**
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 3
แหม ขอบคุณท่าน LOSO จริงๆครับ ผมอ่านได้แว๊บเดียวที่ตลาดหุ้นดอทคอมก็ดันมีคนมาป่วน เห็นคุณ LOSO ลบทิ้งไปเลยยังนึกเสียดายอยู่ในใจ
ผมเป็นแฟน P. Lynch แต่ไม่ใช่พันธุ์แท้ครับ อ่านคร่าวๆเท่านั้นเอง (โดยส่วนตัวแล้วชอบมากกว่า Buffettology หน่อย) สรุปคือไม่ทราบครับว่า criteria เป็นไง แต่อยากทราบครับ เพราะไม่เคยคิดจะถือหุ้นไฟแนนซ์ยาวเกินกว่าหนึ่ง week เลย อยากลองเหมือนกัน
ถ้าไม่มีใครทราบท่าน LOSO จะเฉลยไหมครับ?
ผมเป็นแฟน P. Lynch แต่ไม่ใช่พันธุ์แท้ครับ อ่านคร่าวๆเท่านั้นเอง (โดยส่วนตัวแล้วชอบมากกว่า Buffettology หน่อย) สรุปคือไม่ทราบครับว่า criteria เป็นไง แต่อยากทราบครับ เพราะไม่เคยคิดจะถือหุ้นไฟแนนซ์ยาวเกินกว่าหนึ่ง week เลย อยากลองเหมือนกัน
ถ้าไม่มีใครทราบท่าน LOSO จะเฉลยไหมครับ?
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 6
โพสต์ได้ครับ ทำอย่างนี้ครับ
จะได้รูปนี้ครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
[img]http://www.thaivalueinvestor.com/webboard/templates/subSilver/images/logo_phpBB.gif[/img]
- ปรัชญา1
- Verified User
- โพสต์: 1092
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 7
คุณLOSO นำกราฟรูป AJ ตอนเขาช๊อตลงจนถึง3บาทแล้ววิ่งกลับไปที่เก่ามาลงไว้ให้หลายๆคนได้ศึกษาก็ดีนะครับLOSO เขียน:คุณCKครับ เว็บนี้เขาโพสต์ไฟล์รูปภาพได้ไหมครับ ทํายังไงครับ
ช่วยอธิบายด้วยว่า ถ้ารู้ว่าเขาช๊อตกันอย่างไร และเราควรเข้าซื้อที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงและถือลงทุนได้ไหมครับ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 8
ไม่ใช่ แฟนพันธ์แท้อะำไรหรอกครับแต่อ่านหนังสือ One up on Wall Street พอจะจับความได้ดังนี้ครับ
Peter Lynch แบ่งหุ้นออกเป็น 6 กลุ่มคือ
1. หุ้นเติบโตช้า เป็นประเภทขนาดใหญ่ เติบโตได้มากกว่า GNP ไม่มาก เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ของเมืองไทยก้อน่าจะเป็นเช่น EGCOMP RATCH อะไรเทือกนี้แหละ
2. หุ้นเติบโตปานกลาง เค้าใช้คำว่า Stalwarts แปลว่า แข็งแกร่ง บริษัทพวกนี้มีขนาดใหญ่ ทำอะไรก้อช้า แต่ยังเติบโตมากกว่าพวกเติบโตช้า growth ของพวกนี้จะไม่เป็น 2 digit แต่ค่อยๆ เติบโต ผมว่าพวกนี้ก้อเช่น ปูนใหญ่ หรือ ปตท หรือ Advance
3. หุ้นเติบโตสูง เป็นบริษัทที่มีขนาดเล็ก เติบโตสูง สามารถเติบโตในกำไรไำด้ถึง 20-25 เปอร์เซนต์ต่อปี ผมว่าบริษัทที่ผมรู้จักและใกล้เคียงกับ กลุ่มนี้คือ Stanly ครับ
4. หุ้นหมุนเวียนตามเวลา (Cyclicals) เป็นหุ้นที่ขึ้นลงเป็นพักๆ เกือบจะคาดเดาได้ ผมว่าหุ้นที่ใกล้เคียงกับกลุ่มนี้คือ ATC TPC และ NPC หุ้นเคมีเหล่านี้เป็นวัฐจักรตามราคาตลาดโลกของเคมีที่ตนเองผลิตครับ
