**
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 9
เป็นบทความและข้อชี้แนะที่ดีมาก........ในความคิดของผม บริษัทฯ ทั้งหมดที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มี รายใหญ่ เป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว รายใหญ่ในที่นี้ หมายถึง เจ้าของกิจการ หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และ มีอำนาจในการตัดสินใจในสิ่งต่าง ๆ...........เขาแหละ รายใหญ่ที่ แท้จริง...........การจะดูว่า บริษัทฯ ไหน มี ธรรมาภิบาลที่ดี ผมว่า ต้องช่วยกันหลายฝ่าย ที่สำคัญ คือ
1. กรรมการ คือ ผู้เป็นคนกลางในตลาดทุนแห่งนี้ หมายถึง กลต ครับ......งานของ กลต คือ ต้องคอยช่วยกำกับดูแล ไม่ให้ รายใหญ่ เอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย แบบพวก เรา
2. วิสัยทัศน์ของ รายใหญ่ ว่า จะเอาเปรียบแบบไหน แบบค่อย ๆ เอาเปรียบอย่างถูกวิธี หรือ เปล่า ถ้าเอาเปรียบโดยไม่เกิดผลร้ายแรง กับการดำเนินงาน ก็ นับว่า พอรับกันได้ เช่น ถ้าบริษัทฯ ไหน จำเป็นต้องใช้บริการชนิดใดประจำ ทางรายใหญ่ก็แอบไปตั้งบริษัทฯ ย่อย มาบริการให้ แต่ คิดค่าบริการเท่าเทียมกับบริษัทฯ อื่น ๆ นี่ ก็ เป็นการเอาเปรียบ แบบ ไม่มี บริษัทฯ ใด มาแข่งขันด้วย.........ผมว่า ก็ เป็นการหารายได้เข้าตนเอง แบบหนึ่ง แต่ มีเหตุมีผลพอเพียง..... แต่ถ้าให้บริการแบบ ราคาสูงกว่า คู่แข่งย่อมไม่ดี เป็น แน่ แท้
3. รายย่อย ผมว่า เมื่อลงทุนคู่ไปกับเขาแล้ว ถึง แม้ว่า ไม่มีสิทธิ์ที่จะบริหาร หรือวาง นโยบาย อะไรกับ เขาได้ แต่ ก็ต้องไป ใช้สิทธิ์ของตนเอง คือ ไปเป็นเจ้าของเหมือนเขาในเมื่อมีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ไป แสดง ตน เขาจะได้มีความรู้สึกว่า มีคน คอยดู อยู่เหมือนกัน ไป พูด บ้าง ถึงแม้ว่า จะรู้ว่า เมื่อลงมติก็ แพ้ ทุก ที.........ไป พูดไป เตือนใน ที่ประชุม จะทำให้รายใหญ่ ไม่ค่อยกล้าจะทำในสิ่งที่ไม่สมควร
3. อดีต........ดูผลงานในอดีต ถ้ามีการเติบโตค่อยเป็นค่อยไป ตาม เศรษฐกิจแต่ละปีอย่าง มีเหตุ มีผล เป็นสิ่งที่จะช่วยแสดงว่า บริษัทฯ นั้นมี ธรรมาภิบาลที่ดีหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบบ ขึ้นแรง ลง แรง ของผลประกอบการ แสดงถึง ความไม่มั่นคงของกิจการเขา........บริษัทฯ ยิ่งเก่า มาก ๆ ผมว่า บริษัทฯ เหล่านั้นมี หลักการ มากกว่า บริษัทฯ ใหม่ ๆ.....ผมจะถือหุ้นในจำนวนมาก ๆ ก็ต้องเมื่อ บริษัทฯ เหล่า นั้น ได้มีผลงานในปรากฎแล้ว อย่างต่ำ 30 ปีขึ้นไป ส่วนบริษัทฯ ใด ที่พึ่งเข้าตลาด และไม่เกิน 10 ปี ผมไม่กล้าเข้าไปซื้อในจำนวนมาก ๆ ครับ ผมยอมที่จะเสียโอกาส นี้ แต่ไม่ใช่ ไม่ซื้อเลย ผมจะซื้อบ้าง แต่ไม่มากเท่านั้นเอง
4. การที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีหลายกลุ่ม อันนี้ ดี ครับ จะได้ มีการคานอำนาจระหว่าง รายใหญ่ด้วยกัน จะได้ช่วยให้รายย่อย ไม่ถูกเอาเปรียบมากเกินไป
5. ถึงแม้ จะไม่ค่อยเชื่อถือ กับ งาน Good Governace ที่ทางตลาด เริ่มจัดไปแล้ว เป็นปีที่ 2.....ผมก็ติดตามอยู่เหมือนกัน ก็ ถือว่า เป็นการริเริ่มที่ดี ครับ จะได้คอยเตือนให้ รายใหญ่ ในบริษัทฯ ต่าง ๆ ทำตนให้มีธรรมาภิบาลมากขึ้น...ยิ่ง ได้ฟังท่านรัฐมนตรี สมคิด พูด ในงานแล้วประทับใจ มาก ที่ว่า ถ้าไม่มีธรรมาภิบาลแล้ว ให้ ออกจาก ตลาด ได้ ไม่อยากให้บริษัทฯ เหล่านั้น อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นสิ่งที่ผมชอบสุดในงานนั้น.........เห็นว่า มี top quatile (จะกดถูกหรือเปล่าหนอ)..อยู่ 85 บริษัท......อยากให้มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ผมจัดความสำคัญ ที่ว่า สำคัญมากสุดอยู่แรก ๆ ให้แล้ว เป็นหัวข้อที่สำคัญผมเลยขอ ร่วม แจม ด้วย คงมีประโยชน์ไม่มาก ก็น้อย นะครับ
1. กรรมการ คือ ผู้เป็นคนกลางในตลาดทุนแห่งนี้ หมายถึง กลต ครับ......งานของ กลต คือ ต้องคอยช่วยกำกับดูแล ไม่ให้ รายใหญ่ เอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย แบบพวก เรา
2. วิสัยทัศน์ของ รายใหญ่ ว่า จะเอาเปรียบแบบไหน แบบค่อย ๆ เอาเปรียบอย่างถูกวิธี หรือ เปล่า ถ้าเอาเปรียบโดยไม่เกิดผลร้ายแรง กับการดำเนินงาน ก็ นับว่า พอรับกันได้ เช่น ถ้าบริษัทฯ ไหน จำเป็นต้องใช้บริการชนิดใดประจำ ทางรายใหญ่ก็แอบไปตั้งบริษัทฯ ย่อย มาบริการให้ แต่ คิดค่าบริการเท่าเทียมกับบริษัทฯ อื่น ๆ นี่ ก็ เป็นการเอาเปรียบ แบบ ไม่มี บริษัทฯ ใด มาแข่งขันด้วย.........ผมว่า ก็ เป็นการหารายได้เข้าตนเอง แบบหนึ่ง แต่ มีเหตุมีผลพอเพียง..... แต่ถ้าให้บริการแบบ ราคาสูงกว่า คู่แข่งย่อมไม่ดี เป็น แน่ แท้
3. รายย่อย ผมว่า เมื่อลงทุนคู่ไปกับเขาแล้ว ถึง แม้ว่า ไม่มีสิทธิ์ที่จะบริหาร หรือวาง นโยบาย อะไรกับ เขาได้ แต่ ก็ต้องไป ใช้สิทธิ์ของตนเอง คือ ไปเป็นเจ้าของเหมือนเขาในเมื่อมีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ไป แสดง ตน เขาจะได้มีความรู้สึกว่า มีคน คอยดู อยู่เหมือนกัน ไป พูด บ้าง ถึงแม้ว่า จะรู้ว่า เมื่อลงมติก็ แพ้ ทุก ที.........ไป พูดไป เตือนใน ที่ประชุม จะทำให้รายใหญ่ ไม่ค่อยกล้าจะทำในสิ่งที่ไม่สมควร
3. อดีต........ดูผลงานในอดีต ถ้ามีการเติบโตค่อยเป็นค่อยไป ตาม เศรษฐกิจแต่ละปีอย่าง มีเหตุ มีผล เป็นสิ่งที่จะช่วยแสดงว่า บริษัทฯ นั้นมี ธรรมาภิบาลที่ดีหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบบ ขึ้นแรง ลง แรง ของผลประกอบการ แสดงถึง ความไม่มั่นคงของกิจการเขา........บริษัทฯ ยิ่งเก่า มาก ๆ ผมว่า บริษัทฯ เหล่านั้นมี หลักการ มากกว่า บริษัทฯ ใหม่ ๆ.....ผมจะถือหุ้นในจำนวนมาก ๆ ก็ต้องเมื่อ บริษัทฯ เหล่า นั้น ได้มีผลงานในปรากฎแล้ว อย่างต่ำ 30 ปีขึ้นไป ส่วนบริษัทฯ ใด ที่พึ่งเข้าตลาด และไม่เกิน 10 ปี ผมไม่กล้าเข้าไปซื้อในจำนวนมาก ๆ ครับ ผมยอมที่จะเสียโอกาส นี้ แต่ไม่ใช่ ไม่ซื้อเลย ผมจะซื้อบ้าง แต่ไม่มากเท่านั้นเอง
4. การที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีหลายกลุ่ม อันนี้ ดี ครับ จะได้ มีการคานอำนาจระหว่าง รายใหญ่ด้วยกัน จะได้ช่วยให้รายย่อย ไม่ถูกเอาเปรียบมากเกินไป
5. ถึงแม้ จะไม่ค่อยเชื่อถือ กับ งาน Good Governace ที่ทางตลาด เริ่มจัดไปแล้ว เป็นปีที่ 2.....ผมก็ติดตามอยู่เหมือนกัน ก็ ถือว่า เป็นการริเริ่มที่ดี ครับ จะได้คอยเตือนให้ รายใหญ่ ในบริษัทฯ ต่าง ๆ ทำตนให้มีธรรมาภิบาลมากขึ้น...ยิ่ง ได้ฟังท่านรัฐมนตรี สมคิด พูด ในงานแล้วประทับใจ มาก ที่ว่า ถ้าไม่มีธรรมาภิบาลแล้ว ให้ ออกจาก ตลาด ได้ ไม่อยากให้บริษัทฯ เหล่านั้น อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นสิ่งที่ผมชอบสุดในงานนั้น.........เห็นว่า มี top quatile (จะกดถูกหรือเปล่าหนอ)..อยู่ 85 บริษัท......อยากให้มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ผมจัดความสำคัญ ที่ว่า สำคัญมากสุดอยู่แรก ๆ ให้แล้ว เป็นหัวข้อที่สำคัญผมเลยขอ ร่วม แจม ด้วย คงมีประโยชน์ไม่มาก ก็น้อย นะครับ
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 12
ผมแก้ไข คำว่า quartile แต่ไม่มี ให้ edit เลยปรากฎ เป็น ข้อความซ้ำทั้งท่อนเลยลุงขวด เขียน:เป็นบทความและข้อชี้แนะที่ดีมาก........ในความคิดของผม บริษัทฯ ทั้งหมดที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มี รายใหญ่ เป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว รายใหญ่ในที่นี้ หมายถึง เจ้าของกิจการ หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และ มีอำนาจในการตัดสินใจในสิ่งต่าง ๆ...........เขาแหละ รายใหญ่ที่ แท้จริง...........การจะดูว่า บริษัทฯ ไหน มี ธรรมาภิบาลที่ดี ผมว่า ต้องช่วยกันหลายฝ่าย ที่สำคัญ คือ
1. กรรมการ คือ ผู้เป็นคนกลางในตลาดทุนแห่งนี้ หมายถึง กลต ครับ......งานของ กลต คือ ต้องคอยช่วยกำกับดูแล ไม่ให้ รายใหญ่ เอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย แบบพวก เรา
2. วิสัยทัศน์ของ รายใหญ่ ว่า จะเอาเปรียบแบบไหน แบบค่อย ๆ เอาเปรียบอย่างถูกวิธี หรือ เปล่า ถ้าเอาเปรียบโดยไม่เกิดผลร้ายแรง กับการดำเนินงาน ก็ นับว่า พอรับกันได้ เช่น ถ้าบริษัทฯ ไหน จำเป็นต้องใช้บริการชนิดใดประจำ ทางรายใหญ่ก็แอบไปตั้งบริษัทฯ ย่อย มาบริการให้ แต่ คิดค่าบริการเท่าเทียมกับบริษัทฯ อื่น ๆ นี่ ก็ เป็นการเอาเปรียบ แบบ ไม่มี บริษัทฯ ใด มาแข่งขันด้วย.........ผมว่า ก็ เป็นการหารายได้เข้าตนเอง แบบหนึ่ง แต่ มีเหตุมีผลพอเพียง..... แต่ถ้าให้บริการแบบ ราคาสูงกว่า คู่แข่งย่อมไม่ดี เป็น แน่ แท้
3. รายย่อย ผมว่า เมื่อลงทุนคู่ไปกับเขาแล้ว ถึง แม้ว่า ไม่มีสิทธิ์ที่จะบริหาร หรือวาง นโยบาย อะไรกับ เขาได้ แต่ ก็ต้องไป ใช้สิทธิ์ของตนเอง คือ ไปเป็นเจ้าของเหมือนเขาในเมื่อมีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ไป แสดง ตน เขาจะได้มีความรู้สึกว่า มีคน คอยดู อยู่เหมือนกัน ไป พูด บ้าง ถึงแม้ว่า จะรู้ว่า เมื่อลงมติก็ แพ้ ทุก ที.........ไป พูดไป เตือนใน ที่ประชุม จะทำให้รายใหญ่ ไม่ค่อยกล้าจะทำในสิ่งที่ไม่สมควร
3. อดีต........ดูผลงานในอดีต ถ้ามีการเติบโตค่อยเป็นค่อยไป ตาม เศรษฐกิจแต่ละปีอย่าง มีเหตุ มีผล เป็นสิ่งที่จะช่วยแสดงว่า บริษัทฯ นั้นมี ธรรมาภิบาลที่ดีหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบบ ขึ้นแรง ลง แรง ของผลประกอบการ แสดงถึง ความไม่มั่นคงของกิจการเขา........บริษัทฯ ยิ่งเก่า มาก ๆ ผมว่า บริษัทฯ เหล่านั้นมี หลักการ มากกว่า บริษัทฯ ใหม่ ๆ.....ผมจะถือหุ้นในจำนวนมาก ๆ ก็ต้องเมื่อ บริษัทฯ เหล่า นั้น ได้มีผลงานในปรากฎแล้ว อย่างต่ำ 30 ปีขึ้นไป ส่วนบริษัทฯ ใด ที่พึ่งเข้าตลาด และไม่เกิน 10 ปี ผมไม่กล้าเข้าไปซื้อในจำนวนมาก ๆ ครับ ผมยอมที่จะเสียโอกาส นี้ แต่ไม่ใช่ ไม่ซื้อเลย ผมจะซื้อบ้าง แต่ไม่มากเท่านั้นเอง
4. การที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีหลายกลุ่ม อันนี้ ดี ครับ จะได้ มีการคานอำนาจระหว่าง รายใหญ่ด้วยกัน จะได้ช่วยให้รายย่อย ไม่ถูกเอาเปรียบมากเกินไป
5. ถึงแม้ จะไม่ค่อยเชื่อถือ กับ งาน Good Governace ที่ทางตลาด เริ่มจัดไปแล้ว เป็นปีที่ 2.....ผมก็ติดตามอยู่เหมือนกัน ก็ ถือว่า เป็นการริเริ่มที่ดี ครับ จะได้คอยเตือนให้ รายใหญ่ ในบริษัทฯ ต่าง ๆ ทำตนให้มีธรรมาภิบาลมากขึ้น...ยิ่ง ได้ฟังท่านรัฐมนตรี สมคิด พูด ในงานแล้วประทับใจ มาก ที่ว่า ถ้าไม่มีธรรมาภิบาลแล้ว ให้ ออกจาก ตลาด ได้ ไม่อยากให้บริษัทฯ เหล่านั้น อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นสิ่งที่ผมชอบสุดในงานนั้น.........เห็นว่า มี top quartile..อยู่ 85 บริษัท......อยากให้มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ผมจัดความสำคัญ ที่ว่า สำคัญมากสุดอยู่แรก ๆ ให้แล้ว เป็นหัวข้อที่สำคัญผมเลยขอ ร่วม แจม ด้วย คงมีประโยชน์ไม่มาก ก็น้อย นะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 13
นักลงทุนสถาบันก็เริ่มจะใช้สิทธิปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
และของรายย่อยด้วยครับ การซื้อหุ้นที่มีนักลงทุนสถาบันก็พอจะทำให้สบายใจได้ครับ เช่น นักลงทุนสถาบันของรัฐ
หลายๆบริษัทเล็กๆ ที่เป็นที่นิยมของเพื่อนๆ VI ก็มีนักลงทุนเหล่านี้บ้างครับ
และเริ่มมีผลงาน การปกป้องผลประโยชน์ของรายย่อยให้เห็นบ้าง
และของรายย่อยด้วยครับ การซื้อหุ้นที่มีนักลงทุนสถาบันก็พอจะทำให้สบายใจได้ครับ เช่น นักลงทุนสถาบันของรัฐ
หลายๆบริษัทเล็กๆ ที่เป็นที่นิยมของเพื่อนๆ VI ก็มีนักลงทุนเหล่านี้บ้างครับ
และเริ่มมีผลงาน การปกป้องผลประโยชน์ของรายย่อยให้เห็นบ้าง
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว