POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 1
ทำเป็น poll ดีกว่าครับ เผื่อจะได้เห็นภาพรวมของคนทุกคนด้วย
ใครมีแง่คิดอะไรก็เชิญเลยครับ
สำหรับผมคิดว่าปีนี้เป็นปีที่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกท่าน
ใครที่อยู่ตลาดนานแล้ว ก็อาจจะได้รับบรรยากาศเก่า ๆ รู้สึกธรรมดากับสิ่งที่เห็น แต่ก็เริ่มไม่ชินเพราะหุ้นวิ่งมายาวนานเหลือเกิน
ใครที่เพิ่งเข้าตลาด นี่คือประสบการณ์ตลาดหุ้นจริง ๆ ที่มีกระทิงและมีหมี คู่กันเสมอ ๆ
แนวคิดสำคัญคือ
1. อย่าคิดว่า valuation ไม่จำเป็น และอย่ามาใส่ pe ซี๊ซั๊ว 10 เท่า 15 เท่า 20 เท่า 30 เท่า 40 เท่า ใส่กันเองทั้งนั้น
2. อย่าหวังกำไรที่มา one time แล้วหวังว่าหุ้นวิ่ง แล้วจะโดดลง
3. อย่าตั้งความฝันที่สวยหรู กับการเติบโต แบบไม่ปกติ โครงการใหม่ ๆ มาพร้อมความเสี่ยงและโอกาสเสมอ
4. สภาวะที่น้ำขึ้น บริษัทธรรมดา ๆ ก็เป็นบริษัทชั้นเลิศ (ชั่วคราว) ได้
5. หุ้นเขาเล่าเขาบอก อย่าเลย เจ็บต้องรู้จักจำ
6. โลกไม่ได้แย่เสมอไป อะไรที่ดูดีในวันนี้ อาจจะแย่ในวันข้างหน้า อะไรที่แย่ในวันนี้ อาจจะดูดีในวันข้างหน้าก็ได้
การลงทุนยาวนานครับ ไม่มีใครทำธุรกิจปีสองปีแล้วเลิกหรอกครับ (ยกเว้นเจ๊งเสียก่อน)
ให้กำลังใจทุกท่าน และสวัสดีปีใหม่ครับ
ใครมีแง่คิดอะไรก็เชิญเลยครับ
สำหรับผมคิดว่าปีนี้เป็นปีที่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกท่าน
ใครที่อยู่ตลาดนานแล้ว ก็อาจจะได้รับบรรยากาศเก่า ๆ รู้สึกธรรมดากับสิ่งที่เห็น แต่ก็เริ่มไม่ชินเพราะหุ้นวิ่งมายาวนานเหลือเกิน
ใครที่เพิ่งเข้าตลาด นี่คือประสบการณ์ตลาดหุ้นจริง ๆ ที่มีกระทิงและมีหมี คู่กันเสมอ ๆ
แนวคิดสำคัญคือ
1. อย่าคิดว่า valuation ไม่จำเป็น และอย่ามาใส่ pe ซี๊ซั๊ว 10 เท่า 15 เท่า 20 เท่า 30 เท่า 40 เท่า ใส่กันเองทั้งนั้น
2. อย่าหวังกำไรที่มา one time แล้วหวังว่าหุ้นวิ่ง แล้วจะโดดลง
3. อย่าตั้งความฝันที่สวยหรู กับการเติบโต แบบไม่ปกติ โครงการใหม่ ๆ มาพร้อมความเสี่ยงและโอกาสเสมอ
4. สภาวะที่น้ำขึ้น บริษัทธรรมดา ๆ ก็เป็นบริษัทชั้นเลิศ (ชั่วคราว) ได้
5. หุ้นเขาเล่าเขาบอก อย่าเลย เจ็บต้องรู้จักจำ
6. โลกไม่ได้แย่เสมอไป อะไรที่ดูดีในวันนี้ อาจจะแย่ในวันข้างหน้า อะไรที่แย่ในวันนี้ อาจจะดูดีในวันข้างหน้าก็ได้
การลงทุนยาวนานครับ ไม่มีใครทำธุรกิจปีสองปีแล้วเลิกหรอกครับ (ยกเว้นเจ๊งเสียก่อน)
ให้กำลังใจทุกท่าน และสวัสดีปีใหม่ครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 3
แก้ล่ะ ขอบคุณครับ คือเล่นมาสิบปี ไม่เคยตั้งเบย อิอิ
เอาสนุก ๆ นะครับ วัตถุประสงค์ ผมว่าคือการถ่ายทอดประสบการณ์มากกว่าครับ
เอาสนุก ๆ นะครับ วัตถุประสงค์ ผมว่าคือการถ่ายทอดประสบการณ์มากกว่าครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 4
ลงทุนมา ได้เพียง 3 ปีเต็ม พึ่งเข้าใจว่าตลาด super กระทิงเป็นอย่างไร
ทำให้ปีนี้ได้ผลตอบแทนดีกว่าเป้าหมายพอสมควรเลยครับ...
ขอสะสมประสบการณ์อีกซัก 7 ปีครับ
+ ตั้งเป้าโพสใน ThaiVI ให้ได้ซัก 10,000 โพส
ทำให้ปีนี้ได้ผลตอบแทนดีกว่าเป้าหมายพอสมควรเลยครับ...
ขอสะสมประสบการณ์อีกซัก 7 ปีครับ
+ ตั้งเป้าโพสใน ThaiVI ให้ได้ซัก 10,000 โพส
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 5
ปีหน้าข้าพเจ้าสัญญาว่าจะลอกหุ้นน้องก้องอย่างเดียวเบยkongkiti เขียน:ลงทุนมา ได้เพียง 3 ปีเต็ม พึ่งเข้าใจว่าตลาด super กระทิงเป็นอย่างไร
ทำให้ปีนี้ได้ผลตอบแทนดีกว่าเป้าหมายพอสมควรเลยครับ...
ขอสะสมประสบการณ์อีกซัก 7 ปีครับ
+ ตั้งเป้าโพสใน ThaiVI ให้ได้ซัก 10,000 โพส
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- kabu
- Verified User
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 7
งั้นผมลอกพี่ NB ต่อนะครับNevercry.boy เขียน:ปีหน้าข้าพเจ้าสัญญาว่าจะลอกหุ้นน้องก้องอย่างเดียวเบยkongkiti เขียน:ลงทุนมา ได้เพียง 3 ปีเต็ม พึ่งเข้าใจว่าตลาด super กระทิงเป็นอย่างไร
ทำให้ปีนี้ได้ผลตอบแทนดีกว่าเป้าหมายพอสมควรเลยครับ...
ขอสะสมประสบการณ์อีกซัก 7 ปีครับ
+ ตั้งเป้าโพสใน ThaiVI ให้ได้ซัก 10,000 โพส
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 8
กรำ ผมต้องขอลอก ซือแป๋ ทั้ง 2 ท่านต่างหากkabu เขียน:งั้นผมลอกพี่ NB ต่อนะครับNevercry.boy เขียน:ปีหน้าข้าพเจ้าสัญญาว่าจะลอกหุ้นน้องก้องอย่างเดียวเบยkongkiti เขียน:ลงทุนมา ได้เพียง 3 ปีเต็ม พึ่งเข้าใจว่าตลาด super กระทิงเป็นอย่างไร
ทำให้ปีนี้ได้ผลตอบแทนดีกว่าเป้าหมายพอสมควรเลยครับ...
ขอสะสมประสบการณ์อีกซัก 7 ปีครับ
+ ตั้งเป้าโพสใน ThaiVI ให้ได้ซัก 10,000 โพส
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 9
จากปีแล้ว % ต้นๆ 3 digits
ปี 2011 ตลาดติดลบนิดๆ แต่ด้วยการ hyperactive ยังเคยบวกได้ 2 digits ค่อนๆ เลยกลางๆ ไป
ปีนี้ส่วนตัวผม ผลตอบแทนถ้าขายหุ้นทิ้ง คิดแต่ "price" จะบวกนิดๆ (นิดจริงๆ % 1 digit ต้นๆ) จาก 3 กิจการ
แต่ก็ยังรู้สึกธรรมดาๆ (หน้าชื่นอกตรม รึเปล่าหว่า? ) เพราะ... หนักกว่าเธอก็เจอมาแล้ว แฮมเบอร์เกอร์พิษ เมกกะน้ำท่วม ยุโรปหลอน ปลั๊กหลุด
และรู้สึกดีขึ้นมากกว่าได้ ในเมื่อบอกว่าเราสุขกับ "value" ไม่ใช่นักเสี่ยงโชค หรือแทง "Hi-Lo" ของราคา
ในเมื่อมาดูความสามารถของจริง ของมเหสีและนางสนมสวยและดีสุดยอดทั้งสาม (ที่บรรจง focus เลือกมาจาก 3 ใน 500 จากกลุ่มสาวๆ ในฮาเร็ม .... สำนวนดร.นิเวศน์) ล้วนแต่ยังสวยสง่า มีแต่ข่าวดี สวยและรวยขึ้นเรื่อยๆ โครงการใหม่ๆ ทำเงินสดยังมีมาอีก แล้วหลังสงกรานต์ เดี๋ยวก็มีโบนัสรอบใหม่มา ให้คอยจ่ายค่าความสวย ด้วยการซื้อกลับไปทบต้นอีกครั้ง
ผมเลยยิ้มได้ จะว่าหลอกตัวเองให้ดีใจก็ว่าได้ หลอกด้วยความจริง แน่ใจเป็นแนวคิดแบบถูกวิธี
"value" กิจการยังไม่ตก จึงไม่น่าตกใจยังไม่พอ... น่าเสียดายด้วย ถ้าใครให้ยืมเงินตอนนี้ จะซื้อเข้าไปตอนนี้เลย เพราะระหว่างปี ต่อรองราคานี้ไม่ได้จริงๆ...
เลยส่งกำลังใจให้ทุกท่าน
มันคือบทเรียนสอนซ้ำอีกรอบ และเป็นบททดสอบ value investment อย่างดี สำหรับคนที่อ่านจากตำรา แต่ยังไม่เคยผ่านมาก่อน บทความรู้จริง...ว่าใจจะโอนเอียง ไปทาง value หรือหัวเสียกับ price ที่เกิดจากการกระทำของ Mr. Market มากกว่า
ถ้าอยู่ในสถาการณ์เดียวกัน ลองกลับไปสำรวจกิจการของท่าน ว่ามีอะไรทำให้โซเซรึเปล่า
จะกลัวไปใย หากปัจจัยอื่นๆ ของกองทัพท่าน ล้วนดีพร้อม สถานการณ์ยังคงไม่ถึงกับต้องใช้สุดยอดกลยุทธ์ คือ หนี (ที่ไม่ได้หมายถึงลนลาน หนีตาย หนีญญ่าย พ่ายจะแจ หากแต่เพื่อการตั้งหลัก รวบรวมไพร่พล ยุทธโธปรณ์ พลาธิการ กลับมาสู้ใหม่)
ทว่าพบว่า ยังเยี่ยมยอดอยู่ไซร้ ....
หมายได้ว่า
"ทุกอย่าง (ยังคง) พร้อมพรัก ขาดแต่ลมบูรพา"
เมื่อลมบูรพาหวนกลับมาอีกครั้ง เปลวเพลิงจักลุกโชติช่วงเอง
(ดังที่เคยเป็นมา และจะเป็นไปวนเวียนเช่นนี้ จนกว่าโลกจะหมดอายุขัย... )
ปี 2011 ตลาดติดลบนิดๆ แต่ด้วยการ hyperactive ยังเคยบวกได้ 2 digits ค่อนๆ เลยกลางๆ ไป
ปีนี้ส่วนตัวผม ผลตอบแทนถ้าขายหุ้นทิ้ง คิดแต่ "price" จะบวกนิดๆ (นิดจริงๆ % 1 digit ต้นๆ) จาก 3 กิจการ
แต่ก็ยังรู้สึกธรรมดาๆ (หน้าชื่นอกตรม รึเปล่าหว่า? ) เพราะ... หนักกว่าเธอก็เจอมาแล้ว แฮมเบอร์เกอร์พิษ เมกกะน้ำท่วม ยุโรปหลอน ปลั๊กหลุด
และรู้สึกดีขึ้นมากกว่าได้ ในเมื่อบอกว่าเราสุขกับ "value" ไม่ใช่นักเสี่ยงโชค หรือแทง "Hi-Lo" ของราคา
ในเมื่อมาดูความสามารถของจริง ของมเหสีและนางสนมสวยและดีสุดยอดทั้งสาม (ที่บรรจง focus เลือกมาจาก 3 ใน 500 จากกลุ่มสาวๆ ในฮาเร็ม .... สำนวนดร.นิเวศน์) ล้วนแต่ยังสวยสง่า มีแต่ข่าวดี สวยและรวยขึ้นเรื่อยๆ โครงการใหม่ๆ ทำเงินสดยังมีมาอีก แล้วหลังสงกรานต์ เดี๋ยวก็มีโบนัสรอบใหม่มา ให้คอยจ่ายค่าความสวย ด้วยการซื้อกลับไปทบต้นอีกครั้ง
ผมเลยยิ้มได้ จะว่าหลอกตัวเองให้ดีใจก็ว่าได้ หลอกด้วยความจริง แน่ใจเป็นแนวคิดแบบถูกวิธี
"value" กิจการยังไม่ตก จึงไม่น่าตกใจยังไม่พอ... น่าเสียดายด้วย ถ้าใครให้ยืมเงินตอนนี้ จะซื้อเข้าไปตอนนี้เลย เพราะระหว่างปี ต่อรองราคานี้ไม่ได้จริงๆ...
เลยส่งกำลังใจให้ทุกท่าน
มันคือบทเรียนสอนซ้ำอีกรอบ และเป็นบททดสอบ value investment อย่างดี สำหรับคนที่อ่านจากตำรา แต่ยังไม่เคยผ่านมาก่อน บทความรู้จริง...ว่าใจจะโอนเอียง ไปทาง value หรือหัวเสียกับ price ที่เกิดจากการกระทำของ Mr. Market มากกว่า
ถ้าอยู่ในสถาการณ์เดียวกัน ลองกลับไปสำรวจกิจการของท่าน ว่ามีอะไรทำให้โซเซรึเปล่า
จะกลัวไปใย หากปัจจัยอื่นๆ ของกองทัพท่าน ล้วนดีพร้อม สถานการณ์ยังคงไม่ถึงกับต้องใช้สุดยอดกลยุทธ์ คือ หนี (ที่ไม่ได้หมายถึงลนลาน หนีตาย หนีญญ่าย พ่ายจะแจ หากแต่เพื่อการตั้งหลัก รวบรวมไพร่พล ยุทธโธปรณ์ พลาธิการ กลับมาสู้ใหม่)
ทว่าพบว่า ยังเยี่ยมยอดอยู่ไซร้ ....
หมายได้ว่า
"ทุกอย่าง (ยังคง) พร้อมพรัก ขาดแต่ลมบูรพา"
เมื่อลมบูรพาหวนกลับมาอีกครั้ง เปลวเพลิงจักลุกโชติช่วงเอง
(ดังที่เคยเป็นมา และจะเป็นไปวนเวียนเช่นนี้ จนกว่าโลกจะหมดอายุขัย... )
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1336
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 10
เมื่อเทียบกับความสามารถที่ผมมี ปีนี้นับเป็นปีที่ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจอีกครั้ง
แต่ถ้าเลือกได้ผมยังอยากจะให้ราคาหุ้นตกลงไปกว่านี้อีก เพราะในราคาระดับนี้ยังไม่ใช่ราคาที่ผมควรจะนำเงินทั้งหมดมาลงทุนในหุ้น
ความผิดพลาดที่มากที่สุดของปีนี้คือ การเลือกที่จะซื้อกิจการที่ดีในราคาที่แพงเกินไป
ความสำเร็จที่มากที่สุดของปีนี้คือการยอมซื้อกิจการปานกลางในราคาที่ถูกมาก และการขายกิจการเมื่อรูว่าคิดผิด หรือราคาแพงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
แต่ถ้าเลือกได้ผมยังอยากจะให้ราคาหุ้นตกลงไปกว่านี้อีก เพราะในราคาระดับนี้ยังไม่ใช่ราคาที่ผมควรจะนำเงินทั้งหมดมาลงทุนในหุ้น
ความผิดพลาดที่มากที่สุดของปีนี้คือ การเลือกที่จะซื้อกิจการที่ดีในราคาที่แพงเกินไป
ความสำเร็จที่มากที่สุดของปีนี้คือการยอมซื้อกิจการปานกลางในราคาที่ถูกมาก และการขายกิจการเมื่อรูว่าคิดผิด หรือราคาแพงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
-
- Verified User
- โพสต์: 2606
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 12
เทียบกับตอนต้นปี. บวก ยี่สิบ กว่าๆ
1. หุ้น ตปท ที่ลงทุนไปกว่าสองปี เริ่มออกผล ตลาดมีปรับ pe ให้สูงขึ้นให้สมตามศักดิ์ศรี ยอดขายเป็นไปตามคาด แต่กำไรไม่ได้โตตามยอดขาย เพราะประสิทธิภาพยังทำได้ไม่ดี สรุปให้เกรด b ไม่ซื้อเพิ่ม ไม่ขายออก ถือต่อไปตราบที่ ยอดขายยังมีโมเมนตัมเป็นบวกเยอะอยู่ (โต 2 digit ทุกปีมาตั้งแต่ ตั้งบริษัทมา 13 ปี )
2. หุ้นไทย ถือมากว่า 2 ปีเช่นกัน ปีนี้กำไรดีขึ้น ตามสภาวะอุตสาหกรรม ที่พลิกขึ้นจาก วิกฤต ตอนแรกที่ซื้อ กะถือว่าเป็น turn around และ มีการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทเอง ที่เดาว่าน่าดีขึ้น แต่กำไรทำได้ไม่แน่นอน ยังมีsurpirse ขาดทุนด้วย เมื่อไตรมาส 4 ปีที่แล้ว คิดไปคิดมา ราคาตอนนี้ก็ไม่ถูกมาก สรุปทั้งปีไม่ได้อะไร พอๆเดิม ตัวนี้ให้เกรด c มีปรับพอร์ตลดลงเล็กน้อย. ให้โอกาสปีหน้าอีกที
3. หุ้นไทยเช่นกัน อันนี้ ถือว่าดีทั้ง ยอดขาย กำไร และ ราคาหุ้น เป็นตัวดึงให้พอร์ตขึ้น. ปีนี้ ถือว่าได้เกรด A ตอนนี้ปรับ พอร์ตลงแล้วส่วนหนึ่ง ยังเก็บไว้ส่วนหนึ่ง เอาเงินไปตัวอื่น กลัวว่าปีหน้าอาจไม่โตได้เช่นเดิม.ยอดขายและกำไรบางส่วน เป็นแบบไม่เกิดซ้ำ แต่ระยะยาว 5 ปี น่าจะเติบโตไปได้ตามอตุสาหกรรมรวม ที่โตกว่า 2 digit มานาน เป็น megatrend
4. หุ้นไทย ซื้อมาปีเดียวก็ขาย ตอนซื้อ เห็นเป็น bargain buying คือราคานั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับ pe ที่จะเกิดขึ้น พอกำไร 2012 และ q1 13 ออกก็วิ่งสนั่น ทำให้เราคึกกะถือยาวเพราะนึกว่าจะโตต่อได้เยอะ ทั้งๆที่ จริงๆแล้วบริษัทไม่ได้มี CA มาก พอq2 q3 ออก โตแบบเล็กน้อย ตลาดปรับ pe ลงมาแบบปกติ ตัวนี้ทะยอยออกจนหมดตอนตลาดปรับตัวลง เพราะเอาเงินไปลงตัวอื่น. ทำให้ยังกำไรบ้าง 10 % ถ้าเทียบต้นปี ถ้าถือต่อจนปลายปีจะกลายเป็นลบลง ให้เกรด c กับตัวเอง เพราะหวังสูงเกินจริง
5 ตัวนี้ เป็น divident play บริษัทใหญ่ปันผลงาม โตได้บ้างไม่หวือหวา. ซื้อปีเดียวก็ขายเช่นกัน เอาเงินไปลงตัวอื่นแทน ถือแล้วไม่ตื่นเต้น รวมปันผลแล้วไม่ได้ไม่เสีย. ถ้าถือไว้จนปลายปีจะติดลบหน่อย
ส่วนตัวใหม่ในปีนี้
1. ตัวนี้กลับมาซื้อตัวเดิมที่เคยขายทิ้งไปเมื่อสองปีที่แล้ว เพราะสบประมาสว่าน่าจะโตต่อไปได้ยาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยอดขายเค้ายังโตแบบ สุดๆไปเลย ตอนที่ขายไปและตามดู oppday ต่อ ทุกครั้งก็เสียดายทุกครั้ง ยังดีที่ตอนนี้ตลาดไม่ดี ทำให้มีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ในราคาที่แพงกว่าที่ขายไป2เท่า. ถือได้ว่า บริษัท มี ผบห รุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี ล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผู้บริโภคได้
2. ตัวนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เรียกได้ว่า very high pe and very high growth. ซื้อในราคาที่หล่นมาเยอะ กลัวว่า หาก growth เกิดน้อย หรือ นาน กว่าคาด pe มันจะไม่รอที่จะลดลงมา. อาจจะไม่ได้อะไรเยอะ ต้องรอดูไปเรื่อย. เค้กมันใหญ่มากกก คู่แข่งsize ใหญ่ๆพอกันยังน้อยอยู่
สรุปดูบริษัทที่ถือไว้ต้นปี. มีหลายๆตัว ที่ไม่ได้มี dca จริงๆ แต่ bias เราแรงมาก ยิ่งตอนหุ้นวิ่งขึ้นเยอะๆ ยิ่งจินตนการไปใหญ่ ดีที่เดี๋ยวนี้ คุมตัวเองไม่ให้หลงหุ้นที่ตัวเองซื้อไว้มากไม่งั้นคงไปซื้อไล่ตามแล้วเสียใจภายหลัง
เท่านี้หล่ะครับ พิมพ์นานเลย
สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ
1. หุ้น ตปท ที่ลงทุนไปกว่าสองปี เริ่มออกผล ตลาดมีปรับ pe ให้สูงขึ้นให้สมตามศักดิ์ศรี ยอดขายเป็นไปตามคาด แต่กำไรไม่ได้โตตามยอดขาย เพราะประสิทธิภาพยังทำได้ไม่ดี สรุปให้เกรด b ไม่ซื้อเพิ่ม ไม่ขายออก ถือต่อไปตราบที่ ยอดขายยังมีโมเมนตัมเป็นบวกเยอะอยู่ (โต 2 digit ทุกปีมาตั้งแต่ ตั้งบริษัทมา 13 ปี )
2. หุ้นไทย ถือมากว่า 2 ปีเช่นกัน ปีนี้กำไรดีขึ้น ตามสภาวะอุตสาหกรรม ที่พลิกขึ้นจาก วิกฤต ตอนแรกที่ซื้อ กะถือว่าเป็น turn around และ มีการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทเอง ที่เดาว่าน่าดีขึ้น แต่กำไรทำได้ไม่แน่นอน ยังมีsurpirse ขาดทุนด้วย เมื่อไตรมาส 4 ปีที่แล้ว คิดไปคิดมา ราคาตอนนี้ก็ไม่ถูกมาก สรุปทั้งปีไม่ได้อะไร พอๆเดิม ตัวนี้ให้เกรด c มีปรับพอร์ตลดลงเล็กน้อย. ให้โอกาสปีหน้าอีกที
3. หุ้นไทยเช่นกัน อันนี้ ถือว่าดีทั้ง ยอดขาย กำไร และ ราคาหุ้น เป็นตัวดึงให้พอร์ตขึ้น. ปีนี้ ถือว่าได้เกรด A ตอนนี้ปรับ พอร์ตลงแล้วส่วนหนึ่ง ยังเก็บไว้ส่วนหนึ่ง เอาเงินไปตัวอื่น กลัวว่าปีหน้าอาจไม่โตได้เช่นเดิม.ยอดขายและกำไรบางส่วน เป็นแบบไม่เกิดซ้ำ แต่ระยะยาว 5 ปี น่าจะเติบโตไปได้ตามอตุสาหกรรมรวม ที่โตกว่า 2 digit มานาน เป็น megatrend
4. หุ้นไทย ซื้อมาปีเดียวก็ขาย ตอนซื้อ เห็นเป็น bargain buying คือราคานั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับ pe ที่จะเกิดขึ้น พอกำไร 2012 และ q1 13 ออกก็วิ่งสนั่น ทำให้เราคึกกะถือยาวเพราะนึกว่าจะโตต่อได้เยอะ ทั้งๆที่ จริงๆแล้วบริษัทไม่ได้มี CA มาก พอq2 q3 ออก โตแบบเล็กน้อย ตลาดปรับ pe ลงมาแบบปกติ ตัวนี้ทะยอยออกจนหมดตอนตลาดปรับตัวลง เพราะเอาเงินไปลงตัวอื่น. ทำให้ยังกำไรบ้าง 10 % ถ้าเทียบต้นปี ถ้าถือต่อจนปลายปีจะกลายเป็นลบลง ให้เกรด c กับตัวเอง เพราะหวังสูงเกินจริง
5 ตัวนี้ เป็น divident play บริษัทใหญ่ปันผลงาม โตได้บ้างไม่หวือหวา. ซื้อปีเดียวก็ขายเช่นกัน เอาเงินไปลงตัวอื่นแทน ถือแล้วไม่ตื่นเต้น รวมปันผลแล้วไม่ได้ไม่เสีย. ถ้าถือไว้จนปลายปีจะติดลบหน่อย
ส่วนตัวใหม่ในปีนี้
1. ตัวนี้กลับมาซื้อตัวเดิมที่เคยขายทิ้งไปเมื่อสองปีที่แล้ว เพราะสบประมาสว่าน่าจะโตต่อไปได้ยาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยอดขายเค้ายังโตแบบ สุดๆไปเลย ตอนที่ขายไปและตามดู oppday ต่อ ทุกครั้งก็เสียดายทุกครั้ง ยังดีที่ตอนนี้ตลาดไม่ดี ทำให้มีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ในราคาที่แพงกว่าที่ขายไป2เท่า. ถือได้ว่า บริษัท มี ผบห รุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี ล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผู้บริโภคได้
2. ตัวนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เรียกได้ว่า very high pe and very high growth. ซื้อในราคาที่หล่นมาเยอะ กลัวว่า หาก growth เกิดน้อย หรือ นาน กว่าคาด pe มันจะไม่รอที่จะลดลงมา. อาจจะไม่ได้อะไรเยอะ ต้องรอดูไปเรื่อย. เค้กมันใหญ่มากกก คู่แข่งsize ใหญ่ๆพอกันยังน้อยอยู่
สรุปดูบริษัทที่ถือไว้ต้นปี. มีหลายๆตัว ที่ไม่ได้มี dca จริงๆ แต่ bias เราแรงมาก ยิ่งตอนหุ้นวิ่งขึ้นเยอะๆ ยิ่งจินตนการไปใหญ่ ดีที่เดี๋ยวนี้ คุมตัวเองไม่ให้หลงหุ้นที่ตัวเองซื้อไว้มากไม่งั้นคงไปซื้อไล่ตามแล้วเสียใจภายหลัง
เท่านี้หล่ะครับ พิมพ์นานเลย
สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 570
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 13
ตัวที่ 3 นี่ธุรกิจใกล้ๆเคียงๆกับตัวที่ 2 หรือเปล่าครับGreen เขียน:เทียบกับตอนต้นปี. บวก ยี่สิบ กว่าๆ
1. หุ้น ตปท ที่ลงทุนไปกว่าสองปี เริ่มออกผล ตลาดมีปรับ pe ให้สูงขึ้นให้สมตามศักดิ์ศรี ยอดขายเป็นไปตามคาด แต่กำไรไม่ได้โตตามยอดขาย เพราะประสิทธิภาพยังทำได้ไม่ดี สรุปให้เกรด b ไม่ซื้อเพิ่ม ไม่ขายออก ถือต่อไปตราบที่ ยอดขายยังมีโมเมนตัมเป็นบวกเยอะอยู่ (โต 2 digit ทุกปีมาตั้งแต่ ตั้งบริษัทมา 13 ปี )
2. หุ้นไทย ถือมากว่า 2 ปีเช่นกัน ปีนี้กำไรดีขึ้น ตามสภาวะอุตสาหกรรม ที่พลิกขึ้นจาก วิกฤต ตอนแรกที่ซื้อ กะถือว่าเป็น turn around และ มีการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทเอง ที่เดาว่าน่าดีขึ้น แต่กำไรทำได้ไม่แน่นอน ยังมีsurpirse ขาดทุนด้วย เมื่อไตรมาส 4 ปีที่แล้ว คิดไปคิดมา ราคาตอนนี้ก็ไม่ถูกมาก สรุปทั้งปีไม่ได้อะไร พอๆเดิม ตัวนี้ให้เกรด c มีปรับพอร์ตลดลงเล็กน้อย. ให้โอกาสปีหน้าอีกที
