สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 1
ดัชนีวัดกำลังซื้อ "อสังหาริมทรัพย์" และทิศทางตลาดในอนาคต...
updated: 02 ก.ย. 2556 เวลา 16:27:22 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ข่าวสารด้านเศรษฐกิจในระยะนี้ กล่าวได้ว่า เต็มไปด้วยข่าวด้านลบอย่างครบถ้วนทุกขนานกันเลยทีเดียว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตกรูดอย่างต่อเนื่องรุนแรง นักลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนขนเงินออกนับแสนล้านบาท ยอดการส่งออกไม่เป็นไปตามเป้าอย่างน่าวิตก และหน่วยงานรัฐปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปี 2556
มีตัวเลขบวกอยู่กลุ่มเดียวคือ ธุรกิจท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยมากขึ้นสวนกระแส
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม นั้น ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องจับกลุ่มแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อหาทิศทางตลาดว่าเป็นอย่างไร
งานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี ซึ่งประกอบด้วยงาน Home buyers expo โครงการบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ งาน NPA Grand sale เป็นงานขายบ้านมือสองและทรัพย์สินรอการขาย และงาน Home loan เป็นงานสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกัน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 22-25 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา
ผลการขายบ้านและให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในงานนี้ น่าจะเป็นคำตอบสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ระดับหนึ่ง
ปรากฏว่า บ้าน-คอนโดฯ โครงการใหม่ มียอดจอง 1,800 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 20%
ทรัพย์รอการขายเอ็นพีเอ มียอดจอง 1,500 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 30%
ยอดจองสินเชื่อที่อยู่อาศัย 11,800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
และยอดผู้เข้าชมงาน 90,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ประมาณ 10%
จากตัวเลขยอดจองซื้อที่อยู่อาศัย การขอสินเชื่อ และจำนวนคนเข้าชมงาน อภิมหกรรมฯ นี้ สามารถอนุมานได้ว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัยกลางปีนี้เทียบกับกลางปีที่แล้วนั้น ถือว่าใกล้เคียงกัน มีอัตราเพิ่มเล็กน้อย
ส่วนตัวเลขยอดจองทรัพย์เอ็นพีเอที่ลดลงนั้น มีสาเหตุมาจากปริมาณทรัพย์ที่เสนอขายมีจำนวนน้อยลง เพราะอัตราการขายทรัพย์เอ็นพีเอตั้งแต่ต้นปีนี้มาขายดีตลอด จนทำให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพ (บสก.) ซึ่งมีทรัพย์รอการขายมากที่สุดในตลาดนี้ มียอดขายเกือบถึงเป้าปี 2556 ตั้งแต่กลางปีกันเลยทีเดียว
ทิศทางตลาดในอนาคตอันใกล้นี้ เชื่อว่าจะชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อกำลังซื้อและจิตวิทยาผู้บริโภค ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ในบ้านเป็นกลุ่มที่เห็นผลกระทบในระยะต่อมาในไตรมาสที่ 3 สินค้าที่อยู่อาศัย บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม เนื่องจากเป็นสินค้าพื้นฐานจำเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่ผู้บริโภคหากมีความพร้อมและความต้องการแล้วมักไม่เปลี่ยนใจ งานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ ปลายเดือนสิงหาคม 2556 จึงยังไม่มีผลกระทบโดยทันที กำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่หดหายไปเป็นผู้ซื้อที่สถาบันการเงินปฏิเสธปล่อยกู้ กับนักเก็งกำไรที่ใช้เงินกู้แบงก์ในการซื้อ
อสังหาริมทรัพย์คึกคักต่อเนื่องกันมา 3-4 ปีแล้ว จะให้คึกต่อเนื่องไม่หยุดคงเป็นไปไม่ได้ ต้องมีผ่อนแรงหรือพักยกกันบ้าง เพื่อให้ตลาดปรับสมดุลใหม่
อย่างไรก็ยังมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจอาเซียน เศรษฐกิจเอเชีย ยังเป็นขาขึ้นอย่างแน่นอน
ตอนนี้แค่ชะลอชมวิวเท่านั้น อย่าเพิ่งตกใจ เดี๋ยวไปต่อ
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
ฉบับวันที่ วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378114209
updated: 02 ก.ย. 2556 เวลา 16:27:22 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ข่าวสารด้านเศรษฐกิจในระยะนี้ กล่าวได้ว่า เต็มไปด้วยข่าวด้านลบอย่างครบถ้วนทุกขนานกันเลยทีเดียว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตกรูดอย่างต่อเนื่องรุนแรง นักลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนขนเงินออกนับแสนล้านบาท ยอดการส่งออกไม่เป็นไปตามเป้าอย่างน่าวิตก และหน่วยงานรัฐปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปี 2556
มีตัวเลขบวกอยู่กลุ่มเดียวคือ ธุรกิจท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยมากขึ้นสวนกระแส
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม นั้น ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องจับกลุ่มแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อหาทิศทางตลาดว่าเป็นอย่างไร
งานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี ซึ่งประกอบด้วยงาน Home buyers expo โครงการบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ งาน NPA Grand sale เป็นงานขายบ้านมือสองและทรัพย์สินรอการขาย และงาน Home loan เป็นงานสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกัน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 22-25 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา
ผลการขายบ้านและให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในงานนี้ น่าจะเป็นคำตอบสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ระดับหนึ่ง
ปรากฏว่า บ้าน-คอนโดฯ โครงการใหม่ มียอดจอง 1,800 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 20%
ทรัพย์รอการขายเอ็นพีเอ มียอดจอง 1,500 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 30%
ยอดจองสินเชื่อที่อยู่อาศัย 11,800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
และยอดผู้เข้าชมงาน 90,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ประมาณ 10%
จากตัวเลขยอดจองซื้อที่อยู่อาศัย การขอสินเชื่อ และจำนวนคนเข้าชมงาน อภิมหกรรมฯ นี้ สามารถอนุมานได้ว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัยกลางปีนี้เทียบกับกลางปีที่แล้วนั้น ถือว่าใกล้เคียงกัน มีอัตราเพิ่มเล็กน้อย
ส่วนตัวเลขยอดจองทรัพย์เอ็นพีเอที่ลดลงนั้น มีสาเหตุมาจากปริมาณทรัพย์ที่เสนอขายมีจำนวนน้อยลง เพราะอัตราการขายทรัพย์เอ็นพีเอตั้งแต่ต้นปีนี้มาขายดีตลอด จนทำให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพ (บสก.) ซึ่งมีทรัพย์รอการขายมากที่สุดในตลาดนี้ มียอดขายเกือบถึงเป้าปี 2556 ตั้งแต่กลางปีกันเลยทีเดียว
ทิศทางตลาดในอนาคตอันใกล้นี้ เชื่อว่าจะชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อกำลังซื้อและจิตวิทยาผู้บริโภค ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ในบ้านเป็นกลุ่มที่เห็นผลกระทบในระยะต่อมาในไตรมาสที่ 3 สินค้าที่อยู่อาศัย บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม เนื่องจากเป็นสินค้าพื้นฐานจำเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่ผู้บริโภคหากมีความพร้อมและความต้องการแล้วมักไม่เปลี่ยนใจ งานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ ปลายเดือนสิงหาคม 2556 จึงยังไม่มีผลกระทบโดยทันที กำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่หดหายไปเป็นผู้ซื้อที่สถาบันการเงินปฏิเสธปล่อยกู้ กับนักเก็งกำไรที่ใช้เงินกู้แบงก์ในการซื้อ
อสังหาริมทรัพย์คึกคักต่อเนื่องกันมา 3-4 ปีแล้ว จะให้คึกต่อเนื่องไม่หยุดคงเป็นไปไม่ได้ ต้องมีผ่อนแรงหรือพักยกกันบ้าง เพื่อให้ตลาดปรับสมดุลใหม่
อย่างไรก็ยังมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจอาเซียน เศรษฐกิจเอเชีย ยังเป็นขาขึ้นอย่างแน่นอน
ตอนนี้แค่ชะลอชมวิวเท่านั้น อย่าเพิ่งตกใจ เดี๋ยวไปต่อ
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
ฉบับวันที่ วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378114209
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 2
http://www.youtube.com/watch?v=N5WNjYJswhI
ลองดูครับ วัฒนธรรมชุบแป้งทอด: Generation Walk รายการของ Thai PBS น่าสนใจดีครับ
ลองดูครับ วัฒนธรรมชุบแป้งทอด: Generation Walk รายการของ Thai PBS น่าสนใจดีครับ
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- Verified User
- โพสต์: 995
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 3
555 ชีวิตผมเลย
Nutth147 เขียน:http://www.youtube.com/watch?v=N5WNjYJswhI
ลองดูครับ วัฒนธรรมชุบแป้งทอด: Generation Walk รายการของ Thai PBS น่าสนใจดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 4
อสังหาจ๊าก"ที่ปรึกษาEIA"โก่งค่าตัวเลือดซิบ ฉวยจังหวะงานล้นมือเรียกราคาเล่มละล้าน-จี้รัฐแก้ปัญหาด่วน
updated: 04 ก.ย. 2556 เวลา 10:21:42 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
3 สมาคมอสังหาฯสุดทน จี้รัฐแก้ปัญหาขออนุมัติรายงานอีไอเอล่าช้า ล่าสุดยื่นข้อเสนอใหม่ 2 มาตรการ "ขึ้นทะเบียนบริษัทที่ปรึกษา" เพิ่ม เหตุมีจำนวนน้อยทำให้โก่งค่าตัว ล่าสุดปั่นราคาจาก 3-4 แสนขึ้นไปแตะ 8-9 แสนบาท/โครงการ ควบคู่ขอให้ "วิศวกรสิ่งแวดล้อม" เซ็นรับรองชั่วคราว เพื่อยื่นขออนุญาตก่อสร้างระหว่างรอ สผ.อนุมัติอีไอเอ
นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมกันเข้าพบนายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อยื่นหนังสือเสนอแนวทางการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ที่ปัจจุบันมีปัญหาพิจารณาล่าช้าและใช้ดุลพินิจในการพิจารณาสูง
ยื่นขอ 3 ข้อเสนอเก่า-ใหม่
ทั้งนี้ 3 สมาคมร่วมกันเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 3 ข้อ ประกอบด้วย 1) ขอให้กระจายอำนาจการพิจารณาไปสู่ระดับท้องถิ่น เพื่อลดปริมาณงานที่มากระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง แก้ปัญหาสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) งานล้นมือ เนื่องจากปัจจุบันมีคอนโดฯเปิดตัวใหม่จำนวนมาก
