พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
kisana
Verified User
โพสต์: 64
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

พอดีได้ดูสรุปผลประกอบการไตรมาส 2 แล้วงง ตรงที่ว่า
1. การรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ บริษัทย่อย บริษัท เพรซิเดนท์อะกริเทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 316.54 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทย่อยมีความเสี่ยง

จากอัตราแลกเปลี่ยนอันเกี่ยวเนื่องกับการรับชำระค่าสินค้าเป็นเงินตราต่างประเทศ ทางบริษัทย่อยได้ป้องกันความเสี่ยงโดยทำสัญญาขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า

จำนวน 229.75 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า 39 - 40.925 บาทต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐอเมริกา และเมื่อปิดงวดบัญชี ณ 30 มิถุนายน 2547

อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินบาทได้อ่อนค่าลงเป็น 41.0305 บาทต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐอเมริกา จึงทำให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนดังกล่าว

*****(แยกเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง จำนวน 297.46 ล้านบาท และที่เกิดขึ้นจริง จำนวน 19.08 ล้านบาท )****
ตรงนี้คือสิ่งที่ บ. เค้ารับรู้ผลขาดทุนแล้วรึยังที่ทำให้ผลขาดทุนจาก ไตรมาส1-2 รวมเป็น -169 ลบ.
หรือว่ายังมีผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงที่จะโผล่ในไตรมาส 3-4 อีกครับ หรือว่าสรุปผลขาดทุนออกมาแล้วในสิ้นสุดไตรมาส 2
เท่าที่ดูผมมีความรู้สึกดีกับหุ้นตัวนี้มากๆๆ เป็นหุ้นที่น่าถือ ผลประกอบการดี 10 ปีไม่มีขาดทุนและที่สำคัญเป็นหุ้นที่ ดร.ชอบด้วย
ได้มีโอกาสได้คุยกับ ดร.นิเวศน์(เวลาเพียงน้อยนิด)แต่เกี่ยวกับหุ้นตัวนี้แล้วท่านให้เหตุผลที่น่าสนใจท่านกล่าวว่า หุ้นตัวนี้มีความเสี่ยงตรงอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าของ บ.ย่อยเท่านั้น แต่ถ้าไม่นับ บ.ย่อยแล้วยังนับว่าหุ้นตัวนี้ถูก น่าสนใจ ผมถามต่อว่าแล้วท่านมองตลาดในตอนนี้อย่างไรกับการซื้อหุ้น
ท่านกล่าวว่าผมไม่ได้ซื้อหุ้นที่ SET หรือสภาพตลาด ผมFocus ที่ตัวกิจการ ถ้ากิจการดี ราคาถูก ผมก็ซื้อ
ผมฟังแล้วประทับใจมากๆ และก็ได้ใช้แนวคิดนี้เป็นแนวทางในการซื้อหุ้นที่ผ่านๆๆมา
แต่ถ้ามาดูหุ้น PR MAR.cap. 960 ล้าน ยอดขาย ปีนี้คิดว่า10,000 ล.ใช้หลักP/s แล้ว น่าสนใจมากๆๆ ครับ ลงทุน 100 บ.สร้างยอดขายได้ 1,000 บ.
ถ้าเราซื้อทั้งกิจการของ PR 960 ล้าน เราจะได้อะไรบ้าง
1.ยอดขาย 10,000 ล้าน/ปี
2.ที่ผ่านมากำไร 10 ปีซ้อน มีปันผลประมาณ 5 %
3.เงินสดในมือ ประมาณ 2 ร้อยกว่าล้าน นี่แสดงว่าจริงๆๆเราซื้อกิจการนี้แค่700 ล. (960-250)
แต่ที่สำคัญ***พี่ๆช่วยวิเคราะห์หน่อยนะครับ**
คือ กำไรสะสม ตอนนี้มี 850 ล.(คร่าวๆ)
คือว่าMKT cap.มันสูสีกับ retain earning มากครับ ประมาณว่าซื้อทั้ง บ. เหมือนได้ บ. ฟรีๆๆเลย**** VI ชอบมองว่าการซื้อหุ้นคือหุ้นส่วน**
แต่บางท่านอาจแย้งว่า กำไรสะสม ถ้าเค้าไม่ปันหรือสร้างผลตอบแทนก็เท่านั้น แต่ผมคิดว่า ถ้าเราวิเคราะห์ในแง่ VI หรือหุ้นส่วนกิจการแล้วน่าสนใจมากๆ
ยังไงพี่ช่วยกันวิเคราะห์ต่อด้วยนะครับ เพื่อผู้ที่ถือ PR อยู่จะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจต่อไป
ขอบคุณมากครับสำหรับทุกๆๆความเห็น
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

