษฐกิจก็สามารถขยายตัวได้ดี ด้วยจำนวนแรงงานที่เติบโตสูง แต่ในตอนนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ประชากรวัยแรงงานเพิ่มขึ้นน้อยมาก ในขณะที่ประสิทธิภาพของแรงงานยังคงโตช้า แล้วจะไปหวังให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างไร?
สุดท้ายทางออกก็หวังว่ารูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Thailand 4.0 จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน ให้เกิดการลงทุนด้านใหม่ๆ ให้แรงงานคนเดิมผลิตของได้มากชิ้นขึ้น หรือสร้างรายได้หรือมูลค่าสินค้าได้ดีขึ้น เสมือนการปรับโครงสร้างเช่นในอดีต ให้เศรษฐกิจไทยผ่านวิกฤตตัว L กลับมาเป็น U หรือ V ได้ในอนาคต แต่ที่สำคัญคือ ประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตที่เรายังไม่รู้ตัวไปได้หรือไม่ ก็ฝากความหวังไว้กับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ไว้ด้วย หาไม่แล้ว ศักยภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่จะโตได้เพียง 3.5% ต่อปี คงเป็นการตอกย้ำว่าเราไม่อาจผ่านพ้นวิกฤตรอบนี้ไปได้