เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 1
เฮ้อไม่ได้ซื้อ มีใครมีอารมณ์นี้กับหุ้นตัวไหนมั่ง
Makro
Bafs
Aot
Mti
Hana
Makro
Bafs
Aot
Mti
Hana
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 5
ที่พอนึกออกของผมที่พลาดไปมี auct bwg th lhbank sorkon ivl tuf bch erw psl nmg bland sithai grand cpall true
ส่วนอนาคตที่จะพลาดแน่นอนมี pranda jmt pl threl bat-3k yuasa gyt siri snc ssi tsth tpipl samco ptt spc spi nyt team wacoal ที่ไม่ซื้อเพราะผมชอบไปช้าๆแต่ชัวๆหน่อยนะครับ คือว่าผมขี้ขาดนะครับ ถ้ากิจการมีตำนินิดหน่อยผมก็คัดออกเลย แล้วดูหุ้นที่เราเคยมองขึ้นไปแบบเข้าใจไม่โลภมากนะครับ ค่อยๆวิเคราะห์อุตสาหกรรมต่างๆไปเรื่อยๆนะครับ
ส่วนอนาคตที่จะพลาดแน่นอนมี pranda jmt pl threl bat-3k yuasa gyt siri snc ssi tsth tpipl samco ptt spc spi nyt team wacoal ที่ไม่ซื้อเพราะผมชอบไปช้าๆแต่ชัวๆหน่อยนะครับ คือว่าผมขี้ขาดนะครับ ถ้ากิจการมีตำนินิดหน่อยผมก็คัดออกเลย แล้วดูหุ้นที่เราเคยมองขึ้นไปแบบเข้าใจไม่โลภมากนะครับ ค่อยๆวิเคราะห์อุตสาหกรรมต่างๆไปเรื่อยๆนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 7
ที่ผ่านมาเจอการเปรียบเทียบราคากับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน เพราะพยายามเลือกตัวที่มี downside risk ต่ำด้วย ทำให้พลาดหุ้น mti ที่ไปเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันด้วย
Aot ดูมาตั้งแต่ 70 กว่าบาท ตามกาาขยายสนามบินเพิ่มโดยเฉพาะดอนเมืองที่ให้ low cost aav ไปเปิดใช้บริการที่เป็นจุดเปลี่ยนมากในการเพิ่ม capacity มาก กังวลเรื่องการเมืองที่อาจกระทบท่องเที่ยว ทำให้ downside risk สูง ทำให้พลาด เพราะ upside นักท่องเที่ยวดัน new high เสียนี่ 555
Banpu ก้ำกึ่ง ระหว่าง upside โรงไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ การปรับราคาถ่านหินในออสเตรเลียที่สูงขึ้นจากราคาในประเทศ และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของเหมืองอินโด และออสเตรเลีย ปริมาณสำรองถ่านหินสูงด้วย แต่ระยะสั้นเจอผลกระทบจาก shell gas ราคาถ่านหินปรับลดราคาลงมาก และภาวะโลกร้อนกระทบกับการใช้ เห็น downside risk ยังไม่ค่อยแน่ใจจะกระทบพื้นฐานหรือไม่ circle of competency วิเคราะห์ไม่ออก เลยถอย
แม้จะพลาด ก็เป็นบทเรียนให้เราศึกษาต่อยอดได้
เหมือน cpall ผมพลาดมาก ๆ เพราะกังวล lotus เมืองจีนตัวถ่วง กลัวใจเจ้าสัวด้วย 555 จึงพลาดมาก ๆ ทั้งที่ซื้อได้ราคาถูก
มาใช้กับบทเรียนกับ makro หลายคนกังวลราคาแพงมากกังวลก่อน ซึ่งควรกังวลมูลค่าหุ้นแท้จริงในระยะยาวก่อนเป็นต้น กังวลโชวห่วยจะแย่ตลาดจะหดตัว และ บางคนยังกลัวใจเจ้าสัวเหมือนเดิม 555 มำให้ลืมเห็นอนาคตที่จะเน้น food เหมือนกลยุทธ์ cpall ที่ทำได้ผลและเติบโตสูงกว่าเดิมที่เน้น non food มาก่อน จนสามารถเพิ่ม margin การต่อรอง supplier ได้มากขึ้นด้วย และสร้างการเติบโตของ food ที่แข็งแกร่ง margin สูงกว่ามาก ใช้กินเป็นประจำ แถม cpf เป็นเจ้าตลาด food ระดับโลกที่สามารถทำ synergy ต้นทุนต่ำได้มากขึ้น