กิจการมีรายได้จาก 3 ส่วนงาน

1.บริษัทแม่ ผลิตเส้นหมี่ขาว ยอดขาย กำไร มีแนวโน้มทรงตัว

2.บริษัทลูก president agri-trading ถือหุ้น 51% บริษัทนี้ผลิตข้าวสาร ปลายข้าวขายให้บริษัทแม่ และทำการส่งออกข้าวไปต่างประเทศ

3.บริษัทย่อย president berkery ถือหุ้นประมาณ 37% ผลิตและจำหน่ายขนมปัง ฟาร์มเฮ้าส์ ยอดขายและกำไรดีขึ้นเรื่อยๆครับ

การขาดทุนที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากบริษัทลูกขายข้าวส่งออกครับ ซึ่งผู้บริหารคงจะบริหารความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนผิดพลาด ทำให้เกิดการขาดทุน ทั้งที่รับรู้แล้ว และยังไม่รับรู้ การขาดทุนที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดขึ้นอีกในไตรมาสต่อไป หากเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนตัว เหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ครับ

การขาดทุนครั้งนี้ มากกว่าการกำไรที่ทำได้ทั้ง 3 ปี ที่ผ่านมาของบริษัทย่อย และแทบจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในบริษัทลูกนี้หมดไปเลยครับ

นอกจากนั้นบริษัทลูกแห่งนี้ ยังต้องการเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมาก ทำให้ต้องกู้เงินประมาณ 4,000! ล้านบาท เพื่อลงทุนในสินค้าคงเหลือ และลูกหนี้การค้า

กิจการมีเงินสด สำรองเพื่อใช้ในการสร้างโรงงานแห่งใหม่ครับ โดยซื้อที่ไว้แล้ว 122 ไร่ โอกาสที่เงินสดส่วนนี้จะตกถึงมือผู้ถือหุ้น คงอีกนานครับ


ดูไปกิจการค่อนข้างมีความเสี่ยงพอสมควรครับ แม้กิจการบริษัทแม่ และเบเกอรี่ จะยังมีแนวโน้มดี ผมคิดว่าการขาดทุนครั้งนี้ คงให้บทเรียนราคาแพงกับผู้บริหาร คิดในแง่ดีว่าโอกาสที่จะขาดทุนเกิดขึ้นอีก น่าจะน้อยลงครับ

ส่วนตัวผมคิดว่า น่าจะยังมีบริษัทที่สามารถให้ผลตอบแทนเท่ากับ หรือมากกว่า กับผู้ถือหุ้น ในขณะที่ความเสี่ยงน้อยกว่า PR ครับ

แต่โดยรวมบริษัทก็ดูดีครับ หากมีการจัดการความเสี่ยงได้ดีกว่านี้ มีรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 รายที่น่าสนใจครับ คือ คุณ Peter Dennis (ผมสนใจลงทุนแนวนี้ ก็เพราะอ่านบทความท่านนี่ละครับ :o ) และตระกูล โอสถานุเคราะห์
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
บุคคลทั่วไป
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

