หนี้ครัวเรือนพุ่งสัญญาณ NPL เพิ่ม

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
nACrophiles_117
Verified User
โพสต์: 1362
ผู้ติดตาม: 0

หนี้ครัวเรือนพุ่งสัญญาณ NPL เพิ่ม

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หนี้ครัวเรือนพุ่งสัญญาณ NPL เพิ่ม แบงก์หยุดปล่อยกู้สกัดวิกฤตลาม

สถานการณ์ระดับหนี้ครัวเรือนในระบบปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมในปี 56 ในไตรมาส 1-3 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 77.6% 79.2% และ 80.1% ตามลำดับ ล่าสุดขยับอยู่ที่ระดับ 82.3% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เป็นผลจากการขยายตัวหนี้ครัวเรือนยังอยู่ระดับสูงกว่าการขยายตัวเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจชะลอตัวมาก
       
        ต้นตอสำคัญ คือ การขยายตัวหนี้ครัวเรือน(เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน) ล่าสุดไตรมาส 4 ของปี 56 มียอดคงค้างทั้งสิ้น 9.79 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนเกิดจากสถาบันการเงินรับฝากเงินมียอดคงค้างในระบบ 8.52 ล้านล้านบาท และสถาบันการเงินอื่นมียอดคงค้างทั้งสิ้น 1.27 ล้านล้านบาท พบว่า ในกลุ่มสถาบันการเงินรับฝากเงิน ธนาคารพาณิชย์มียอดคงค้างเงินให้กู้แก่ครัวเรือน 4.17 ล้านล้านบาท สถาบันการเงินเฉพาะกิจ 2.89 ล้านล้านบาท สหกรณ์ออมทรัพย์ 1.46 ล้านล้านบาท และบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 2.86 พันล้านบาท
       
        ขณะที่สถาบันการเงินอื่น เกิดจากบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล 1.05 ล้านล้านบาท บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันภัยและประกันวินาศภัย 7.91 หมื่นล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ 4.87 หมื่นล้านบาท กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(กองทุนฟื้นฟูฯ) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม 8.53 พันล้านบาท
       
        บริษัทบริหารสินทรัพย์ และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย 2.57 หมื่นล้านบาท สถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร สถานธนานุบาลภูมิภาค สถานธนานุเคราะห์ และโรงรับจำนำเอกชน 5.71 หมื่นล้านบาท ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มียอดหนี้ครัวเรือนลดลง 1.33 พันล้านบาทและ 1.22 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตามลำดับ
       
        นอกจากนี้ สภาพคล่องของภาคครัวเรือนปรับตัวลดลง สะท้อนจากสินทรัพย์ทางการเงินของหนี้ครัวเรือนที่ลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดไตรมาส 3 ของปีก่อนอยู่ที่ 201.7% เทียบไตรมาสก่อน 209.4% มีแนวโน้มลดลง เพราะรายได้ลดลงและก่อหนี้มากขึ้น ทำให้เหลือเงินสดไม่มาก อีกทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลง สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-3 เดือน พบว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปีก่อน สินเชื่ออุปโภคบริโภคของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 5.7% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ระดับ 5.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นสำคัญ อยู่ที่ระดับ 9.7% จากไตรมาสก่อน 8.8% ถือว่าสูงสุดในกลุ่มสินเชื่ออุปโภคบริโภค
       
       “ระดับรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน ซึ่งมีภาระหนี้สูงอยู่แล้วจากที่ได้เร่งตัวไปมากในช่วงก่อนหน้าอาจก่อให้เกิดความเปราะบางแก่ภาคครัวเรือนในอนาคตได้”**ความห่วงใยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ บอร์ดกนง. ระบุไว้ในรายงานนโยบายการเงินล่าสุดฉบับเดือน มี.ค.57
       
        ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ กล่าวว่า ระดับหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นผิดสังเกตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จากสัดส่วน 50-60% กระโดดมาอยู่ที่กว่า 80% ในปัจจุบัน ถือว่าเติบโตเร็วมาก ขณะที่หนี้ภาครัฐมองว่ายังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และถ้าจัดการดีก็ยังสามารถชดใช้คืนได้ เช่นเดียวกับหนี้ภาคเอกชน ขณะนี้ระดับหนี้ก็ยังดีกว่า เมื่อเทียบกับช่วงปี 40 ซึ่งระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้แบงก์ชาติไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ลงได้เมื่อต้นปีก่อน เพราะยิ่งทำให้หนี้เร่งตัวขึ้นอีก
       
        หลังจากกลางปี 56 เป็นต้นมา อัตราการก่อหนี้ชะลอตัวลงอย่างนัยสำคัญ โดยหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะสินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวเลข 2 หลัก บางประเภทอย่างสินเชื่อรถยนต์เดิมโต 20-30% ระยะหลังเหลือเพียง 10% ส่วนหนึ่งการสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรก อีกทั้งก่อนหน้านี้ครัวเรือนมีภาระหนี้เป็นจำนวนสูงอยู่แล้ว จึงได้ชะลอการใช้จ่ายลง แต่เมื่อเจาะลึกลงไป ในทางกลับกัน พบว่า เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมากกว่าระดับหนี้ครัวเรือน ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง
       
        “หนี้ครัวเรือนของประเทศไทย กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงก็ไม่มีปัญหา แต่กลุ่มที่มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน อาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ และยอมรับว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอาจจะกระทบสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้รับฝากเงินในระบบบ้าง แต่ไม่น่ากังวล เพราะหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่เกิดจากบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน(นอนแบงก์)ปล่อยกู้ให้ผู้มีรายได้ต่ำมากกว่า ทำให้ขณะนี้ภาคครัวเรือนและสถาบันการเงินต่างระมัดระวังเรื่องนี้ รวมถึงแบงก์ชาติได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด”ผู้ว่าการแบงก์ชาติกล่าว
       
        ผู้บริหารแบงก์ชาติรายหนึ่ง กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ในระบบเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยกู้มากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อใหม่ สะท้อนจากการขยายตัวสินเชื่อเริ่มชะลอลงมาหลายไตรมาสจากระดับ 14-15% ลดลงเหลือ 11% ณ สิ้นปีก่อน ล่าสุดเหลือ 8-9% อีกทั้งแนวโน้มในไตรมาส 2 ของปีนี้ยังชะลอตัวลงเรื่อยๆ ซึ่งในปีนี้ทุกธนาคารเองมีการปรับเป้าสินเชื่อลง อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไทยโตกว่า 2% ปกติสินเชื่อโตไม่เกินเท่าตัว จึงคาดว่าสินเชื่อปีนี้จะโตได้ 6-7% ขณะเดียวกันเมื่อภาระหนี้เพิ่มขึ้น ทำให้กำลังกู้ใหม่น้อยลง ทำให้ลูกหนี้ระมัดระวังการกู้ยืมเช่นกัน
       
        อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย สร้างประโยชน์ให้คนมีโอกาส มีต้นทุนทางการเงินถูกลง และสามารถมีช่องทางหารายได้เพิ่มขึ้นจากเงินได้รับ ขณะเดียวกันเหมือนดาบสองคม คนอาจไม่มีวินัยทางการเงินก่อให้หนี้เพิ่มขึ้นได้ด้วย ฉะนั้น การดำเนินการทำอะไรต้องคำนึงผลดี ผลเสียในอนาคต รวมถึงรู้จักประมาณตนถึงความพอดีด้วย

เรียนขอความรู้ครับ ว่าเพื่อนๆพี่ๆมีความเห็นอย่างไรกับข่าวนี้ครับ
labor omnia vincit
โพสต์โพสต์