“โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

“โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

โพสต์ที่ 1

โพสต์

“โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2556


รูปภาพ


อีกเดือนเดียวจะครบสองปีที่สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ เสียชีวิต ผลงานอันยิ่งใหญ่ที่เป็นรูปธรรม
จากความคิดสร้างสรรค์ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกยุคปัจจุบันคือ ไอโฟน โทรศัพท์อัจฉริยะ หรือ สมาร์ทโฟน
ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการติดต่อสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง

ความคิดสร้างสรรค์ของสตีฟ จอบส์ ทำลายความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
โนเกียเป็นเหยื่อรายล่าสุดที่ถูกทำลายด้วยความคิดสร้างสรรค์ของจอบส์ เมื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่า
จะขายกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้ ไมโครซอฟต์ ในราคา 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งในจำนวนนี้
เป็นค่าสิทธิบัตร เทคโนโลยีที่โนเกียจดทะเบียนไว้ 2 พันล้านเหรียญ

ในปี ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นปีที่โนเกียรุ่งเรืองที่สุด เป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือใหญ่ที่สุดในโลก
ครองส่วนแบ่งตลาดโลกมากกว่า 1 ใน 4 มีมูลค่ากิจการถึง 300 พันล้านเหรียญ ในปีเดียวกันนั้น
แอปเปิลมีมูลค่าเพียง 6.5 พันล้านเหรียญ ต่างกันเกือบ 300 เท่า

วันนี้ แอปเปิลมีมูลค่า ประมาณ 445 พันล้านเหรียญ ขณะที่โนเกียถูกขายไปในราคาที่ต้องนับว่าถูกมาก
เพียง 7 พันล้านเหรียญ ภายในระยะเวลาเพียง 13 ปี ยักษ์ใหญ่ที่เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงคุณค่ามากที่สุดของโลกแบรนด์หนึ่ง
และเป็นหนึ่งในความเป็นฟินแลนด์ ที่ใครๆ ต้องนึกถึงเมื่อเอ่ยชื่อประเทศนี้ ต้องปิดฉากอันยิ่งใหญ่ลง

หลังขายกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับไมโครซอฟต์ พร้อมกับโอนพนักงาน 32,000 คน
รวมทั้งซีอีโอ สตีเฟน อีล็อป ไปด้วย โนเกียก็จะเหลือแต่กิจการผลิตอุปกรณ์และเครือข่ายการสื่อสารไร้สายเท่านั้น

โนเกียมีอายุเก่าแก่นานถึง 148 ปี โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1865 เป็นโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ ทางตอนใต้ของฟินแลนด์
และเปลี่ยนไปผลิตรองเท้าบู๊ตที่ทำจากยาง ในตอนต้นศตวรรษที่ 20

อีก 63 ปีต่อมา โนเกียถึงจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคม โดยเป็นผู้ผลิตวิทยุโทรศัพท์ที่ใช้ในกองทัพ
ด้วยการควบกิจการกับ บริษัทฟินนิช เคเบิล เวิร์ก ที่ทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว

โนเกียผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตั้งในรถยนต์เครื่องแรก Mobira Senator เมื่อปี 1982
หนึ่งปีหลังจากสร้างเครือข่าย Nordic Mobile Telephone หรือ NMT ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
ระหว่างประเทศเครือข่ายแรกของโลก และเปิดตัวโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก Mobira City Man ในปี 1987

โนเกียเริ่มหันมาเน้นธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างจริงจังในปี 1992 หลังจากที่ก่อนหน้านั้น
ไปเทคโอเวอร์โรงงานผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ในยุโรปมาแต่ไม่ประสบความสำเร็จ โนเกียประสบความสำเร็จอย่างสูง
ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก
และโทรศัพท์โนเกียเป็นโทรศัพท์ขายดีอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกัน 13 ปี

จนกระทั่งแอปเปิลนำไอโฟนออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ในปี 2007 นั่นแหละ
ที่การปฏิวัติเทคโนโลยี่การสื่อสารในระดับบุคคลได้เริ่มขึ้น และขยายตัว สร้างผลสะเทือนอย่างรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อซัมซุง นำสมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์ ออกมาแข่งกับไอโฟน ซึ่งใช้ระบบโอแอส
ที่แอปเปิลผลิตเอง ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่โนเกีย ซึ่งเพียงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เอง
คืออุปกรณ์สื่อสารที่แสดงถึงสถานะทางสังคมของผู้ใช้ กลายเป็นวัตถุล้าสมัยไปในพริบตา

ความจริงแล้ว โนเกียผลิตสมาร์ทโฟนออกมาก่อนเพื่อน เพราะ ผู้บริหารโนเกียคาดการณ์ว่า
รายได้จากโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพื้นฐานจะลดลงไปเรื่อย ๆ และเมื่อถึงปี 2000 จะไม่มีกำไรเลย
ดังน้น จึงได้ลงทุนวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีอีเมล์ที่ใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่จอสัมผัส หรือ ทัชสกรีน และ
เครือข่ายไร้สายที่เร็วขึ้นในตอนต้นทศวรรษ 1990 และนำสมาร์ทโฟนเครื่องแรกคือ
โนเกีย 9000 ออกสู่ตลาดในปี 1996 สิบปีก่อนที่ไอโฟนจะเกิด

แต่ผู้ถือหุ้นในขณะนั้นพอใจกับผลกำไรจากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบธรรมดา
และเห็นว่าโนเกียไม่ควรลงทุนกับสมาร์ทโฟน เพราะเป็นโทรศัพท์ที่มีราคาแพงสำหรับตลาดบนซึ่งมีผู้ใช้น้อยมาก

ประกอบกับในขณะนั้นโมโตโรล่าซึ่งเป็นคู่แข่งจากอเมริกา นำโทรศัพท์รุ่น Razr ซึ่งบางและมีฝาเปิดปิดออกสู่ตลาด
ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ผู้บิรหารโนเกียถูกผู้ถือหุ้นตำหนิ ซีอีโอคนเก่าลาออกไป
ซีอีโอคนใหม่ที่มาจากฝ่ายการเงินของโนเกีย เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่
โดยนำเอาฟังก์ชั่นบางอย่างของสมาร์ทโนฟมาใส่ไว้ในโทรศัพท์แบบธรรมดา
และหยุดการพัฒนาสมาร์ทโฟน ซึ่งยุทธศาสตร์ใหม่นี้ประสบความสำเร็จ ทำให้โนเกียเป็นโทรศัพท์ขายดีที่สุดในโลก

จนกระทั่งสตีฟ จอบส์ แนะนำไอโฟนให้โลกรู้จักเป็นครั้งแรก เมื่อ 6 ปีก่อน โนเกียก็เริ่มนับถอยหลัง
ถึงแม้ว่าจะพยายามพัฒนาสมาร์ทโฟนของตนขึ้นมาแข่งขันแต่ก็ไล่ไม่ทันแล้ว

สองปีที่แล้ว โนเกียเลิกใช้ระบบปฏิบัติการซิมเบียนที่พัฒนาเอง หันไปจับมือกับไมโครซอฟต์ ใช้ระบบวินโดวส์
เป็นระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟนแทน“ลูเมีย” ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนของโนเกีย แม้จะมีคุณสมบัติในการใข้งานที่ดี
แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับความนิยมและยอดขายของซัมซุงและไอโฟนได้เลย

ไมโครซอฟต์เองก็เป็นเหยื่อของความคิดสร้างสรรค์ของสตีฟ จอบส์ แบบเดียวกับโนเกีย
เพราะเมื่อสตีฟ จอบส์ ทำให้ไอโฟน เป็นคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และพัฒนาไอแพดขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง
ก็รุกคืบเข้าไปกินส่วนแบ่งตลาดของคอมพิวเตอร์พีซี และโน้ตบุ๊กที่ไมโครซอฟต์ผูกขาดซอฟต์แวร์มานานหลายสิบปี

ไมโครซอฟต์ต้องหารายได้ใหม่มาแทนรายได้จากซอฟต์แวร์ที่แม้จะยังมากอยู่ แต่อนาคตนั้นไม่แน่ การซื้อโนเกีย
ทำให้ไมโครซอฟต์ซึ่งเดิมอยู่ในธุรกิจซอฟต์แวร์อย่างเดียว ก้าวไปสู่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ด้วยเหมือนกับแอปเปิ้ล
เพื่อจะผลิตสมาร์ทโฟน แทบเล็ต และเครื่องมือสื่อสารแบบเคลื่อนที่อื่นๆ อยู่ที่ว่า
จะแข่งขันได้และไล่ทันแอปเปิลหรือซัมซุงซึ่งล่วงหน้าไปไกลแล้วหรือไม่
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: “โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

โพสต์ที่ 2

โพสต์

รูปภาพ

ในที่สุดไมโครซอฟท์ก็ประกาศเข้าซื้อธุรกิจโทรศัพท์มือถือของโนเกียมูลค่า 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (5.44 พันล้านยูโร)
โดยดีลนี้คาดว่าจะเสร็จได้ในไตรมาสแรกปีหน้า โดยจะต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นรวมถึงกระบวนการอนุญาตทางกฏหมายด้วย
ที่มา : Reuters

อัพเดตเพิ่มเติม:
ดีล 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐนี้ ไมโครซอฟท์จะชำระให้โนเกียเป็นเงินสด โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 5 พันล้านเหรียญ
ฯ สำหรับส่วนธุรกิจอุปกรณ์และบริการของโนเกีย และ 2.17 พันล้านเหรียญฯ สำหรับค่าสิทธิบัตรต่างๆ

พนักงานของโนเกียจำนวน 32,000 คนรวมถึง Stephen Elop และผู้บริหารอีก 4 คน ได้แก่ Jo Harlow, Juha Putkiranta,
Timo Toikkanen และ Chris Weber จะถูกโยกย้ายไปยังไมโครซอฟท์ โดยพนักงานจำนวนนี้แบ่งเป็น 4,700 คนในฟินแลนด์
และ 18,300 คนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต, ประกอบ, และบรรจุภัณฑ์ทั่วโลก ทั้งนี้ Risto Siilasmaa
ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดผู้บริหารของโนเกียจะขึ้นเป็น CEO ชั่วคราวให้กับทางโนเกียแทน Stephen Elop

สำหรับเรื่องแบรนด์ ไมโครซอฟท์จะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของแบรนด์ Asha และมีเพียงสิทธิ์การใช้งานแบรนด์โนเกีย
สำหรับโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน โดยโนเกียจะยังคงความเป็นเจ้าของแบรนด์โนเกียอยู่
สำหรับสิทธิบัตรนั้น โนเกียจะยังถือครองความเป็นเจ้าของสิทธิบัตร โดยจะยินยอมให้ไมโครซอฟท์ใช้งานได้ 10 ปี
ในทางกลับกันไมโครซอฟท์จะยินยอมให้ทางโนเกียสามารถเข้าใช้สิทธิบัตรของไมโครซอฟท์ในบริการต่างๆ ของ HERE
และโนเกียจะยอมให้ไมโครซอฟท์สามารถต่อสัญญาการใช้งานสิทธิบัตรร่วมกันตลอดไป

ไมโครซอฟท์ยังประกาศเพิ่มเติมด้วยว่าเตรียมจัดสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในฟินแลนด์อีกด้วย
เพื่อใช้รองรับลูกค้าในกลุ่มประเทศยุโรป โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐในการจัดสร้าง
ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ที่มาเพิ่มเติม : ไมโครซอฟท์, โนเกีย
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: “โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

โพสต์ที่ 3

โพสต์

รูปภาพ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: “โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ติดตามอ่าน ด้วยความขอบคุณค่ะ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: “โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

โพสต์ที่ 5

โพสต์

สิ่งที่โนเกีย ไม่ยอมขายมาพร้อมกันในครั้งนี้
โนเกียน่าจะนำไปพัฒนาต่อ...

ธุรกิจเน็ตเวิรกกิ้ง NSM
เทคโนโลยีด้านแผนที่และสถานที่ HERE
ซึ่งโนเกียมีแผนบุกตลาดระบบนำทางในรถยนต์

ระบบนำทางในรถยนต์ปัจจุบัน แผนที่ของGoogle นำหน้าไปมาก
ธุรกิจด้านนี้น่าจะต้องมีอนาคตและการเติบโต
GPS นำทาง และเครื่องติดตามรถยนต์
น่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์
Nutth147
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

Re: “โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

โพสต์ที่ 6

โพสต์

วันที่ 12 เดือนนี้ หนังเรื่อง Jobs จะเข้าโรงครับ มีฉากตอนเปิดตัวไอโฟน(หรืออาจจะไอพอต) ด้วยครับ
มีอีกบริษัทที่ก็น่าสนใจนะครับ คือ Dell computer ที่เคยรุ่งเรืองก่อนจะมาเป็นอย่างปัจจุบัน ในมุมมองของท่านๆคิดว่า สตีฟ ถือว่าเป็น CEO ที่เก่งไหมครับ ?
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
tigerroad197
Verified User
โพสต์: 390
ผู้ติดตาม: 0

Re: “โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบคุณท่าน จขกท มากครับ สำหรับบทความ

ในฐานะคนที่เคยใช้ โนเกีย มาแทบทุกรุ่น ระบบซิมเปี้ยนของโนเกีย ในช่วงนั้น มีปัญหาติดไวรัสจนคนใช้งานเบื่อครับ

และลูกค้าเกิดความรู้สึกว่า โนเกีย ไม่ยอมรับผิดชอบ จากเดิมที่สามารถเปลี่ยนเครื่องได้ใน 7 วัน กลายเป็นแค่ส่งซ่อมเท่านั้น

นอกจากนี้ สมัยนั้น การตั้งค่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตของ โนเกีย ก็ยุ่งยากมากครับ พอมาเจอ iPhone ที่แค่ใส่ข้อมูลสำคัญไม่กี่ตัวก็สามารถเข้าถึงอีเมล เล่นเน็ตได้แล้ว ทำให้ความนิยมในโนเกียลดลงไปมากครับ

ที่จริงอีกตัวอย่างที่ควรพูดถึงคือ โซนี่ ครับ ผมเองก็เคยเป็นสาวกอารยธรรมโซนี่ เจอใครก็เชียร์ให้ซื่อแต่โซนี่ จนกระทั่ง ซัมซุง เกิดขึ้นมานั่นแหละครับ ถึงได้ทราบว่า อะไรคือของแพงแล้วไม่คุ้มค่า กับ ของถูกแต่คุ้มเกินราคากว่าของแพง ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
นายมานะ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1116
ผู้ติดตาม: 0

Re: “โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันครับ ขออนุญาตนำบทความของคุณวรวิสุทธิ์ (Marketing hub) มาต่อยอดด้วยครับ

สามก๊กมือถือดุเดือด เมื่อไมโครซอฟต์ซื้อโนเกีย?

กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 5 กันยายน 2556 02:00

โดย : วรวิสุทธิ์ ภิญโญยาง

กลายเป็นข่าวใหญ่และน่าตื่นเต้นของอุตสาหกรรมไอทีช่วงเริ่มต้นไตรมาสสุดท้ายของปี 2013

เมื่อไมโครซอฟต์เข้าซื้อกิจการของโนเกีย ในส่วนของธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ด้วยมูลค่าการซื้อกว่า 7,200 ล้านดอลลาร์ (คิดเป็นมูลค่าของกิจการ 5,000 ล้านดอลลาร์ รวมกับค่าใช้จ่ายในการใช้สิทธิบัตรต่างๆของโนเกีย อีก 2,200 ล้านดอลลาร์)

โนเกีย เป็นบริษัทมือถือที่ครองแชมป์ยอดขายอันดับหนึ่งมายาวนาน 14 ปี นับตั้งแต่ปี 1998 เรื่อยมา จนมาเสียแชมป์ให้ซัมซุงเมื่อปี 2012 โดยเหตุผลหลักๆ คือ ไม่สามารถแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนที่กำลังเติบโตอย่างมหาศาลได้ นับตั้งแต่แอ๊ปเปิ้ลเปิดตัวไอโฟนเมื่อปี 2007

โนเกียเพิ่งตระหนักถึงความสำคัญในตลาดสมาร์ทโฟนจริงจังเมื่อเดือน ก.พ.2011 ภายใต้การนำของซีอีโอคนใหม่ขณะนั้น คือ "สตีเฟน อีลอป" ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้เพียง 5 เดือน อีลอป ได้ปรับกลยุทธ์และทิศทางโนเกียให้รุกตลาดสมาร์ทโฟน โดยเลือกใช้วินโดวส์โฟนเป็นระบบปฏิบัติการหลักต่อกรไอโอเอสจากค่ายแอ๊ปเปิ้ลและแอนดรอยด์จากค่ายกูเกิล เหตุผลที่อีลอปให้ความสำคัญที่สุด คือ การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) เพราะถ้าโนเกียเลือกใช้แอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติการ คงยากที่จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น

การหมั้นหมายกันระหว่างไมโครซอฟต์และโนเกียครั้งนั้นพัฒนาเป็นการแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในวันนี้ ด้วยเหตุผลที่น่าสนใจหลายประการ

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด คือ สร้างความแข็งแกร่งให้อีโคซิสเต็มส์ของตัวเอง เพราะอนาคตของไมโครซอฟต์ที่ฝากไว้กับธุรกิจสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทอย่างวินโดว์สและออฟฟิศเริ่มอยู่ในช่วงขาลงจากตลาดพีซีที่ยอดลดลงทุกปี

ไมโครซอฟต์ เพิ่งปรับองค์กรครั้งใหญ่สุดไป เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้ยุทธศาสตร์ “One Microsoft” รวบอำนาจการบริหารสายฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เน้นควบคุมประสบการณ์ใช้ซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว ปรับทิศทางธุรกิจหันมาเน้นการสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเอง ทั้งลูกผสมแทบเล็ตกับพีซีอย่าง เซอร์เฟซ และเครื่องเล่นเกม เอ็กซ์-บ็อกซ์ ที่เตรียมปรับ Positioning จากเครื่องเล่นเกม เป็นอุปกรณ์สำหรับโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนท์

การซื้อโนเกียที่มีประสบการณ์ในการพัฒนา ออกแบบมือถือมายาวนานที่สุดในอุตสาหกรรม มีความคุ้นเคยกับซัพพลายเชนทั้งหมดเป็นอย่างดี เปรียบเสมือนได้จิ๊กซอว์ตัวสำคัญมาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป

นอกจากมือถือแล้ว ไมโครซอฟต์ยังได้นวัตกรรมที่สำคัญอื่นๆ จากโนเกียอีก เช่น นวัตกรรมการถ่ายภาพ (Imaging) นวัตกรรมในส่วนของ Personal Assistant และ อุปกรณ์พกพาอย่างอื่นที่ทางโนเกียพัฒนาอยู่ (น่าจับตามองว่าเป็นอุปกรณ์อะไร ซึ่งอาจจะตอบโจทย์เรื่องแทบเล็ตของไมโครซอฟต์เพิ่มอีกอย่าง) ยังไม่พอครับ ไมโครอยังได้สิทธิ์ใช้บริการต่างๆ ของโนเกีย เช่น บริการแผนที่ “Here” ที่จะเข้ามาเสริมทัพบริการหลักของไมโครซอฟต์อย่าง Bing , Skype , SkyDrive , MS Office

“คอนเน็คชั่น” เป็นสิ่งสำคัญอีกสิ่ง ที่ไมโครอจะได้จากการซื้อโนเกีย

ทั้งคอนเน็คชั่นและช่องทางการจัดจำหน่าย จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการกระจายสินค้าให้รวดเร็วและครอบคลุมมากขึ้น เปิดตัวมือถือใหม่ที ก็จะวางขายในแต่ละประเทศเร็วและทั่วถึงทุกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

เราอาจได้เห็นไมโครซอฟต์เอาจริงกับการพัฒนาร้านค้าปลีกของตัวเอง ปรับเปลี่ยนศูนย์โนเกียสาขาต่างๆ ทั่วโลกรวมกับไมโครซอฟต์สโตร์ที่มีอยู่แล้ว 75 สาขา เพื่อชนกับแอ๊ปเปิ้ลสโตร์โดยตรง (ไพ่ใบนี้กูเกิลเสียเปรียบเต็มๆ เพราะไม่มีอยู่คนเดียว)

ใช้กลยุทธ์ Vertical Integration เต็มรูปแบบ เพราะมีทั้ง Backward Vertical Integration และ Forward Vertical Integration ตามรอยแอ๊ปเปิ้ลที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก

ไพ่ทั้งหมดในมือของไมโครซอฟต์ตอนนี้ สามารถใช้พลิกเกมขึ้นมาเปิดสงครามสามก๊กมือถือระหว่างแอ๊ปเปิ้ลและกูเกิลได้สูสีขึ้น ตอบโจทย์ด้านยุทธศาสตร์ของไมโครซอฟต์ชัดเจนและเป็นการสร้างความได้เปรียบการแข่งขันให้กลับมาอยู่ในเกมอีกครั้ง

นอกจากโนเกียแล้ว ไมโครซอฟต์ยังมีตัวเลือกอีกตัว คือ แบล็คเบอร์รี ที่มีนักวิเคราะห์จาก บลูมเบิร์กตีมูลค่าอยู่ที่ 5,500 ล้านดอลลาร์

ไมโครซอฟต์ คิดถูกแล้วครับที่ซื้อโนเกียแทนที่จะเป็น แบล็คเบอร์รี เพราะถ้าไปซื้อแบล็คเบอร์รีแทนไมโครซอฟต์คงไปไม่ถึงดวงดาว เนื่องจากขาดไพ่ในมืออีกหลายสิบใบ เงินก็น้อย ทรัพยากรก็น้อย อีกทั้งไม่เคยทำงานร่วมกันมาใกล้ชิดแบบโนเกีย กว่าจะปรับตัวกันได้คงโดนแอ๊ปเปิ้ลและกูเกิลตีแตกกระเจิงไปแล้ว

ที่สำคัญ อาการของแบล็คเบอร์รีย่ำแย่กว่าโนเกียมาก

สิ่งที่น่าจับตามองต่อไป คือ การใช้แบรนด์ “Asha” สำหรับตลาดฟีเจอร์โฟนและการใช้วินโดวส์โฟนเป็นสมาร์ทโฟน สำหรับ low-cost segment เพื่อขายในประเทศกำลังพัฒนาและจะมี โปรดักส์ชนแอนดรอยด์ในทุกเซคเม้นท์ตั้งแต่รุ่นถูกไปจนถึงรุ่นแพง

เป้าหมายที่ไมโครซอฟต์ตั้งไว้ คือ เพิ่มส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนจาก 4% เป็น 15% ภายใน 5 ปี เป็นเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นจริงได้ แต่การแข่งขันจากนี้ไปจะดุเดือดขึ้นอย่างแน่นอน

คำถามน่าสนใจจากนี้คือ สตีเฟน อีลอป จะไปอยู่ตรงไหน และใครจะมาเป็นซีอีโอของไมโครซอฟต์แทนที่สตีฟ บอลเมอร์ ที่ประกาศลงจากตำแหน่งภายในอีก 1 ปีข้างหน้า

ติดตามอ่านได้ ใน facebook.com/MktHub นะครับ ;)
โพสต์โพสต์