3. หุ้นไทยเช่นกัน อันนี้ ถือว่าดีทั้ง ยอดขาย กำไร และ ราคาหุ้น เป็นตัวดึงให้พอร์ตขึ้น. ปีนี้ ถือว่าได้เกรด A ตอนนี้ปรับ พอร์ตลงแล้วส่วนหนึ่ง ยังเก็บไว้ส่วนหนึ่ง เอาเงินไปตัวอื่น กลัวว่าปีหน้าอาจไม่โตได้เช่นเดิม.ยอดขายและกำไรบางส่วน เป็นแบบไม่เกิดซ้ำ แต่ระยะยาว 5 ปี น่าจะเติบโตไปได้ตามอตุสาหกรรมรวม ที่โตกว่า 2 digit มานาน เป็น megatrend
4. หุ้นไทย ซื้อมาปีเดียวก็ขาย ตอนซื้อ เห็นเป็น bargain buying คือราคานั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับ pe ที่จะเกิดขึ้น พอกำไร 2012 และ q1 13 ออกก็วิ่งสนั่น ทำให้เราคึกกะถือยาวเพราะนึกว่าจะโตต่อได้เยอะ ทั้งๆที่ จริงๆแล้วบริษัทไม่ได้มี CA มาก พอq2 q3 ออก โตแบบเล็กน้อย ตลาดปรับ pe ลงมาแบบปกติ ตัวนี้ทะยอยออกจนหมดตอนตลาดปรับตัวลง เพราะเอาเงินไปลงตัวอื่น. ทำให้ยังกำไรบ้าง 10 % ถ้าเทียบต้นปี ถ้าถือต่อจนปลายปีจะกลายเป็นลบลง ให้เกรด c กับตัวเอง เพราะหวังสูงเกินจริง
5 ตัวนี้ เป็น divident play บริษัทใหญ่ปันผลงาม โตได้บ้างไม่หวือหวา. ซื้อปีเดียวก็ขายเช่นกัน เอาเงินไปลงตัวอื่นแทน ถือแล้วไม่ตื่นเต้น รวมปันผลแล้วไม่ได้ไม่เสีย. ถ้าถือไว้จนปลายปีจะติดลบหน่อย
ส่วนตัวใหม่ในปีนี้
1. ตัวนี้กลับมาซื้อตัวเดิมที่เคยขายทิ้งไปเมื่อสองปีที่แล้ว เพราะสบประมาสว่าน่าจะโตต่อไปได้ยาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยอดขายเค้ายังโตแบบ สุดๆไปเลย ตอนที่ขายไปและตามดู oppday ต่อ ทุกครั้งก็เสียดายทุกครั้ง ยังดีที่ตอนนี้ตลาดไม่ดี ทำให้มีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ในราคาที่แพงกว่าที่ขายไป2เท่า. ถือได้ว่า บริษัท มี ผบห รุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี ล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผู้บริโภคได้
2. ตัวนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เรียกได้ว่า very high pe and very high growth. ซื้อในราคาที่หล่นมาเยอะ กลัวว่า หาก growth เกิดน้อย หรือ นาน กว่าคาด pe มันจะไม่รอที่จะลดลงมา. อาจจะไม่ได้อะไรเยอะ ต้องรอดูไปเรื่อย. เค้กมันใหญ่มากกก คู่แข่งsize ใหญ่ๆพอกันยังน้อยอยู่
สรุปดูบริษัทที่ถือไว้ต้นปี. มีหลายๆตัว ที่ไม่ได้มี dca จริงๆ แต่ bias เราแรงมาก ยิ่งตอนหุ้นวิ่งขึ้นเยอะๆ ยิ่งจินตนการไปใหญ่ ดีที่เดี๋ยวนี้ คุมตัวเองไม่ให้หลงหุ้นที่ตัวเองซื้อไว้มากไม่งั้นคงไปซื้อไล่ตามแล้วเสียใจภายหลัง
เท่านี้หล่ะครับ พิมพ์นานเลย
สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 14
สรุปผลตอบแทนแบบรวมเงินปันผลของผมเทียบกับ Set 5 ปีย้อนหลัง ได้ ดังนี้ ครับ
ผลตอบแทนของผม SET Index" ผลต่างผลตอบแทน
ปี 2552 67 63.3 4
ปี 2553 46.2 40.5 6
ปี 2554 22.1 -0.7 23
ปี 2555 22 35.8 -14
ปี 2556 0.9 -6.7 8
เฉลี่ย 31.6 26.4 5.2
ปึ 2556 เป็นปีที่ทำผลตอบแทนต่ำสุด แต่ก็ชนะตลาดที่ติดลบ 6.7 % และพอร์ทก็บวกติดต่อกันมา 5 ปีติดต่อกัน ในปี 2556 พอร์ทสูงสุด 30% เมือ่เดือนพฤษภาคม 56 แต่หลังจากนั้นก็ลดลงตาม Set โดยไม่ได้ทำอะไรกับพอร์ทเลย หุ้นในพอร์ทปัจจุบันแต่ละตัวคิดว่าพื้นฐานยังดี และจะถือต่อไปประมาณ 2 ปี ค่อยประเมินอีกครั้งว่าพื้นฐานเป็นไปตามที่วิเคราะห์หรือเปล่า
พอร์ทเริ่มต้นจาก 7 หลักต้น ๆ เมื่อปี 2552 ปัจจุบัน มีมูลค่า 8 ต้น ๆ ผมบริหารพอร์ทแบบกองทุนส่วนบุคคลครับไม่มีการนำเงินไปใช้ เงินปันผลก็ลงทุนในหุ้นต่อ แต่ระหว่างปีอาจมีเงินลงทุนเพิ่มบ้าง
ในปี 2557 ขอผลตอบแทนที่ 15% ก็พอแล้วครับ แล้วปีหน้าจะมาโพสใหม่ครับ
ผลตอบแทนของผม SET Index" ผลต่างผลตอบแทน
ปี 2552 67 63.3 4
ปี 2553 46.2 40.5 6
ปี 2554 22.1 -0.7 23
ปี 2555 22 35.8 -14
ปี 2556 0.9 -6.7 8
เฉลี่ย 31.6 26.4 5.2
ปึ 2556 เป็นปีที่ทำผลตอบแทนต่ำสุด แต่ก็ชนะตลาดที่ติดลบ 6.7 % และพอร์ทก็บวกติดต่อกันมา 5 ปีติดต่อกัน ในปี 2556 พอร์ทสูงสุด 30% เมือ่เดือนพฤษภาคม 56 แต่หลังจากนั้นก็ลดลงตาม Set โดยไม่ได้ทำอะไรกับพอร์ทเลย หุ้นในพอร์ทปัจจุบันแต่ละตัวคิดว่าพื้นฐานยังดี และจะถือต่อไปประมาณ 2 ปี ค่อยประเมินอีกครั้งว่าพื้นฐานเป็นไปตามที่วิเคราะห์หรือเปล่า
พอร์ทเริ่มต้นจาก 7 หลักต้น ๆ เมื่อปี 2552 ปัจจุบัน มีมูลค่า 8 ต้น ๆ ผมบริหารพอร์ทแบบกองทุนส่วนบุคคลครับไม่มีการนำเงินไปใช้ เงินปันผลก็ลงทุนในหุ้นต่อ แต่ระหว่างปีอาจมีเงินลงทุนเพิ่มบ้าง
ในปี 2557 ขอผลตอบแทนที่ 15% ก็พอแล้วครับ แล้วปีหน้าจะมาโพสใหม่ครับ
- Saran
- Verified User
- โพสต์: 2377
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 15
ผลตอบแทนของตลาดในช่วง 9 ปีที่ผ่านมาครับ
SETTRI Index เป็นดัชนีผลตอบแทนรวม เป็นการนำเงินปันผลมาลงทุนทบต้นเข้าไปด้วย
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.set.or.th/th/products/index/tri_p1.html) อัตราผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยต่อปี
SET Index = 7.31%
SETTRI Index = 12.40% (ใครที่ชอบนำเงินปันผลออกไปใช้แทนที่จะลงทุนต่ออยากให้มาดูตัวเลขนี้มากๆ)
MAI Index = 7.37%
ปีนี้ผลตอบแทนพอร์ตผมชนะตลาดแค่นิดเดียว สาเหตุมาจาก
- ความโลภในช่วงต้นปีที่ไม่ยอมปรับพอร์ต ไม่ขายหุ้นที่คิดว่าแพงไปแล้วทั้งที่รู้ว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ช่วงปลายปี
ทำให้ต้องมาขายหุ้นในช่วงตลาดขาลงแทน ผลตอบแทนเลยหายไปพอควรเลยครับ
- ในสถานะการณ์ที่ค้นหาหุ้นลงทุนไม่ได้ ทางที่ดีคืออยู่เฉยๆไม่นำเงินไปลงทุนเพิ่ม อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ไม่อย่างนั้นจะการเป็นการดันทุรัง ซื้อหุ้นที่ราคาไม่ได้ undervalue มากพอกับความเสี่ยง หรือซื้อไปโดยศึกษาข้อมูลยังไม่มากพอ
- ปีนี้ค่อนข้างขี้เกียจครับ ผลพวงมาจากช่วง 2-3 ปีที่ผานมาตลาดเป็นขาขึ้นด้วย ปีหน้าจะตั้งใจศึกษาหาข้อมูลให้มากกว่านี้ครับ
SETTRI Index เป็นดัชนีผลตอบแทนรวม เป็นการนำเงินปันผลมาลงทุนทบต้นเข้าไปด้วย
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.set.or.th/th/products/index/tri_p1.html) อัตราผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยต่อปี
SET Index = 7.31%
SETTRI Index = 12.40% (ใครที่ชอบนำเงินปันผลออกไปใช้แทนที่จะลงทุนต่ออยากให้มาดูตัวเลขนี้มากๆ)
MAI Index = 7.37%
ปีนี้ผลตอบแทนพอร์ตผมชนะตลาดแค่นิดเดียว สาเหตุมาจาก
- ความโลภในช่วงต้นปีที่ไม่ยอมปรับพอร์ต ไม่ขายหุ้นที่คิดว่าแพงไปแล้วทั้งที่รู้ว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ช่วงปลายปี
ทำให้ต้องมาขายหุ้นในช่วงตลาดขาลงแทน ผลตอบแทนเลยหายไปพอควรเลยครับ
- ในสถานะการณ์ที่ค้นหาหุ้นลงทุนไม่ได้ ทางที่ดีคืออยู่เฉยๆไม่นำเงินไปลงทุนเพิ่ม อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ไม่อย่างนั้นจะการเป็นการดันทุรัง ซื้อหุ้นที่ราคาไม่ได้ undervalue มากพอกับความเสี่ยง หรือซื้อไปโดยศึกษาข้อมูลยังไม่มากพอ
- ปีนี้ค่อนข้างขี้เกียจครับ ผลพวงมาจากช่วง 2-3 ปีที่ผานมาตลาดเป็นขาขึ้นด้วย ปีหน้าจะตั้งใจศึกษาหาข้อมูลให้มากกว่านี้ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 16
ผลตอบแทนของผมปีนี้เคยอยู่ที่จุดสูงสุดสูงกว่า 30% แต่ก็ลดลงตามสภาพตลาด มาปิดท้ายปีที่ 10.84%
ในขณะที่ผลตอบแทนรวม SETTRI ให้ผลตอบแทนทั้งปีที่ -3.56%
หากไม่รวมเงินปันผล ผลตอบแทนของผมอยู่ที่ 5.22% ขณะที่ SETIndex ติดลบไปราว -6.697%
ปีนี้ผลตอบแทนของผมดีกว่าตลาดอยู่พอสมควร
ตามที่เคยได้โพสเอาไว้เมื่อสิ้นปีที่แล้ว
ว่าตลาดหุ้นเริ่มแพงเกินไปแล้ว ดังนั้นกลยุทธ์ในปีนี้จะเริ่มทะยอยขายแล้วเก็บเงินสดเอาไว้บ้าง
แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ทำได้ยากทีเดียว เพราะโรคเก่ากำเริบ
โรคที่ว่าก็คือ “โรคถือเงินสดไม่ได้” ทำให้อดใจถือเงินสดไว้มาก ๆ ไม่ได้
ถ้าเจอหุ้นตัวไหนที่ถูกกว่าตัวอื่น ๆ แล้วมี upside เยอะอยู่ก็ทนไม่ได้ที่จะเข้าไปซื้อเอาไว้ทุกที
ทำให้เก็บเงินสดได้ไม่มากเท่าที่ควร แต่ก็ยังมีเงินสดเก็บไว้ได้บ้างพอสมควรจากที่แทบจะไม่เหลือเก็บไว้เลย
เพราะปีนี้ผมตัดสินใจลาออกจากงานมาใช้ชีวิตแบบอิสระดู ทำให้จำเป็นต้องมีเงินสดเก็บไว้บ้าง และในช่วงที่ Peak ของตลาดหุ้นในปีนี้
ก็ได้ขายเอาบางส่วนออกมาใช้จ่ายบ้างเป็นรางวัลให้ตัวเอง ถึงแม้ไม่ค่อยอยากทำ แต่ผมคิดว่านี่คงเป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้ว
หากตลาดตกลงไปแรง ๆ ก็จะได้ไม่กลับมาเสียดายที่ไม่เอาเงินไปใช้บ้าง
ส่วนที่ได้ทำในช่วงที่ตลาดให้ราคาหุ้นสูง ๆ ก็ได้พบว่าหุ้นหลาย ๆ ตัวในพอร์ตมีราคาที่แพงเวอร์ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะถือยาวหลาย ๆ ปีเพราะพื้นฐานดีมาก แต่ราคากลับสะท้อนมูลค่าล่วงหน้าไปหลายปี
เลยต้องจำใจขายไปซื้อตัวที่ยังมี upside สูง ๆ
ซึ่งถ้าหากไม่ได้ทำแบบนี้แล้วปีนี้พอร์ทผมคงดูไม่จืดเลยทีเดียว
ส่วนที่ผิดพลาด ก็คือในช่วงที่ตลาดเป็นกระทิงดุ ถึงจะรู้ว่าแพงแล้วแต่ก็ยังกลัวที่จะเสียโอกาส
ถึงจะหาของถูกยังไงในช่วงกระทิง หากตลาดไม่เป็นใจขึ้นมาเมื่อไหร่ ถูกแล้วก็ยังมีถูกกว่าเป็นธรรมดา
อีกเรื่องก็คือไม่ควรอ่อนไหวกับกำไรชั่วครั้งชั่วคราวหรือกำไรรายไตรมาสมากเกินไป บางทีเราเลือกหุ้นมาดีแล้ว
เจอความผันผวนชั่วคราวของกำไรและถูกซ้ำเติมด้วยแรงซื้อขายในตลาดเข้าไปอีก อาจทำให้ไขว้เขวได้
ในขณะที่ผลตอบแทนรวม SETTRI ให้ผลตอบแทนทั้งปีที่ -3.56%
หากไม่รวมเงินปันผล ผลตอบแทนของผมอยู่ที่ 5.22% ขณะที่ SETIndex ติดลบไปราว -6.697%
ปีนี้ผลตอบแทนของผมดีกว่าตลาดอยู่พอสมควร
ตามที่เคยได้โพสเอาไว้เมื่อสิ้นปีที่แล้ว
ว่าตลาดหุ้นเริ่มแพงเกินไปแล้ว ดังนั้นกลยุทธ์ในปีนี้จะเริ่มทะยอยขายแล้วเก็บเงินสดเอาไว้บ้าง
แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ทำได้ยากทีเดียว เพราะโรคเก่ากำเริบ
โรคที่ว่าก็คือ “โรคถือเงินสดไม่ได้” ทำให้อดใจถือเงินสดไว้มาก ๆ ไม่ได้
ถ้าเจอหุ้นตัวไหนที่ถูกกว่าตัวอื่น ๆ แล้วมี upside เยอะอยู่ก็ทนไม่ได้ที่จะเข้าไปซื้อเอาไว้ทุกที
ทำให้เก็บเงินสดได้ไม่มากเท่าที่ควร แต่ก็ยังมีเงินสดเก็บไว้ได้บ้างพอสมควรจากที่แทบจะไม่เหลือเก็บไว้เลย
เพราะปีนี้ผมตัดสินใจลาออกจากงานมาใช้ชีวิตแบบอิสระดู ทำให้จำเป็นต้องมีเงินสดเก็บไว้บ้าง และในช่วงที่ Peak ของตลาดหุ้นในปีนี้
ก็ได้ขายเอาบางส่วนออกมาใช้จ่ายบ้างเป็นรางวัลให้ตัวเอง ถึงแม้ไม่ค่อยอยากทำ แต่ผมคิดว่านี่คงเป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้ว
หากตลาดตกลงไปแรง ๆ ก็จะได้ไม่กลับมาเสียดายที่ไม่เอาเงินไปใช้บ้าง
ส่วนที่ได้ทำในช่วงที่ตลาดให้ราคาหุ้นสูง ๆ ก็ได้พบว่าหุ้นหลาย ๆ ตัวในพอร์ตมีราคาที่แพงเวอร์ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะถือยาวหลาย ๆ ปีเพราะพื้นฐานดีมาก แต่ราคากลับสะท้อนมูลค่าล่วงหน้าไปหลายปี
เลยต้องจำใจขายไปซื้อตัวที่ยังมี upside สูง ๆ
ซึ่งถ้าหากไม่ได้ทำแบบนี้แล้วปีนี้พอร์ทผมคงดูไม่จืดเลยทีเดียว
ส่วนที่ผิดพลาด ก็คือในช่วงที่ตลาดเป็นกระทิงดุ ถึงจะรู้ว่าแพงแล้วแต่ก็ยังกลัวที่จะเสียโอกาส
ถึงจะหาของถูกยังไงในช่วงกระทิง หากตลาดไม่เป็นใจขึ้นมาเมื่อไหร่ ถูกแล้วก็ยังมีถูกกว่าเป็นธรรมดา
อีกเรื่องก็คือไม่ควรอ่อนไหวกับกำไรชั่วครั้งชั่วคราวหรือกำไรรายไตรมาสมากเกินไป บางทีเราเลือกหุ้นมาดีแล้ว
เจอความผันผวนชั่วคราวของกำไรและถูกซ้ำเติมด้วยแรงซื้อขายในตลาดเข้าไปอีก อาจทำให้ไขว้เขวได้
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 17
มาส่งการบ้านฮะ
ปีนี้ -23.86% ครับ เป็นปีแรกที่ได้ผลตอบแทนติดลบในชีวิต ลบเยอะด้วย ฮาๆ
เหมือนตอนเรียนเลยครับ ดูจากผลตอบแทน ถ้าเทียบเป็นคะแนนสอบแล้ว
ผมตกมีนอยู่ 2SD เป็นประจำ 5555
สรุปบทเรียนในปีนี้ได้แก่
1. หากว่าหุ้นที่ซื้อไปแล้วและในขณะนั้นเราคิดแล้วว่า under อยู่เยอะ ถ้ามันขึ้นมาเยอะ ต่อให้ยัง under เยอะ ก็ควรจะขายออกไปบ้าง
...ในขณะที่อะไรๆ ก็ดูดี ต้องตัดใจขายบ้าง มันมีความเสี่ยงเรื่องระยะเวลาถือครอง ซึ่งแม้มันจะแค่ปีสองปี แต่ถ้าขายไปแล้ว เรามีเงินสด
เราก็มีโอกาสเลือกตัวอื่นๆ ในช่วงปีสองปีที่ว่าได้บ้าง มันมีเรื่องอารมณ์ของนักลงทุนคนอื่น ซึ่งมาไล่ๆ ราคาตามข่าวดี ดังนั้นเมื่อข่าวเริ่มหมด
ข่าวเริ่มวนเวียน ขายไปบ้างเถิด ยังไงหลังข่าวหมด หุ้นมันก็ลง (เป็นข้อเตือนใจที่ดีสำหรับมนุษย์ 0101 แบบผม ว่าตลาดประกอบไปด้วยอารมณ์นักลงทุนซะเยอะ)
2. อยากเร่ง port อย่าไปมองหุ้น 20-30% หาที่มันเยอะกว่านั้นให้ได้ มันมีแน่ แต่จมูกไวพอมั้ย อีกเรื่อง
3. อย่าลงเงินในหุ้นเพียงแค่ 2-3 ตัว อย่ามั่นใจอะไรเกินไปนัก (ผมถือ 2 ตัวรวมกัน 90% port) มันมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงเสมอ
แบบที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามาในสมการของเรา ...วิธีแก้คือซื้อไปก่อนจำนวนนึง ตามที่มั่นใจ แต่อย่าเกิน 40% ..หลังจากนั้นถ้าแนวโน้มยังดี
ค่อยๆ ซื้อเพิ่ม พอข่าวเริ่มซา ค่อยๆ ขาย
4. หุ้นดีต้องมีประเด็น แต่ถ้าคาดผิดก็ต้องเอาให้ลงน้อย หรือไม่ลงเลยและข้อมูลยืนยันการเติบโตควรจะมาแล้ว
แต่ราคาหุ้นยัง under อยู่ถึงจะควรซื้อ ถ้าข้อมูลยังไม่มาการเข้าซื้อก่อนอาจจะได้กำไรมากกว่า แต่ก็เสี่ยงกว่าว่าเราคิดถูกมั้ย
5. PE ratio แม่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกซักพักถึงจะพอเดาใจตลาดไหว... ดังนั้นตอนนี้จงกด PE ในใจให้ต่ำไว้ก่อน
6. อย่าขี้เกียจ จงมีวินัย จงขยันทำ excel ถึงแม้ทำแล้วชีวิตจะดูเศร้าไปนิด แต่เชื่อเถอะว่าหากทำไว้
ผลลัพธ์ที่หลายๆ คนฝันถึงจะมากองรวมอยู่ตรงหน้า (ไม่เฉพาะเรื่องหุ้น แต่การมีวินัยเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะมี)
7. Sensing ตลาดบ้างก็ดี ถ้าขายไปตอนนั้นป่านนี้คงสบายใจกว่านี้ จำไว้ๆ
ให้ตายเหอะ ที่เขียนมาเนี่ย รู้หมดอยู่แล้วปะ แต่คือไม่ทำไง มัวแต่ไปคิดว่ามันยัง under ๆ แสรดดด
ปีนี้ -23.86% ครับ เป็นปีแรกที่ได้ผลตอบแทนติดลบในชีวิต ลบเยอะด้วย ฮาๆ
เหมือนตอนเรียนเลยครับ ดูจากผลตอบแทน ถ้าเทียบเป็นคะแนนสอบแล้ว
ผมตกมีนอยู่ 2SD เป็นประจำ 5555
สรุปบทเรียนในปีนี้ได้แก่
1. หากว่าหุ้นที่ซื้อไปแล้วและในขณะนั้นเราคิดแล้วว่า under อยู่เยอะ ถ้ามันขึ้นมาเยอะ ต่อให้ยัง under เยอะ ก็ควรจะขายออกไปบ้าง
...ในขณะที่อะไรๆ ก็ดูดี ต้องตัดใจขายบ้าง มันมีความเสี่ยงเรื่องระยะเวลาถือครอง ซึ่งแม้มันจะแค่ปีสองปี แต่ถ้าขายไปแล้ว เรามีเงินสด
เราก็มีโอกาสเลือกตัวอื่นๆ ในช่วงปีสองปีที่ว่าได้บ้าง มันมีเรื่องอารมณ์ของนักลงทุนคนอื่น ซึ่งมาไล่ๆ ราคาตามข่าวดี ดังนั้นเมื่อข่าวเริ่มหมด
ข่าวเริ่มวนเวียน ขายไปบ้างเถิด ยังไงหลังข่าวหมด หุ้นมันก็ลง (เป็นข้อเตือนใจที่ดีสำหรับมนุษย์ 0101 แบบผม ว่าตลาดประกอบไปด้วยอารมณ์นักลงทุนซะเยอะ)
2. อยากเร่ง port อย่าไปมองหุ้น 20-30% หาที่มันเยอะกว่านั้นให้ได้ มันมีแน่ แต่จมูกไวพอมั้ย อีกเรื่อง
3. อย่าลงเงินในหุ้นเพียงแค่ 2-3 ตัว อย่ามั่นใจอะไรเกินไปนัก (ผมถือ 2 ตัวรวมกัน 90% port) มันมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงเสมอ
แบบที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามาในสมการของเรา ...วิธีแก้คือซื้อไปก่อนจำนวนนึง ตามที่มั่นใจ แต่อย่าเกิน 40% ..หลังจากนั้นถ้าแนวโน้มยังดี
ค่อยๆ ซื้อเพิ่ม พอข่าวเริ่มซา ค่อยๆ ขาย
4. หุ้นดีต้องมีประเด็น แต่ถ้าคาดผิดก็ต้องเอาให้ลงน้อย หรือไม่ลงเลยและข้อมูลยืนยันการเติบโตควรจะมาแล้ว
แต่ราคาหุ้นยัง under อยู่ถึงจะควรซื้อ ถ้าข้อมูลยังไม่มาการเข้าซื้อก่อนอาจจะได้กำไรมากกว่า แต่ก็เสี่ยงกว่าว่าเราคิดถูกมั้ย
5. PE ratio แม่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกซักพักถึงจะพอเดาใจตลาดไหว... ดังนั้นตอนนี้จงกด PE ในใจให้ต่ำไว้ก่อน
6. อย่าขี้เกียจ จงมีวินัย จงขยันทำ excel ถึงแม้ทำแล้วชีวิตจะดูเศร้าไปนิด แต่เชื่อเถอะว่าหากทำไว้
ผลลัพธ์ที่หลายๆ คนฝันถึงจะมากองรวมอยู่ตรงหน้า (ไม่เฉพาะเรื่องหุ้น แต่การมีวินัยเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะมี)
7. Sensing ตลาดบ้างก็ดี ถ้าขายไปตอนนั้นป่านนี้คงสบายใจกว่านี้ จำไว้ๆ
ให้ตายเหอะ ที่เขียนมาเนี่ย รู้หมดอยู่แล้วปะ แต่คือไม่ทำไง มัวแต่ไปคิดว่ามันยัง under ๆ แสรดดด
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 18
บร๊ะ ลืมข้อ 8 ข้อนี้สำคัญ ถ้าจำไม่ผิดอ่านจาก comment พี่ Linzhi นี่แหละ (ถ้าผิดขออภัยครับ)
8. ขายหุ้นให้คนอื่นทำกำไรได้บ้าง
8. ขายหุ้นให้คนอื่นทำกำไรได้บ้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 20
ได้ ขายTender Makro ถือ มา 2 ปี กว่า ทุน 2XX บาท ของ 40 % port
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 21
ปีนี้ ผลตอบแทนน้อยสุดในรอบ 5 ปี แต่ก็ยังดี ที่ไม่ติดลบ ได้อยู่ที่ 6% รวมปันผลแล้ว
จริง ๆ แล้ว ต้องถือว่าโชคดีนิดหน่อย ที่ลดพอร์ต ช่วงเดือนสิบ ช่วงขาลงรอบที่สอง
เลยทำให้ไม่ติดลบ ตอนนี้ก็ทยอยเก็บคืนครับ
บทเรียนข้อนึงสำหรับปีนี้คือ วันไหนหยุดอยู่บ้าน มือคันเล่นหุ้นปั่น ทำให้ผลตอบแทนลดลง คงต้องเลิกหุ้นปั่นถาวร หรือไปทำงานทุกวัน ไม่ต้องเปิดดูตลาด ดีที่สุด
โดนค่าโบรค ไปเยอะมากสำหรับปีนี้ เยอะกว่าปี 2010 สิบเท่า!!! ยังตกใจตัวเลขการเทรดของตัวเองอยู่เลย
ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังนะครับ
2009 > 119.38%
2010 > 47.22%
2011 > 18.52%
2012 > 14.55%
2013 > 5.95%
ลดลงเรื่อย ๆ เลยแฮะ
จริง ๆ แล้ว ต้องถือว่าโชคดีนิดหน่อย ที่ลดพอร์ต ช่วงเดือนสิบ ช่วงขาลงรอบที่สอง
เลยทำให้ไม่ติดลบ ตอนนี้ก็ทยอยเก็บคืนครับ
บทเรียนข้อนึงสำหรับปีนี้คือ วันไหนหยุดอยู่บ้าน มือคันเล่นหุ้นปั่น ทำให้ผลตอบแทนลดลง คงต้องเลิกหุ้นปั่นถาวร หรือไปทำงานทุกวัน ไม่ต้องเปิดดูตลาด ดีที่สุด
โดนค่าโบรค ไปเยอะมากสำหรับปีนี้ เยอะกว่าปี 2010 สิบเท่า!!! ยังตกใจตัวเลขการเทรดของตัวเองอยู่เลย
ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังนะครับ
2009 > 119.38%
2010 > 47.22%
2011 > 18.52%
2012 > 14.55%
2013 > 5.95%
ลดลงเรื่อย ๆ เลยแฮะ
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 23
บทเรียนสำคัญคือ ถ้าหุ้นที่มีในปอดราคาแพงหรืออย่างน้อยไม่ถูกแล้ว ขายหมูลดต้นทุนไปบ้างก็ยังดีกว่าการถือแล้วกำไรหาย
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 24
ว่าจะไม่เขียนแล้วแต่ก็อดไม่ได้...เพราะอยากให้ดูว่าการลงทุนแบบนี้ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่มีความรู้อะไรมาก เอาง่ายๆแม้แต่ค่า pe ผมยังหาไม่เป็นเลยครับ การลงทุนของผมเป็นแบบลักษณะ การลงทุนแบบเด็ก..อย่างที่ท่านอาจารย์นิเวศ ได้บอกไว้ เข้าเรื่องเลยนะครับ สรุป ปี 56 ผมเอายอดรวมราคาหุ้นในวันสุดท้ายของปี 55 +กับเงินสดที่ลงทุนไปใหม่ทั้งปี = - 8.90 % ( จากที่ได้กำไรก่อนที่จะมีข่าวถอนคิวอี ประมาณ 20 % ) ครับ ไว้ปีหน้าจะมาอับเดตให้ฟังใหม่ครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 25
อืม... ว่าจะไม่เขียนเหมือนกัน แต่คิดว่าประสบการณ์น่าจะพอเป็นประโยชน์บ้าง
ปี 2556 ผมบวกประมาณ 50% ครับ
การลงทุนในปี 56 นี่ต่อเนื่องมาจากปี 55 คือช่วงกลางปี 55 ตอนที่ตลาด 1,200 จุด ผมรู้สึกว่าหุ้นแพง หาหุ้นถูกๆ ไม่เจอ เลยคิดว่ามาร์จิ้นที่เคยมีมาตลอดตั้งปีก่อน Sub Prime นี่ คงถึงเวลาที่จะลดลงแล้ว ตั้งใจว่าสิ้นปี 2555 จะปิดมาร์จิ้นลงให้หมด ด้วยความที่รู้สึกว่าหุ้นไทยแพงมาก ประกอบกันช่วงก่อนหน้านั้นมีเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งไปลงทุนต่างประเทศกลับมา ก็เลยคิดว่าคงจะถึงเวลาที่จะไปดูตลาดต่างประเทศแล้ว เลยไปศึกษากิจการที่เราใกล้ชิด เราเข้าใจ เราชื่นชม และติดตามกิจการในฐานะผู้บริโภค ผู้ใช้มาอย่างยาวนาน ไปศึกษาดู พบว่ากิจการอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ มีการเปลี่ยนผู้บริหาร มีการปรับกลยุทธ์ ในขณะที่ตลาดเหมือนจะมองกิจการพลาดไป ว่ากิจการกำลังจะอิ่มตัว แถมมีปัญหาเรื่องการฟ้องร้อง ทำให้ราคาหุ้น Sideway มาหลายปี ทั้งๆ ที่รายได้และกำไรโตอย่างต่อเนื่อง เลยโชคดีได้ซื้อหุ้นกิจการคุณภาพคับแก้ว แถมมีโอกาสเติบโตอีกมาก ในราคา P/E แค่ 12 เท่า
เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ
พอเข้ามาในปี 2556 ราคาหุ้นในไทยก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก ราคาหุ้นของกิจการที่เราลงทุนขึ้นๆๆ ในขณะที่ Catalyst หลายๆ อย่างก็หมดไปแล้ว อีกทั้งมีการแข่งขันใหม่ๆ ที่ดูแล้วเหมือนจะรุนแรงปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน เลยทะยอยขาย เวลาหุ้นลงถึงจุดหนึ่งก็ทำ Trailing Stop ไปเรื่อยๆ กิจการที่เราเข้าไปเก็งกำไรก็โดน Trailing Stop ออกไปจนหมดเช่นกัน เงินที่เหลือทำอะไรไม่ได้ ส่วนหนึ่งเอาไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นๆ อีกส่วนหนึ่งไปซื้อหุ้นปันผลที่อาจจะมีการเติบโตในอนาคตจากสัมปทานที่ได้มาใหม่ เพื่อเอามาใช้ถือแทนเงินสด แล้วก็เอาเงินสดส่วนหนึ่งไปซื้อบ้าน ซื้อรถ เพื่อที่จะได้ไม่คันไม้คันมือ เผลอมือบอนไปซื้อหุ้นแปลกๆ เข้า พยายามอยู่ห่างสังคมนักลงทุน เพื่อไม่ให้โดนอารมณ์ของตลาดครอบงำ ท่องเที่ยวปฏิบัติธรรม พยายามขี้เกียจเท่าที่ขี้เกียจได้ เพื่อจะได้อยู่ห่างจากตลาดไทย Shape ของพอร์ตหลังจากปรับเสร็จในช่วงกลางปี คือ พอร์ตต่างประเทศมีประมาณ 60% หุ้นไทยประมาณ 30-35% เงินสดประมาณ 5-10% หุ้นต่างประเทศตัวที่ถือเยอะที่สุดตัวเดียวมากกว่ามูลค่าหุ้นไทยทั้งหมด หุ้นต่างประเทศจะเป็น Internet Growth Stock ส่วนหุ้นไทยจะเป็น Defensive + Dividend (แอบมี Growth นิดๆ)
ปีที่ผ่านมาตอนช่วงหุ้นที่ลงไปแถว 12xx เป็นช่วงที่ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมารอบหนึ่ง ราคาหุ้นที่ลงมา Trigger ให้เห็นราคาหุ้นบางตัวเริ่มน่าสนใจ เลยได้โอกาส Switch หุ้นปันผลที่เราถือแทนเงินสด หรือหุ้นที่ Story จบไปแล้วแต่ถือค้างพอร์ต เข้าไปในกิจการที่เราชอบ แต่ตลาดลงมาอยู่แถวนั้นได้แป๊บเดียว เลยไม่ค่อยได้ทำอะไรมากนัก พอตลาดกลับขึ้นไป ก็ได้แต่กลับไปใช้ชีวิตต่อตามปกติ
ปีที่ผ่านมาโชคดีที่ตลาดหุ้น NASDAQ ค่อนข้าง Perform ทำให้พอร์ตโดยรวมดี แต่ตอนนี้เมื่อมองไปที่ Risk/Reward Profile ของพอร์ต และดู Movement ของตลาดในช่วงนี้ ท่าทางจะได้เวลาที่จะ Switch เงินบางส่วนจากต่างประเทศกลับมาในไทยซะแล้ว
Strategy ในปีนี้ของผม น่าจะเป็นกลายปรับสมดุล จากปีที่แล้วที่ไป Overweight ที่ต่างประเทศ กลับมา Balance ต่างประเทศกับในประเทศ ยิ่งหุ้นไทยลงแบบนี้ ในขณะที่หุ้นต่างประเทศทำนิวไฮ ผมว่าถ้าปีนี้ผม Take Action ช่วงต้นปีดีๆ ช่วงที่เหลือของปีคงจะชิวได้ระดับหนึ่ง
ประสบการณ์ที่ผมได้จากปีที่แล้ว คือ การที่อยู่ห่างจากตลาด ไม่ต้องยุ่งกับนักลงทุน ยุ่งกับสังคมที่วุ่นวาย ก็ทำให้เราเห็นโอกาสในการลงทุนที่ต่างออกไป แม้ว่าเราจะไม่ได้ไป Company Visit, Dinner Talk หรือ Present หุ้นเยอะๆ เหมือนสมัยก่อน แต่โลกในปัจจุบันก็มีข้อมูลที่ท่วมท้นหลั่งไหลเข้ามาอยู่ตลอดเวลา สำคัญก็คือ จิตใจที่สงบนิ่งเพียงพอที่จะเลือกเพียงแค่สาระสำคัญเข้ามาวิเคราะห์
ยิ่งหลังๆ พอวิเคราะห์กิจการ ยิ่งรู้เลยว่า ปัจจัยเชิงคุณภาพ ความสามารถในการมองภาพธุรกิจนี่สำคัญกว่าการวิเคราะห์ตัวเลขมาก เดี๋ยวนี้เราวิเคราะห์กิจการ ลงลึกไปทำงบ ทำตัวเลขน้อยมาก ดูแค่ผ่านๆ ยิ่งถ้าเราซื้อกิจการที่คุณภาพดีๆ ในราคาที่เรามี MOS เผื่อ Worst Case เอาไว้เยอะๆ แล้ว การถือนี่จะชิวมาก เพราะ อะไรๆ เวลามันออกมาก็ดีกว่าคาดไปหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปดูตัวเลขทางการเงินละเอียด
สิ่งหนึ่งที่ประสบกับตัวเองในช่วงปีที่แล้วที่เป็นพัฒนาการที่สำคัญ คือ เวลาหุ้นตก เดี๋ยวนี้ใจสงบนิ่งมาก เห็นแต่เหตุผล เห็นแต่โอกาส ซึ่งคงเป็นอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม การเจริญสติ ที่ทำให้เราสามารถจัดการกับจิตใจได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้นระดับหนึ่ง
ปล. หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าหากว่าข้อความดังกล่าวไปรบกวนจิตใจท่านใด ผมกราบขออภัย ขออโหสิมา ณ ที่นี้ด้วย
ปี 2556 ผมบวกประมาณ 50% ครับ