บทสรุปของผมคือ การพัฒนาขอบเขตความรู้จึงสำคัญมาก ไม่รู้ให้ถอย ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกธุรกิจให้ได้ เพราะความเสี่ยงมาจากสิ่งที่เราไม่รู้นั้นเอง เราต้องหาความรู้ก่อนลงทุน รู้จนกว่าเราจะรู้ธุรกิจอย่างลึกซึ่งเหมือนเป็นเจ้าของตัวจริงให้ได้ รู้ให้จริงตรวจสอบความรู้ด้วย ทฤษฎีการแกะรอย Scuttlebutt บ้าง ลด bias รักหุ้นเกินไป 555 ใช้ตามแนวอาจารย์ฟิลิปส์ฟิชเชอร์ยิ่งดี และประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพธุรกิจให้ได้ครับ
Aot ดูมาตั้งแต่ 70 กว่าบาท ตามกาาขยายสนามบินเพิ่มโดยเฉพาะดอนเมืองที่ให้ low cost aav ไปเปิดใช้บริการที่เป็นจุดเปลี่ยนมากในการเพิ่ม capacity มาก กังวลเรื่องการเมืองที่อาจกระทบท่องเที่ยว ทำให้ downside risk สูง ทำให้พลาด เพราะ upside นักท่องเที่ยวดัน new high เสียนี่ 555
Banpu ก้ำกึ่ง ระหว่าง upside โรงไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ การปรับราคาถ่านหินในออสเตรเลียที่สูงขึ้นจากราคาในประเทศ และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของเหมืองอินโด และออสเตรเลีย ปริมาณสำรองถ่านหินสูงด้วย แต่ระยะสั้นเจอผลกระทบจาก shell gas ราคาถ่านหินปรับลดราคาลงมาก และภาวะโลกร้อนกระทบกับการใช้ เห็น downside risk ยังไม่ค่อยแน่ใจจะกระทบพื้นฐานหรือไม่ circle of competency วิเคราะห์ไม่ออก เลยถอย
แม้จะพลาด ก็เป็นบทเรียนให้เราศึกษาต่อยอดได้
เหมือน cpall ผมพลาดมาก ๆ เพราะกังวล lotus เมืองจีนตัวถ่วง กลัวใจเจ้าสัวด้วย 555 จึงพลาดมาก ๆ ทั้งที่ซื้อได้ราคาถูก
มาใช้กับบทเรียนกับ makro หลายคนกังวลราคาแพงมากกังวลก่อน ซึ่งควรกังวลมูลค่าหุ้นแท้จริงในระยะยาวก่อนเป็นต้น กังวลโชวห่วยจะแย่ตลาดจะหดตัว และ บางคนยังกลัวใจเจ้าสัวเหมือนเดิม 555 มำให้ลืมเห็นอนาคตที่จะเน้น food เหมือนกลยุทธ์ cpall ที่ทำได้ผลและเติบโตสูงกว่าเดิมที่เน้น non food มาก่อน จนสามารถเพิ่ม margin การต่อรอง supplier ได้มากขึ้นด้วย และสร้างการเติบโตของ food ที่แข็งแกร่ง margin สูงกว่ามาก ใช้กินเป็นประจำ แถม cpf เป็นเจ้าตลาด food ระดับโลกที่สามารถทำ synergy ต้นทุนต่ำได้มากขึ้น
บทสรุปของผมคือ การพัฒนาขอบเขตความรู้จึงสำคัญมาก ไม่รู้ให้ถอย ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกธุรกิจให้ได้ เพราะความเสี่ยงมาจากสิ่งที่เราไม่รู้นั้นเอง เราต้องหาความรู้ก่อนลงทุน รู้จนกว่าเราจะรู้ธุรกิจอย่างลึกซึ่งเหมือนเป็นเจ้าของตัวจริงให้ได้ รู้ให้จริงตรวจสอบความรู้ด้วย ทฤษฎีการแกะรอย Scuttlebutt บ้าง ลด bias รักหุ้นเกินไป 555 ใช้ตามแนวอาจารย์ฟิลิปส์ฟิชเชอร์ยิ่งดี และประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพธุรกิจให้ได้ครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 8
ผมชอบข้อเขียนนี้ที่เอามาประกอบกับบทความพี่ nb
เพราะประวัติศาสตร์พฤติกรรมของมนุษย์มักมีโอกาสเกิดซ้ำกันครับ
http://thinkvalueinvestment.blogspot.co ... -post.html
เพราะประวัติศาสตร์พฤติกรรมของมนุษย์มักมีโอกาสเกิดซ้ำกันครับ
http://thinkvalueinvestment.blogspot.co ... -post.html
สิ่งสำคัญที่นักลงทุนทั้งหลายไม่พึงกระทำ
ในการลงทุนนั้น การหยุดการสั่งซื้อมีความสำคัญพอๆกับการสั่งซื้อ ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำจาก ฟิลิป ฟิชเชอร์ ในเรื่องที่คุณไม่พึงกระทำ
1.อย่าเน้นในเรื่องการกระจายความเสี่ยงมากจนเกินเหตุ
ที่ปรึกษาการลงทุนหลายๆคนและสื่อสารด้านการลงทุนได้อธิบายความถึงข้อดีของการกระจายตวามเสี่ยงโดยยกเอาประโยคที่น่าสนใจจดจำง่ายนี้ขึ้นมาพูดอยู่เสมอๆ " อย่าใส่ไข่หลายๆฟองของท่านไว้ในตระกร้าใบเดียว" อย่างไรก็ตาม ฟิชเชอร์ ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ท่านใส่ไข่หลายฟองของท่านไว้ในตระกร้าใบโน้นบ้างใบนี้บ้าง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าไข่ทั้งหมดทุกฟองจะอยู่ในที่ปลอดภัยดี อีกทั้งยังยากต่อการเฝ้าติดตามดูไข่ทุกฟองนั้น
ฟิชเชอร์,เป็นผู้ซึ่งถือหุ้นไม่เกิน 30 ตัวเป็นอย่างมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดของอาชีพ,มีคำตอบที่ดีกว่าดังนี้คือ ให้เสียสละเวลาค้นคว้าและทำความเข้าใจบริษัทหนึ่งๆอย่างถ้วนถี่และถ้าหากเป็นที่แน่ชัดว่าบริษัทดังกล่าวเข้าเกณฑ์ 15 ข้อที่เขาตั้งเป็นเกณฑ์กำหนดไว้ครบถ้วน คุณควรที่จะลงทุนในปริมาณมากๆ ฟิชเชอร์ เห็นด้วยกับคำพูดของ มาร์ค ทเวน ที่ว่า "ใส่ไข่ทั้งหมดทุกฟองของคุณไว้ในตระกร้าใบเดียว และเฝ้าดูแลตระกร้านั้นให้ดี"
2. อย่าแห่ตามฝูงชน
การเฮโลไปกับฝูงชนโดยลงทุนในหุ้นที่กำลังอยู่ในความนิยม อย่างเช่น หุ้นกลุ่ม"นิฟตี้ ฟิฟตี้"(หุ้น 50 ตัวที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบัน)ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี่ ในช่วงปลายทศวรรษปี 1990 เป็นอันตรายต่อสุขภาพการเงินของคุณได้ ในทางตรงกันข้าม การค้นคว้าหาข้อมูลในกลุ่มที่ฝูงชนละเลยไม่ให้ความสนใจก็สามารถสร้างผลกำไรให้สูงมากๆได้ ครั้งหนึ่ง เซอร์ ไอแซ๊ค นิวตัน เคยพูดยอมรับอย่างเศร้าใจว่า เขาสามารถที่จะคำนวณการเคลื่อนไหวของวัตถุต่างๆที่ตกมาจากท้องฟ้าได้ แต่กับความบ้าคลั่งของฝูงชนเขาไม่อาจจะทำได้ ฟิชเชอร์ต้องเห็นด้วยอย่างจริงใจกับคำกล่าวนี้
3. อย่าคิดเล็กคิดน้อย
หลังจากได้ศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวาง และคุณได้พบบริษัทที่คุณมั่นใจว่าจะเจริญเติบโตอย่างแน่นอนในช่วง 10 ปีข้างหน้า และราคาหุ้นปัจจุบันเสนอขายในราคาเหมาะสม คุณควรจะรอหรือละเว้นการลงทุนของคุณเพื่อให้ราคาลงมาต่ำกว่าที่เป็นอยู่ขณะนั้นอีกซักไม่กี่เพนนีดีกว่า?
ฟิชเชอร์ได้เล่าให้ฟังเรื่องนักลงทุนที่ชำนิชำนาญคนหนึ่งที่ต้องการจะซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่งซึ่งในวันนั้นราคาหุ้นปิดที่ 35.5 เหรียญต่อหุ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนผู้นี้ตั้งใจว่าจะไม่ซื้อหุ้นตัวนั้นจนกว่าราคาจะลดลงมาอยู่ที่ 35 เหรียญ หุ้นตัวนี้ไม่เคยมีราคาต่ำกว่า 35 เหรียญอีกเลยหลังจากนั้น และต่อมาอีก25 ปีมูลค่าของหุ้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 500 เหรียญต่อหุ้น นักลงทุนผู้นี้พลาดโอกาสที่จะได้ส่วนต่างราคาที่มากมายมหาศาลไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่ต้องการประหยัดต้นทุนอีก 50 เซนต์ต่อหุ้น
แม้แต่วอร์เร็น บัฟเฟตต์เองก็มักจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดทางจิตใจในแบบนี้เช่นกัน บัฟเฟตต์ เคยเริ่มซื้อวอลมาร์ท เมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น แต่ก็หยุดซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย บัฟเฟตต์ยอมรับว่าความผิดพลาดอันนี้ทำให้เบิร์กชัวร์ แฮทธาเวย์สูญเสียกำไรที่ควรจะเป็นไปราว 1 หมื่นล้านเหรียญ แม้แต่นักทำนายผู้ปราดเปรื่องแห่งโอมาฮา ยังน่าได้รับประโยชน์จากข้อแนะนำของฟิชเชอร์ข้อนี้ที่ว่าอย่าคิดเล็กคิดน้อย
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 10
อ่านมาหลายครั้งเลยครับ ข้อเขียนของปรมาจารย์ Philip fisher. ยังไม่กระจางนักครับในข้อ
ที่ 2 คือให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่สถาบันที่เป็นที่นิยมคือหุ้น fifty nifty. ที่เริ่มมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามความเห็น
ของผมหุ้นค้าปลีก โรงพยาบาล ต่างๆ ณ เวลาตอนนี้ก็เป็นหุ้น nifty fifty. ไปแล้วคือเป็นที่นิยมของสถาบัน
และกองทุนต่างๆ ที่ต้องมีกันทุกกองทุน. แต่ความจริงก็คือมันก็ยังมีการเติบโตอยู่ ทำให้ราคาสามารถแพงแล้ว
แพงอีกดูเหมือนจะเป็น infinity. ทำให้มันไม่สามารถมองว่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงดีหรือไม่ควรหลีกเลี่ยง
คือยากจะจะตัดสินใจบ้างครั้งการตามฝูงชนก็อาจจะถูกก็ได้ครับ ไม่น่าจะผิดหมดหรือเปล่า
ผมเข้าใจเองว่าแม้กิจการจะเทพแค่ไหน แต่คงไม่พ้นวัฎจักรเกิดแก่เจ็บตาย เพียงแต่หุ้นที่เป็น super stock
อาจที่จะมีวัฎจักรการดำรงอยู่ที่ยาวนานกว่ากิจการอื่นๆ เท่านั้นเอง
ท่านใดที่สามารถอธิบายเกี่ยวกับข้อ 2 ของอ.ฟิชเชอร์ ช่วยไขความกระจ่างด้วยจะเป็นพระคุณครับ
ที่ 2 คือให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่สถาบันที่เป็นที่นิยมคือหุ้น fifty nifty. ที่เริ่มมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามความเห็น
ของผมหุ้นค้าปลีก โรงพยาบาล ต่างๆ ณ เวลาตอนนี้ก็เป็นหุ้น nifty fifty. ไปแล้วคือเป็นที่นิยมของสถาบัน
และกองทุนต่างๆ ที่ต้องมีกันทุกกองทุน. แต่ความจริงก็คือมันก็ยังมีการเติบโตอยู่ ทำให้ราคาสามารถแพงแล้ว
แพงอีกดูเหมือนจะเป็น infinity. ทำให้มันไม่สามารถมองว่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงดีหรือไม่ควรหลีกเลี่ยง
คือยากจะจะตัดสินใจบ้างครั้งการตามฝูงชนก็อาจจะถูกก็ได้ครับ ไม่น่าจะผิดหมดหรือเปล่า
ผมเข้าใจเองว่าแม้กิจการจะเทพแค่ไหน แต่คงไม่พ้นวัฎจักรเกิดแก่เจ็บตาย เพียงแต่หุ้นที่เป็น super stock
อาจที่จะมีวัฎจักรการดำรงอยู่ที่ยาวนานกว่ากิจการอื่นๆ เท่านั้นเอง
ท่านใดที่สามารถอธิบายเกี่ยวกับข้อ 2 ของอ.ฟิชเชอร์ ช่วยไขความกระจ่างด้วยจะเป็นพระคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2545
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 11
ผมคิดว่าเป็นการยกตัวอย่างให้ระวัง คือ หุ้นใดก็ตามที่มีฝูงชนเข้ามาสนใจและดันราคาหุ้นจนเกินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงไปมากมาย คนซื้อคิดว่าหุ้นที่ซื้อจะเป็นอมตะนิรันทร์ ขึ้นได้ต่อเนื่องไม่มีวันเป็นพระอาทิตย์ตกดินครับ ถือไโดยไม่ต้องสนใจมูลค่าหุ้นที่แท้จริง จน pe ขึ้นไปเป็น 100 เท่าก็มี หรือ ช่วงที่มีการบูมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในเวลาต่อมา ธุรกิจยังไม่มีกำไรหลายปี เพียงโตที่ยอดขายต่อเนื่อง ก็ดันราคาขึ้นไปสูง ๆ เพราะคาดการณ์อนาคตสวยหรูมาก เป็นต้นso simple เขียน:อ่านมาหลายครั้งเลยครับ ข้อเขียนของปรมาจารย์ Philip fisher. ยังไม่กระจางนักครับในข้อ
ที่ 2 คือให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่สถาบันที่เป็นที่นิยมคือหุ้น fifty nifty. ที่เริ่มมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามความเห็น
ของผมหุ้นค้าปลีก โรงพยาบาล ต่างๆ ณ เวลาตอนนี้ก็เป็นหุ้น nifty fifty. ไปแล้วคือเป็นที่นิยมของสถาบัน
และกองทุนต่างๆ ที่ต้องมีกันทุกกองทุน. แต่ความจริงก็คือมันก็ยังมีการเติบโตอยู่ ทำให้ราคาสามารถแพงแล้ว
แพงอีกดูเหมือนจะเป็น infinity. ทำให้มันไม่สามารถมองว่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงดีหรือไม่ควรหลีกเลี่ยง
คือยากจะจะตัดสินใจบ้างครั้งการตามฝูงชนก็อาจจะถูกก็ได้ครับ ไม่น่าจะผิดหมดหรือเปล่า
ผมเข้าใจเองว่าแม้กิจการจะเทพแค่ไหน แต่คงไม่พ้นวัฎจักรเกิดแก่เจ็บตาย เพียงแต่หุ้นที่เป็น super stock
อาจที่จะมีวัฎจักรการดำรงอยู่ที่ยาวนานกว่ากิจการอื่นๆ เท่านั้นเอง
ท่านใดที่สามารถอธิบายเกี่ยวกับข้อ 2 ของอ.ฟิชเชอร์ ช่วยไขความกระจ่างด้วยจะเป็นพระคุณครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ เคยเขียนไว้ว่า บางทีนักลงทุนสถาบันก็ติดกักดักนี้ เช่น ลงทุนหุ้น ibm นั้น ซึ่งทุกกองทุนสถาบันต่างก็ต้องมีหุ้นนี้ติดใน port ไม่ว่าจะราคาเท่าใดก็ตาม หากตัวนี้เกิดขาดทุนขึ้นมา ก็ตายหมู่ แต่คนทั่วไปจะมองว่าเป็นความโชคร้าย ไม่ใช่เป็นเรื่องฝีมือการบริหาร เพราะทุกคนคิดเหมือนกันหมดว่าเป็นหุ้นที่ดี แต่หากผู้บริหารกองทุนใดไปลงหุ้นที่ไม่เป็นที่นิยมและเกิดขาดทุน อาจถูกลงโทษว่าบริหารไม่มีฝีมือ ทำให้ผู้บริหารกองทุนสถาบันส่วนใหญ่มักจะเลือกหุ้นตาม ๆ กัน ซึ่งไม่ถูกต้อง
มีกรณีตัวอย่างเรื่องดอกทิวลิป ที่มีการซื้อขายจนเกินราคาไปมากเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง
อาจารย์ ฟิชเชอร์ จึงเตือนผู้ลงทุนอย่าลงทุนตามฝูงชนโดยไม่มีการประเมินมูลค่าที่แท้จริงก่อนลงทุนนั้นเองครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 12
ถ้าเทียบ "ราคา" เกินครึ่งของหุ้นในตลาด
ราคาขึ้นไปโดยที่ไม่ได้ซื้อทั้งนั้นแหละ
มองตัวกิจการ-ผลประกอบการ ยังไม่น่าจะมีตกรถสักกี่ตัว
ส่วนตัวมองว่า ส่วนใหญ่ "ราคาเว่อร์" ทั้งนั้น
แนวคิด มุมมอง
https://www.facebook.com/pages/Prichar- ... 0152437577
ราคาขึ้นไปโดยที่ไม่ได้ซื้อทั้งนั้นแหละ
มองตัวกิจการ-ผลประกอบการ ยังไม่น่าจะมีตกรถสักกี่ตัว
ส่วนตัวมองว่า ส่วนใหญ่ "ราคาเว่อร์" ทั้งนั้น
แนวคิด มุมมอง
https://www.facebook.com/pages/Prichar- ... 0152437577
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 15
การต่อราคาหุ้นดีหรือหุ้นกำลังจะดี เป็นทุกข์อย่างยิ่งครับ
ปีนี้ผมก็ต่อราคาหลายหุ้นครับ ที่เจ็บสุดคือ APCO ว่าจะต่อที่10บาท สุดท้ายได้นั่งดูการโชว์ 2 ลิ่งในเวลาไล่เลี่ยกันแทนครับ
ปีนี้ผมก็ต่อราคาหลายหุ้นครับ ที่เจ็บสุดคือ APCO ว่าจะต่อที่10บาท สุดท้ายได้นั่งดูการโชว์ 2 ลิ่งในเวลาไล่เลี่ยกันแทนครับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 17
ในมุมของผม การต่อราคาก็คือการมองเผื่อ Mos ของเรา
ถ้าต่อมากแปลว่าเผื่อ Mos มาก
ถ้าต่อน้อยก็คือเผื่อความเสี่ยงไว้น้อย
ถ้าตั้งราคาต่อรองไว้บ่อยๆแล้วมันไม่ลงมาถึงซะที แล้วมันกลับไปวิ่ง
ขึ้นหลายๆตัว แบบนี้ผมว่าต้องมามอง Mos ที่เราต่อแล้วครับว่ามันมากไปหรือเปล่า
แล้วถ้าปรับ Mos ให้น้อยลง ความเสี่ยงมันก็จะสูงขึ้น ผลตอบแทนที่คาดหวังก็จะน้อยลง
เรายอมรับตรงจุดนั้นได้หรือเปล่า ถ้ายอมรับได้ ผมคิดว่ายอมลด Mos ตัวเอง
ลงก็ไม่ผิดนะครับ แต่ถ้าเราลด Mos ลงแล้วเกิดผลตอบแทนไม่ได้ตามคาดหวัง
แล้วเราต้องมานั่งอมทุกข์กับการลงทุนนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะไปนั่งเสียดาย
กับการที่เราไม่ยอมซื้อตอนที่ราคามันยังลงมาไม่ถึง Mos ที่เราตั้งไว้นี่ครับ
เคยได้ยินว่ามีคนกล่าวไว้(ใครไม่รู้ผมจำไม่ได้แล้ว)
"เสียดายที่ไม่ได้ซื้อ ดีกว่า เสียใจที่ลงทุนผิดพลาด" ครับ...^^)
ปล. แต่ของผมแปลกเวลาประเมินราคาทีไร ได้มูลค่าสูงกว่าราคาที่
ผมตั้ง Mos ไว้เสมอ หรือเราให้ Mos น้อยไปหว่า โหะโหะ...^^)
ถ้าต่อมากแปลว่าเผื่อ Mos มาก
ถ้าต่อน้อยก็คือเผื่อความเสี่ยงไว้น้อย
ถ้าตั้งราคาต่อรองไว้บ่อยๆแล้วมันไม่ลงมาถึงซะที แล้วมันกลับไปวิ่ง
ขึ้นหลายๆตัว แบบนี้ผมว่าต้องมามอง Mos ที่เราต่อแล้วครับว่ามันมากไปหรือเปล่า
แล้วถ้าปรับ Mos ให้น้อยลง ความเสี่ยงมันก็จะสูงขึ้น ผลตอบแทนที่คาดหวังก็จะน้อยลง
เรายอมรับตรงจุดนั้นได้หรือเปล่า ถ้ายอมรับได้ ผมคิดว่ายอมลด Mos ตัวเอง
ลงก็ไม่ผิดนะครับ แต่ถ้าเราลด Mos ลงแล้วเกิดผลตอบแทนไม่ได้ตามคาดหวัง
แล้วเราต้องมานั่งอมทุกข์กับการลงทุนนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะไปนั่งเสียดาย
กับการที่เราไม่ยอมซื้อตอนที่ราคามันยังลงมาไม่ถึง Mos ที่เราตั้งไว้นี่ครับ
เคยได้ยินว่ามีคนกล่าวไว้(ใครไม่รู้ผมจำไม่ได้แล้ว)
"เสียดายที่ไม่ได้ซื้อ ดีกว่า เสียใจที่ลงทุนผิดพลาด" ครับ...^^)
ปล. แต่ของผมแปลกเวลาประเมินราคาทีไร ได้มูลค่าสูงกว่าราคาที่
ผมตั้ง Mos ไว้เสมอ หรือเราให้ Mos น้อยไปหว่า โหะโหะ...^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 3404
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 18
จากที่อ่านมา ส่วนใหญ่วิเคราะห์ถูก แต่ไม่กล้าเข้า เนื่องด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่? ต่อไปถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปช่วยPM บอกผมหน่อยว่ากำลังต่อราคาตัวไหนอยู่ จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ
ในเกมการเงิน อะไรที่ไม่รู้ คือ ความเสี่ยง
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 19
ส่งต่อผมด้วยคนนะครับACME49 เขียน:จากที่อ่านมา ส่วนใหญ่วิเคราะห์ถูก แต่ไม่กล้าเข้า เนื่องด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่? ต่อไปถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปช่วยPM บอกผมหน่อยว่ากำลังต่อราคาตัวไหนอยู่ จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- 6666666v
- Verified User
- โพสต์: 1089
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 21
ถ้า พอร์ทไม่ได้หลักหลายสิบล้าน เรื่องสภาพคล่องก็ไม่น่าจะเป็นปันหานะครับGUI เขียน:สอบถามครับ
Makro ตอนนี้มี Free float แค่ 2.12% เอง ซื้อขายกันวันละนิดหน่อยเอง ไม่น่าจะเข้าหลักการเลือกหุ้นของชาว VI นะครับ
I Like To Invest.
-
- Verified User
- โพสต์: 137
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 23
ของผมมีตามนี้ครับ
BEAUTY - ต่อราคาประมาณอีกเกือบ 1 บาท จากราคา Low หลัง IPO
ตัวนี้ผมลงทุนไปเปิดบัญชีกับ Phillips เพื่อให้ได้สิทธิ์ Lucky Draw 3,000 หุ้นด้วย แต่โชคไม่ดีครับ
ตอนนี้ผมเป็นสมาชิก Beauty Buffet ด้วยนะ 55555555
ICHI - ต่อเหมือนกัน แล้วก็ไม่ได้ซื้อ
สรุปว่าหุ้นที่ IPO ช่วงที่ผ่านมาได้ซื้อ MC ตัวเดียวครับ เพราะลงมาต่ำกว่าราคา IPO และเข้าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
ซื้อแล้วลงต่อด้วย 555555555555
BEAUTY - ต่อราคาประมาณอีกเกือบ 1 บาท จากราคา Low หลัง IPO
ตัวนี้ผมลงทุนไปเปิดบัญชีกับ Phillips เพื่อให้ได้สิทธิ์ Lucky Draw 3,000 หุ้นด้วย แต่โชคไม่ดีครับ
ตอนนี้ผมเป็นสมาชิก Beauty Buffet ด้วยนะ 55555555
ICHI - ต่อเหมือนกัน แล้วก็ไม่ได้ซื้อ
สรุปว่าหุ้นที่ IPO ช่วงที่ผ่านมาได้ซื้อ MC ตัวเดียวครับ เพราะลงมาต่ำกว่าราคา IPO และเข้าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
ซื้อแล้วลงต่อด้วย 555555555555
-
- Verified User
- โพสต์: 1474
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
โพสต์ที่ 24
การต่อราคาจะใช้ได้ผลในช่วงที่หุ้นขึ้นไปมากๆแล้ว ไม่แนะนำให้ต่อในช่วงที่ราคาลดลงมามาก เพราะเสี่ยงต่อการตกรถตกเรือได้ครับ
ถ้า upsideเหลือ ไม่มาก ต่อราคาถือว่าจำเป็น ถ้า Upside>50% อย่าต่อราคาครับ ไม่งั้นตกรถตกเรือแน่นอนครับพี่ NB
ถ้าเราพิจารณาแล้ว ราคาลดลงมามากเพราะเหตุที่เกิดครั้งเดียว อย่างน้ำท่วม หรือ EUแบนสินค้า หรือ ส่งออกไม่ดี แต่ไม่ได้เป็นปัญหาที่การแข่งขัน
ลงมาน่าซื้อครับ ต่อนิดๆหน่อยได้ แต่อย่าต่อเยอะเพราะ ลดมาเยอะแล้ว เหมือนเดินไปเจอร้านลดแกรนด์เซลล์
แต่ถ้าเกิดจากการแข่งขันไม่ได้ หุ้นแบบนี้ อย่าไปต่อครับ และอย่าไปซื้อ หมดตัว
หุ้นอีกประเภทที่ไม่ควรต่อราคา คือ หุ้นคอมโมดิตี้ยามเขื่อนแตก เพราะ เมื่อไหร่ที่เขื่อนแตก แม้แต่ช้างก้ลอยขึ้นไปได้ครับ
ถ้า upsideเหลือ ไม่มาก ต่อราคาถือว่าจำเป็น ถ้า Upside>50% อย่าต่อราคาครับ ไม่งั้นตกรถตกเรือแน่นอนครับพี่ NB
ถ้าเราพิจารณาแล้ว ราคาลดลงมามากเพราะเหตุที่เกิดครั้งเดียว อย่างน้ำท่วม หรือ EUแบนสินค้า หรือ ส่งออกไม่ดี แต่ไม่ได้เป็นปัญหาที่การแข่งขัน
ลงมาน่าซื้อครับ ต่อนิดๆหน่อยได้ แต่อย่าต่อเยอะเพราะ ลดมาเยอะแล้ว เหมือนเดินไปเจอร้านลดแกรนด์เซลล์
แต่ถ้าเกิดจากการแข่งขันไม่ได้ หุ้นแบบนี้ อย่าไปต่อครับ และอย่าไปซื้อ หมดตัว
หุ้นอีกประเภทที่ไม่ควรต่อราคา คือ หุ้นคอมโมดิตี้ยามเขื่อนแตก เพราะ เมื่อไหร่ที่เขื่อนแตก แม้แต่ช้างก้ลอยขึ้นไปได้ครับ