'เก็งกำไร'เคมีลงตัว เบญจ์เยี่ยม ส่งวัฒนา
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, October 13, 2014 06:06
ชาลินี กุลแพทย์
เรื่องบริหาร "เบญจ์เยี่ยม ส่งวัฒนา" อาจอยู่ในชั้น "มือใหม่" หลังผู้เป็นพ่อส่งต่อเก้าอี้ CFO "เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท" ให้ดูแล แต่ถ้าเป็นเรื่อง "เก็งกำไร" ชายวัย 34 ปี พูดเต็มปาก "เรื่องนี้ถูกจริตนัก"
ประธานบริหาร บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด ผู้ผลิตธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบศูนย์จำหน่ายสินค้าสำหรับส่งออก (แฟคตอรี่ เอาท์เลท) รายใหญ่ของเมืองไทย บริษัทในเครือ "แอท แบงค็อก" ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์ Fly NOW คือ เก้าอี้ที่ผู้เป็นพ่อ "ปรีชา ส่งวัฒนา" และ "ลิ้ม-สมชัย ส่งวัฒนา" คุณอาแท้ๆ ในฐานะผู้ก่อตั้ง Fly NOW หมุนให้ "หนุ่ย-เบญจ์เยี่ยม ส่งวัฒนา" ลูกชายคนเดียวของครอบครัว จากจำนวนพี่น้อง 4 คน นั่งอย่างเต็มใจ
ทันทีที่ "หนุ่ย" เรียนจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้เป็นพ่อไม่รีรอที่จะเอ่ยปากถามว่า "อยากทำอะไรต่อลองมาขายของดูมั้ย" ชายวัย 63 ปี ชักชวนบุตรชายให้เข้ามาสานต่องานของครอบครัว "ทำครับ" เขาตกปากรับคำชวนของพ่อ แม้ช่วงนั้นต้องรับหน้าที่ดูแลกิจการ "ร้านขนมจีนบางกอก" ที่พี่สาวคนโตและพ่อเป็นผู้ก่อตั้ง หลังพี่ต้องบินไปเรียนต่อปริญญาโท ที่เซียงไฮ้ ประเทศจีน มุมหนึ่ง "ชายวัย 34 ปี" คือ "ผู้บริหารมือใหม่" แต่อีกฟากหนึ่งเขา คือ "นักเก็งกำไร" เบญจ์เยี่ยมเล่าเรื่องการลงทุนให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟังว่า ปกติจะกระจายการลงทุนไปใน 3 สินทรัพย์หลักๆ นั่นคือ ตลาดหุ้น นาฬิกา และกล้องถ่ายรูป ลงทุนมากสุดต้องยกให้ "ตลาดหุ้น"เฉลี่ย 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วน "นาฬิกา" แล้วแต่ภรรยาจะอนุมัติ (หัวเราะ) เพราะราคาต่อเรือนค่อนข้างแพง ที่ผ่านมาน่าจะลงทุนเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับ "กล้องถ่ายรูป" น่าจะมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ของพอร์ต ด้วยความที่ชอบสะสมนาฬิกามาก ทำให้นำมาตั้งเป็นชื่อลูกสาวคนเดียววัย 3 ขวบ นามว่า "นาฬิ"
จริงๆ สนใจตลาดหุ้นมานานมากแล้ว แต่ไม่ได้ลงทุนจริงจัง เพราะไม่ได้มองว่า ตลาดหุ้นจะเป็นแหล่งหาเงินชั้นเยี่ยม ตอนเรียนปริญญาตรีมีโอกาสไปเล่นตลาดหุ้นจำลอง ทั้งๆที่มี ความรู้เรื่องนี้น้อยมาก ผลของการเล่นพอร์ตจำลอง คือ ติดอันดับ 1 ใน 20 ที่สามารถทำกำไรได้มากที่สุด
"กลยุทธ์การลงทุนในช่วงเล่นตลาดหุ้น จำลอง คือ เลือกซื้อหุ้นที่มีขนาดใหญ่เพียง 3 ตัว โดย 1 ใน 3 คือ หุ้น ปตท.หรือ PTT ที่เหลือเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจที่ชาติหน้าก็ไม่มีทางเจ๊ง" จากนั้นไม่นานมีโอกาสเล่นหุ้นในสนามจริง ด้วยการเปิดพอร์ตลงทุน "หลักแสนบาท"แต่จำปีและโบรกเกอร์ที่เข้าไปลงทุนช่วงแรก ไม่ได้ รู้เพียงว่า ทุกครั้งที่ได้กำไรมักนำเงินบางส่วนมาใส่ไว้อีกบัญชี เพื่อนำมาต่อยอดการลงทุน แต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยจริงจังกับตลาดหุ้นมากนัก
เริ่มมาจริงจังเมื่อ 1-2 ปีก่อน เพราะตอนนั้น รู้สึกว่า ฝากเงินในแบงก์แล้วไม่มีอะไรดีขึ้นเลย วิธีการการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต คือ เวลาได้กำไรจากการลงทุนจะนำเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนต่อใน "หุ้นเก็งกำไร" ที่มีสัดส่วนมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต ถือเป็นการลงทุนตามภรรยาคู่ใจ บังเอิญเขาชอบเล่นหุ้นแนวนี้ ที่ผ่านมาได้กำไรจากหุ้นหวือหวาประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ส่วนพอร์ตลงทุนระยะยาว ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ เพราะหุ้นบางตัวหากขายวันนี้อาจขาดทุน แต่ถ้าคิดเป็นเงินปันผล ถือว่าได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
ปัจจุบันมีหุ้นในพอร์ต 6-7 ตัว ยกตัวอย่างเช่น หุ้น น้ำมันพืชไทย หรือ TVO ผมเรียกหุ้นตัวนี้ว่า หุ้นคนแก่ (หัวเราะ) และหุ้น เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF บอกแค่นี้ดีกว่าอายเซียนหุ้นคนอื่นๆ แต่หุ้นทุกตัวถือว่าสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยเฉพาะในแง่ของเงินปันผล ผมจำเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ค่อยได้ต้องขอโทษด้วย
เขา เล่าถึงการเก็งกำไรนาฬิกา ยี่ห้อที่ชอบมากที่สุด จริงๆ มีหลากหลายยี่ห้อมาก แต่ อันดับต้นๆ ต้องยกให้ ยี่ห้อ MB&F สัญชาติ สวิตเซอร์แลนด์ ราคาเฉลี่ย 1-2 ล้านบาท ปกติจะใช้เวลาครอบครองนาฬิกาหนึ่งเรือนประมาณ 5 ปี ก่อนจะขายต่อให้คนรู้จักหรือตามร้านค้า ส่วนใหญ่จะได้กำไรประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์
ยี่ห้อ PATEK ก็ชอบเหมือนกัน เพิ่งซื้อมา เหมือน 2 ปีก่อน ราคา 600,000 บาท ถ้าขาย วันนี้จะปล่อยได้ในราคา 800,000 บาท แต่ตอนนี้ ยังไม่คิดขาย เพราะไม่ได้ร้อนเงิน ส่วนยี่ห้อ Rolex ก็ขายกินไปหลายเรือนแล้ว (หัวเราะ) แต่ยี่ห้อนี้จะขายได้ราคาเท่าทุน ยกเว้นตัวที่ตลาดต้องการมากๆ ราคาแทบอยู่บนดอย
ปัจจุบันมีนาฬิกากี่เรือน? เขาตอบคำถามนี้ ว่า ไม่อยากบอกเลยอาย น่าจะประมาณ 70 เรือน มีหลากหลายแบบราวๆ 20 ยี่ห้อ ตั้งใจ จะขายออกเมื่อไหร่ "หนุ่ย" บอกว่า วันที่ลูกสาวไม่อยากได้แล้ว (ยิ้ม) เพราะตั้งใจจะเก็บนาฬิกาส่วนหนึ่งไว้ให้เขาดูแลต่อ
"ผมเคยนั่งคิดเล่นๆว่า ถ้าปล่อยนาฬิกาที่มีมูลค่าหลายล้านบาทออกทั้งหมดจะได้กำไรกลับมาเท่าไร คำตอบที่ได้ คือ ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ เพราะบางเรือนขายแล้วได้กำไรเยอะมาก แต่บางเรือนก็ขายขาดทุนเหมือนกัน"
ถามเรื่องเก็งกำไรกล้องถ่ายรูป "คุณพ่อลูกหนึ่ง" เล่าว่า สมัยก่อนก็เล่นกล้องยี่ห้อทั่วไปเหมือนชาวบ้าน เช่น ยี่ห้อ CANON วันหนึ่งคุณอาแนะนำว่า ลองเล่นกล้องยี่ห้อ Leica สัญชาติเยอรมันดูมั้ย ตอนนั้นตอบแกไปว่า ไม่ไหวหรอกราคามันแพงมาก คิดดูสิกล้องดิจิทัลยี่ห้อทั่วไปราคาแค่ 20,000-30,000 ถ้าเป็นกล้องตัวเทพของ CANON เต็มที่ก็ 100,000 บาท แต่ถ้าเป็นกล้องดิจิตอลอย่างเดียวไม่รวมเลนส์ของ Leica ราคาสูงถึง 250,000 บาท
แต่บังเอิญมีคนบอกว่า ไม่ต้องลงทุน
กล้อง แต่ให้ลงทุนในเลนส์แทน เมื่อได้ซื้อ
ลงทุนรับรู้ได้ถึงความมหัศจรรย์ของกำไร เลนส์ตัวแรกที่ซื้อ จำได้ราคา 40,000 บาท อายุ 40 ปี เป็นเลนส์ฟิก 50 มม.จากนั้นก็เริ่มขยับราคาในการซื้อเลนส์ฟิกมากขึ้นเป็น 150,000-250,000 บาท เลนส์ฟิกที่แพงที่สุดของผม คือ 300,000 บาท
ทุกวันนี้มีเลนส์ฟิก 35 และ 50 มม.นอนเต็มตู้โชว์ประมาณ 20 ตัว และกล้อง Leica ประมาณ 6 ตัว แบ่งเป็นกล้องฟิล์ม 4 ตัว กล้องดิจิตอล 3 ตัว ซึ่งไม่รวมกล้องเก่าที่กำลังจะนำไปขายต่อ ปกติกล้องฟิล์มจะแพงกว่ากล้องดิจิทัล
ล่าสุดเพิ่งซื้อเลนส์ตัวใหม่ราคา 130,000 บาท ถ้าขายวันนี้จะได้ราคา 150,000 บาท ตัวนี้หาซื้อยาก เพราะเลนส์ Leica ปกติจะผลิตด้วยมือ ทำให้มีสินค้าออกสู่ตลาดค่อนข้างช้า ขณะที่ความต้องการเยอะ ฉะนั้นราคาย่อมสูงเป็นเรื่องธรรมดา
ตอนนี้ยังไม่มีแผนจะขายเลนส์ แต่ได้นำกล้องรุ่นเก่าที่เป็นฟิล์ม ยี่ห้อ Leica 5 ตัว ตระกูล M เช่น M3 M4 M5 M6 เป็นต้น ไปฝากขายที่ร้าน หากขายได้ทั้งหมดจะได้กำไรกลับมาประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ตัวที่แก่ที่สุด คือ M3 มีอายุประมาณ 60 ปี หลังไปได้มาจาก www.ebay.com ซื้อมาราคา 20,000 กว่าบาท ตั้งใจจะขาย 30,000 กว่าบาท
ส่วน M4 ซื้อมาราคา 20,000 บาท แต่จะขาย 30,000 บาท ส่วน M5 น่าจะขายได้เท่าทุนที่ระดับ 25,000 บาท แต่ตัวที่เจ๋งที่สุดรองจากรุ่น M3 คือ รุ่น M6 อายุ 14 ปี ซื้อมา 30,000 บาท กะจะขาย 40,000 บาท ตัวนี้ขายได้ราคาดี เพราะมีตัววัดแสง และใช้งานง่าย ตอนนี้ที่ร้านยังไม่แจ้งมาเลยว่ามีคนสนใจหรือยัง
"กล้องฟิล์มพร้อมเลนส์ ยี่ห้อ Rolleiflex สัญชาติเยอรมัน ตอนนี้มีอยู่ 4-5 ตัว หากจะขายคงเหลือเก็บไว้ 1 ตัว ที่มีอายุ 50 ปี ตัวนี้ยังถ่ายรูปสวยอยู่"
ถามเรื่องลงทุนที่ดิน เขาเล่าว่า ที่ผ่านมาคุณพ่อสอนให้ซื้อที่ดิน เพื่อการลงทุนไม่ใช่ซื้อเพื่อเก็งกำไร เพราะหากสามารถซื้อที่ดินได้ในราคาที่สมเหตุสมผลจะทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจของครอบครัวง่ายขึ้น ฉะนั้นหากผมมีเงินเหลือจากการลงทุนใน 3 สินทรัพย์ อาจนำไปลงทุนในบ้านหรือคอนโดมิเนียม ตอนนี้กำลังรอดูตลาดอสังหาริมทรัพย์ ถ้าจะซื้อคงเฉลี่ยยูนิตละล้านขึ้นไป
วันนี้เล็งจะซื้อคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า เพื่อปล่อยให้ต่างชาติเช่า ตอนนี้มีแผนว่า อีก 2 ปีข้างหน้าอาจปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมแถวสุขุมวิทที่อาศัยอยู่กับครอบครัว เพราะกำลังจะย้ายไปอยู่บ้านที่กำลังก่อสร้างแถวพระราม 9
"หนุ่ย" ยอมรับว่า เก็งกำไรที่ดินคงไม่ใช่ทาง ถนัดของผม ไม่เหมือนคุณพ่อที่ซื้อที่ดินตามต่างจังหวัดมาหลายแปลง วันนี้ราคาขึ้นมาแล้ว "สิบเท่า" แม้กระทั่งที่ดินที่ของบริษัทที่ซื้อมา สร้างเอาท์เลท หากตัดขายตอนนี้จะได้กำไร 5 เท่า
"พ่อสอนว่า ดูที่ดินต้องดูนานๆ อย่างน้อย ต้องดูมากกว่า 50 รอบ ต้องดูจนกว่าจะมั่นใจ เท่าที่สังเกตเราไม่ได้เลือกที่ดิน แต่ที่ดิน ต่างหากที่เลือกเรา เวลาอยากได้ที่ดินตรงไหน เจ้าของไม่ค่อยยอมขาย อีกคำสอนของพ่อ คือ อย่าเลือกซื้อคอนโดมิเนียมเพียงเพราะราคาถูก แต่จงซื้อที่สามารถปล่อยเช่าหรือขายได้ง่าย"
'ตลาดหุ้น'สถานีต่อไป FN
"ตระกูลส่งวัฒนา" เริ่มทำธุรกิจร้านขายยาเล็กๆ ในอำเภอไพศาลีจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อ "หนุ่ย" อายุได้ 3 ขวบ ผู้เป็นพ่อตัดสินใจปิดร้านขายยาที่ร่วมทำกับญาติๆ แล้วย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเริ่มต้นทำธุรกิจเสื้อผ้า ร่วมกับ "ลิ้ม-สมชัย ส่งวัฒนา" ด้วยความที่ "อาลิ้ม" มีทักษะด้านการออกแบบเสื้อผ้า ทำให้พ่อและอาตัดสินใจสร้างแบรนด์ Fly NOW ในปี 2526 เป้าหมายใหญ่ คือ "มุ่งหน้าสู่ตลาดสากล"
ปัจจุบันแบรนด์ Fly NOW อายุ 31 ปีแล้ว เปิดสำนักงานขายแห่งแรกย่านปิ่นเกล้า และเปิดสาขาแห่งในห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ก่อนจะขยายไปเปิดสาขาตาม ห้างสรรพสินค้าต่างๆ เช่น เดอะมอลล์ และเซ็นทรัลประมาณ 30 สาขา สมัยก่อนเสื้อผ้าผู้หญิง คือ สินค้าหลักของบริษัท แต่เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา เริ่มหันมาทำเครื่องหนังต่างๆ เพราะบริษัทอยากเป็น
"ผู้นำบนเรือนกายสตรี"
"เบญจ์เยี่ยม" เล่าว่า ก่อนปี 2540 Fly NOW มีสาขากว่า 30 แห่ง กระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชื่อดัง แต่เมื่อเมืองไทยเจอวิกฤติเศรษฐกิจ ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทยอยปิดตัวลง ทำให้ Fly NOW เหลือสาขาเพียง 10 แห่ง ตอนนั้นบริษัทขนสินค้ากลับมาจากห้างสรรพสินค้าเยอะมาก คุณพ่อมีความเชื่อว่า "ผู้หญิงไม่หยุดสวยบวกกับกำลังซื้อยังพอมีอยู่บ้าง"เราจึงนำสินค้ากลับไปที่โรงงาน จังหวัดเพชรบุรี ก่อนจะขยายพื้นที่เอาท์เลทภายในโรงงานในปี 2542 จากเดิมที่มีพื้นที่เพียง 30 ตารางวา
ช่วงแรกเราเปิดขายวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ด้วยการลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ บริษัททำได้เพราะแทบไม่มีต้นทุนอะไรเลย เดิมหวังแค่มีกำไรนิดหน่อย แต่สุดท้ายบริษัทได้กำไรหลายหมื่นบาท ก่อนจะขยับมาเป็นหลักแสนบาท เมื่อก่อนมีผู้ประกอบหลายรายที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น แบรนด์ GREYHOUND, ไข่บูติก และ JASPAL
จากนั้น Fly NOWตัดสินใจแยกในส่วนของเอาท์เลทออกมาเป็นบริษัท เอฟเอ็นแฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด แรกเริ่มเดิมทีบอร์ด Fly NOWไม่อนุมัติ เพราะ บริษัทไม่เหลือเงินแล้ว ตอนนั้นบอร์ดบอกว่า หากอยากได้เงินไปเปิดบริษัทต้องเร่ง ระบบสต็อกออกให้หมด สุดท้ายเราตั้งบริษัทใหม่ได้ด้วยเงินเพียง 60,000 บาท ตอนนั้นสินค้าเยอะมากเรียกว่า วางกองเต็มพื้นที่ 2,000-3,000 ตารางเมตร ในเอาท์เลท จังหวัดเพชรบุรี
ผ่านมา 7 ปี เราได้ฤกษ์เปิดเอาท์เลทสาขา 2 ในจังหวัดกาญจบุรี พื้นที่ 3,000 ตารางเมตร จากนั้นบริษัทก็เปิดสาขาพัทยา และสาขาปากช่อง โดยสาขาเพรชบุรีทำเงินได้ดีที่สุด น่าจะหลักหลายสิบล้านบาทต่อปี วันหนึ่งคุณปู่บอกว่า ทำไมเราไม่มีสาขาในสายเหนือบ้างเป็นคนเหนือแท้ๆ (หัวเราะ) ทำให้ตัดสินใจเปิดสาขาแห่งที่ 5 ในจังหวัดสิงห์บุรี ตอนนั้นมีโอกาสมาช่วยงานคุณพ่อแบบ Part time
ปลายปี 2556 คุณพ่อกับคุณอาคุยกันว่า อยากเสนอชื่อผมขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริหารบริษัทแทนคุณพ่อ เพราะคุณพ่ออยากออกไปทำงานก่อสร้าง ด้วยการเปิดบริษัทใหม่ชื่อ "คีย์พอยท์" ปัจจุบันกำลังก่อสร้างโครงการสำนักงานแห่งแรกแถวเดอะไนน์ พระราม 9 ที่ผ่านมาเอ๊าท์เลททุกแห่งคุณพ่อทำหน้าที่เป็นผู้รับเหมาเองทั้งหมด เพราะท่านอยากประหยัดเงิน (หัวเราะ)
ปัจจุบันแบรนด์ FN มีทั้งหมด 7 สาขา ตั้งใจว่า ปี 2558 จะเปิดสาขาใหม่อย่างน้อย 1 แห่ง เรามองใกล้กรุงเทพเข้ามาอีกนิด ใช้เวลาเดินทางเพียง 45 นาที "หนุ่ย" ขอไม่เปิดเผยทำเล บอกเพียงว่า คงใช้เงินลงทุนสูงถึง 300-400 ล้าน เพราะพื้นที่ของสาขาใหม่ใหญ่ถึง 15,000 ตารางเมตร เรียกว่า ใหญ่กว่าสาขาหัวหิน และศรีราชาที่มีพื้นที่ 10,000 และ 12,000 ตารางเมตร ตามลำดับ
ตอนนี้กำลังเล็งจะเปิดแถวอีสาน เขาเผลอบอกชื่อจังหวัด แต่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคงได้เปิดปีหน้า แต่เรายังไม่ได้ลงรายละเอียดของสาขานี้ บอกได้เพียงว่า จากนี้สาขาใหม่ต้องมีพื้นที่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป ถามว่าเงินลงทุนจะนำมาจากแหล่งใด เราคงนำมาจากกระแสเงินสด ที่เหลือคงกู้ยืมแบงก์ "หนุ่ย" ขอไม่ตอบคำถามที่ว่าจะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นเมื่อไหร่ บอกเพียงว่า ตอนนี้เรากำลังปรับโครงสร้างบริษัท ไว้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่นะ เขาพูดตัดบท
"ผมจะพยายามทำรายได้ให้เติบโตทุกปี อย่างน้อยต้องมากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับ 7-10 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญต้องผลักดันกำไรให้เพิ่มขึ้น" นี่คือ เรื่องท้าทายของชายชื่อ เบญจ์เยี่ยม
"ถ้าปล่อยนาฬิกาที่มีมูลค่าหลายล้านบาทออกทั้งหมดจะได้กำไรกลับมา15 เปอร์เซ็นต์"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
'เก็งกำไร'เคมีลงตัว เบญจ์เยี่ยม ส่งวัฒนา
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1