การลงทุนในปี 56 นี่ต่อเนื่องมาจากปี 55 คือช่วงกลางปี 55 ตอนที่ตลาด 1,200 จุด ผมรู้สึกว่าหุ้นแพง หาหุ้นถูกๆ ไม่เจอ เลยคิดว่ามาร์จิ้นที่เคยมีมาตลอดตั้งปีก่อน Sub Prime นี่ คงถึงเวลาที่จะลดลงแล้ว ตั้งใจว่าสิ้นปี 2555 จะปิดมาร์จิ้นลงให้หมด ด้วยความที่รู้สึกว่าหุ้นไทยแพงมาก ประกอบกันช่วงก่อนหน้านั้นมีเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งไปลงทุนต่างประเทศกลับมา ก็เลยคิดว่าคงจะถึงเวลาที่จะไปดูตลาดต่างประเทศแล้ว เลยไปศึกษากิจการที่เราใกล้ชิด เราเข้าใจ เราชื่นชม และติดตามกิจการในฐานะผู้บริโภค ผู้ใช้มาอย่างยาวนาน ไปศึกษาดู พบว่ากิจการอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ มีการเปลี่ยนผู้บริหาร มีการปรับกลยุทธ์ ในขณะที่ตลาดเหมือนจะมองกิจการพลาดไป ว่ากิจการกำลังจะอิ่มตัว แถมมีปัญหาเรื่องการฟ้องร้อง ทำให้ราคาหุ้น Sideway มาหลายปี ทั้งๆ ที่รายได้และกำไรโตอย่างต่อเนื่อง เลยโชคดีได้ซื้อหุ้นกิจการคุณภาพคับแก้ว แถมมีโอกาสเติบโตอีกมาก ในราคา P/E แค่ 12 เท่า
เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ
พอเข้ามาในปี 2556 ราคาหุ้นในไทยก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก ราคาหุ้นของกิจการที่เราลงทุนขึ้นๆๆ ในขณะที่ Catalyst หลายๆ อย่างก็หมดไปแล้ว อีกทั้งมีการแข่งขันใหม่ๆ ที่ดูแล้วเหมือนจะรุนแรงปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน เลยทะยอยขาย เวลาหุ้นลงถึงจุดหนึ่งก็ทำ Trailing Stop ไปเรื่อยๆ กิจการที่เราเข้าไปเก็งกำไรก็โดน Trailing Stop ออกไปจนหมดเช่นกัน เงินที่เหลือทำอะไรไม่ได้ ส่วนหนึ่งเอาไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นๆ อีกส่วนหนึ่งไปซื้อหุ้นปันผลที่อาจจะมีการเติบโตในอนาคตจากสัมปทานที่ได้มาใหม่ เพื่อเอามาใช้ถือแทนเงินสด แล้วก็เอาเงินสดส่วนหนึ่งไปซื้อบ้าน ซื้อรถ เพื่อที่จะได้ไม่คันไม้คันมือ เผลอมือบอนไปซื้อหุ้นแปลกๆ เข้า พยายามอยู่ห่างสังคมนักลงทุน เพื่อไม่ให้โดนอารมณ์ของตลาดครอบงำ ท่องเที่ยวปฏิบัติธรรม พยายามขี้เกียจเท่าที่ขี้เกียจได้ เพื่อจะได้อยู่ห่างจากตลาดไทย Shape ของพอร์ตหลังจากปรับเสร็จในช่วงกลางปี คือ พอร์ตต่างประเทศมีประมาณ 60% หุ้นไทยประมาณ 30-35% เงินสดประมาณ 5-10% หุ้นต่างประเทศตัวที่ถือเยอะที่สุดตัวเดียวมากกว่ามูลค่าหุ้นไทยทั้งหมด หุ้นต่างประเทศจะเป็น Internet Growth Stock ส่วนหุ้นไทยจะเป็น Defensive + Dividend (แอบมี Growth นิดๆ)
ปีที่ผ่านมาตอนช่วงหุ้นที่ลงไปแถว 12xx เป็นช่วงที่ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมารอบหนึ่ง ราคาหุ้นที่ลงมา Trigger ให้เห็นราคาหุ้นบางตัวเริ่มน่าสนใจ เลยได้โอกาส Switch หุ้นปันผลที่เราถือแทนเงินสด หรือหุ้นที่ Story จบไปแล้วแต่ถือค้างพอร์ต เข้าไปในกิจการที่เราชอบ แต่ตลาดลงมาอยู่แถวนั้นได้แป๊บเดียว เลยไม่ค่อยได้ทำอะไรมากนัก พอตลาดกลับขึ้นไป ก็ได้แต่กลับไปใช้ชีวิตต่อตามปกติ
ปีที่ผ่านมาโชคดีที่ตลาดหุ้น NASDAQ ค่อนข้าง Perform ทำให้พอร์ตโดยรวมดี แต่ตอนนี้เมื่อมองไปที่ Risk/Reward Profile ของพอร์ต และดู Movement ของตลาดในช่วงนี้ ท่าทางจะได้เวลาที่จะ Switch เงินบางส่วนจากต่างประเทศกลับมาในไทยซะแล้ว
Strategy ในปีนี้ของผม น่าจะเป็นกลายปรับสมดุล จากปีที่แล้วที่ไป Overweight ที่ต่างประเทศ กลับมา Balance ต่างประเทศกับในประเทศ ยิ่งหุ้นไทยลงแบบนี้ ในขณะที่หุ้นต่างประเทศทำนิวไฮ ผมว่าถ้าปีนี้ผม Take Action ช่วงต้นปีดีๆ ช่วงที่เหลือของปีคงจะชิวได้ระดับหนึ่ง
ประสบการณ์ที่ผมได้จากปีที่แล้ว คือ การที่อยู่ห่างจากตลาด ไม่ต้องยุ่งกับนักลงทุน ยุ่งกับสังคมที่วุ่นวาย ก็ทำให้เราเห็นโอกาสในการลงทุนที่ต่างออกไป แม้ว่าเราจะไม่ได้ไป Company Visit, Dinner Talk หรือ Present หุ้นเยอะๆ เหมือนสมัยก่อน แต่โลกในปัจจุบันก็มีข้อมูลที่ท่วมท้นหลั่งไหลเข้ามาอยู่ตลอดเวลา สำคัญก็คือ จิตใจที่สงบนิ่งเพียงพอที่จะเลือกเพียงแค่สาระสำคัญเข้ามาวิเคราะห์
ยิ่งหลังๆ พอวิเคราะห์กิจการ ยิ่งรู้เลยว่า ปัจจัยเชิงคุณภาพ ความสามารถในการมองภาพธุรกิจนี่สำคัญกว่าการวิเคราะห์ตัวเลขมาก เดี๋ยวนี้เราวิเคราะห์กิจการ ลงลึกไปทำงบ ทำตัวเลขน้อยมาก ดูแค่ผ่านๆ ยิ่งถ้าเราซื้อกิจการที่คุณภาพดีๆ ในราคาที่เรามี MOS เผื่อ Worst Case เอาไว้เยอะๆ แล้ว การถือนี่จะชิวมาก เพราะ อะไรๆ เวลามันออกมาก็ดีกว่าคาดไปหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปดูตัวเลขทางการเงินละเอียด
สิ่งหนึ่งที่ประสบกับตัวเองในช่วงปีที่แล้วที่เป็นพัฒนาการที่สำคัญ คือ เวลาหุ้นตก เดี๋ยวนี้ใจสงบนิ่งมาก เห็นแต่เหตุผล เห็นแต่โอกาส ซึ่งคงเป็นอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม การเจริญสติ ที่ทำให้เราสามารถจัดการกับจิตใจได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้นระดับหนึ่ง
ปล. หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าหากว่าข้อความดังกล่าวไปรบกวนจิตใจท่านใด ผมกราบขออภัย ขออโหสิมา ณ ที่นี้ด้วย
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 51
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 26
ปีที่แล้ว Capital gain 3.15%
ปันผล 4.48% ครับ
ผมลงทุนค่อนไปทาง Contrarian และต้นปียังไม่เก่งมาก ก็เลย lag ตลาด แต่มาเข้าป้ายตอนกลางปี 1600 --> 1400 จุดครับ
ปลายปีคางเหลืองด้วยกันทั้งตลาด ผมไม่ถือเงินสดก็เลยกำไรหดลงหน่อยนึง
ปีนี้เริ่มใหม่ครับ
ปันผล 4.48% ครับ
ผมลงทุนค่อนไปทาง Contrarian และต้นปียังไม่เก่งมาก ก็เลย lag ตลาด แต่มาเข้าป้ายตอนกลางปี 1600 --> 1400 จุดครับ
ปลายปีคางเหลืองด้วยกันทั้งตลาด ผมไม่ถือเงินสดก็เลยกำไรหดลงหน่อยนึง
ปีนี้เริ่มใหม่ครับ
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: POLL สรุปผลตอบแทนชาว Thaivi ประจำปี 2556
โพสต์ที่ 30
ขอบคุณพี่ๆทุกคนครับ
สำหรับผมยังคงต้องพยายามต่อไปอีกเยอะเลย
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆครับ
สำหรับผมยังคงต้องพยายามต่อไปอีกเยอะเลย
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต