Mr. Market
Mr. Market หรือนายตลาด นั้น คือ ตัวแทน ของ ดัชนี หรือ ราคาหุ้น ที่ เบนจามิน เกรแฮม บิดา แห่ง Value Investment ใช้เรียกแทน ความผันผวน ของ ดัชนี หรือ ราคา เนื่องจากลักษณะ ของ นายตลาด นั้น เป็นคนที่มีอารมณ์ ไม่แน่นอน บางวัน อารมณ์ดีก็ดีอย่างสุดใจหาย พร้อมขาย หุ้น ให้ นักลงทุน ในราคา แสนแพง PE 20-30เท่า++ ส่วนบางวัน อารมณ์เศร้า ก็ เศร้า อย่างน่าตกใจ ก็พร้อม ขายหุ้นในราคาลด อย่างน่าใจหาย เช่นกัน
สรุป นายตลาด นั้น เป็น คนที่วิกลจริต ซึ่งในเมื่อ Game หุ้น ราคาตลาด นั้น นายตลาด เป็น คนกำหนด ราคา ที่จะขายให้ นักลงทุน ดังนั้น เบนจามิน เกรแฮม จึง สอนไว้ว่า เราควรหาประโยชน์จาก นายตลาด ให้มากที่สุด ซึ่ง ล่าสุด วันที่ 3-1-2557 นั้น นายตลาดนั้น ได้ มีอารมณ์ เศร้ามอง อย่างน่าใจหาย ทำให้ SET Index ตกลงมาซื้อขาย แถวๆ 1224 จุด คิด Forward PE ตลาด จาก EPS ตลาด 2557 Forecast Bloomberg ที่ 112 อยู่ที่ 10.98 เท่า และ ราคาหุ้น ในตลาด หลายตัว ได้ปรับลด จน มี yield เกิน 6%-7% เช่น ตย tvo lst advance intuch dcc ticon ait ai jas etc แล้ว ซึ่ง ถือ ว่า เริ่ม ไม่แพงในการลงทุน แล้ว ดังนั้นผมคิดว่านักลงทุน ควรใช้ โอกาสที่นายตลาด เศร้ามอง นั้น เฟ้น หาหุ้นในการลงทุน เพราะนี่คือ โอกาส ที่จะ ต่อ ราคา หรือ ปรับ Port และ เมื่อดัชนี กลับไปซื้อขาย ที่ PE ระดับ สูงกว่า15X หรือ ตลาดให้ผลตอบแทนน้อยกว่า 100/15 = 6.6% ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ของนายตลาด นั้น เราค่อยหาโอกาส ในการ ทยอย ขายหุ้น ที่เริ่มแพง ออกได้ และ ถือเงินสด บางส่วน หากเราชื่อใน หลัก Value Investment ที่ว่า ราคาจะกลับเข้า “มูลค่าที่แท้จริง” เสมอ ซึ่งมูลค่าที่แท้จริง นั้น ของ แต่ละท่านก็แตกต่างตาม ผลตอบแทนที่คาดหวัง อย่างไรก็ตามการตกลงของ ดัชนี หุ้น จาก 1650 จุด ซึ่ง Peak เมื่อกลางปี 2556 นั่นเป็นเรื่อง ปกติ ตาม กลไกล ตลาด ที่จะปรับลดลง แต่ในระยาว แล้ว ราคาหุ้น จะทำ new high เสมอ ลองไป ดู หุ้น สมัย ปี 2547 หลังการปรับตัวลง ของ SET จาก 795 จุด เหลือ 550 จุดกว่า เมื่อต้นปี 2547 หุ้นใน SET 50 สมัยนั้น ผ่านมา 10 ปี ราคาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 เท่า หรือ หลัง Subprime Crisis ปี 2551 ราคาหุ้นหลายตัวขึ้นมากกว่า 5 เท่าจาก จุดต่ำสุด ในเมื่อ เราจะลงทุนในตลาด อีก นาน เราจึงไม่สามารถลีกเลี่ยงการตกลง ของตลาด หุ้นได้
สิ่งที่เหมือนกันอย่าง 1 นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน แม้ Style การลงทุนแตกต่างกัน เช่น Peter Lynch, Bill Miller, Warren Buffet ,George Soros, Mark Mobius etc นั้นล้วน หาผลประโยชน์ จาก นายตลาด ทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงไม่ควรให้นายตลาด ปั่นหัว เราจากความกลัวของเค้า และทำให้เรา ขายหุ้น ของเราที่เราวิเคราะห์แล้วว่าดี ในราคาถูก ตามอารมณ์เค้า แต่ กลับควรใช้ โอกาสนี้ในการ เลือกหุ้น ต่อราคา และ ซื้อเมื่อยาม ที่ นายตลาดเศร้าหมองและขายหุ้นในราคา Grand Sale เช่นนี้
หมายเหตุ : 1 หุ้นที่เขียนมาเพื่อยกตัวอย่างเท่านั้นนะครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อชี้นำให้ ซื้อ ถือ ขาย หลักทรัพย์ ดังกล่าวใดๆทั้ง
สิ้น 2 ให้ Check Earning ของ หุ้นเสมอ เพราะที่ ตัวเลข แค่ ยกตัวอย่างเท่านั้น หาก Earning หุ้น ที่เราลงทุน ลด หรือ เพิ่ม ก็ส่ง ผลให้ Dividend Yield เพิ่ม หรือ ลด ตาม ด้วย
3 Bloomberge Consensus นั้น Analysts มีโอกาส เปลี่ยนแปลง ได้ ขึ้น กับ GDP Economicและ ปัจจัย ใน ประเทศ
http://valuespeculator.blogspot.com/