5. หุ้น Turnaround ไม่ต้องแปลก้อรู้อยู่แล้วว่าคืออะไรใช่มั้ยครับ เช่น MS เป็นต้น
6. หุ้น Asset เป็นหุ้นที่มี Asset อยู่และสร้างรายได้จาก Asset เหล่านั้น ผมว่าหุ้นที่เป็น Asset Play คือ ปตท. สผ. ครับ มีหลุมเจาะแก็สธรรมชาติเป็น Asset อาจจะมีอีกก้อพวก ผาแดง อินดัสทรีส์ ที่เป็นเหมืองเหมือนกัน
วิธีการวิเคราะห์หุ้นแต่ละกลุ่้มของ Lynch ก้อแตกต่างกันครับ แต่วิธีที่ Lynch เลือกหุ้นที่เค้าสนใจมีอย่างนี้ครับ
1. ชื่อที่น่าเบื่อ หรือ ออกจำขำขันเลย คนจะได้ไม่สนใจ
2. ทำสิ่งที่น่าเบื่อ จะได้ไม่มีคนสนใจเปิดธุรกิจแข่ง
3. เป็นบริษัทที่แยกตัวจากบริษัทใหญ่ อันนี้ Lynch ว่าจะทำให้มี strong balance sheet เพราะบริษัทแม่จะได้ปล่อยลูกตัวนี้ได้และให้อยู่รอดก้อต้องสร้าง balance sheet ของบริษัทลูกให้แข็งแกร่งจะได้มั่นใจว่าบริษัทแม่ไม่น่าแตก
4. กองทุนไม่ถือและนักวิเคราะห์ไม่สนใจ ผมว่าเหมือนข้อแรก คนจะได้ไม่สนใจและราคาจะต่ำกว่าราคาพื้นฐาน
5. (อันนี้น่าสนใจ) อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เจริญเติบโต Lynch บอกว่าการอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โตไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ บริษัทสามารถลดต้นทุน หรือ แย่ง market share ในอุตสาหกรรมที่เจริญเติบโตก้อจะมีบริษัทเปิดใหม่เพื่อแข่งขันกันมากทำให้ธุรกิจทำได้ไม่ดี
6. มี niche หรือ specialty เค้ายกตัวอย่างเช่นการถมดิน ถ้าเรามีดินไปถม ก้อจะไม่มีคู่แข่งในเขตนั้นๆ เพราะว่าค่าขนส่งที่ต้องจ่ายทำให้กำไรหมดไป ดังนั้น บริษัทที่มีสัมปทานดินแถวนั้นก้อมี niche
ึ7. คนจะต้องใช้สินค้าเรื่อยๆ อันนี้ก้อคล้าย buffet กระมังที่ซื้อ Gillette
8. เป็นผู้ใช้เทคโนโลยี Lynch ไม่ชอบหุ้นไฮเทคแต่ชอบจะใช้หุ้นที่ใช้ technology ในการลดต้นทุน
9. คนในบริษัทซื้อหุ้น Lynch บอกว่าถ้าคนในทีู่รู้ข้อมูลของบริษัทซื้อหุ้น(ยิ่งมากยิ่งดี) แสดงว่าเค้าต้องมั่นใจในบริษัทพอสมควร Lynch ยังบอกอีกว่าการขายหุ้นของคนในไม่น่าตกใจตราบใดที่ไม่ใช่ 9 ใน 10 คนใน board ขาย เพราะอาจจะมีได้หลายสาเหตุเช่นการปรับ portfolio ของผู้บริหาร เป็นต้น
10. บริัษัททำการซื้อหุ้นคืน ถ้ามีเงินสดจะลงทุน ทำไมไม่ลงทุนในบริษัทของตนเองถ้ามั่นใจว่ากิจการดีจริง ดังนั้น Lynch ชอบบริษัทอย่าง Exxon ที่มีการซื้อคืนหุ้นอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเอาไปลงทุนเพื่อ diversification (Lynch ใช้คำว่า di"worse"ification)
มีอีก 2-3 ข้อที่ผมไม่ได้เขียนครับ ไว้เดี๋ยวจะเขียนวิธีการวิเคราะห์หุ้นใน 6 กลุ่มของ Lynch ต่อไปนะครับ
Peter Lynch แบ่งหุ้นออกเป็น 6 กลุ่มคือ
1. หุ้นเติบโตช้า เป็นประเภทขนาดใหญ่ เติบโตได้มากกว่า GNP ไม่มาก เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ของเมืองไทยก้อน่าจะเป็นเช่น EGCOMP RATCH อะไรเทือกนี้แหละ
2. หุ้นเติบโตปานกลาง เค้าใช้คำว่า Stalwarts แปลว่า แข็งแกร่ง บริษัทพวกนี้มีขนาดใหญ่ ทำอะไรก้อช้า แต่ยังเติบโตมากกว่าพวกเติบโตช้า growth ของพวกนี้จะไม่เป็น 2 digit แต่ค่อยๆ เติบโต ผมว่าพวกนี้ก้อเช่น ปูนใหญ่ หรือ ปตท หรือ Advance
3. หุ้นเติบโตสูง เป็นบริษัทที่มีขนาดเล็ก เติบโตสูง สามารถเติบโตในกำไรไำด้ถึง 20-25 เปอร์เซนต์ต่อปี ผมว่าบริษัทที่ผมรู้จักและใกล้เคียงกับ กลุ่มนี้คือ Stanly ครับ
4. หุ้นหมุนเวียนตามเวลา (Cyclicals) เป็นหุ้นที่ขึ้นลงเป็นพักๆ เกือบจะคาดเดาได้ ผมว่าหุ้นที่ใกล้เคียงกับกลุ่มนี้คือ ATC TPC และ NPC หุ้นเคมีเหล่านี้เป็นวัฐจักรตามราคาตลาดโลกของเคมีที่ตนเองผลิตครับ
5. หุ้น Turnaround ไม่ต้องแปลก้อรู้อยู่แล้วว่าคืออะไรใช่มั้ยครับ เช่น MS เป็นต้น
6. หุ้น Asset เป็นหุ้นที่มี Asset อยู่และสร้างรายได้จาก Asset เหล่านั้น ผมว่าหุ้นที่เป็น Asset Play คือ ปตท. สผ. ครับ มีหลุมเจาะแก็สธรรมชาติเป็น Asset อาจจะมีอีกก้อพวก ผาแดง อินดัสทรีส์ ที่เป็นเหมืองเหมือนกัน
วิธีการวิเคราะห์หุ้นแต่ละกลุ่้มของ Lynch ก้อแตกต่างกันครับ แต่วิธีที่ Lynch เลือกหุ้นที่เค้าสนใจมีอย่างนี้ครับ
1. ชื่อที่น่าเบื่อ หรือ ออกจำขำขันเลย คนจะได้ไม่สนใจ
2. ทำสิ่งที่น่าเบื่อ จะได้ไม่มีคนสนใจเปิดธุรกิจแข่ง
3. เป็นบริษัทที่แยกตัวจากบริษัทใหญ่ อันนี้ Lynch ว่าจะทำให้มี strong balance sheet เพราะบริษัทแม่จะได้ปล่อยลูกตัวนี้ได้และให้อยู่รอดก้อต้องสร้าง balance sheet ของบริษัทลูกให้แข็งแกร่งจะได้มั่นใจว่าบริษัทแม่ไม่น่าแตก
4. กองทุนไม่ถือและนักวิเคราะห์ไม่สนใจ ผมว่าเหมือนข้อแรก คนจะได้ไม่สนใจและราคาจะต่ำกว่าราคาพื้นฐาน
5. (อันนี้น่าสนใจ) อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เจริญเติบโต Lynch บอกว่าการอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โตไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ บริษัทสามารถลดต้นทุน หรือ แย่ง market share ในอุตสาหกรรมที่เจริญเติบโตก้อจะมีบริษัทเปิดใหม่เพื่อแข่งขันกันมากทำให้ธุรกิจทำได้ไม่ดี
6. มี niche หรือ specialty เค้ายกตัวอย่างเช่นการถมดิน ถ้าเรามีดินไปถม ก้อจะไม่มีคู่แข่งในเขตนั้นๆ เพราะว่าค่าขนส่งที่ต้องจ่ายทำให้กำไรหมดไป ดังนั้น บริษัทที่มีสัมปทานดินแถวนั้นก้อมี niche
ึ7. คนจะต้องใช้สินค้าเรื่อยๆ อันนี้ก้อคล้าย buffet กระมังที่ซื้อ Gillette
8. เป็นผู้ใช้เทคโนโลยี Lynch ไม่ชอบหุ้นไฮเทคแต่ชอบจะใช้หุ้นที่ใช้ technology ในการลดต้นทุน
9. คนในบริษัทซื้อหุ้น Lynch บอกว่าถ้าคนในทีู่รู้ข้อมูลของบริษัทซื้อหุ้น(ยิ่งมากยิ่งดี) แสดงว่าเค้าต้องมั่นใจในบริษัทพอสมควร Lynch ยังบอกอีกว่าการขายหุ้นของคนในไม่น่าตกใจตราบใดที่ไม่ใช่ 9 ใน 10 คนใน board ขาย เพราะอาจจะมีได้หลายสาเหตุเช่นการปรับ portfolio ของผู้บริหาร เป็นต้น
