เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
โพสต์ที่ 1
นักวิเคราะห์มืออาชีพ
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
--------------------------------------------------------------------------------
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักเศรษฐศาสตร์ จิตแพทย์และหมอดู มีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายคลึงกัน
พวกเขาต้องบอกประชาชนหรือลูกค้าว่าเกิดอะไรขึ้นในตลาดหุ้น ในภาวะเศรษฐกิจ ในสังคม และการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของดวงดาว ซึ่งทำให้หุ้นวิ่งขึ้นหรือถอยลง ภาวะเศรษฐกิจขึ้นเหนือหรือลงใต้ สังคมไปซ้ายหรือขวา และชีวิตก้าวหน้าหรือตกต่ำลง คำอธิบายจะต้องมีเหตุมีผลมีทฤษฎี แต่ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นใครจะไปรู้ เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่บอกว่าน้ำนั้นเกิดจากไฮโดรเจนสองส่วนบวกกับออกซิเจนหนึ่งส่วนอย่างแน่นอน
พวกเขาต้องบอกกับลูกค้าและสาธารณชนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรมองจากสถานะที่เป็นอยู่บวกกับสมมุติฐานอีก 8 ข้อหรือไม่ก็แรงกรรมที่ทำมาในอดีต การทำนายอนาคตนี้ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเหตุการณ์และภาวะการณ์หรือแรงกรรมที่เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นถ้าอนาคตไม่เป็นไปตามที่คาดก็ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะสถานการณ์แวดล้อมมันเปลี่ยนไปไม่เป็นไปตามสมมุติฐานหรือตามดวงดาวที่บอกไว้แต่แรก
พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ลูกค้าหรือประชาชนรู้สึกสบายใจ มีความมั่นใจ กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน ทำภารกิจที่สำคัญ หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงรอเวลาที่เหมาะสม ยิ่งความไม่แน่นอนในผลที่จะเกิดขึ้นมีมากเท่าไร ความต้องการที่จะมีคนมาให้คำแนะนำหรือปลอบประโลมก็มีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นในยามที่เกิดโกลาหลหรือมีวิกฤติเกิดขึ้นในชีวิต คำพูดของพวกเขาจึงได้รับการตอบรับอย่างไม่มีข้อสงสัย
อาชีพของพวกเขาจำเป็นที่จะต้องอาศัยศิลปในการพูดและเขียนที่สามารถส่งถึงผู้รับได้อย่างมีประสิทธิผล ว่าที่จริงถ้าจะดังในอาชีพเหล่านั้นได้เขาจะต้องพูดเก่ง มีความสามารถในการใช้เหตุผลที่ซับซ้อนน่าทึ่งและต้องออกงานแสดงความสามารถบ่อย ๆ และที่สำคัญ จะต้องสามารถสร้างความแตกต่างโดยการ ประมาณเกิน คือคาดการณ์อะไรที่ออกนอกกรอบไม่ว่าทางดีหรือร้ายมากกว่าคนอื่นมาก ๆ แล้วทำได้ถูกต้องทำให้คนจดจำได้ทั่วไป
ทั้งหมดนั้นคือหน้าที่การงานที่นักวิเคราะห์จะต้องทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตการเป็นนักวิเคราะห์หุ้น มืออาชีพ
แต่ถ้าถามว่านักวิเคราะห์ได้เพิ่มคุณค่าให้กับการเลือกซื้อหรือขายหุ้นของนักลงทุนมากน้อยแค่ไหนคงจะตอบได้ยากมาก เพราะยังไม่เห็นการศึกษาว่าผลงานของนักวิเคราะห์โดยส่วนรวมเป็นอย่างไร เพียงแต่เมื่อดูถึงวิธีทำงานของนักวิเคราะห์แล้วผมเองก็เป็นห่วงและรู้สึกว่าระบบของเราน่าจะสร้างนักวิเคราะห์ที่ดีเยี่ยมได้ยากพอสมควร ลองดูจุดอ่อนบางอย่างที่ผมเห็นสิครับ
ข้อแรกนักวิเคราะห์ของไทยแต่ละคนดูเหมือนว่าจะต้องติดตามหุ้นจำนวนมากเป็น 10 บริษัทขึ้นไปและในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ดังนั้นการที่จะรู้สึกซึ้งในธุรกิจและในแต่ละบริษัทจึงเป็นไปได้ยาก นอกจากนั้น อาชีพนักวิเคราะห์ยังไม่ใคร่มั่นคงดีนัก ในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก ความต้องการนักวิเคราะห์ก็มีสูง แต่ในยามที่หุ้นซบเซา นักวิเคราะห์ก็ถูกปลด เพราะฉะนั้นคนที่จะสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์หุ้นจึงยังมีอยู่อย่างจำกัด
ข้อสองตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดของนักเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นความต้องการบทวิเคราะห์ที่เน้นพื้นฐานของหุ้นระยะยาวจึงยังมีน้อย สิ่งนี้ทำให้นักวิเคราะห์เน้นการวิเคราะห์หุ้นเพื่อการซื้อขายระยะสั้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งเป็นวิธีการที่มีคำถามมากมายว่ามีประโยชน์หรือไม่ นอกจากนั้นการวิเคราะห์ส่วนมากก็จะมองไปในอนาคตระยะสั้น และเน้นไปที่ผลการดำเนินงานทางการเงินเป็นหลักโดยไม่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานของธุรกิจในระยะยาวและองค์ประกอบทางธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งมีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน
ข้อสาม ผมคิดว่านักวิเคราะห์ของเรายังมีประสบการณ์ในธุรกิจน้อย ว่าที่จริงนักวิเคราะห์จำนวนมากแทบจะไม่ได้ผ่านงานอื่นมาเลยนอกจากการวิเคราะห์ทางการเงินของกิจการซึ่งดูงบดุล งบกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นหลัก หลายคนไม่รู้ว่าผู้บริหารหรือเจ้าของสามารถ โกง บริษัทได้ 108 วิธีและหลายบริษัทก็ทำอยู่เป็นปกติ นักวิเคราะห์อีกจำนวนมากอาจจะยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างธุรกิจซื้อมาขายไปกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หรือธุรกิจโภคภัณฑ์กับธุรกิจที่มียี่ห้อแข็งแกร่ง การให้คุณค่าแก่บริษัทส่วนใหญ่จึงมักเน้นที่กำไรต่อหุ้นที่ผ่านมาในไตรมาสที่แล้วหรือปีที่แล้วที่ถูก ต่อยอด ไปถึงปีหน้าหรือไตรมาศหน้า
สื่อมวลชนเองก็มีส่วนสำคัญในการที่ทำให้นักวิเคราะห์หลาย ๆ คนต้องกลายเป็น พหูสูตร ที่ไม่รู้อะไรจริง เพราะสื่อมวลชนที่มีรายการมากมายนั้นต้องการข่าว เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง ดังนั้นเมื่อหุ้นมีการปรับตัวเคลื่อนไหวรุนแรงก็จะถูกถามไปยังนักวิเคราะห์ทันที ซึ่งนักวิเคราะห์เองก็จะต้องตอบทันทีเช่นเดียวกันแม้ว่าบ่อยครั้งนักวิเคราะห์รายนั้นอาจจะไม่ใช่เป็นผู้รู้ดีในหุ้นตัวนั้นหรือในอุตสาหกรรมนั้น ความผิดพลาดจึงอาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายและก็เกิดการผิดพลาดแล้วอย่างที่เกิดในช่วงนี้ และเป็นที่มาของการคิด จัดระเบียบ นักวิเคราะห์ของหน่วยงานควบคุมที่เกี่ยวข้อง
ผมเองคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้างคุณภาพ และป้องกันความผิดพลาดในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นก็คือการสร้างผู้เชี่ยวชาญให้เกิดขึ้นในวิชาชีพของการวิเคราะห์หุ้นนั่นก็คือ นักวิเคราะห์แต่ละคนควรจะรู้ว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในหุ้นบริษัทใดและในอุตสาหกรรมไหน ความเชี่ยวชาญนี้แปลว่าเขาควรที่จะรู้ลึกซึ้งในกิจการและอุตสาหกรรมอย่าง หาตัวจับได้ยาก เวลาออกรายการทีวีหรือสื่ออื่น ๆ ก็เขียนไว้เลยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมไหน และคน ๆนี้ไม่ควรเปลี่ยนไปวิเคราะห์อุตสาหกรรมอื่นบ่อยเกินไป เวลาเปลี่ยนที่ทำงานก็ไม่ควรเปลี่ยนภาระกิจที่ทำ แต่ควรเป็นสถานะที่ติดตัวมากกว่า ด้วยวิธีนี้นักวิเคราะห์ก็จะมี เส้นทาง ที่ชัดเจน และจะทำให้คำแนะนำการลงทุนของเขามีคุณค่าสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นพื้นฐานเป็นหลัก
ผมเองโดยส่วนตัวในปัจจุบันนั้นแทบจะไม่ได้ใช้งานวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เลยยกเว้นข้อมูลที่เป็นความจริงบางอย่างเท่านั้น เหตุผลอาจจะเป็นเพราะหุ้นที่ผมสนใจมักจะไม่มีใครทำวิเคราะห์ แต่เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือผมยังไม่เห็นนักวิเคราะห์ที่เป็นเซียนจริง ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะจัดระเบียบนักวิเคราะห์ล่ะก็ ผมอยากจะฝากให้คิดถึงวิธีการที่จะสร้างนักวิเคราะห์มืออาชีพจริง ๆ ด้วยครับ
จบ
August 24, 2004
ผมเห็นด้วยมากๆครับที่จะให้นักวิเคราะห์แต่ละคนหาอุตสาหกรรมที่ตนเองเข้าใจอย่างลึกซึ้งและวิเคราะห์ได้แม่นยำใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่านี้ ไม่ใช่วิเคราะห์หลายๆอุตสาหกรรมแล้วก็ทำได้ไม่ดีสักอัน ถึงหุ้นตัวที่ตนเองวิเคราะห์จะไม่ฮิตแต่ผมว่ามันน่าจะสร้างความเชื่อถือได้ในระยะยาวนะครับ
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
--------------------------------------------------------------------------------
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักเศรษฐศาสตร์ จิตแพทย์และหมอดู มีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายคลึงกัน
พวกเขาต้องบอกประชาชนหรือลูกค้าว่าเกิดอะไรขึ้นในตลาดหุ้น ในภาวะเศรษฐกิจ ในสังคม และการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของดวงดาว ซึ่งทำให้หุ้นวิ่งขึ้นหรือถอยลง ภาวะเศรษฐกิจขึ้นเหนือหรือลงใต้ สังคมไปซ้ายหรือขวา และชีวิตก้าวหน้าหรือตกต่ำลง คำอธิบายจะต้องมีเหตุมีผลมีทฤษฎี แต่ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นใครจะไปรู้ เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่บอกว่าน้ำนั้นเกิดจากไฮโดรเจนสองส่วนบวกกับออกซิเจนหนึ่งส่วนอย่างแน่นอน
พวกเขาต้องบอกกับลูกค้าและสาธารณชนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรมองจากสถานะที่เป็นอยู่บวกกับสมมุติฐานอีก 8 ข้อหรือไม่ก็แรงกรรมที่ทำมาในอดีต การทำนายอนาคตนี้ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเหตุการณ์และภาวะการณ์หรือแรงกรรมที่เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นถ้าอนาคตไม่เป็นไปตามที่คาดก็ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะสถานการณ์แวดล้อมมันเปลี่ยนไปไม่เป็นไปตามสมมุติฐานหรือตามดวงดาวที่บอกไว้แต่แรก
พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ลูกค้าหรือประชาชนรู้สึกสบายใจ มีความมั่นใจ กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน ทำภารกิจที่สำคัญ หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงรอเวลาที่เหมาะสม ยิ่งความไม่แน่นอนในผลที่จะเกิดขึ้นมีมากเท่าไร ความต้องการที่จะมีคนมาให้คำแนะนำหรือปลอบประโลมก็มีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นในยามที่เกิดโกลาหลหรือมีวิกฤติเกิดขึ้นในชีวิต คำพูดของพวกเขาจึงได้รับการตอบรับอย่างไม่มีข้อสงสัย
อาชีพของพวกเขาจำเป็นที่จะต้องอาศัยศิลปในการพูดและเขียนที่สามารถส่งถึงผู้รับได้อย่างมีประสิทธิผล ว่าที่จริงถ้าจะดังในอาชีพเหล่านั้นได้เขาจะต้องพูดเก่ง มีความสามารถในการใช้เหตุผลที่ซับซ้อนน่าทึ่งและต้องออกงานแสดงความสามารถบ่อย ๆ และที่สำคัญ จะต้องสามารถสร้างความแตกต่างโดยการ ประมาณเกิน คือคาดการณ์อะไรที่ออกนอกกรอบไม่ว่าทางดีหรือร้ายมากกว่าคนอื่นมาก ๆ แล้วทำได้ถูกต้องทำให้คนจดจำได้ทั่วไป
ทั้งหมดนั้นคือหน้าที่การงานที่นักวิเคราะห์จะต้องทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตการเป็นนักวิเคราะห์หุ้น มืออาชีพ
แต่ถ้าถามว่านักวิเคราะห์ได้เพิ่มคุณค่าให้กับการเลือกซื้อหรือขายหุ้นของนักลงทุนมากน้อยแค่ไหนคงจะตอบได้ยากมาก เพราะยังไม่เห็นการศึกษาว่าผลงานของนักวิเคราะห์โดยส่วนรวมเป็นอย่างไร เพียงแต่เมื่อดูถึงวิธีทำงานของนักวิเคราะห์แล้วผมเองก็เป็นห่วงและรู้สึกว่าระบบของเราน่าจะสร้างนักวิเคราะห์ที่ดีเยี่ยมได้ยากพอสมควร ลองดูจุดอ่อนบางอย่างที่ผมเห็นสิครับ
ข้อแรกนักวิเคราะห์ของไทยแต่ละคนดูเหมือนว่าจะต้องติดตามหุ้นจำนวนมากเป็น 10 บริษัทขึ้นไปและในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ดังนั้นการที่จะรู้สึกซึ้งในธุรกิจและในแต่ละบริษัทจึงเป็นไปได้ยาก นอกจากนั้น อาชีพนักวิเคราะห์ยังไม่ใคร่มั่นคงดีนัก ในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก ความต้องการนักวิเคราะห์ก็มีสูง แต่ในยามที่หุ้นซบเซา นักวิเคราะห์ก็ถูกปลด เพราะฉะนั้นคนที่จะสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์หุ้นจึงยังมีอยู่อย่างจำกัด
ข้อสองตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดของนักเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นความต้องการบทวิเคราะห์ที่เน้นพื้นฐานของหุ้นระยะยาวจึงยังมีน้อย สิ่งนี้ทำให้นักวิเคราะห์เน้นการวิเคราะห์หุ้นเพื่อการซื้อขายระยะสั้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งเป็นวิธีการที่มีคำถามมากมายว่ามีประโยชน์หรือไม่ นอกจากนั้นการวิเคราะห์ส่วนมากก็จะมองไปในอนาคตระยะสั้น และเน้นไปที่ผลการดำเนินงานทางการเงินเป็นหลักโดยไม่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานของธุรกิจในระยะยาวและองค์ประกอบทางธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งมีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน
ข้อสาม ผมคิดว่านักวิเคราะห์ของเรายังมีประสบการณ์ในธุรกิจน้อย ว่าที่จริงนักวิเคราะห์จำนวนมากแทบจะไม่ได้ผ่านงานอื่นมาเลยนอกจากการวิเคราะห์ทางการเงินของกิจการซึ่งดูงบดุล งบกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นหลัก หลายคนไม่รู้ว่าผู้บริหารหรือเจ้าของสามารถ โกง บริษัทได้ 108 วิธีและหลายบริษัทก็ทำอยู่เป็นปกติ นักวิเคราะห์อีกจำนวนมากอาจจะยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างธุรกิจซื้อมาขายไปกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หรือธุรกิจโภคภัณฑ์กับธุรกิจที่มียี่ห้อแข็งแกร่ง การให้คุณค่าแก่บริษัทส่วนใหญ่จึงมักเน้นที่กำไรต่อหุ้นที่ผ่านมาในไตรมาสที่แล้วหรือปีที่แล้วที่ถูก ต่อยอด ไปถึงปีหน้าหรือไตรมาศหน้า
สื่อมวลชนเองก็มีส่วนสำคัญในการที่ทำให้นักวิเคราะห์หลาย ๆ คนต้องกลายเป็น พหูสูตร ที่ไม่รู้อะไรจริง เพราะสื่อมวลชนที่มีรายการมากมายนั้นต้องการข่าว เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง ดังนั้นเมื่อหุ้นมีการปรับตัวเคลื่อนไหวรุนแรงก็จะถูกถามไปยังนักวิเคราะห์ทันที ซึ่งนักวิเคราะห์เองก็จะต้องตอบทันทีเช่นเดียวกันแม้ว่าบ่อยครั้งนักวิเคราะห์รายนั้นอาจจะไม่ใช่เป็นผู้รู้ดีในหุ้นตัวนั้นหรือในอุตสาหกรรมนั้น ความผิดพลาดจึงอาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายและก็เกิดการผิดพลาดแล้วอย่างที่เกิดในช่วงนี้ และเป็นที่มาของการคิด จัดระเบียบ นักวิเคราะห์ของหน่วยงานควบคุมที่เกี่ยวข้อง
ผมเองคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้างคุณภาพ และป้องกันความผิดพลาดในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นก็คือการสร้างผู้เชี่ยวชาญให้เกิดขึ้นในวิชาชีพของการวิเคราะห์หุ้นนั่นก็คือ นักวิเคราะห์แต่ละคนควรจะรู้ว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในหุ้นบริษัทใดและในอุตสาหกรรมไหน ความเชี่ยวชาญนี้แปลว่าเขาควรที่จะรู้ลึกซึ้งในกิจการและอุตสาหกรรมอย่าง หาตัวจับได้ยาก เวลาออกรายการทีวีหรือสื่ออื่น ๆ ก็เขียนไว้เลยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมไหน และคน ๆนี้ไม่ควรเปลี่ยนไปวิเคราะห์อุตสาหกรรมอื่นบ่อยเกินไป เวลาเปลี่ยนที่ทำงานก็ไม่ควรเปลี่ยนภาระกิจที่ทำ แต่ควรเป็นสถานะที่ติดตัวมากกว่า ด้วยวิธีนี้นักวิเคราะห์ก็จะมี เส้นทาง ที่ชัดเจน และจะทำให้คำแนะนำการลงทุนของเขามีคุณค่าสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นพื้นฐานเป็นหลัก
ผมเองโดยส่วนตัวในปัจจุบันนั้นแทบจะไม่ได้ใช้งานวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เลยยกเว้นข้อมูลที่เป็นความจริงบางอย่างเท่านั้น เหตุผลอาจจะเป็นเพราะหุ้นที่ผมสนใจมักจะไม่มีใครทำวิเคราะห์ แต่เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือผมยังไม่เห็นนักวิเคราะห์ที่เป็นเซียนจริง ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะจัดระเบียบนักวิเคราะห์ล่ะก็ ผมอยากจะฝากให้คิดถึงวิธีการที่จะสร้างนักวิเคราะห์มืออาชีพจริง ๆ ด้วยครับ
จบ
August 24, 2004
ผมเห็นด้วยมากๆครับที่จะให้นักวิเคราะห์แต่ละคนหาอุตสาหกรรมที่ตนเองเข้าใจอย่างลึกซึ้งและวิเคราะห์ได้แม่นยำใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่านี้ ไม่ใช่วิเคราะห์หลายๆอุตสาหกรรมแล้วก็ทำได้ไม่ดีสักอัน ถึงหุ้นตัวที่ตนเองวิเคราะห์จะไม่ฮิตแต่ผมว่ามันน่าจะสร้างความเชื่อถือได้ในระยะยาวนะครับ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
โพสต์ที่ 2
====เสียงบ่นนักวิแคะ======
เกิดมาเป็นนักวิเคราะห์เหมือนคราวเคราะห์
ชือไม่เสนาะจะสนุกสนานก็หาไม่
ถูกไม่เคยได้คำชมคำเห็นใจ
ผิดนั้นได้ให้คำติมิว่างเลย
ผมก็เ็ป็นเช่นมนุษย์แค่หน่วยหนึ่ง
จะเห็นซึ้งถึงอนาคตคงไม่เฉย
เล่นเองรวยร่ำแล้วคงเสบย
ร้องรำเต้ยมิต้องมากินค่าคอม
เวลาคิดวิเคราะห์เจาะเป็นจุด
รายละเอียดผมไม่หยุดไม่เคยย้อม
แต่พอท่านลองถามต้องสมยอม
ดันไปอ้อมถามอีกจุดให้เหนื่อยใจ
ครั้นจะบอกว่าไม่รู้ก็เสียหมา
อะไรหว่าวิเคราะห์ไงเรื่องไม่ได้
เลยต้องตอบอ้อมแอ้มค่อยแย้มพราย
ผมเลยกลายเป็นนักวิเแคะพลัน
เฮ้อ เห็นใจครับ
เกิดมาเป็นนักวิเคราะห์เหมือนคราวเคราะห์
ชือไม่เสนาะจะสนุกสนานก็หาไม่
ถูกไม่เคยได้คำชมคำเห็นใจ
ผิดนั้นได้ให้คำติมิว่างเลย
ผมก็เ็ป็นเช่นมนุษย์แค่หน่วยหนึ่ง
จะเห็นซึ้งถึงอนาคตคงไม่เฉย
เล่นเองรวยร่ำแล้วคงเสบย
ร้องรำเต้ยมิต้องมากินค่าคอม
เวลาคิดวิเคราะห์เจาะเป็นจุด
รายละเอียดผมไม่หยุดไม่เคยย้อม
แต่พอท่านลองถามต้องสมยอม
ดันไปอ้อมถามอีกจุดให้เหนื่อยใจ
ครั้นจะบอกว่าไม่รู้ก็เสียหมา
อะไรหว่าวิเคราะห์ไงเรื่องไม่ได้
เลยต้องตอบอ้อมแอ้มค่อยแย้มพราย
ผมเลยกลายเป็นนักวิเแคะพลัน
เฮ้อ เห็นใจครับ
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
โพสต์ที่ 4
อาชีพนี้คล้ายกับนักใบ้หวยจริงๆนะครับ
คนเคยบอกว่าถ้าคนไหนใบ้หวยแม่นจริง คงไม่ต้องมาเป็นอาจารย์ใบ้หวยหรอกจริงไหมครับ ซื้อเองรวยไปนานแล้ว
เหมือนกัน นักวิเคราะห์ถ้าวิเคราะห์ได้ดีจริงๆ ก็คงสามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีมากๆ ซึ่งก็คงจะมากกว่ารายได้จากการเป็นนักวิเคราะห์ตาม บล.ต่างๆ ที่ออกโทรทัศน์ให้คำวิเคราะห์มานานปี
คนเคยบอกว่าถ้าคนไหนใบ้หวยแม่นจริง คงไม่ต้องมาเป็นอาจารย์ใบ้หวยหรอกจริงไหมครับ ซื้อเองรวยไปนานแล้ว
เหมือนกัน นักวิเคราะห์ถ้าวิเคราะห์ได้ดีจริงๆ ก็คงสามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีมากๆ ซึ่งก็คงจะมากกว่ารายได้จากการเป็นนักวิเคราะห์ตาม บล.ต่างๆ ที่ออกโทรทัศน์ให้คำวิเคราะห์มานานปี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
โพสต์ที่ 5
ถ้านักวิเคราะห์ทำการบ้านมาเต็มที่แล้วแต่คาดการณ์ผิดเพราะปัจจัยอื่นๆที่ควบคุมไม่ได้ก็น่าจะให้อภัยอ่ะครับ แต่ถ้าวิเคราะห์มั่วๆ ไม่ทำการบ้านนี่ผมว่าไม่น่าให้อภัย ... จัดระบบกันใหม่จริงๆจังๆซักทีก็ดีเหมือนกัน 

-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
โพสต์ที่ 6
ตราบใดที่โบรคเกอร์ ยังทำกำไรจากค่าคอมมิสชั่น
และนักวิเคราะห์เหล่านั้น ยังเป็นลูกจ้างของโบรคเกอร์
ทุกอย่างก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ละครับ
หวังที่จะให้นักวิเคราะห์หุ้นตัวเล็ก ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง คงไม่มีทางครับ เพราะเค้าได้ค่าคอมไม่คุ้ม ดูโครงการให้เงินจ้างวิเคราะห์หุ้นตัวเล็กของตลาดหลักทรัพย์ปีที่แล้วซิครับ เงียบหายกันไปแล้ว
แต่เรานักลงทุนรายย่อย ก็ไม่จำเป็นต้องไปเต้นตามเสียงเชียร์ซื้อ-ขายของนักวิเคราะห์นี่ครับ แค่อาศัยข้อมูลบางด้าน เช่นข่าวสาร บทสัมภาษณ์ผู้บริหาร ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่ผมสงสัยอย่างนึงว่า นักวิเคราะห์เล่นหุ้นหรือลงทุนเองหรือเปล่าครับ
หากเป็นจริง คงเป็นอาชีพที่ทำให้รวยได้เร็วมากเลยนะครับ
และนักวิเคราะห์เหล่านั้น ยังเป็นลูกจ้างของโบรคเกอร์
ทุกอย่างก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ละครับ
หวังที่จะให้นักวิเคราะห์หุ้นตัวเล็ก ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง คงไม่มีทางครับ เพราะเค้าได้ค่าคอมไม่คุ้ม ดูโครงการให้เงินจ้างวิเคราะห์หุ้นตัวเล็กของตลาดหลักทรัพย์ปีที่แล้วซิครับ เงียบหายกันไปแล้ว

แต่เรานักลงทุนรายย่อย ก็ไม่จำเป็นต้องไปเต้นตามเสียงเชียร์ซื้อ-ขายของนักวิเคราะห์นี่ครับ แค่อาศัยข้อมูลบางด้าน เช่นข่าวสาร บทสัมภาษณ์ผู้บริหาร ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่ผมสงสัยอย่างนึงว่า นักวิเคราะห์เล่นหุ้นหรือลงทุนเองหรือเปล่าครับ
หากเป็นจริง คงเป็นอาชีพที่ทำให้รวยได้เร็วมากเลยนะครับ

การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 359
- ผู้ติดตาม: 0
เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
โพสต์ที่ 7
เวลาอ่านหนังสือที่มีการสัมภาษณ์นักวิเคราะห์ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่านักวิเคราะห์ที่เราว่าเขาช่างเก่งจริงๆแนะให้เล่นหุ้นตัวนี้ ซื้อตัวโน้น......ในที่สุดของบทสัมภาษณ์จะพบคำตอบว่า....เค้าแทบจะไม่ถือหุ้นตัวไหนเลย หรือเล่นหุ้นเลย....และกรณีที่หุ้นขึ้นจริงๆ เค้าก็จะเล่น นิดหน่อย......แล้วเราควรเชื่อเขาต่อไปไหมนี่.....
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
โพสต์ที่ 8
นักวิเคราะห์ก็เป็นแพะอีกรายของหุ้นตก
เรื่องโทษคนโน้นโทษคนนี้...เดี๋ยวหุ้นขึ้นก็ลืมครับ
กลับไปเชื่อลุยซื้อกันเหมือนเดิม
เรื่องโทษคนโน้นโทษคนนี้...เดี๋ยวหุ้นขึ้นก็ลืมครับ
กลับไปเชื่อลุยซื้อกันเหมือนเดิม
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร