http://www.thansettakij.com/2016/04/05/42357
หักภาษี2เท่า‘พี่ช่วยน้อง’ ‘สมคิด’ดันบจ.SET 100 ขับเคลื่อนโครงการ‘ประชารัฐ’
กระทรวงการคลัง เตรียมดันโครงการ “พี่ช่วยน้อง” ชูหักภาษี 2 เท่า ดึงผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยธุรกิจเอสเอ็มอี ชงครม.อนุมัติเมษายนนี้ “สมคิด” มองบริษัทจดทะเบียนกลุ่ม SET 100 มีศักยภาพสูงร่วมขับเคลื่อนโครงการประชารัฐ เผยอยากเห็นการลงทุนด้านนวัตกรรม ออกแบบดีไซน์และด้านวิทยาการ ธุรกิจสตาร์ทอัพ
โครงการประขารัฐ 12 กลุ่ม
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการ(รมว.)กระทรวงการคลัง กล่าวในงาน “SET 100 ผนึกกำลังประชารัฐ” ที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมาว่า คณะกรรมการโครงการประชารัฐ 12 คณะ เตรียมนำเสนอโครงการ “พี่ช่วยน้อง” เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนเมษายนนี้ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการทำรายละเอียดโครงการ
ในส่วนของกระทรวงการคลังเองเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีประโยชน์เป็นอย่างมาก หากบริษัทขนาดใหญ่จะเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี โดยจะดำเนินการสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหญ่ด้วยมาตรการทางด้านภาษี เพื่อให้นำค่าใช้จ่ายในการเข้าไปช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตลาด พัฒนาเทคโนโลยี หรือสอนการทำบัญชี มาหักลดหย่อนทางภาษีได้ 2 เท่า
” แนวคิดของรัฐบาลในการทำงานประชารัฐ เพื่อต้องการให้ทุกภาคส่วนของประเทศก้าวไปข้างหน้าได้พร้อมเพียง โดยรัฐบาลแบ่งเป็นการช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย หรือได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ” นายอภิศักดิ์ กล่าวและว่า
ส่วนในระยะที่ 2 คือ เน้นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีให้มีความแข็งแกร่ง จึงเกิดโครงการเอสเอ็มอีกลุ่มเริ่มต้นขึ้นมา ที่คาดว่าจะเติบโตเป็นรายใหญ่ได้ในอนาคต
“สิ่งที่เราเร่งทำตอนนี้ คือ กลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กๆ ซึ่งมีอยู่กว่า 2 ล้านบริษัท เราพยายามจูงใจด้วยดอกเบี้ยต่ำที่ 4% ต่อปี ซึ่งผู้ประกอบการสนใจมาก เพราะไม่เคยได้รับดอกเบี้ยถูกขนาดนี้มาก่อน แต่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เขาอาจไม่สนใจอะไร เพราะว่าเคยได้ถูกกว่านี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการดำเนินการต่างๆ รัฐบาลจะใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาฐานะทางการคลังในอนาคต แม้ปัจจุบันหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีจะอยู่ที่ 44% เท่านั้น” รมว.คลัง กล่าว
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ต้องการให้กลุ่มบริษัทในSET 100 ได้เข้ามาลงทุนด้านนวัตกรรมแห่งอนาคต เพิ่มความสามารถด้านการออกแบบดีไซน์และด้านวิทยาการ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และหวังจะช่วยเพิ่มมูลค่าต่อจีดีพีของประเทศ และส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และธุรกิจสตาร์ทอัพ (Start-up ) ให้มากยิ่งขึ้น
โดยมองว่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีศักยภาพสูงที่จะเข้าขับเคลื่อนในโครงการประชารัฐให้เกิดโครงการใหม่ๆขึ้นได้ ซึ่งจีดีพีของประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตได้ยาก เนื่องจากมูลค่าผลผลิตที่ต่ำ เป็นสินค้ากลุ่มเดิมๆไม่มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ จึงไม่สามารถเพิ่มราคาเพื่อแข่งขันในตลาดโลกได้ จึงอยากเห็นภาคเอกชนเข้ามาช่วย เช่นด้านเกษตร อยากเห็นเกษตรสมัยใหม่ มีการแปรรูปสินค้า และหาช่องทางไปจำหน่ายยังต่างประเทศ เพื่อทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น โดยภาครัฐได้มีการออกมาตราการให้การช่วยเหลือภาคการเกษตรผ่านทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) พร้อมให้การสนับสนุนด้านการหาช่องทางการจำหน่ายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ
ทั้งนี้นายสมคิดยกตัวอย่างช่วงที่เดินทางไปประเทศเกาหลีได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะมีการดำเนินการในเรื่องของศูนย์พัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมี 18 แห่งซึ่งอยากให้ประเทศไทยมีแบบนั้นในรูปแบบประชารัฐ โดยเรื่องที่จะดำเนินการ คือ เกษตร อาหาร และไบโอเทค ส่วนเรื่องที่จะตามมา คือ สุขภาพ สปา อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิตอล อินเตอร์เนต และสินค้าสร้างสรรค์ และเกาหลีใต้ได้มีการยกระดับการพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี ขณะที่บริษัทในประเทศก็ได้ให้การสนับสนุนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยการให้เงินทุนและต่อยอดจนเกิดเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ นับเป็นร้อยเป็นพันบริษัท
สำหรับประเทศนั้น ตนอยากเรียกโมเดลการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพนี้ว่า โมเดล 4.0 ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่เน้นการสร้างมูลค่าและนวัตกรรม และสร้างนักรบด้านธุรกิจใหม่ๆของประเทศ ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อผลักดันให้ประชารัฐมีส่วนร่วมในการจัดสรรงบประมาณของประเทศ ซึ่งอยากให้ดำเนินการให้ได้ภายใน 1 ปีครึ่ง
ขณะที่เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะทำได้ แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและอยากให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลในอีก 1 ปีครึ่ง และอยากให้มหาวิทยาลัยมาช่วยสนับสนุน เชื่อมโยงกับสถาบันการเงินที่จะเข้ามาปล่อยสินเชื่อให้กับวิสาหกิจเริ่มต้น แต่ลำพังตนเอง หรือนายกรัฐมนตรีคนเดียวไม่สามารถทำได้ ต้องการพลังจากภาคเอกชน คือ บริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET 100 ในการเข้ามามีส่วนร่วมให้เกิดขึ้น และเรื่องนี้ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของประเทศ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,145 วันที่ 3 – 6 เมษายน พ.ศ. 2559