อย่าไปเชื่อครับว่าเค้าขาดทุนจริงๆ เพราะ PR ฮั้วกับ ผู้ใหญ่.ท่านหนึ่ง ได้โควต้าข้าวราคาถูกไปจำนวนหลายล้านตัน (โดยรับซื้อเป็นข้าวด้อยคุณภาพ ทั้งๆที่ได้ข้าวคุณภาพดีไปแล้ว แต่ข้าวด้อยคุณภาพจริงๆ อยู่ในไซโลของรัฐบาลประเทศสารขัณฑ์อยู่) รวยไปหลายหมื่นล้านแล้ว อย่าไปเชื่อ

มีการแต่งบัญชีครับ ถ้าคุณมีแหล่งข่าวในวงการข้าวจะรู้ดีครับ

ระวังไว้ให้มากครับ

แต่อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ครับ เพราะเค้าแค่ทุบหุ้นให้ลงมา แล้วต่อมาก็ค่อยๆ เอากำไรออกมาฟอกทีละนิดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษี

อยู่ทีี่คุณจะซื้อ หรือ ไม่ซื้อ
นักดูดาว
Verified User
โพสต์: 2513
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ธุรกิจนี้ใช้เงินกู้ระยะสั้นมากขนาดนี้เชียวหรือครับ

BANK OVERDRAFTS AND SHORT-TERM LOANS FROM FINANCIAL INSTITUTIONS_____________4,239.13

ท่านใดช่วยอธิบายหน่อย
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป

-จีรนุช เปรมชัยพร
buglife
Verified User
โพสต์: 942
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

Anonymous เขียน:อย่าไปเชื่อครับว่าเค้าขาดทุนจริงๆ เพราะ PR ฮั้วกับ ผู้ใหญ่.ท่านหนึ่ง ได้โควต้าข้าวราคาถูกไปจำนวนหลายล้านตัน (โดยรับซื้อเป็นข้าวด้อยคุณภาพ ทั้งๆที่ได้ข้าวคุณภาพดีไปแล้ว แต่ข้าวด้อยคุณภาพจริงๆ อยู่ในไซโลของรัฐบาลประเทศสารขัณฑ์อยู่) รวยไปหลายหมื่นล้านแล้ว อย่าไปเชื่อ

มีการแต่งบัญชีครับ ถ้าคุณมีแหล่งข่าวในวงการข้าวจะรู้ดีครับ

ระวังไว้ให้มากครับ

แต่อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ครับ เพราะเค้าแค่ทุบหุ้นให้ลงมา แล้วต่อมาก็ค่อยๆ เอากำไรออกมาฟอกทีละนิดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษี

อยู่ทีี่คุณจะซื้อ หรือ ไม่ซื้อ
ถ้าเป็นแบบนี้จริง ต่อให้มีกำไร ก็น่ากลัว ไม่น่าเข้าครับ
แน่ใจว่าเป็นแบบที่ว่านี้จริงหรือเปล่าครับ
lychee not log in
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

การขาดทุนที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากบริษัทลูกขายข้าวส่งออกครับ ซึ่งผู้บริหารคงจะบริหารความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนผิดพลาด ทำให้เกิดการขาดทุน ทั้งที่รับรู้แล้ว และยังไม่รับรู้ การขาดทุนที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดขึ้นอีกในไตรมาสต่อไป หากเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนตัว เหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ครับ

[/quote]

ผมไม่มั่นใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่านะครับ แต่การขายดอลลาร์ล่วงหน้าที่ 220 ล้านเหรียญ เท่ากับออร์เดอร์ส่งข้าวออกประมาณ 1 ล้านตัน ในการส่งออกนั้น ปกติผู้ส่งออกจะขายดอลลาร์ล่วงหน้า ในกรณีที่มีออร์เดอร์แล้ว และในราคาที่มีกำไร ณ อัตราแลกเปลี่ยนในเวลานั้น ฉะนั้นก็น่าจะมีการแสดงผลกำไรในไตรมาสถัดไป (มองโลกในแง่ดี)

แต่ว่าในไตรมาสสอง บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 300 กว่าล้านบาท แต่แสดงผลขาดทุนสุทธิ 200 กว่าล้านบาท แสดงว่ามีกำไรจากการดำเนินธุรกิจ 100 กว่าล้าน

บริษัทน่าจะมีกำไรในไตรมาสสามและสี่นะครับ แต่ที่เห็น ๆ อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 41.60 แสดงว่าจะต้องบันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกประมาณ 100 กว่าล้านบาทในไตรมาสสาม ฉะนั้น บริษัทจะต้องทำกำไรจากการดำเนินการอีกมากทีเดียวที่จะชดเชยการขาดทุนในไตรมาสสองได้
lychee not log in
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

บริษัทฯ ได้ประมูลซื้อข้าวสาร 5 เปอร์เซนต์จากกระทรวงพาณิชย์จำนวน 1.7 ล้านตันที่ราคา 239 เหรียญต่อตัน โดยได้ส่วนลดค่าการตลาดที่ 4.5 เหรียญต่อตัน ราคาจริงก็คือ 235 เหรียญต่อตัน จากราคานี้จะได้ส่วดลดค่าปรับปรุงข้าวอีกตันละ 680 บาท (ไม่มั่นใจ) ซึ่งก็คือค่าใช้จ่ายที่จะต้องขนส่งจากโกดังที่รับฝากทั่วภาคกลาง ไปยังโกดังส่งออก และทำการปรับปรุงคุณภาพ ส่งจากอัตราส่วนลด 680 บาทต่อตัน ก็พอถูไถไปได้ หากเพรสซิเดนท์มีกำลังการผลิตมากพอ

ปัญหาอยู่ที่ว่าบริษัทนี้มีกำลังการผลิตต่ำ ดังนั้นจึงต้องไปจ้างผู้ส่งออกรายอื่นอีก 5 รายให้ช่วยปรับปรุง แน่นอน ส่วนนี้ก็โดนฟันพอสมควร

แต่ส่วนที่ตกหล่นมีมากครับ เช่นข้าวด้อยคุณภาพลง กระสอบเก่าที่ควรจะนำไปขายเข้าบริษัท (ข้าวรัฐบาลจะเก็บในกระสอบป่านทางเขียว แต่เวลาส่งออกจะแพ็คกระสอบพลาสติกที่ Thai Coating ผลิต) ไม่ทราบว่าส่วนนี้ตกหล่นไปไหนหรือไม่

ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่นค่าขนส่ง ค่าแรงงาน ต่าง ๆ เหล่านี้ ผมได้ยินว่ามีการทำหล่นหายมหาศาล และผู้ที่ตามเก็บนั้น เป็นน้องชายของผู้บริหารเพรสซิเดนท์อกริฯ

มองโลกในแง่ดี ราคารข้าวขาย 5 เปอร์เซนต์ในตลาดโลกวันนี้ ก็ยังอยู่ที่ประมาณ 240 เหรียญต่อตัน และรมต. พาณิชย์ ก็พยายามออกข่าว และนโยบายที่จะทำให้ราคาข้าวสารขึ้นไปให้ได้ ก็หวังว่าราคาจะขึ้น และเป็นผลดีต่อบริษัทนะครับ

การประมูลซื้อ 1.7 ล้านตันนี้ บริษัทฯ จะกำไรหรือไม่ ไม่มั่นใจ แต่การทำเงินหล่นทั้งเข้ากระเป๋าส่วนตัว และ เข้าปากสุนัขนั้นมีแน่ ๆ ครับ
**kisana
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

งง
จังครับว่าทำไมยิ่งค่าเงิน US อ่อนแล้วขาดทุน จริงๆๆมันต้องยิ่งอ่อนต้องได้กำไรซิครับ เพราะการขายเป็นเงิน US นะครับ ยังไงช่วยชี้แจงด้วยครับ
ขอบคุณครับ
lychee not log in
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

**kisana เขียน:งง
จังครับว่าทำไมยิ่งค่าเงิน US อ่อนแล้วขาดทุน จริงๆๆมันต้องยิ่งอ่อนต้องได้กำไรซิครับ เพราะการขายเป็นเงิน US นะครับ ยังไงช่วยชี้แจงด้วยครับ
ขอบคุณครับ
ค่าเงินบาทได้อ่อนตัวลงจากเมื่อต้นไตรมาสสอง ที่ประมาณ 39 กว่า ๆ มาที่ประมาณ 41 บาท ปลายเดือน มิ.ย. และอ่อนตัวต่อเนื่องถึงวันนี้ที่ประมาร 41.60 (หมายความว่า ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาทครับ)

การส่งออกจะเป็นเงิน US$ ครับ ซึ่งหากขายสินค้าไว้ก่อน และ เงินดอลลาร์แข็งขึ้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

แต่ว่านโยบายของบริษัทฯ นั้น เมื่อขายข้าวได้ จะจองขายดอลลาร์ล่วงหน้าทันที เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยง ซึ่งในกรณีนี้ ได้จองขายล่วงหน้าไว้ที่ 39 ถึง เกือบ 41 จึงทำให้มีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนครับ

นโยบายเช่นนี้ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ เพราะปกติ ผู้ส่งออกมักจะคำนวณราคาขาย ณ อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น ๆ ซึ่งถ้าราคาขายข้าวมีกำไรแล้ว ถึงแม้ว่าจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แต่กำไรจากราคาขายข้าวจะต้องมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น

หากบริษัทขายข้าวขาวที่ราคา 240 เหรียญ และหากอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้อยู่ที่ 41.60 ซึ่งบริษัทคำนวณแล้วมีกำไร และน่าพอใจ ก็จองขายดอลลาร์ล่วงหน้า ก็จะได้เงินมา 9984 บาทต่อตัน หากวันนี้ซื้อข้าวมาราคา 9000 บาทต่อตัน ก็จะมีกำไร 984 บาทต่อตัน ฉะนั้นไม่ว่าเดือนหน้า อัตราแลกเปลี่ยนจะขึ้นหรือลง ก็จะต้องได้กำไร 984 บาท เพียงแต่จะบันทึกบัญชีแตกต่างเท่านั้นเอง

และที่สำคัญที่สุด ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้จริงว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะขึ้นหรือลงอย่างไร

ผมเข้าใจว่า ในกรณีบริษัทฯ นี้ ในไตรมาสสองคงจะยังส่งข้าวออกจริง ๆ ไม่มากเท่าไร ในบัญชีขายดอลลาร์ล่วงหน้า ประมาณ 220 ล้านเหรียญ จึงมีบันทึกขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจริงที่ 19 ล้านบาท และขาดทุนทางบัญชีอีก 290 ล้านบาท แต่คงมีกำไรจากการดำเนินการบ้างครับ การส่งออกจริงจังคงอยู่ในไตรมาสสาม หวังว่าคงได้กำไรจากการดำเนินการมากกว่า การขาดทุนในดอลลาร์

Mr. Peter Dennis ยังคงถือหุ้น PR อยู่ครับ แม้ว่าจะผิดหวังทีเดียว
**kisana**
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ตั้งแต่ 2-3 เดือน ค่าเงินบาทอ่อนค่าแล้วค่าเงิน US แข็งก็ได้ประโยชน์ซิครับเพราะจาก 39-40 บ. ตอนนี้ 41.5 แล้ว แสดงว่าเราได้เงินบาทมากขึ้น
lychee not log in
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

**kisana** เขียน:ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ตั้งแต่ 2-3 เดือน ค่าเงินบาทอ่อนค่าแล้วค่าเงิน US แข็งก็ได้ประโยชน์ซิครับเพราะจาก 39-40 บ. ตอนนี้ 41.5 แล้ว แสดงว่าเราได้เงินบาทมากขึ้น
ถูกต้องครับ ถ้าบริษัท เพรสซิเดนท์อกริฯ ไม่ได้ขายดอลลาร์ไว้ล่วงหน้าที่อัตราแลกเปลี่ยน 39 กว่า ถึง 40.90 บาท

แต่เมื่อได้ขายไว้ล่วงหน้า ก็เลยไม่ได้ผลประโยชน์จากการแข็งตัวของค่าเงินดอลลาร์ บริษัทฯ จึงต้องบันทึกบัญชีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ควรจะมีการบันทึกกำไรจากการขาย ถ้ามีกำไรนะครับ แต่การขายข้าวส่งออก ไม่ได้มีกำไรทุกล็อตนะครับ
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

วันนี้แจ้งข่าวว่า PA จะเพิ่มทุน
แต่ PR จะไม่ซื้อหุ้นเพิ่ม และจะขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง
ให้เหตุผลว่า

-ธุรกิจของ PA ผันผวนเกินไป
-ธุรกิจของ PA ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนสูง

ผู้บริหารเพิ่งจะมาคิดถึงเรื่องนี้เหรอครับ แปลกนะครับ :roll:
ผู้ถือหุ้นรายย่อย คงต้องติดตามว่าธุรกิจที่เหลืออยู่น่าสนใจหรือเปล่า
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
lychee not log in
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ความเห็นส่วนตัวนะครับ ข่าวนี้น่าจะเป็นข่าวดีของ PR หากการขายหุ้นจะสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือน ธค. ตามที่ได้แจ้งกับตลาดฯไว้

และวันที่ 8 กย. บริษัทฯ ก็จะได้ส่วนแบ่งเงินปันผลหุ้นละ 28.88 จาก Pres Agri
และขายหุ้น 6.12 ล้านหุ้นที่ราคา 12.88

สุดท้าย บริษัทฯ ก็ไม่ต้องบันทึกส่วนแบ่งขาดทุน หลังจากขายหุ้นหมุด แถมยังได้มีกำไรจากการขายหุ้น และ เงินปันผล

แต่ที่สำคัญที่สุด PR ไม่ต้องคอยกังวลกับบริษัทส่งออกข้าวที่เขาไม่เคยมีความรู้ความเข้าใจมาก่อนเลย

ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกไหมครับ
กานต์
ผู้ติดตาม: 0

เห็นด้วยที่ขาย PA ไปครับ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ผมก็เป็นแฟนของ PR เหมือนกันครับ ก่อนหน้านี้ก็แหยงๆ PA ครับ เพราะมันเป็นการเมืองเยอะเหมือนกัน และราคาข้าวก็ขึ้นๆลงๆ ผู้ขายกำหนดไม่ได้เลย เมื่อเทียบกับธุรกิจหมี่ขาวกับขนมปังแล้วก็ถือว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงมาก การที่PR ขาย PA ไปผมเห็นว่าเป็นเรื่องดีมากๆ ส่วนที่บางคนบอกว่าผู้บริหารเพิ่งจะมาคิดได้ว่า PA มีความเสี่ยงสูงนั้น ผมคิดว่าเค้ารู้มานานแล้ว แต่เวลาจะขายธุรกิจนั้นมันคงต้องใช้เวลาพอสมควรตั้งแต่หาคนที่สนใจซื้อ ประเมินราคา ทำดิวดิลิเจนซ์อะไรทำนองนั้น โดยสรุปว่าในช่วงสั้นๆ กำไรของ PR อาจจะดูแย่ลงไปนิดแต่ระยะยาวดีขึ้นครับ short term pain long term gain
ผมคิดว่าคนที่มีหุ้น PR อยู่แล้วน่าจะชมเชยผู้บริหาร เวลาที่ประชุมผู้ถือหุ้นนะครับ ผมเองยังไม่มีหรอกแต่หาโอกาสซื้อในราคาที่ชอบอยู่ครับ ถ้าใครเข้าใจธุรกิจของ PR ดีจริงๆ ช่วยลองวิเคราะห์ราคาเหมาะสมของ PR ด้วยก็จะดีครับ
ขอบคุณครับ
gone
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมว่าไอ้คนที่มันต้องการงาบการประมูลข้าวครั้งที่ผ่านมาเนี่ย
(คนที่มันจะมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน PA เนี่ยหละ)
มันมาตกลงกับ PR ไว้ก่อนแล้วว่าจะซื้อ PA
(อยู่ ๆ ใครจะมาซื้อบริษัทที่เพิ่งขาดทุนจน equity ติดลบ)
เพราะว่าการจะเข้าประมูลได้ต้องเป็นบริษัทที่ทำกิจการค้าข้าวมานาน
จะมาจดทะเบียนบริษัทใหม่แล้วประมูลก็ไม่ได้

งานนี้เลยเป็นผมว่าเป็น win, win solution นะครับ
PR ก็ได้ขาย PA ในราคาที่ดี
คนซื้อก็ได้เอา PA ไปหาผลประโยชน์ส่วนตัวต่อไป

เห็นความเป็นไปจากข่าวของ pr แล้วยิ่งเชื่อครับว่าประมูลข้าวครั้งที่ผ่าน
มามีการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคพวก (เดิมทีก็เชื่ออยู่แล้วครับ)
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ผมก็มองในแง่ร้ายแบบคุณ gone ครับ
ก็เลยบอกว่าแปลกๆ ไงครับ คือมันทะแม่งๆ
ตั้งแต่การขาดทุนค่าเงินแบบแปลกๆ (บริษัทส่งออก เงินบาทอ่อน เค้ากำไรกันทั้งนั้น) การขายหุ้น PA ทิ้ง(หาเรื่องขาดทุนเพื่อขายหุ้นทิ้งหรือเปล่า :roll: )
ผมคิดว่าคนที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุน PA ก็น่าจะเป็นคนกันเองละครับ
ผมเดาเอานะครับ เพราะจังหวะจะโคน สอดรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้คิดได้อย่างนั้น

ส่วนมองในแง่ดีหน่อย ต่อไปผู้ถือหุ้น PR ก็ไม่ต้องมาพะวงกับผลประกอบการแล้วครับ ทำให้คาดเดาผลการดำเนินงานได้ง่ายขึ้นครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่า PR จะได้รับเงินจากการขายหุ้นครั้งนี้เท่าไหร่ หากเป็นตามข้อมูลของพี่ลิ้นจี่ที่ประมาณ 225 ล้านบาท ก็น่าสนใจมากครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
**kisana**
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 17

โพสต์

สุดยอดมากๆครับสิ่งที่ผมฝันไว้ก็กลายเป็นจริงที่ Pr ขาย PA ออก มันเร็วกว่าที่ผมคิดไว้จริงๆๆ สงสัยต้องถือหือซื้อเพิ่มครับ ถ้าราคาเห็นเลข 7*
เพราะกิจการยังมี margin of safety
ek_tt ขีเกียจล็อกอิน
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ขอตรวจสอบความเข้าใจเรื่องค่าเงินสักหน่อยนะครับเพราะยัง งงๆ อยู่
ตามที่คุณลิ้นจี่อธิบายไว้ผมเข้าใจดังนี้
1. สมมติพีเอขายดอลฯ "ล่วงหน้า" 1 เดือนที่ 40 บาท ต่อ 1 ดอลฯ
2. 1 เดือนผ่านไป -- อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 41.6 บาท ต่อ 1 ดอลฯ
แปลว่าพีเอต้องเอาตังค์ 41.6 บาท ไปซื้อเงินดอลฯ 1 ดอลฯ เพื่อส่งมอบใช่หรือเปล่าครับ .. ถ้าใช่ ก็หมายความว่าพีเอขาดทุนจากการนี้เท่ากับ 41.6 - 40 = 1.6 บาท ต่อ ดอลฯ
ถูกผิดอย่างไรขอคำชี้แนะด้วยครับ
lychee not log in
ผู้ติดตาม: 0

พี่ VI ทุกท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ PR แบบเจาะลึก ด้วยครับ

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ek_tt ขีเกียจล็อกอิน เขียน:ขอตรวจสอบความเข้าใจเรื่องค่าเงินสักหน่อยนะครับเพราะยัง งงๆ อยู่
ตามที่คุณลิ้นจี่อธิบายไว้ผมเข้าใจดังนี้
1. สมมติพีเอขายดอลฯ "ล่วงหน้า" 1 เดือนที่ 40 บาท ต่อ 1 ดอลฯ
2. 1 เดือนผ่านไป -- อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 41.6 บาท ต่อ 1 ดอลฯ
แปลว่าพีเอต้องเอาตังค์ 41.6 บาท ไปซื้อเงินดอลฯ 1 ดอลฯ เพื่อส่งมอบใช่หรือเปล่าครับ .. ถ้าใช่ ก็หมายความว่าพีเอขาดทุนจากการนี้เท่ากับ 41.6 - 40 = 1.6 บาท ต่อ ดอลฯ
ถูกผิดอย่างไรขอคำชี้แนะด้วยครับ
ไม่ใช่เสียทีเดียวครับ

สมมติว่า PA ขายดอลลาร์ล่วงหน้าที่ 40 บาทเมื่อเดือน เมย. และเมื่อ 30 / 6
ค่าเงินอยู่ที่ 41.60 โดยที่ PA ยังไม่ได้ส่งมอบดอลลาร์ให้ธนาคาร PA จะต้องบันทึกขาดทุนค่าเงิน 1.60 บาทต่อดอลลาร์เมื่อสิ้นไตรมาสสองครับ ยังไม่ได้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

ในความเป็นจริง เมื่อส่งออกจริง อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 41.60 PA ก็จะต้องขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจริงที่ 1.60 บาท แต่ แต่ก็ควรจะมีกำไรจากการขาย ซึ่งอันนี้เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมีการส่งออกจริงเท่านั้น

บริษัทที่มาซื้อหุ้นจาก PR นั้นมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ก่อตั้นปี 2538 ธุรกิจหลักคือบริษัทตรวจสอบสินค้า ผมเดาดูก็น่าจะเป็นบริษัทดัมมี่ของคนกันเองนะแหละ ก็คงจะคุยกันก่อนแล้ว

มองโลกในแง่ดี การขายทิ้งของ PR จะทำให้บัญชีสะอาดขึ้น ผู้ถือหุ้นไม่ต้องคอยพะวงกับลูกระเบิดลูกใหญ่ซึ่งผมเคยบอกไว้กับผู้ถือหุ้นฝรั่งคนหนึ่ง และที่ผ่านมาผมไม่ยอมซื้อหุ้นตัวนี้เลยก็เพราะเจ้า PA นี่แหละ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามข่าวตลาดฯ PR ก็จะได้เงินสดเข้ามาปีนี้ สองร้อยกว่าล้าน แถมไม่ต้องบันทึกผลขาดทุนในบริษัทย่อยอีก

เข้าใจว่ามีการขัดแย้งพอสมควรระหว่างผู้บริหารของ PR ฝ่ายหนึ่งไม่ชอบใจในการถือหุ้น PA แต่ฝ่ายหนึ่งชอบใจ ซึ่งระยะหนึ่งคุณพิพัฒน์ ได้ขายหุ้น TF
ออกมาเยอะแยะ เพื่อไปลงทุนในบริษัทไซโลข้าวไงครับ
ล็อคหัวข้อ