10. บริัษัททำการซื้อหุ้นคืน ถ้ามีเงินสดจะลงทุน ทำไมไม่ลงทุนในบริษัทของตนเองถ้ามั่นใจว่ากิจการดีจริง ดังนั้น Lynch ชอบบริษัทอย่าง Exxon ที่มีการซื้อคืนหุ้นอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเอาไปลงทุนเพื่อ diversification (Lynch ใช้คำว่า di"worse"ification)
มีอีก 2-3 ข้อที่ผมไม่ได้เขียนครับ ไว้เดี๋ยวจะเขียนวิธีการวิเคราะห์หุ้นใน 6 กลุ่มของ Lynch ต่อไปนะครับ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 9
สำหรับหุ้น slow growth Lynch ดูที่เงินปันผลครับ ว่ามีต่อเนื่องและมีการเติบโตของเงินปันผลเท่าไร เพราะเค้าไม่ค่อยหวัง capital gain จาก หุ้น slow growth ครับและ Lynch เป็นคนที่กลัวการ diworsification มาก แทนที่กิจการจะคืนเงินให้ผู้ถือหุ้น ผู้บริหารมักจะไปลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดและแน่นอนขาดทุนครับ
หุ้น cyclical เค้าให้ดู สภาพทางธุรกิจ (ราคาตลาดของสินค้า, สภาพอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นต้น) สินค้าคงเหลือ และราคาหุ้นครับ
ถ้าเป็นหุ้น Asset ก้อต้องดู Asset นะครับว่ามีมูลค่าตลาดเป็นเท่าไร อันนี้ผมไม่สันทัดครับว่าดูยังไง
หุ้น turnaround ก้อให้ดูหนี้ครับ และแผนการฟื้นฟูกิจการว่าไปถึงไหนแล้ว เช่นมีการขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออกไปหรือไม่ เป็นต้น
หุ้น stalwart ให้ดู P/E ratio ว่าต่ำหรือไม่เทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
หุ้น fast growing ให้ดูว่าแผนการขยายกิจการยังสามารถเิติบโตต่อได้หรือไม่
เห็นว่าเค้าไม่ได้ตัดสินที่ P/E แค่เฉพาะกลุ่ม stalwart เท่านั้นที่เค้าจะดูเพราะเค้าบอกว่ามันเทียบกันไม่ได้ (เค้าใช้คำว่า apple to orange) เพราะ P/E ของกลุ่ม fast grower จะสูง เพราะมีการคาดการณ์กำไรในอนาคตด้วย อย่างไรก้อตาม เค้าให้ดูว่ามันเป็นไปได้แค่ไหน เช่น P/E 50 บางทีอาจจะมากไปแม้แต่กระทั่งหุ้นเจริญเติบโตสูง ราคาอาจจะ overprice
Book value เอง Lynch ก้อบอกให้ต้องระวังเพราะ Book value ตามหลักบัญชีมักจะมีมูลค่ามากเกินจริงหรือน้อยเกินจริงเสมอ
แหมผมอยากหา case study ของหุ้นไทยเหมือนกัน
โดยรวมแล้วผมว่าวิธีของเค้าก้อใช้ได้เหมือนกัน จะลองไปปรับใช้ดูให้เข้ากับ style ของผมครับ
หุ้น cyclical เค้าให้ดู สภาพทางธุรกิจ (ราคาตลาดของสินค้า, สภาพอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นต้น) สินค้าคงเหลือ และราคาหุ้นครับ
ถ้าเป็นหุ้น Asset ก้อต้องดู Asset นะครับว่ามีมูลค่าตลาดเป็นเท่าไร อันนี้ผมไม่สันทัดครับว่าดูยังไง
หุ้น turnaround ก้อให้ดูหนี้ครับ และแผนการฟื้นฟูกิจการว่าไปถึงไหนแล้ว เช่นมีการขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออกไปหรือไม่ เป็นต้น
หุ้น stalwart ให้ดู P/E ratio ว่าต่ำหรือไม่เทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
หุ้น fast growing ให้ดูว่าแผนการขยายกิจการยังสามารถเิติบโตต่อได้หรือไม่
เห็นว่าเค้าไม่ได้ตัดสินที่ P/E แค่เฉพาะกลุ่ม stalwart เท่านั้นที่เค้าจะดูเพราะเค้าบอกว่ามันเทียบกันไม่ได้ (เค้าใช้คำว่า apple to orange) เพราะ P/E ของกลุ่ม fast grower จะสูง เพราะมีการคาดการณ์กำไรในอนาคตด้วย อย่างไรก้อตาม เค้าให้ดูว่ามันเป็นไปได้แค่ไหน เช่น P/E 50 บางทีอาจจะมากไปแม้แต่กระทั่งหุ้นเจริญเติบโตสูง ราคาอาจจะ overprice
Book value เอง Lynch ก้อบอกให้ต้องระวังเพราะ Book value ตามหลักบัญชีมักจะมีมูลค่ามากเกินจริงหรือน้อยเกินจริงเสมอ
แหมผมอยากหา case study ของหุ้นไทยเหมือนกัน
โดยรวมแล้วผมว่าวิธีของเค้าก้อใช้ได้เหมือนกัน จะลองไปปรับใช้ดูให้เข้ากับ style ของผมครับ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 10
ตอบคำถามคุณ Loso นะครับในหนังสือ one up on wall street ไม่มีการพูดถึงหุ้น bank หรือ finance เลยครับ ผมเลยไม่รู้ว่า Lynch เค้าชอบหุ้น bank หรือ finance เพราะอะไร
เค้าพูดถึง La Quinta Inn (โรงแรม) ว่าเป็น fast growing ทั้งที่อยู่ในธุรกิจโรงแรมที่เติบโตช้า พูดถึง Chrysler (รถยนต์) ว่าเป็น Turn-around พูดถึง Pebble-beach (อสังหา) ว่าเป็น Asset play
ไม่มีพูดถึง bank หรือ finance เลยครับ
ผมว่าวิธีของ Lynch มันเป็นการเลือกหุ้นที่เราเข้าใจ มีจุดเด่นในอุตสาหกรรมของตัวเองมากกว่าครับ เค้าไม่ได้เลือกอุตสาหกรรมนะครับ
เค้าพูดถึง La Quinta Inn (โรงแรม) ว่าเป็น fast growing ทั้งที่อยู่ในธุรกิจโรงแรมที่เติบโตช้า พูดถึง Chrysler (รถยนต์) ว่าเป็น Turn-around พูดถึง Pebble-beach (อสังหา) ว่าเป็น Asset play
ไม่มีพูดถึง bank หรือ finance เลยครับ
ผมว่าวิธีของ Lynch มันเป็นการเลือกหุ้นที่เราเข้าใจ มีจุดเด่นในอุตสาหกรรมของตัวเองมากกว่าครับ เค้าไม่ได้เลือกอุตสาหกรรมนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 11
ที่กล่าวมาเป็นความจริงครับพี่โลโซ
Peter Lynch วิเคราะห์สถาบันการเงินได้เก่งทีเดียว เค้าถือหุ้นสถาบันการเงินตัวหนึ่งที่ผมคิดว่า Peter Lynch *รัก* มาก ในพอร์ตเค้าทุ่มให้หุ้นนี้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลย และเป็นตัวเดียวกับ Buffett เสียด้วยครับ
Peter Lynch วิเคราะห์สถาบันการเงินได้เก่งทีเดียว เค้าถือหุ้นสถาบันการเงินตัวหนึ่งที่ผมคิดว่า Peter Lynch *รัก* มาก ในพอร์ตเค้าทุ่มให้หุ้นนี้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลย และเป็นตัวเดียวกับ Buffett เสียด้วยครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 12
ผมคิดว่าเห็นแล้วล่ะพี่โลโซ แต่ดู P/E มันสูงนะครับ ยังคิดว่ากำไรจะเพิ่มได้ยังไงครับ ขอไปแกะดูต่อก่อน พี่อย่าเพิ่งเฉลยนะครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 13
การเลือกหุ้น เกี่ยวกับ พวก เงินฝาก เงินกู้
อยู่ในเล่ม Beating the Street
หน้า 199
How to rate an S&L
when even the analyst are bored, it's time to start buying
1. current price
2.IPO
3. E to A ratio
4.Divivend
5.book value
6.PE
7.High risk Real Estate Assets
8.90 day NPL
9. Real Estate Own
สวัสดีครับ ท่านหลง ศรีตรัง รุ่น18
อยู่ในเล่ม Beating the Street
หน้า 199
How to rate an S&L
when even the analyst are bored, it's time to start buying
1. current price
2.IPO
3. E to A ratio
4.Divivend
5.book value
6.PE
7.High risk Real Estate Assets
8.90 day NPL
9. Real Estate Own
สวัสดีครับ ท่านหลง ศรีตรัง รุ่น18
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 15
หุ้นที่ Lynch บอกว่าจะหลีกเลี่ยงคือ
- หุ้นที่ร้อนที่สุดในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง
- ระวังหุ้นที่เป็น next of something (แปลว่าจะเหมือนหุ้นอื่นที่ประสบความสำเร็จ)
- ระวังหุ้นที่ diworseification
- ระวังหุ้นพรายกระซิบ
- ระวังหุ้นประเภททำธุรกิจเป็นคนกลาง
- ระวังหุ้นที่มีชื่อที่น่าตื่นเต้น
ยังไม่ได้อ่าน beating up the street ครับถ้าจะมีใครสรุปสั้นๆ ให้ฟังก้อดีเหมือนกัน
- หุ้นที่ร้อนที่สุดในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง
- ระวังหุ้นที่เป็น next of something (แปลว่าจะเหมือนหุ้นอื่นที่ประสบความสำเร็จ)
- ระวังหุ้นที่ diworseification
- ระวังหุ้นพรายกระซิบ
- ระวังหุ้นประเภททำธุรกิจเป็นคนกลาง
- ระวังหุ้นที่มีชื่อที่น่าตื่นเต้น
ยังไม่ได้อ่าน beating up the street ครับถ้าจะมีใครสรุปสั้นๆ ให้ฟังก้อดีเหมือนกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 16
พี่โลโซครับ ...ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ตรงอัตราดอกเบี้ยในเวลาของ Peter Lynch ถ้ามาดูการแข่งกันลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อเพิ่มยอดสินเชื่อของสถาบันการเงินไทย ผมไม่คิดว่าสถาบันการเงินประเภทนี้จะได้กำไรดีนัก
พี่คิดว่าอย่างไรครับ
พี่คิดว่าอย่างไรครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 17
ผมว่าผมเลือก speaker ใน VI meeting คราวหน้าได้แล้วหล่ะ 8)
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 21
ว้าสุดท้ายพี่โลโซก็ยังไม่ได้เฉลยสักที คราวนี้อุตส่าห์ขุดมาใหม่จะใจอ่อนเฉลยให้หรือเปล่าเอ่ย
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 0
**
โพสต์ที่ 23
จะตั้งตาคอยครับ