2)ขอให้ สผ.กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการชำนาญการ (คชก.) ที่ชัดเจน เพื่อลดการใช้ดุลพินิจ โดยจัดทำเป็น "คู่มือแนวทางปฏิบัติ" ของ คชก. หรือ Code of Practice ให้กับผู้ประกอบการได้รับทราบ เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องตามระเบียบที่ชัดเจน
และ 3)ขอมาตรการผ่อนคลายให้กับผู้ประกอบการ โดยให้วิศวกรสิ่งแวดล้อม (วุฒิวิศวกร) เซ็นรับรองแล้วสามารถนำไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารได้ก่อน ในระหว่างที่รายงานอีไอเออยู่ในขั้นตอนพิจารณาของ สผ. คล้ายกับการใช้สิทธิ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร มาตรา 39 ทวิ
นายธำรงกล่าวว่า มีข้อมูลจากสมาชิกสมาคมแจ้งว่ามีบางโครงการใช้เวลาพิจารณารายงานอีไอเอนานกว่า 1 ปี ทำให้ผู้ประกอบการต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยเวลาที่เหมาะสมควรจะไม่เกิน 3-4 เดือน
แนะ สผ.ตั้ง คชก.ชุดเล็ก
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ปัญหาของการยื่นขออนุมัติอีไอเอล่าช้า เป็นเพราะ สผ.มีงานล้นมือกว่า 300-400 โครงการ แต่ทราบว่ามีคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) เพียงชุดเดียว แต่ต้องมารับผิดชอบพิจารณารายงานอีไอเอเกือบทั่วประเทศ
ทั้งนี้ถึงแม้ สผ.กระจายอำนาจให้แต่ละจังหวัดเป็นผู้พิจารณาอีไอเอ แต่สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเชื่อว่าปริมาณงานยังมากอยู่ จึงมีข้อเสนอเพิ่มเติมถึง สผ. น่าจะจัดตั้ง คชก.ชุดเล็กขึ้นอีก 1 ชุด และแบ่งแยกโครงการคอนโดฯที่ไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่เกิน 1 หมื่นตารางเมตร หรือไม่ได้อยู่ใกล้สถานที่สำคัญ เช่น หน่วยงานราชการ แม่น้ำ วัด ฯลฯ ให้พิจารณา
เจอตอ...ที่ปรึกษาโก่งค่าตัว
นายอธิปกล่าวต่อว่า ปัญหาของรายงานอีไอเอยังรวมถึงบริษัทที่ปรึกษามีจำนวนไม่พอ ถึงแม้มี 60 บริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับ สผ. แต่ในทางปฏิบัติมีประมาณ 10 บริษัทเท่านั้นที่ชำนาญทำรายงานอีไอเอโครงการคอนโดฯ ส่งผลให้ปัจจุบันราคารับจ้างทำรายงานอีไอเอ1 เล่มสูงถึง 8 แสน-1 ล้านบาท จาก 7-8 ปีก่อนเคยอยู่ที่เล่มละ 3-4 แสนบาท
"ผมมีข้อเสนอให้ สผ.ร่วมกับมหาวิทยาลัยจัดคอร์สอบรมผู้ทำรายงานอีไอเอ เน้นที่ปรึกษาทำรายงานฯ อาคารชุดที่ขาดแคลน"
นายอธิปกล่าวด้วยว่า สำหรับข้อเสนอในนาม 3 สมาคม ให้เพิ่มช่องทางการยื่นรายงานอีไอเอ โดยขอให้วิศวกรสิ่งแวดล้อมเซ็นรับรองรายงานและนำไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างได้นั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับการปลดล็อกจาก สผ. เนื่องจากในการขออนุญาตก่อสร้างจำเป็นต้องมีรายงานอีไอเอที่ผ่านความเห็นชอบจาก คชก.แนบไปด้วย
"สผ." แบ่งรับแบ่งสู้
นายสันติ บุญประคับ เลขาธิการ สผ. เปิดเผยว่า กรณีที่ 3 สมาคมอสังหาฯยื่นข้อเสนอขอให้กระจายอำนาจการพิจารณารายงานอีไอเอให้แต่ละจังหวัด และจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการใช้ดุลพินิจของ คชก. เป็นสิ่งที่ สผ.ได้เสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาแล้ว
"กรณีที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมผ่านความเห็นชอบจะต้องรอการรับรองรายงานการประชุม จากนั้น สผ.จะแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ รับทราบเพื่อแต่งตั้ง คชก.ประจำจังหวัด และส่งรายชื่อ คชก.กลับมาให้กระทรวงทรัพย์พิจารณา คาดว่าจะใช้เวลาอีก 3-4 เดือน น่าจะเริ่มกระจายอำนาจได้"
สำหรับข้อเสนอที่ขอให้วิศวกรสิ่งแวดล้อมเซ็นรับรองรายงานอีไอเอ เพื่อนำไปขออนุญาตก่อสร้างกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือหน่วยงานท้องถิ่นได้ก่อน ระหว่างรอพิจารณารายงาน ประเด็นนี้หน่วยงานที่มีอำนาจในการตัดสินใจคือ กทม. และกรมโยธาธิการและผังเมือง ส่วนข้อเสนอให้ สผ.ร่วมกับมหาวิทยาลัยจัดคอร์สฝึกอบรมผู้รับทำรายงานอีไอเอ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษากระบวนการ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378264479
updated: 04 ก.ย. 2556 เวลา 10:21:42 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
3 สมาคมอสังหาฯสุดทน จี้รัฐแก้ปัญหาขออนุมัติรายงานอีไอเอล่าช้า ล่าสุดยื่นข้อเสนอใหม่ 2 มาตรการ "ขึ้นทะเบียนบริษัทที่ปรึกษา" เพิ่ม เหตุมีจำนวนน้อยทำให้โก่งค่าตัว ล่าสุดปั่นราคาจาก 3-4 แสนขึ้นไปแตะ 8-9 แสนบาท/โครงการ ควบคู่ขอให้ "วิศวกรสิ่งแวดล้อม" เซ็นรับรองชั่วคราว เพื่อยื่นขออนุญาตก่อสร้างระหว่างรอ สผ.อนุมัติอีไอเอ
นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมกันเข้าพบนายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อยื่นหนังสือเสนอแนวทางการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ที่ปัจจุบันมีปัญหาพิจารณาล่าช้าและใช้ดุลพินิจในการพิจารณาสูง
ยื่นขอ 3 ข้อเสนอเก่า-ใหม่
ทั้งนี้ 3 สมาคมร่วมกันเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 3 ข้อ ประกอบด้วย 1) ขอให้กระจายอำนาจการพิจารณาไปสู่ระดับท้องถิ่น เพื่อลดปริมาณงานที่มากระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง แก้ปัญหาสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) งานล้นมือ เนื่องจากปัจจุบันมีคอนโดฯเปิดตัวใหม่จำนวนมาก
2)ขอให้ สผ.กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการชำนาญการ (คชก.) ที่ชัดเจน เพื่อลดการใช้ดุลพินิจ โดยจัดทำเป็น "คู่มือแนวทางปฏิบัติ" ของ คชก. หรือ Code of Practice ให้กับผู้ประกอบการได้รับทราบ เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องตามระเบียบที่ชัดเจน
และ 3)ขอมาตรการผ่อนคลายให้กับผู้ประกอบการ โดยให้วิศวกรสิ่งแวดล้อม (วุฒิวิศวกร) เซ็นรับรองแล้วสามารถนำไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารได้ก่อน ในระหว่างที่รายงานอีไอเออยู่ในขั้นตอนพิจารณาของ สผ. คล้ายกับการใช้สิทธิ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร มาตรา 39 ทวิ
นายธำรงกล่าวว่า มีข้อมูลจากสมาชิกสมาคมแจ้งว่ามีบางโครงการใช้เวลาพิจารณารายงานอีไอเอนานกว่า 1 ปี ทำให้ผู้ประกอบการต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยเวลาที่เหมาะสมควรจะไม่เกิน 3-4 เดือน
แนะ สผ.ตั้ง คชก.ชุดเล็ก
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ปัญหาของการยื่นขออนุมัติอีไอเอล่าช้า เป็นเพราะ สผ.มีงานล้นมือกว่า 300-400 โครงการ แต่ทราบว่ามีคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) เพียงชุดเดียว แต่ต้องมารับผิดชอบพิจารณารายงานอีไอเอเกือบทั่วประเทศ
ทั้งนี้ถึงแม้ สผ.กระจายอำนาจให้แต่ละจังหวัดเป็นผู้พิจารณาอีไอเอ แต่สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเชื่อว่าปริมาณงานยังมากอยู่ จึงมีข้อเสนอเพิ่มเติมถึง สผ. น่าจะจัดตั้ง คชก.ชุดเล็กขึ้นอีก 1 ชุด และแบ่งแยกโครงการคอนโดฯที่ไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่เกิน 1 หมื่นตารางเมตร หรือไม่ได้อยู่ใกล้สถานที่สำคัญ เช่น หน่วยงานราชการ แม่น้ำ วัด ฯลฯ ให้พิจารณา
เจอตอ...ที่ปรึกษาโก่งค่าตัว
นายอธิปกล่าวต่อว่า ปัญหาของรายงานอีไอเอยังรวมถึงบริษัทที่ปรึกษามีจำนวนไม่พอ ถึงแม้มี 60 บริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับ สผ. แต่ในทางปฏิบัติมีประมาณ 10 บริษัทเท่านั้นที่ชำนาญทำรายงานอีไอเอโครงการคอนโดฯ ส่งผลให้ปัจจุบันราคารับจ้างทำรายงานอีไอเอ1 เล่มสูงถึง 8 แสน-1 ล้านบาท จาก 7-8 ปีก่อนเคยอยู่ที่เล่มละ 3-4 แสนบาท
"ผมมีข้อเสนอให้ สผ.ร่วมกับมหาวิทยาลัยจัดคอร์สอบรมผู้ทำรายงานอีไอเอ เน้นที่ปรึกษาทำรายงานฯ อาคารชุดที่ขาดแคลน"
นายอธิปกล่าวด้วยว่า สำหรับข้อเสนอในนาม 3 สมาคม ให้เพิ่มช่องทางการยื่นรายงานอีไอเอ โดยขอให้วิศวกรสิ่งแวดล้อมเซ็นรับรองรายงานและนำไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างได้นั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับการปลดล็อกจาก สผ. เนื่องจากในการขออนุญาตก่อสร้างจำเป็นต้องมีรายงานอีไอเอที่ผ่านความเห็นชอบจาก คชก.แนบไปด้วย
"สผ." แบ่งรับแบ่งสู้
นายสันติ บุญประคับ เลขาธิการ สผ. เปิดเผยว่า กรณีที่ 3 สมาคมอสังหาฯยื่นข้อเสนอขอให้กระจายอำนาจการพิจารณารายงานอีไอเอให้แต่ละจังหวัด และจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการใช้ดุลพินิจของ คชก. เป็นสิ่งที่ สผ.ได้เสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาแล้ว
"กรณีที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมผ่านความเห็นชอบจะต้องรอการรับรองรายงานการประชุม จากนั้น สผ.จะแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ รับทราบเพื่อแต่งตั้ง คชก.ประจำจังหวัด และส่งรายชื่อ คชก.กลับมาให้กระทรวงทรัพย์พิจารณา คาดว่าจะใช้เวลาอีก 3-4 เดือน น่าจะเริ่มกระจายอำนาจได้"
สำหรับข้อเสนอที่ขอให้วิศวกรสิ่งแวดล้อมเซ็นรับรองรายงานอีไอเอ เพื่อนำไปขออนุญาตก่อสร้างกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือหน่วยงานท้องถิ่นได้ก่อน ระหว่างรอพิจารณารายงาน ประเด็นนี้หน่วยงานที่มีอำนาจในการตัดสินใจคือ กทม. และกรมโยธาธิการและผังเมือง ส่วนข้อเสนอให้ สผ.ร่วมกับมหาวิทยาลัยจัดคอร์สฝึกอบรมผู้รับทำรายงานอีไอเอ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษากระบวนการ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378264479
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 5
อสังหาปรับแผน"ลดไซซ์-ลดสต๊อก"หวั่นการเมืองแรงฉุดกำลังซื้อร่วง เร่งขายห้องชุดหลุดดาวน์
updated: 12 ก.ย. 2556 เวลา 10:30:22 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หวั่นการเมืองแรง อสังหาฯรายใหญ่-เล็กงัดแผนรับมือ "เสนาฯ" แบ่งลงทุนคอนโดฯ 2 เฟสยอมเปิดทีละอาคารลดความเสี่ยงลงทุน "NC-คิวเฮ้าส์" มอนิเตอร์ยอดขายถี่ยิบ+ลดปริมาณสร้างบ้านก่อนขาย "โอริน ดีเวลลอปเม้นท์"ขอเวตแอนด์ซีขึ้นคอนโดฯแท่งใหม่ "ศุภาลัย-พฤกษาฯ" รอประเมินสถานการณ์
ช่วง 4 เดือนเศษที่เหลือก่อนจะถึงปลายปี ผู้สื่อข่าวสำรวจการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย พบว่าผู้ประกอบการทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯบางรายเริ่มปรับแผนการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้มีความเปราะบางจากปัจจัยต่าง ๆทั้งการปรับลดจีดีพี รายได้จากการส่งออกลดลง ตลาดหุ้นตก และการเมืองที่ไม่แน่นอน
เสนาฯลดเสี่ยงคอนโดฯ
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายได้ปรับแผนพัฒนาโครงการเพื่อลดความเสี่ยงการลงทุนหลังจากเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะเติบโตถดถอยแนวทางคือโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดตัวจะใช้วิธีแบ่งเฟสแทนที่จะเปิดตัวในคราวเดียว ซึ่งมีผลทำให้บริษัทไม่ต้องใช้เงินลงทุนต่อโครงการเป็นจำนวนมากขึ้น
"ถ้าเป็นคอนโดฯส่วนใหญ่เราจับกลุ่มลูกค้ากลาง-ล่าง ราคา 1-2 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้จะมีความอ่อนไหวกับเศรษฐกิจสูงมาก"
โดยเร็ว ๆ นี้บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมทำเลเสรีไทย แผนเดิมคือจะเปิดตัว 2 อาคาร จำนวนประมาณ 800 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท ล่าสุดปรับใหม่ใช้วิธีแบ่งเปิดตัวเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกเปิดตัวก่อน 1 อาคาร จำนวน 400 ยูนิต เพื่อลดวงเงินลงทุน
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ทำให้บริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะต้องออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและตัดถนนเข้า-ออกแยกเฉพาะแต่ละอาคาร เสมือนมีคอนโดฯ 2 โครงการบนที่ดินแปลงเดียว จากเดิมที่พื้นที่ส่วนกลางออกแบบใช้ร่วมกันได้ รวมถึงจะต้องยื่นขอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงานอีไอเอ) 2 ครั้ง
NC รีวิวยอด-ปรับแผนสร้าง
นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NC เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว โดยติดตามยอดขายใกล้ชิดแบบเดือนต่อเดือน หากพบว่ายอดขายลดลงจะปรับแผนลดปริมาณสร้างบ้านให้สอดรับกับยอดขายทันทีเพื่อเก็บเงินสดไว้ โดยปัจจุบันบริษัทควบคุมปริมาณบ้านสร้างก่อนขายในระดับ 150 ยูนิตบวกลบ จากทั้งหมด 10 โครงการที่เปิดขาย รวมมูลค่าขาย 600-700 ล้านบาท
ทั้งนี้ การมอนิเตอร์ยอดขายจะติดตามโครงการทุกแบรนด์ ทุกเซ็กเมนต์ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเซ็กเมนต์บ้านกลาง-ล่างราคาไม่เกินยูนิตละ 3-4 ล้านบาท จะอ่อนไหวมากกว่ากลุ่มบ้านระดับกลาง-บน โดยในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพบว่ายอดขายโดยรวมลดลงเหลือไม่ถึง 300 ล้านบาท จากปีนี้ทำได้เฉลี่ยเดือนละกว่า 300-400 ล้านบาท แต่เนื่องจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาฝนตกบ่อยต้องรอดูยอดขายเดือนกันยายนนี้จึงค่อยพิจารณาปรับแผนการสร้างบ้าน
คิวเฮ้าส์ลดสต๊อกบ้านสร้างเสร็จ
แหล่งข่าวจากกลุ่มบริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์ หรือคิวเฮ้าส์ เปิดเผยว่า สำหรับบ้านแนวราบ จากเดิมแต่ละโครงการมีบ้านสร้างเสร็จก่อนขายในสต๊อก 8-10 ยูนิตต่อโครงการ รองรับการขายได้ 1-1 เดือนครึ่ง แต่ในช่วง 2-3 เดือนนับจากนี้หากพบว่ายอดขายลดลงก็จะปรับลดบ้านสร้างเสร็จในสต๊อกทุกโครงการเหลือไม่เกิน 1 เดือนทันที จากภาวะปกติจะมีสต๊อกบ้านสร้างเสร็จพร้อมขาย 1 เดือนครึ่ง
ส่วนโครงการคอนโดฯยังไม่มีแผนชะลอการลงทุน โดยไตรมาส 4 จะเปิดตัวโครงการเดอะทรัสต์ คอนโด นิคมฯอมตะ ทั้งนี้ ทั้งนั้น เพื่อความไม่ประมาทโครงการคอนโดฯที่เปิดตัวใหม่นับจากนี้จะตรวจสอบลูกค้าเข้มงวดขึ้น รวมทั้งปรับเพิ่มเงินดาวน์จาก 10% เป็น 15% เพื่อป้องกันกลุ่มซื้อเก็งกำไร
รายเล็กเลื่อนเปิดโครงการ
นายสรวุฒิ มานะสมจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอริน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯ "ออริจินส์พระราม 2-บางมด" เปิดเผยว่า บริษัทชะลอแผนขึ้นโครงการคอนโดฯใหม่ออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง จากเดิมเตรียมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ถึงแม้โครงการออริจินส์ พระราม 2-บางมดที่เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ใกล้จะปิดการขายเพราะมีห้องชุดเหลืออีกกว่า 10 ยูนิตก็ตาม
"ตอนนี้เราขอเวตแอนด์ซีไปก่อน ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นช่วงปลายไตรมาส 4 อาจเปิดโครงการได้ แต่ถ้าไม่ดีก็คงเลื่อนยาวไปเป็นปี"57 เพราะตอนนี้ปัจจัยลบเยอะ ทั้งเรื่องการเมือง ตลาดหุ้นตก ความกังวลเหตุการณ์ในซีเรีย" นายสรวุฒิกล่าว
บิ๊กแบรนด์เตรียมแผนตั้งรับ
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หากสถานการณ์การเมืองบานปลายมีการชุมนุมเดินขบวนเกิดขึ้น บริษัทคงจะต้องพิจารณาเลื่อนหรือลดจำนวนโครงการที่เปิดตัวใหม่ ประกอบกับขณะนี้มีสัญญาณเตือนของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค การเปิดโครงการใหม่จะต้องรัดกุมมากขึ้น
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ บริษัทจะประชุมหาข้อสรุปว่าจะทบทวนแผนการลงทุนช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้บริษัทมีโครงการรอเปิดตัวช่วงครึ่งปีหลังอีกกว่า 40 โครงการ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378919626
updated: 12 ก.ย. 2556 เวลา 10:30:22 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หวั่นการเมืองแรง อสังหาฯรายใหญ่-เล็กงัดแผนรับมือ "เสนาฯ" แบ่งลงทุนคอนโดฯ 2 เฟสยอมเปิดทีละอาคารลดความเสี่ยงลงทุน "NC-คิวเฮ้าส์" มอนิเตอร์ยอดขายถี่ยิบ+ลดปริมาณสร้างบ้านก่อนขาย "โอริน ดีเวลลอปเม้นท์"ขอเวตแอนด์ซีขึ้นคอนโดฯแท่งใหม่ "ศุภาลัย-พฤกษาฯ" รอประเมินสถานการณ์
ช่วง 4 เดือนเศษที่เหลือก่อนจะถึงปลายปี ผู้สื่อข่าวสำรวจการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย พบว่าผู้ประกอบการทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯบางรายเริ่มปรับแผนการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้มีความเปราะบางจากปัจจัยต่าง ๆทั้งการปรับลดจีดีพี รายได้จากการส่งออกลดลง ตลาดหุ้นตก และการเมืองที่ไม่แน่นอน
เสนาฯลดเสี่ยงคอนโดฯ
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายได้ปรับแผนพัฒนาโครงการเพื่อลดความเสี่ยงการลงทุนหลังจากเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะเติบโตถดถอยแนวทางคือโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดตัวจะใช้วิธีแบ่งเฟสแทนที่จะเปิดตัวในคราวเดียว ซึ่งมีผลทำให้บริษัทไม่ต้องใช้เงินลงทุนต่อโครงการเป็นจำนวนมากขึ้น
"ถ้าเป็นคอนโดฯส่วนใหญ่เราจับกลุ่มลูกค้ากลาง-ล่าง ราคา 1-2 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้จะมีความอ่อนไหวกับเศรษฐกิจสูงมาก"
โดยเร็ว ๆ นี้บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมทำเลเสรีไทย แผนเดิมคือจะเปิดตัว 2 อาคาร จำนวนประมาณ 800 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท ล่าสุดปรับใหม่ใช้วิธีแบ่งเปิดตัวเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกเปิดตัวก่อน 1 อาคาร จำนวน 400 ยูนิต เพื่อลดวงเงินลงทุน
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ทำให้บริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะต้องออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและตัดถนนเข้า-ออกแยกเฉพาะแต่ละอาคาร เสมือนมีคอนโดฯ 2 โครงการบนที่ดินแปลงเดียว จากเดิมที่พื้นที่ส่วนกลางออกแบบใช้ร่วมกันได้ รวมถึงจะต้องยื่นขอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงานอีไอเอ) 2 ครั้ง
NC รีวิวยอด-ปรับแผนสร้าง
นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NC เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว โดยติดตามยอดขายใกล้ชิดแบบเดือนต่อเดือน หากพบว่ายอดขายลดลงจะปรับแผนลดปริมาณสร้างบ้านให้สอดรับกับยอดขายทันทีเพื่อเก็บเงินสดไว้ โดยปัจจุบันบริษัทควบคุมปริมาณบ้านสร้างก่อนขายในระดับ 150 ยูนิตบวกลบ จากทั้งหมด 10 โครงการที่เปิดขาย รวมมูลค่าขาย 600-700 ล้านบาท
ทั้งนี้ การมอนิเตอร์ยอดขายจะติดตามโครงการทุกแบรนด์ ทุกเซ็กเมนต์ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเซ็กเมนต์บ้านกลาง-ล่างราคาไม่เกินยูนิตละ 3-4 ล้านบาท จะอ่อนไหวมากกว่ากลุ่มบ้านระดับกลาง-บน โดยในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพบว่ายอดขายโดยรวมลดลงเหลือไม่ถึง 300 ล้านบาท จากปีนี้ทำได้เฉลี่ยเดือนละกว่า 300-400 ล้านบาท แต่เนื่องจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาฝนตกบ่อยต้องรอดูยอดขายเดือนกันยายนนี้จึงค่อยพิจารณาปรับแผนการสร้างบ้าน
คิวเฮ้าส์ลดสต๊อกบ้านสร้างเสร็จ
แหล่งข่าวจากกลุ่มบริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์ หรือคิวเฮ้าส์ เปิดเผยว่า สำหรับบ้านแนวราบ จากเดิมแต่ละโครงการมีบ้านสร้างเสร็จก่อนขายในสต๊อก 8-10 ยูนิตต่อโครงการ รองรับการขายได้ 1-1 เดือนครึ่ง แต่ในช่วง 2-3 เดือนนับจากนี้หากพบว่ายอดขายลดลงก็จะปรับลดบ้านสร้างเสร็จในสต๊อกทุกโครงการเหลือไม่เกิน 1 เดือนทันที จากภาวะปกติจะมีสต๊อกบ้านสร้างเสร็จพร้อมขาย 1 เดือนครึ่ง
ส่วนโครงการคอนโดฯยังไม่มีแผนชะลอการลงทุน โดยไตรมาส 4 จะเปิดตัวโครงการเดอะทรัสต์ คอนโด นิคมฯอมตะ ทั้งนี้ ทั้งนั้น เพื่อความไม่ประมาทโครงการคอนโดฯที่เปิดตัวใหม่นับจากนี้จะตรวจสอบลูกค้าเข้มงวดขึ้น รวมทั้งปรับเพิ่มเงินดาวน์จาก 10% เป็น 15% เพื่อป้องกันกลุ่มซื้อเก็งกำไร
รายเล็กเลื่อนเปิดโครงการ
นายสรวุฒิ มานะสมจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอริน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯ "ออริจินส์พระราม 2-บางมด" เปิดเผยว่า บริษัทชะลอแผนขึ้นโครงการคอนโดฯใหม่ออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง จากเดิมเตรียมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ถึงแม้โครงการออริจินส์ พระราม 2-บางมดที่เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ใกล้จะปิดการขายเพราะมีห้องชุดเหลืออีกกว่า 10 ยูนิตก็ตาม
"ตอนนี้เราขอเวตแอนด์ซีไปก่อน ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นช่วงปลายไตรมาส 4 อาจเปิดโครงการได้ แต่ถ้าไม่ดีก็คงเลื่อนยาวไปเป็นปี"57 เพราะตอนนี้ปัจจัยลบเยอะ ทั้งเรื่องการเมือง ตลาดหุ้นตก ความกังวลเหตุการณ์ในซีเรีย" นายสรวุฒิกล่าว
บิ๊กแบรนด์เตรียมแผนตั้งรับ
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หากสถานการณ์การเมืองบานปลายมีการชุมนุมเดินขบวนเกิดขึ้น บริษัทคงจะต้องพิจารณาเลื่อนหรือลดจำนวนโครงการที่เปิดตัวใหม่ ประกอบกับขณะนี้มีสัญญาณเตือนของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค การเปิดโครงการใหม่จะต้องรัดกุมมากขึ้น
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ บริษัทจะประชุมหาข้อสรุปว่าจะทบทวนแผนการลงทุนช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้บริษัทมีโครงการรอเปิดตัวช่วงครึ่งปีหลังอีกกว่า 40 โครงการ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378919626
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 6
อสังหาฯ รายกลาง-เล็ก ติดบ่วงปัญหาผู้รับเหมา-แรงงานขาดแคลน ล่าสุด "ดิ เอคโค่ คอนโด" ย่านศรีนครินทร์ ประกาศคืนเงินจอง-เงินดาวน์พร้อมดอกเบี้ย
ภาวะผู้รับเหมาและแรงงานก่อสร้างขาดแคลน กำลังก่อเป็นปัญหาใหญ่ของบริษัทพัฒนาที่ดิน กับผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก เริ่มได้รับผลกระทบจากปัญหานี้แล้ว สะท้อนภาพออกมาในหลายรูปแบบ ทั้งการเลื่อนโอนออกไปจากกำหนดเดิมอย่างต่ำ 6 เดือน หรือจนเป็นเหตุให้โครงการที่เปิดขายไปแล้วไม่สามารถก่อสร้างได้ ที่ต้องคืนเงินจองให้ลูกค้า และหยุดการขายแบบเงียบๆ ก็เริ่มมีให้เห็นบ้างแล้ว ไม่เฉพาะแค่ปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่การที่สถาบันเข้มงวดการปล่อยกู้สินเชื่อโครงการ ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล
ดังเช่นกรณีโครงการ "ดิ เอคโค่ คอนโด" ของบริษัท ภิรมย์แลนด์ จำกัด ตั้งอยู่ถนนศรีนครินทร์ ติดกับโรงแรม โนโวเทล บางนา ซึ่งได้ประกาศคืนเงินจอง เงินดาวน์พร้อมดอกเบี้ยให้กับลูกค้า หลังเปิดขายมาได้ปีเศษ และมียอดขายแล้วถึง 70% โดยรูปแบบโครงการ เป็นคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวนทั้งสิ้น 501 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.3 ล้านบาท ซึ่งการก่อสร้างเดิมกำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2557
แจงหยุดขาย-คืนเงินจริง
ทั้งนี้ ฝ่ายขายของโครงการดิ เอคโค่ คอนโด ระบุว่า เมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้หยุดขายและทยอยคืนเงินจอง เงินดาวน์ พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ตามกฎหมายให้แก่ลูกค้า ที่ซื้อห้องชุดดิ เอคโค่ คอนโด อันเนื่องมาจากติดปัญหาในเรื่องของการขอใบอนุญาตก่อสร้าง และที่สำคัญ การไม่สามารถหาผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการได้ จึงเกรงว่าจะทำให้การส่งมอบห้องชุดให้แก่ลูกค้าไม่ได้ตามกำหนด หรืออาจจะล่าช้ากว่ากำหนดเดิมออกไปถึง 1-2 ปี จากที่คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จปลายปี 2557 โดยการดำเนินงานก่อสร้างล่าช้ามาสักระยะหนึ่งแล้ว โดย ดิ เอคโค่ เปิดขายมาประมาณ 1 ปีกว่าๆ ก่อนที่ทางผู้บริหารตัดสินใจคืนเงินจอง-เงินดาวน์ให้แก่ลูกค้า มียอดขายแล้วประมาณ 300 ยูนิต
ก่อนหน้านี้ นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ เคเอ็มซี ให้สัมภาษณ์ว่า มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบการรายย่อยเข้ามาเสนอขายหลายโครงการ โดยปีที่ผ่านมาเคเอ็มซีได้ซื้อโครงการที่อยู่อาศัยจากผู้ประกอบการท้องถิ่นในภูเก็ต มูลค่า 200-300 ล้านบาท มาพัฒนาต่อแล้ว 1 โครงการ โดยจะเลือกซื้อโครงการที่มีศักยภาพ แต่เจ้าของเดิมขาดสภาพคล่อง
ล่าสุด ได้ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมคลาเซ่ อาร์ซีเอ รัชดาฯ-พระราม 9 ผ่านการซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท วิทูรธนากร ซึ่งเป็นเจ้าของเดิม และเป็นบริษัทลูกของโรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน พระราม 9 ด้วยมูลค่า 700-800 ล้านบาท พื้นที่ 18 ไร่ เจ้าของเดิมได้พัฒนาเฟสแรกไปแล้ว 4-5 ไร่ จำนวน 4 อาคาร รวม 630 ยูนิต ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด และขายไปแล้วประมาณ 171 ยูนิต ทั้งนี้ กลุ่มเคเอ็มซี รับมาขายต่อส่วนที่เหลืออีก 459 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 1,100 ล้านบาท พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เดอะ คริส เอ็กซ์ตร้า พระราม 9 ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท
ปริญสิริโครงการล่าช้าหดเป้ายอดขาย
นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดเป้ายอดขายในปี 2556 เหลือ 3,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 3,500 ล้านบาท เนื่องจาก การก่อสร้างโครงการเกิดความล่าช้าไป 3 เดือน จากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทำให้แผนการเปิดโครงการต้องเลื่อนออกไป และกระทบต่อการโอนของลูกค้า ส่งผลให้ยอดการรับรู้รายได้ของบริษัทลดลง ส่วนรายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 2,900 ล้านบาท หลังจากที่ได้ทยอยรับรู้รายได้จากโครงการที่เปิดไปแล้วในปีที่ผ่านมา
ด้านแผนงานช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทเตรียมจะเปิด 2 โครงการใหม่ในไตรมาส 4 จากแผนทั้งปี 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท โดยช่วงต้นปีเปิดแล้ว 1 โครงการ และเดือนส.ค. 3 โครงการ ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ส่วนหนึ่ง และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป และจะเปิดอีก 2 โครงการในช่วงไตรมาส 4
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมดูลดความร้อนแรงลง เป็นผลจากการที่แรงงานขาดแคลน ผู้รับเหมาหายาก ทำให้โครงการที่เปิดตัวไปแล้ว สร้างเสร็จไม่ทันส่งมอบตามกำหนด ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งเคลียร์ปัญหาเรื่องก่อสร้างโครงการเก่าให้เรียบร้อยก่อน เพื่อเร่งส่งมอบ ส่งผลให้การเปิดตัวโครงการใหม่ ต้องระมัดระวังมากขึ้น“เวลานี้โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ถ้ายังไม่ได้ผู้รับเหมา ผู้ประกอบการไม่กล้าเปิดตัวเลย เพราะกังวลว่า เปิดตัวไปแล้ว ขายได้ อาจจะสร้างไม่ได้ หรือสร้างล่าช้า”
จ่ายล่วงหน้า 30% ชิงผู้รับเหมา
นายวิโรจน์ เจริญตา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างบ้าน กล่าวว่า สถานการณ์แย่งตัวผู้รับเหมายังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่ต่างตั้งเป้าขยายโครงการใหม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายค่ายปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมา ด้วยการเสนอจ่ายค่าก่อสร้างล่วงหน้าเพิ่มขึ้นจากเดิม 10% ของมูลค่าก่อสร้างทั้งหมดเป็น 20% หรือบางรายเสนอให้สูงถึง 30%
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจำนวนมากก็ต้องการความแน่นอน ที่จะได้ผู้รับเหมามารับก่อสร้างโครงการให้ โดยปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลายโครงการจะต้องได้ผู้รับเหมาก่อนที่จะเปิดให้ลูกค้าจองโครงการ ซึ่งนอกจากผู้ประกอบการจะเลือกผู้รับเหมาแล้ว ขณะนี้ผู้รับเหมาเองก็เลือกผู้ประกอบการอย่างเข้มข้นเช่นกัน โดยเฉพาะการดูเรื่องฐานะการเงินมั่นคงหรือไม่ โครงการมีความเป็นไปได้ในการขายหรือไม่
"ผู้รับเหมาเองก็ต้องลดความเสี่ยงตัวเอง เพราะหากรับงานมาแล้วไม่สามารถเก็บเงินได้ตามเป้า แม้จะได้รับตัวโครงการแทนเงิน ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่านัก"นายวิโรจน์ กล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะการมีโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ จะยิ่งทำให้ภาคผู้รับเหมาคึกคักต่อเนื่อง จึงมั่นใจได้ว่ากลุ่มธุรกิจรับเหมาจะยังสดใสไปอีกอย่างน้อย 3-5 ปี ส่วนกลุ่มพรีบิลท์ปัจจุบันมีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ 4,300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 2557 และ ปี 2558
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ินจอง.html
ภาวะผู้รับเหมาและแรงงานก่อสร้างขาดแคลน กำลังก่อเป็นปัญหาใหญ่ของบริษัทพัฒนาที่ดิน กับผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก เริ่มได้รับผลกระทบจากปัญหานี้แล้ว สะท้อนภาพออกมาในหลายรูปแบบ ทั้งการเลื่อนโอนออกไปจากกำหนดเดิมอย่างต่ำ 6 เดือน หรือจนเป็นเหตุให้โครงการที่เปิดขายไปแล้วไม่สามารถก่อสร้างได้ ที่ต้องคืนเงินจองให้ลูกค้า และหยุดการขายแบบเงียบๆ ก็เริ่มมีให้เห็นบ้างแล้ว ไม่เฉพาะแค่ปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่การที่สถาบันเข้มงวดการปล่อยกู้สินเชื่อโครงการ ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล
ดังเช่นกรณีโครงการ "ดิ เอคโค่ คอนโด" ของบริษัท ภิรมย์แลนด์ จำกัด ตั้งอยู่ถนนศรีนครินทร์ ติดกับโรงแรม โนโวเทล บางนา ซึ่งได้ประกาศคืนเงินจอง เงินดาวน์พร้อมดอกเบี้ยให้กับลูกค้า หลังเปิดขายมาได้ปีเศษ และมียอดขายแล้วถึง 70% โดยรูปแบบโครงการ เป็นคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวนทั้งสิ้น 501 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.3 ล้านบาท ซึ่งการก่อสร้างเดิมกำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2557
แจงหยุดขาย-คืนเงินจริง
ทั้งนี้ ฝ่ายขายของโครงการดิ เอคโค่ คอนโด ระบุว่า เมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้หยุดขายและทยอยคืนเงินจอง เงินดาวน์ พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ตามกฎหมายให้แก่ลูกค้า ที่ซื้อห้องชุดดิ เอคโค่ คอนโด อันเนื่องมาจากติดปัญหาในเรื่องของการขอใบอนุญาตก่อสร้าง และที่สำคัญ การไม่สามารถหาผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการได้ จึงเกรงว่าจะทำให้การส่งมอบห้องชุดให้แก่ลูกค้าไม่ได้ตามกำหนด หรืออาจจะล่าช้ากว่ากำหนดเดิมออกไปถึง 1-2 ปี จากที่คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จปลายปี 2557 โดยการดำเนินงานก่อสร้างล่าช้ามาสักระยะหนึ่งแล้ว โดย ดิ เอคโค่ เปิดขายมาประมาณ 1 ปีกว่าๆ ก่อนที่ทางผู้บริหารตัดสินใจคืนเงินจอง-เงินดาวน์ให้แก่ลูกค้า มียอดขายแล้วประมาณ 300 ยูนิต
ก่อนหน้านี้ นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ เคเอ็มซี ให้สัมภาษณ์ว่า มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบการรายย่อยเข้ามาเสนอขายหลายโครงการ โดยปีที่ผ่านมาเคเอ็มซีได้ซื้อโครงการที่อยู่อาศัยจากผู้ประกอบการท้องถิ่นในภูเก็ต มูลค่า 200-300 ล้านบาท มาพัฒนาต่อแล้ว 1 โครงการ โดยจะเลือกซื้อโครงการที่มีศักยภาพ แต่เจ้าของเดิมขาดสภาพคล่อง
ล่าสุด ได้ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมคลาเซ่ อาร์ซีเอ รัชดาฯ-พระราม 9 ผ่านการซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท วิทูรธนากร ซึ่งเป็นเจ้าของเดิม และเป็นบริษัทลูกของโรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน พระราม 9 ด้วยมูลค่า 700-800 ล้านบาท พื้นที่ 18 ไร่ เจ้าของเดิมได้พัฒนาเฟสแรกไปแล้ว 4-5 ไร่ จำนวน 4 อาคาร รวม 630 ยูนิต ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด และขายไปแล้วประมาณ 171 ยูนิต ทั้งนี้ กลุ่มเคเอ็มซี รับมาขายต่อส่วนที่เหลืออีก 459 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 1,100 ล้านบาท พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เดอะ คริส เอ็กซ์ตร้า พระราม 9 ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท
ปริญสิริโครงการล่าช้าหดเป้ายอดขาย
นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดเป้ายอดขายในปี 2556 เหลือ 3,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 3,500 ล้านบาท เนื่องจาก การก่อสร้างโครงการเกิดความล่าช้าไป 3 เดือน จากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทำให้แผนการเปิดโครงการต้องเลื่อนออกไป และกระทบต่อการโอนของลูกค้า ส่งผลให้ยอดการรับรู้รายได้ของบริษัทลดลง ส่วนรายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 2,900 ล้านบาท หลังจากที่ได้ทยอยรับรู้รายได้จากโครงการที่เปิดไปแล้วในปีที่ผ่านมา
ด้านแผนงานช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทเตรียมจะเปิด 2 โครงการใหม่ในไตรมาส 4 จากแผนทั้งปี 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท โดยช่วงต้นปีเปิดแล้ว 1 โครงการ และเดือนส.ค. 3 โครงการ ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ส่วนหนึ่ง และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป และจะเปิดอีก 2 โครงการในช่วงไตรมาส 4
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมดูลดความร้อนแรงลง เป็นผลจากการที่แรงงานขาดแคลน ผู้รับเหมาหายาก ทำให้โครงการที่เปิดตัวไปแล้ว สร้างเสร็จไม่ทันส่งมอบตามกำหนด ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งเคลียร์ปัญหาเรื่องก่อสร้างโครงการเก่าให้เรียบร้อยก่อน เพื่อเร่งส่งมอบ ส่งผลให้การเปิดตัวโครงการใหม่ ต้องระมัดระวังมากขึ้น“เวลานี้โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ถ้ายังไม่ได้ผู้รับเหมา ผู้ประกอบการไม่กล้าเปิดตัวเลย เพราะกังวลว่า เปิดตัวไปแล้ว ขายได้ อาจจะสร้างไม่ได้ หรือสร้างล่าช้า”
จ่ายล่วงหน้า 30% ชิงผู้รับเหมา
นายวิโรจน์ เจริญตา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างบ้าน กล่าวว่า สถานการณ์แย่งตัวผู้รับเหมายังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่ต่างตั้งเป้าขยายโครงการใหม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายค่ายปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมา ด้วยการเสนอจ่ายค่าก่อสร้างล่วงหน้าเพิ่มขึ้นจากเดิม 10% ของมูลค่าก่อสร้างทั้งหมดเป็น 20% หรือบางรายเสนอให้สูงถึง 30%
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจำนวนมากก็ต้องการความแน่นอน ที่จะได้ผู้รับเหมามารับก่อสร้างโครงการให้ โดยปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลายโครงการจะต้องได้ผู้รับเหมาก่อนที่จะเปิดให้ลูกค้าจองโครงการ ซึ่งนอกจากผู้ประกอบการจะเลือกผู้รับเหมาแล้ว ขณะนี้ผู้รับเหมาเองก็เลือกผู้ประกอบการอย่างเข้มข้นเช่นกัน โดยเฉพาะการดูเรื่องฐานะการเงินมั่นคงหรือไม่ โครงการมีความเป็นไปได้ในการขายหรือไม่
"ผู้รับเหมาเองก็ต้องลดความเสี่ยงตัวเอง เพราะหากรับงานมาแล้วไม่สามารถเก็บเงินได้ตามเป้า แม้จะได้รับตัวโครงการแทนเงิน ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่านัก"นายวิโรจน์ กล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะการมีโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ จะยิ่งทำให้ภาคผู้รับเหมาคึกคักต่อเนื่อง จึงมั่นใจได้ว่ากลุ่มธุรกิจรับเหมาจะยังสดใสไปอีกอย่างน้อย 3-5 ปี ส่วนกลุ่มพรีบิลท์ปัจจุบันมีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ 4,300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 2557 และ ปี 2558
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ินจอง.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 7
วัดปรอทคอนโดฯหาดใหญ่ ฝ่าด่านกำลังซื้อ-เศรษฐกิจซบ..!
updated: 20 ก.ย. 2556 เวลา 12:28:42 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันนี้ตลาดคอนโดมิเนียมหัวเมืองใหญ่ร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อทุนยักษ์ส่วนกลาง "แสนสิริ" รุกคืบผุดโปรเจ็กต์ "ดีคอนโด" พร้อมกันหลายแห่งในภูมิภาค "หาดใหญ่" เป็นเป้าหมายหนึ่งที่ค่ายแสนสิริหมายมั่นปั้นมือ โดยได้ทุ่มงบฯลงทุนมากกว่า 1,200 ล้านบาท และเปิดให้จองตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ผ่านมาเดือนครึ่งมียอดจองแล้วประมาณ 40% จาก 1,268 ยูนิต โดยฝ่ายขายดีคอนโด หาดใหญ่ เผยว่า มียอดจองขณะนี้ราว 500 ยูนิต
จอง ดีคอนโด ยอดไม่หวือหวา
สำหรับดีคอนโด หาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการสูงที่สุดคือ 1,200 กว่าล้านบาท มี 5 อาคาร จำนวน 1,268 ยูนิต ขนาดห้องประมาณ 30 ตารางเมตร ราคาขายเฉลี่ย 55,000-60,000 บาท/ตร.ม. เน้นฐานลูกค้ากลุ่มอายุ 25-45 ปี คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2 ปี 2558
ที่ผ่านมาค่ายแสนสิริได้เร่งประชาสัมพันธ์ และติดป้ายโฆษณาไปทั่วเมืองหาดใหญ่ ทั้งก่อนจะเข้ามาลงทุนและก่อนเปิดตัวโครงการ แต่ยอดขายที่ได้ถือว่าไม่หวือหวาแต่ก็มีลูกค้ามาเรื่อย ๆ ฝ่ายขายดีคอนโด บอกว่า กลุ่มลูกค้ามีหลากหลาย ทั้งจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เข้ามาเยี่ยมชมและจองเรื่อย ๆ นอกนั้นจะเป็นคนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงที่มาซื้อไว้ให้ลูกหลานเรียนหนังสือ
หากเปรียบเทียบกับกระแสคอนโดฯฟีเวอร์ เมื่อครั้งที่กลุ่มศุภาลัยเปิดจองโครงการอาเซียนซิตี้ คอนโด ที่ยอดทะลักล้นจองเกลี้ยงเพียงวันเดียว ลูกค้าแห่มาจองอย่างล้นหลามจนถึงขนาดต้องจับสลากเพราะห้องไม่พอขาย ถัดมาก็มีโครงการคอนโดฯของทุนท้องถิ่นจากภูเก็ตข้ามห้วยมาเปิดโครงการพลัสคอนโด ที่หาดใหญ่ จำนวน 258 ยูนิต ก็สามารถขายหมดภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน
ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ช่วยปลุกกระแสตลาดคอนโดฯหาดใหญ่ให้มีความคึกคักและหอมหวานขึ้นมาทันที และทำให้ทุนใหญ่จากต่างถิ่น รวมทั้งค่ายแสนสิริและทุนท้องถิ่นต่างกระโดดเข้าชิงเค้กกันเป็นระยะ ๆ ก่อนตลาดจะวายดีเวลอปเปอร์รายหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเทียบฟอร์มแล้วดีคอนโดของแสนสิริมีครบเครื่อง ทั้งทุน ชื่อเสียง ดีไซน์ และทำเล ที่ผ่านมาได้โหมทำโฆษณาประชาสัมพันธ์มานานกว่า 1 เดือน แต่ยอดขายมีเพียง 40-50% ซึ่งอาจไม่หวือหวา อาจจะเป็นเพราะ "มาช้าไปหนึ่งก้าว" ห้องที่เหลืออีกราว 700 ยูนิต หากจะปิดการขายให้ได้โดยเร็วคงไม่ใช่งานง่ายนักท่ามกลางสถานการณ์ราคายางพาราตกต่ำ พืชหลักที่สร้างรายได้ให้กับคนใต้ และจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ข้าวยากหมากแพง กำลังซื้อตก แสนสิริคงต้องออกแรงอีกพอสมควร
อสังหาฯภาคใต้ชะลอตัว
รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ สรุปภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี 2556 ชี้ว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์ภาคใต้ชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกอย่างชัดเจน โดยพบว่าดัชนีปริมาณการขายอสังหาริมทรัพย์ลดลงค่อนข้างมาก อยู่ที่ระดับ 32.1 จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ระดับ 60.4 เนื่องจากลูกค้ามีรายได้ลดลง แต่มีภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินเพิ่มขึ้น
ประกอบกับปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนการก่อสร้างและราคาที่ดิน ทำให้ผู้ซื้อต้องมีความระมัดระวังในการซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น นอกจากนี้ จากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในปัจจุบันทั้งในแง่ของทำเลและราคา ผู้บริโภคจึงมีทางเลือกมากขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยจากการเร่งเปิดโครงการจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีที่อยู่อาศัยจำนวนหนึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อส่งมอบ และมีที่อยู่อาศัยคงเหลืออีกจำนวนหนึ่ง ประกอบกับผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่จากปัญหาขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งต้นทุนการก่อสร้างและราคาที่ดินสูงขึ้นต่อเนื่อง การเปิดจองไว้เป็นเวลานานจึงเกิดความเสี่ยงเนื่องจากไม่สามารถปรับราคาเพิ่มได้
ปัจจุบันผู้ประกอบการส่งมอบที่อยู่อาศัยให้ลูกค้าช้ากว่ากำหนดทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวสูงที่เริ่มก่อสร้างได้ไม่มากนัก แม้ว่าจะมีลูกค้าจองซื้อไปแล้วเป็นส่วนใหญ่
แนะทุนท้องถิ่นชะลอขึ้นโครงการ
ด้าน นายธนวัฒน์ พูนศิลป์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ปัจจุบันคอนโดฯในหาดใหญ่มีประมาณ 43 แท่ง รวมทั้งสิ้น 5,736 ห้อง หากรวมของแสนสิริก็จะทะลุ 7,000 ห้อง แต่ที่ยอดขายเริ่มอืดส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้บูมมาแล้ว และไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมาตลาดอยู่ในภาวะทรง ๆ เพราะมีการใช้จ่ายไปกับโครงการรถคันแรกไปมาก และเศรษฐกิจทางใต้ไม่ดี ราคา
พืชผลการเกษตรตกต่ำ
"คงต้องลุ้นไตรมาส 3-4 แต่คงเหนื่อย การแข่งขันที่สูงอาจทำให้ทุนท้องถิ่นลำบากขึ้น จึงได้เตือนผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ชะลอการขึ้นโครงการหรือซื้อที่ดินใหม่ เพราะราคาที่ดินหาดใหญ่แพงมาก" นายธนวัฒน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ พบว่ายอดขายยังไม่เต็มโครงการ บางแห่งมีการจองเพียง 30-40% หรือบางแห่งจองราว 70% และอยู่ระหว่างการก่อสร้างพร้อมกับการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นตลาดเป็นระยะ ส่วนใหญ่เน้นดาวน์น้อยผ่อนน้อยไม่เกิน 5,000 บาท อาทิ พลัสคอนโด หาดใหญ่ 2 ทุนจากภูเก็ต 25 ชั้น 582 ยูนิต โครงการเดอะไรซ์เรสซิเดนส์ทุนหาดใหญ่ (กลุ่มบริษัทมั่นคงการช่าง) 32 ชั้น ประมาณ 600 ยูนิต
โครงการไอบี.แกรนด์ กลุ่มทุนมุสลิมจากปัตตานี 25 ชั้น ราว 650 ยูนิต โครงการอาเซียนซิตี้ รีสอร์ต เครือศุภาลัย 25 ชั้น 618 ยูนิต และยังมีคอนโดฯโลว์ไรส์ขนาด 8 ชั้นอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
สถานการณ์เศรษฐกิจ กำลังซื้อ และไทมิ่งที่เปลี่ยนไป ผู้ประกอบการที่มีสายป่านยาวย่อมได้เปรียบคู่แข่ง !
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1379654235
updated: 20 ก.ย. 2556 เวลา 12:28:42 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันนี้ตลาดคอนโดมิเนียมหัวเมืองใหญ่ร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อทุนยักษ์ส่วนกลาง "แสนสิริ" รุกคืบผุดโปรเจ็กต์ "ดีคอนโด" พร้อมกันหลายแห่งในภูมิภาค "หาดใหญ่" เป็นเป้าหมายหนึ่งที่ค่ายแสนสิริหมายมั่นปั้นมือ โดยได้ทุ่มงบฯลงทุนมากกว่า 1,200 ล้านบาท และเปิดให้จองตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ผ่านมาเดือนครึ่งมียอดจองแล้วประมาณ 40% จาก 1,268 ยูนิต โดยฝ่ายขายดีคอนโด หาดใหญ่ เผยว่า มียอดจองขณะนี้ราว 500 ยูนิต
จอง ดีคอนโด ยอดไม่หวือหวา
สำหรับดีคอนโด หาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการสูงที่สุดคือ 1,200 กว่าล้านบาท มี 5 อาคาร จำนวน 1,268 ยูนิต ขนาดห้องประมาณ 30 ตารางเมตร ราคาขายเฉลี่ย 55,000-60,000 บาท/ตร.ม. เน้นฐานลูกค้ากลุ่มอายุ 25-45 ปี คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2 ปี 2558
ที่ผ่านมาค่ายแสนสิริได้เร่งประชาสัมพันธ์ และติดป้ายโฆษณาไปทั่วเมืองหาดใหญ่ ทั้งก่อนจะเข้ามาลงทุนและก่อนเปิดตัวโครงการ แต่ยอดขายที่ได้ถือว่าไม่หวือหวาแต่ก็มีลูกค้ามาเรื่อย ๆ ฝ่ายขายดีคอนโด บอกว่า กลุ่มลูกค้ามีหลากหลาย ทั้งจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เข้ามาเยี่ยมชมและจองเรื่อย ๆ นอกนั้นจะเป็นคนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงที่มาซื้อไว้ให้ลูกหลานเรียนหนังสือ
หากเปรียบเทียบกับกระแสคอนโดฯฟีเวอร์ เมื่อครั้งที่กลุ่มศุภาลัยเปิดจองโครงการอาเซียนซิตี้ คอนโด ที่ยอดทะลักล้นจองเกลี้ยงเพียงวันเดียว ลูกค้าแห่มาจองอย่างล้นหลามจนถึงขนาดต้องจับสลากเพราะห้องไม่พอขาย ถัดมาก็มีโครงการคอนโดฯของทุนท้องถิ่นจากภูเก็ตข้ามห้วยมาเปิดโครงการพลัสคอนโด ที่หาดใหญ่ จำนวน 258 ยูนิต ก็สามารถขายหมดภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน
ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ช่วยปลุกกระแสตลาดคอนโดฯหาดใหญ่ให้มีความคึกคักและหอมหวานขึ้นมาทันที และทำให้ทุนใหญ่จากต่างถิ่น รวมทั้งค่ายแสนสิริและทุนท้องถิ่นต่างกระโดดเข้าชิงเค้กกันเป็นระยะ ๆ ก่อนตลาดจะวายดีเวลอปเปอร์รายหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเทียบฟอร์มแล้วดีคอนโดของแสนสิริมีครบเครื่อง ทั้งทุน ชื่อเสียง ดีไซน์ และทำเล ที่ผ่านมาได้โหมทำโฆษณาประชาสัมพันธ์มานานกว่า 1 เดือน แต่ยอดขายมีเพียง 40-50% ซึ่งอาจไม่หวือหวา อาจจะเป็นเพราะ "มาช้าไปหนึ่งก้าว" ห้องที่เหลืออีกราว 700 ยูนิต หากจะปิดการขายให้ได้โดยเร็วคงไม่ใช่งานง่ายนักท่ามกลางสถานการณ์ราคายางพาราตกต่ำ พืชหลักที่สร้างรายได้ให้กับคนใต้ และจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ข้าวยากหมากแพง กำลังซื้อตก แสนสิริคงต้องออกแรงอีกพอสมควร
อสังหาฯภาคใต้ชะลอตัว
รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ สรุปภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี 2556 ชี้ว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์ภาคใต้ชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกอย่างชัดเจน โดยพบว่าดัชนีปริมาณการขายอสังหาริมทรัพย์ลดลงค่อนข้างมาก อยู่ที่ระดับ 32.1 จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ระดับ 60.4 เนื่องจากลูกค้ามีรายได้ลดลง แต่มีภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินเพิ่มขึ้น
ประกอบกับปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนการก่อสร้างและราคาที่ดิน ทำให้ผู้ซื้อต้องมีความระมัดระวังในการซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น นอกจากนี้ จากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในปัจจุบันทั้งในแง่ของทำเลและราคา ผู้บริโภคจึงมีทางเลือกมากขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยจากการเร่งเปิดโครงการจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีที่อยู่อาศัยจำนวนหนึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อส่งมอบ และมีที่อยู่อาศัยคงเหลืออีกจำนวนหนึ่ง ประกอบกับผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่จากปัญหาขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งต้นทุนการก่อสร้างและราคาที่ดินสูงขึ้นต่อเนื่อง การเปิดจองไว้เป็นเวลานานจึงเกิดความเสี่ยงเนื่องจากไม่สามารถปรับราคาเพิ่มได้
ปัจจุบันผู้ประกอบการส่งมอบที่อยู่อาศัยให้ลูกค้าช้ากว่ากำหนดทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวสูงที่เริ่มก่อสร้างได้ไม่มากนัก แม้ว่าจะมีลูกค้าจองซื้อไปแล้วเป็นส่วนใหญ่
แนะทุนท้องถิ่นชะลอขึ้นโครงการ
ด้าน นายธนวัฒน์ พูนศิลป์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ปัจจุบันคอนโดฯในหาดใหญ่มีประมาณ 43 แท่ง รวมทั้งสิ้น 5,736 ห้อง หากรวมของแสนสิริก็จะทะลุ 7,000 ห้อง แต่ที่ยอดขายเริ่มอืดส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้บูมมาแล้ว และไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมาตลาดอยู่ในภาวะทรง ๆ เพราะมีการใช้จ่ายไปกับโครงการรถคันแรกไปมาก และเศรษฐกิจทางใต้ไม่ดี ราคา
พืชผลการเกษตรตกต่ำ
"คงต้องลุ้นไตรมาส 3-4 แต่คงเหนื่อย การแข่งขันที่สูงอาจทำให้ทุนท้องถิ่นลำบากขึ้น จึงได้เตือนผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ชะลอการขึ้นโครงการหรือซื้อที่ดินใหม่ เพราะราคาที่ดินหาดใหญ่แพงมาก" นายธนวัฒน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ พบว่ายอดขายยังไม่เต็มโครงการ บางแห่งมีการจองเพียง 30-40% หรือบางแห่งจองราว 70% และอยู่ระหว่างการก่อสร้างพร้อมกับการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นตลาดเป็นระยะ ส่วนใหญ่เน้นดาวน์น้อยผ่อนน้อยไม่เกิน 5,000 บาท อาทิ พลัสคอนโด หาดใหญ่ 2 ทุนจากภูเก็ต 25 ชั้น 582 ยูนิต โครงการเดอะไรซ์เรสซิเดนส์ทุนหาดใหญ่ (กลุ่มบริษัทมั่นคงการช่าง) 32 ชั้น ประมาณ 600 ยูนิต
โครงการไอบี.แกรนด์ กลุ่มทุนมุสลิมจากปัตตานี 25 ชั้น ราว 650 ยูนิต โครงการอาเซียนซิตี้ รีสอร์ต เครือศุภาลัย 25 ชั้น 618 ยูนิต และยังมีคอนโดฯโลว์ไรส์ขนาด 8 ชั้นอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
สถานการณ์เศรษฐกิจ กำลังซื้อ และไทมิ่งที่เปลี่ยนไป ผู้ประกอบการที่มีสายป่านยาวย่อมได้เปรียบคู่แข่ง !
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1379654235
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 9
วัดเรตติ้ง 4 บิ๊กแบรนด์อสังหาฯบุกต่างจังหวัดไม่หยุด "แสนสิริ" รั้งแชมป์สะสมสูงสุด 50 โครงการ วางแผนถึงสิ้นปีจ่อเปิดตัวคอนโดฯอีก 3 โครงการ ที่อุดรฯ-โคราช "ศุภาลัย" ลงทุนแล้ว 42 โครงการ รอคิวเปิดใหม่ 5 โครงการใหม่ เชียงใหม่-ระยอง-อุดรฯ "ซี.พี.แลนด์" ปูพรมลงทุนแล้ว 14 จังหวัด 18 โครงการ จ่อเปิดเพิ่ม 20 โครงการ "พฤกษาฯ" ไม่เร่งขยาย เน้นจังหวัดใหญ่เป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวสำรวจการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ที่ขยายการลงทุนในต่างจังหวัดชัดเจน4 ราย คือ บริษัท แสนสิริจำกัด (มหาชน), บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน), บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) พบว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้ง 4 บริษัทเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดรวมกันถึง 119 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 100,600 ล้านบาท
แสนสิริสะสม 50 โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทที่เปิดโครงการในต่างจังหวัดสูงสุดใน 4 รายนี้ คือ "แสนสิริ" โดยนับจากปี 2531 ที่เริ่มรุกอสังหาฯหัวหิน ถึงปัจจุบันเปิดโครงการแล้ว 50 โครงการ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี-พัทยา ระยอง หัวหิน-ชะอำ ภูเก็ต สุราษฎร์ฯ หาดใหญ่ ขอนแก่น และอุดรฯ มูลค่าโครงการรวม 54,600 ล้านบาท แต่ถ้านับเฉพาะ 2 ปีที่ผ่านมา แสนสิริเปิดโครงการต่างจังหวัดรวม 42 โครงการ ล่าสุดวันที่ 5-6 ตุลาคมนี้ จะเปิดคอนโดฯแบรนด์เดอะเบสอีก 3 โครงการ คือ เดอะเบส ศรีจันทร์-ขอนแก่น เดอะเบส ไฮท์ เซ็นทรัล-อุดรฯ และเดอะเบส ไฮท์ นครราชสีมา
กลยุทธ์ของแสนสิริ คือ ใช้คอนโดมิเนียม 2 แบรนด์หลัก "ดีคอนโด-เดอะเบส" เป็นตัวบุก จากนั้นจึงเริ่มเปิดตัวบ้านจัดสรร ราคา 3-5 ล้านบาท การเจาะตลาดใช้กลยุทธ์ดาวน์ต่ำ 5% เจาะกลุ่มเรียลดีมานด์และกลุ่มซื้อลงทุนปล่อยเช่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแสนสิริปรับวงเงินดาวน์คอนโดฯในโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเป็น 10-12% และเป็นที่สังเกตว่าเริ่มชะลอคอนโดฯในบางจังหวัดที่เคยให้ความสนใจ เช่น กาญจนบุรี อุบลราชธานี เป็นต้น
ศุภาลัยชะลอบุกคอนโดฯ ตจว.
ขณะที่ "ศุภาลัย" ซึ่งเริ่มลงทุนอสังหาฯต่างจังหวัดตั้งแต่ปี 2529 น่าจะลงทุนอสังหาฯในต่างจังหวัดมากเป็นอันดับที่ 2 ถึงปัจจุบันเปิดตัวไปแล้ว 42 โครงการ ใน 6 จังหวัด ได้แก่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ขอนแก่น ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ฯ และชลบุรี-พัทยา มูลค่าโครงการรวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท นับจากนี้ถึงสิ้นปีจะเปิดอีก 5 โครงการ ใน 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ระยอง อุดรธานี
ศุภาลัยมีกลยุทธ์ที่แตกต่างจากแสนสิริ โดยใช้โครงการแนวราบเป็นตัวบุก และเลือกเปิดคอนโดฯเฉพาะหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ หาดใหญ่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา จุดแข็งของศุภาลัยคือการควบคุมต้นทุนได้ดี จึงสามารถตั้งราคาขายได้ต่ำกว่าคู่แข่ง 5-10%
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า บริษัทไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯในต่างจังหวัด หรือเปรียบเทียบกับใคร การจะเปิดโครงการในจังหวัดใหม่จึงต้องศึกษาให้รอบคอบว่ามีดีมานด์เพียงพอให้ทำโครงการได้ในระยะยาวได้หรือไม่ไม่ใช่ลงทุนเพียง 1-2 โครงการแล้วหยุด เสมือนตีหัวเข้าบ้าน
ซี.พี.แลนด์ปูพรม 14 จว.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ บมจ.ซี.พี.แลนด์ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมารุกหนักอสังหาฯต่างจังหวัด โดยใช้แบรนด์คอนโดฯ "กัลปพฤกษ์" ระดับราคา 1.2-1.5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์-บ้านเดี่ยวแบรนด์ "ทัสคานี" เจาะตลาด
ปัจจุบันเปิดตัวในต่างจังหวัดแล้ว 18 โครงการ 14 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อุดรฯ มหาสารคาม สกลนคร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ฯ ลำปาง เชียงราย สมุทรปราการ ชลบุรี-พัทยา นครสวรรค์ ตรัง นครราชสีมา และราชบุรี มูลค่าโครงการรวมประมาณ 7 พันล้านบาท ตามแผนถึงสิ้นปีนี้เตรียมเปิดตัวอีก 3 โครงการที่ จ.เชียงราย ลำปาง และพิษณุโลก โดยฐานใหญ่ของ ซี.พี.แลนด์ อยู่ที่ขอนแก่น มีออฟฟิศ 3 โครงการ และคอนโดฯ 4 โครงการ
นายสุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซี.พี.แลนด์ เปิดเผยว่า ปี 2557 บริษัทจะเปิดตัวคอนโดฯใหม่ 20 โครงการ ไม่ต่ำกว่า 10 จังหวัด ใช้งบฯลงทุน 1 หมื่นล้านบาท โดยจังหวัดใหม่ ๆ ที่สนใจ อาทิ กาญจนบุรี นครพนม สุรินทร์ ฯลฯ โดยตั้งแต่ปีหน้าจะเริ่มลงทุนออฟฟิศให้เช่า อาทิ อุดรฯ พิษณุโลก เชียงใหม่ ฯลฯ รวมทั้งสนใจลงทุนโรงแรม 2-3 ดาว ทั้งสร้างใหม่และซื้อกิจการ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ นครพนม พิษณุโลก ฯลฯ ตั้งเป้าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีโรงแรม 10 แห่ง จากปัจจุบันมีเพียงแห่งเดียวที่พระราม 9
"2 ปีมานี้เราเห็นชัดว่าเศรษฐกิจต่างจังหวัดขยายตัว ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้น การลงทุนเรามองจังหวัดที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัว เป็นจังหวัดชายแดน หรือมีไฮสปีดเทรนผ่าน" นายสุนทรกล่าว
พฤกษาฯมุ่งจังหวัดใหญ่
ขณะที่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ไม่ได้มุ่งขยายตลาดต่างจังหวัดแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันเปิดลงทุนอสังหาฯในต่างจังหวัดแล้ว 9 โครงการ ใน 4 จังหวัด คือ ภูเก็ต พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี-พัทยา ขอนแก่น มูลค่าโครงการรวม 9 พัน-1 หมื่นล้านบาท ช่วง 3-4 เดือนที่เหลือจะเปิดตัวอีก 3 โครงการ อยู่ใน จ.ชลบุรี 2 โครงการ คือ ทาวน์เฮาส์บ้านพฤกษา มูลค่า 700 ล้านบาท, บ้านเดี่ยวเดอะแพลนท์ มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท และ จ.ภูเก็ต 1 โครงการ เป็นทาวน์เฮาส์พฤกษาวิลล์ มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท ส่วนปี 2557 กำลังศึกษา จ.ระยอง และเปิดคอนโดฯในชลบุรี
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ลงทุนอสังหาฯในต่างจังหวัด อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขยายการลงทุนที่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต อุดรฯ และเมืองหัวหิน โดยต้นปีแลนด์ฯประกาศแผนเปิดตัวในต่างจังหวัด 9 โครงการ, บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ปีนี้เปิดคอนโดฯแอสปาย ที่อุดรฯ และคอนโดฯแบรนด์ใหม่ใน จ.พิษณุโลก, บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ มีโครงการที่ระยอง เมืองพัทยา, บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ มีโครงการที่ชลบุรี อุดรฯ บจ.นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ เพิ่งเปิดตัวโครงการคอนโดฯที่ระยอง, บจ.กานดา พร็อพเพอร์ตี้เปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรที่จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
ผู้สื่อข่าวสำรวจการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ที่ขยายการลงทุนในต่างจังหวัดชัดเจน4 ราย คือ บริษัท แสนสิริจำกัด (มหาชน), บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน), บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) พบว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้ง 4 บริษัทเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดรวมกันถึง 119 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 100,600 ล้านบาท
แสนสิริสะสม 50 โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทที่เปิดโครงการในต่างจังหวัดสูงสุดใน 4 รายนี้ คือ "แสนสิริ" โดยนับจากปี 2531 ที่เริ่มรุกอสังหาฯหัวหิน ถึงปัจจุบันเปิดโครงการแล้ว 50 โครงการ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี-พัทยา ระยอง หัวหิน-ชะอำ ภูเก็ต สุราษฎร์ฯ หาดใหญ่ ขอนแก่น และอุดรฯ มูลค่าโครงการรวม 54,600 ล้านบาท แต่ถ้านับเฉพาะ 2 ปีที่ผ่านมา แสนสิริเปิดโครงการต่างจังหวัดรวม 42 โครงการ ล่าสุดวันที่ 5-6 ตุลาคมนี้ จะเปิดคอนโดฯแบรนด์เดอะเบสอีก 3 โครงการ คือ เดอะเบส ศรีจันทร์-ขอนแก่น เดอะเบส ไฮท์ เซ็นทรัล-อุดรฯ และเดอะเบส ไฮท์ นครราชสีมา
กลยุทธ์ของแสนสิริ คือ ใช้คอนโดมิเนียม 2 แบรนด์หลัก "ดีคอนโด-เดอะเบส" เป็นตัวบุก จากนั้นจึงเริ่มเปิดตัวบ้านจัดสรร ราคา 3-5 ล้านบาท การเจาะตลาดใช้กลยุทธ์ดาวน์ต่ำ 5% เจาะกลุ่มเรียลดีมานด์และกลุ่มซื้อลงทุนปล่อยเช่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแสนสิริปรับวงเงินดาวน์คอนโดฯในโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเป็น 10-12% และเป็นที่สังเกตว่าเริ่มชะลอคอนโดฯในบางจังหวัดที่เคยให้ความสนใจ เช่น กาญจนบุรี อุบลราชธานี เป็นต้น
ศุภาลัยชะลอบุกคอนโดฯ ตจว.
ขณะที่ "ศุภาลัย" ซึ่งเริ่มลงทุนอสังหาฯต่างจังหวัดตั้งแต่ปี 2529 น่าจะลงทุนอสังหาฯในต่างจังหวัดมากเป็นอันดับที่ 2 ถึงปัจจุบันเปิดตัวไปแล้ว 42 โครงการ ใน 6 จังหวัด ได้แก่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ขอนแก่น ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ฯ และชลบุรี-พัทยา มูลค่าโครงการรวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท นับจากนี้ถึงสิ้นปีจะเปิดอีก 5 โครงการ ใน 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ระยอง อุดรธานี
ศุภาลัยมีกลยุทธ์ที่แตกต่างจากแสนสิริ โดยใช้โครงการแนวราบเป็นตัวบุก และเลือกเปิดคอนโดฯเฉพาะหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ หาดใหญ่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา จุดแข็งของศุภาลัยคือการควบคุมต้นทุนได้ดี จึงสามารถตั้งราคาขายได้ต่ำกว่าคู่แข่ง 5-10%
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า บริษัทไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯในต่างจังหวัด หรือเปรียบเทียบกับใคร การจะเปิดโครงการในจังหวัดใหม่จึงต้องศึกษาให้รอบคอบว่ามีดีมานด์เพียงพอให้ทำโครงการได้ในระยะยาวได้หรือไม่ไม่ใช่ลงทุนเพียง 1-2 โครงการแล้วหยุด เสมือนตีหัวเข้าบ้าน
ซี.พี.แลนด์ปูพรม 14 จว.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ บมจ.ซี.พี.แลนด์ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมารุกหนักอสังหาฯต่างจังหวัด โดยใช้แบรนด์คอนโดฯ "กัลปพฤกษ์" ระดับราคา 1.2-1.5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์-บ้านเดี่ยวแบรนด์ "ทัสคานี" เจาะตลาด
ปัจจุบันเปิดตัวในต่างจังหวัดแล้ว 18 โครงการ 14 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อุดรฯ มหาสารคาม สกลนคร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ฯ ลำปาง เชียงราย สมุทรปราการ ชลบุรี-พัทยา นครสวรรค์ ตรัง นครราชสีมา และราชบุรี มูลค่าโครงการรวมประมาณ 7 พันล้านบาท ตามแผนถึงสิ้นปีนี้เตรียมเปิดตัวอีก 3 โครงการที่ จ.เชียงราย ลำปาง และพิษณุโลก โดยฐานใหญ่ของ ซี.พี.แลนด์ อยู่ที่ขอนแก่น มีออฟฟิศ 3 โครงการ และคอนโดฯ 4 โครงการ
นายสุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซี.พี.แลนด์ เปิดเผยว่า ปี 2557 บริษัทจะเปิดตัวคอนโดฯใหม่ 20 โครงการ ไม่ต่ำกว่า 10 จังหวัด ใช้งบฯลงทุน 1 หมื่นล้านบาท โดยจังหวัดใหม่ ๆ ที่สนใจ อาทิ กาญจนบุรี นครพนม สุรินทร์ ฯลฯ โดยตั้งแต่ปีหน้าจะเริ่มลงทุนออฟฟิศให้เช่า อาทิ อุดรฯ พิษณุโลก เชียงใหม่ ฯลฯ รวมทั้งสนใจลงทุนโรงแรม 2-3 ดาว ทั้งสร้างใหม่และซื้อกิจการ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ นครพนม พิษณุโลก ฯลฯ ตั้งเป้าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีโรงแรม 10 แห่ง จากปัจจุบันมีเพียงแห่งเดียวที่พระราม 9
"2 ปีมานี้เราเห็นชัดว่าเศรษฐกิจต่างจังหวัดขยายตัว ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้น การลงทุนเรามองจังหวัดที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัว เป็นจังหวัดชายแดน หรือมีไฮสปีดเทรนผ่าน" นายสุนทรกล่าว
พฤกษาฯมุ่งจังหวัดใหญ่
ขณะที่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ไม่ได้มุ่งขยายตลาดต่างจังหวัดแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันเปิดลงทุนอสังหาฯในต่างจังหวัดแล้ว 9 โครงการ ใน 4 จังหวัด คือ ภูเก็ต พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี-พัทยา ขอนแก่น มูลค่าโครงการรวม 9 พัน-1 หมื่นล้านบาท ช่วง 3-4 เดือนที่เหลือจะเปิดตัวอีก 3 โครงการ อยู่ใน จ.ชลบุรี 2 โครงการ คือ ทาวน์เฮาส์บ้านพฤกษา มูลค่า 700 ล้านบาท, บ้านเดี่ยวเดอะแพลนท์ มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท และ จ.ภูเก็ต 1 โครงการ เป็นทาวน์เฮาส์พฤกษาวิลล์ มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท ส่วนปี 2557 กำลังศึกษา จ.ระยอง และเปิดคอนโดฯในชลบุรี
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ลงทุนอสังหาฯในต่างจังหวัด อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขยายการลงทุนที่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต อุดรฯ และเมืองหัวหิน โดยต้นปีแลนด์ฯประกาศแผนเปิดตัวในต่างจังหวัด 9 โครงการ, บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ปีนี้เปิดคอนโดฯแอสปาย ที่อุดรฯ และคอนโดฯแบรนด์ใหม่ใน จ.พิษณุโลก, บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ มีโครงการที่ระยอง เมืองพัทยา, บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ มีโครงการที่ชลบุรี อุดรฯ บจ.นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ เพิ่งเปิดตัวโครงการคอนโดฯที่ระยอง, บจ.กานดา พร็อพเพอร์ตี้เปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรที่จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 10
ตลาด คอนโดฯ เริ่มอิ่มตัว บิ๊กอสังหาฯ ปรับทิศลงทุน "แสนสิริ" ส่งสัญญาณมุ่งลงทุนบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์"ศุภาลัย" ชี้บางจังหวัดซัพพลายเริ่มเยอะ ปีหน้าลดเปิดคอนโดฯ ต่างจังหวัดเหลือ 1-2 โครงการ "ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ-ส.อาคารชุดไทย-ซีบี ริชาร์ดฯ" ประสานเสียง ปี 2557 ตลาดอาคารชุดเริ่มแผ่ว
ผู้สื่อข่าวสำรวจแนวโน้มการลงทุน พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดนับจากปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2557 พบว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่บางบริษัทเริ่มส่งสัญญาณลดการลงทุน คอนโดฯ หรือมีแนวโน้มจะเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าลดน้อยลง เนื่องจากเห็นว่ายอดขายในบางจังหวัดขายได้ช้าลงเพราะมีซัพพลายเข้าสู่ตลาด จำนวนมาก ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น
ปีหน้าคอนโดฯ ใหม่เริ่มชะลอ
นาย สัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่า แนวโน้มคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2557 จะลดลง เนื่องจากช่วง 8 เดือนแรกปีนี้มีซัพพลายเข้าสู่ตลาดค่อนข้างมาก โดยมีห้องชุดใหม่เปิดตัวแล้ว 5.9 หมื่นยูนิต อาทิ โซนฝั่งธนบุรี 9.9 พันยูนิต, จ.นนทบุรี 8.5 พันยูนิต, ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง 7.3 พันยูนิต, จ.ปทุมธานี 5.9 พันยูนิต, สุขุมวิทตอนปลายนับจากอ่อนนุช-บางนา 4.8 พันยูนิต, จ.สมุทรปราการ 2.5 พันยูนิต ประเมินว่าทั้งปีจะมีคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ 7-7.5 หมื่นยูนิต สูงกว่าปี 2555 ที่เปิดตัว 6.3 หมื่นยูนิต
ปัจจุบันผู้ประกอบการก็ เริ่มระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อตามสถานการณ์หนี้ภาคครัวเรือนที่ เพิ่มขึ้น เพื่อสกัดกลุ่มนักเก็งกำไร
นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ปีนี้คงไม่น้อยกว่าปีที่แล้วที่เคยเปิดอยู่ 6.3 หมื่นหน่วย คาดปีหน้าการเปิดตัวจะลดลงเพราะผู้ประกอบการเริ่มรับรู้แล้วว่ามีปัญหาโอ เวอร์ซัพพลายในบางทำเล ขณะที่สถาบันการเงินก็เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการ
นางสาวอลิวัส สา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาการขายและลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชื่อว่า ปีหน้าคอนโดฯ จะเปิดตัวน้อยลง ล่าสุดเจ้าของที่ดินบางรายที่เคยมาขอคำปรึกษาและสนใจจะพัฒนาอาคารชุดก็ ตัดสินใจชะลอการลงทุนเพราะเศรษฐกิจมีความเสี่ยงมากขึ้น
ดิเอคโค่ฯ คืนเงินดาวน์ลูกค้า
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ โครงการดิ เอคโค่ คอนโด ศรีนครินทร์ ของบริษัท ภิรมย์ แลนด์ จำกัด ได้แจ้งลูกค้าให้มารับเงินจอง-เงินดาวน์คืน เนื่องจากไม่สามารถเริ่มงานก่อสร้างได้ทันกำหนด ทั้งที่มียอดขายแล้ว 60-70% จากทั้งหมด 501 ยูนิต โดยโครงการนี้เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นอาคาร 8 ชั้น 3 อาคาร ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 1.1 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 40,000 บาท
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายได้แจ้งเหตุผลการคืนเงินลูกค้าว่า ตามกำหนดจะต้องเริ่มงานก่อสร้างเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เพื่อส่งมอบห้องชุดช่วงกลางปี 2558 หรืออีก 1 ปีครึ่ง แต่บริษัทไม่สามารถหาผู้รับเหมาได้ เท่าที่หารือกับผู้รับเหมาแจ้งว่าจะต้องใช้เวลาก่อสร้างและตกแต่งภายใน ประมาณ 2 ปีครึ่ง เพราะมีแบบห้องค่อนข้างมากถึง 13 แบบ ทางผู้บริหารจึงตัดสินใจคืนเงินลูกค้าทุกรายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
แสนสิริ-ศุภาลัย ลดพอร์ต
นาย วันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นับจากนี้ถึงปีหน้าการเปิดตัวคอนโดฯ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดของแสนสิริจะเริ่มลดลง เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาเร่งเปิดไปมากแล้ว กำลังซื้อในหลายจังหวัดน่าจะถูกดูดซับไปพอสมควร หลังจากนี้แสนสิริจะหันมาเปิดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์มากขึ้น ส่วนที่ดินแปลงไหนที่เหมาะจะทำคอนโดฯ แต่ยังไม่มีความพร้อมก็จะไม่เร่งเปิดสำนักงานขาย
ทั้งนี้ ปี 2556 แสนสิริวางแผนเปิดใหม่ 47 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้กว่า 50% หรือไม่ต่ำกว่า 24-25 โครงการเป็นคอนโดฯ และได้เร่งเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว 2 ใน 3 ของทั้งหมด
แหล่ง ข่าวจาก บมจ.แสนสิริเปิดเผยเพิ่มเติมว่า แนวโน้มการเปิดโครงการแบรนด์ "ดีคอนโด" ในปีหน้าคงไม่ได้มีจำนวนมากเท่ากับปีนี้ เนื่องจากหาซื้อที่ดินได้ค่อนข้างยากเนื่องจากราคาที่ดินปรับขึ้นเร็ว ปัจจุบันเพิ่งมีที่ดินสำหรับเปิดดีคอนโดในปีหน้า 2 แปลงเท่านั้น
นาย ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า ช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายบริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการในต่างจังหวัดตามแผน โดยเหลือโครงการที่จะเปิดตัวอีก 5 โครงการ จากแผนทั้งปี 13 โครงการ แนวโน้มปี 2557 การเปิดตัวใหม่ในต่างจังหวัดจะเน้นบ้านจัดสรรมากขึ้น เพราะตลาดคอนโดฯ บางจังหวัดมีซัพพลายมาก โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้ง นี้ ปี 2557 คาดว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่ในต่างจังหวัดต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้อาจจะมีคอนโดฯ เปิดตัวเพียง 1-2 โครงการ หรือไม่มีเลย จากปีนี้ประกาศแผนเปิดตัว 5 โครงการ โดยมีที่เปิดตัวไปแล้ว อาทิ ศุภาลัย มาเรย์ พัทยา, ซิตี้ รีสอร์ท ภาสว่าง-เพชรเกษม หาดใหญ่, ศุภาลัย มอนเต้@เวียง เชียงใหม่ ฯลฯ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
ผู้สื่อข่าวสำรวจแนวโน้มการลงทุน พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดนับจากปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2557 พบว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่บางบริษัทเริ่มส่งสัญญาณลดการลงทุน คอนโดฯ หรือมีแนวโน้มจะเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าลดน้อยลง เนื่องจากเห็นว่ายอดขายในบางจังหวัดขายได้ช้าลงเพราะมีซัพพลายเข้าสู่ตลาด จำนวนมาก ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น
ปีหน้าคอนโดฯ ใหม่เริ่มชะลอ
นาย สัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่า แนวโน้มคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2557 จะลดลง เนื่องจากช่วง 8 เดือนแรกปีนี้มีซัพพลายเข้าสู่ตลาดค่อนข้างมาก โดยมีห้องชุดใหม่เปิดตัวแล้ว 5.9 หมื่นยูนิต อาทิ โซนฝั่งธนบุรี 9.9 พันยูนิต, จ.นนทบุรี 8.5 พันยูนิต, ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง 7.3 พันยูนิต, จ.ปทุมธานี 5.9 พันยูนิต, สุขุมวิทตอนปลายนับจากอ่อนนุช-บางนา 4.8 พันยูนิต, จ.สมุทรปราการ 2.5 พันยูนิต ประเมินว่าทั้งปีจะมีคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ 7-7.5 หมื่นยูนิต สูงกว่าปี 2555 ที่เปิดตัว 6.3 หมื่นยูนิต
ปัจจุบันผู้ประกอบการก็ เริ่มระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อตามสถานการณ์หนี้ภาคครัวเรือนที่ เพิ่มขึ้น เพื่อสกัดกลุ่มนักเก็งกำไร
นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ปีนี้คงไม่น้อยกว่าปีที่แล้วที่เคยเปิดอยู่ 6.3 หมื่นหน่วย คาดปีหน้าการเปิดตัวจะลดลงเพราะผู้ประกอบการเริ่มรับรู้แล้วว่ามีปัญหาโอ เวอร์ซัพพลายในบางทำเล ขณะที่สถาบันการเงินก็เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการ
นางสาวอลิวัส สา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาการขายและลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชื่อว่า ปีหน้าคอนโดฯ จะเปิดตัวน้อยลง ล่าสุดเจ้าของที่ดินบางรายที่เคยมาขอคำปรึกษาและสนใจจะพัฒนาอาคารชุดก็ ตัดสินใจชะลอการลงทุนเพราะเศรษฐกิจมีความเสี่ยงมากขึ้น
ดิเอคโค่ฯ คืนเงินดาวน์ลูกค้า
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ โครงการดิ เอคโค่ คอนโด ศรีนครินทร์ ของบริษัท ภิรมย์ แลนด์ จำกัด ได้แจ้งลูกค้าให้มารับเงินจอง-เงินดาวน์คืน เนื่องจากไม่สามารถเริ่มงานก่อสร้างได้ทันกำหนด ทั้งที่มียอดขายแล้ว 60-70% จากทั้งหมด 501 ยูนิต โดยโครงการนี้เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นอาคาร 8 ชั้น 3 อาคาร ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 1.1 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 40,000 บาท
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายได้แจ้งเหตุผลการคืนเงินลูกค้าว่า ตามกำหนดจะต้องเริ่มงานก่อสร้างเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เพื่อส่งมอบห้องชุดช่วงกลางปี 2558 หรืออีก 1 ปีครึ่ง แต่บริษัทไม่สามารถหาผู้รับเหมาได้ เท่าที่หารือกับผู้รับเหมาแจ้งว่าจะต้องใช้เวลาก่อสร้างและตกแต่งภายใน ประมาณ 2 ปีครึ่ง เพราะมีแบบห้องค่อนข้างมากถึง 13 แบบ ทางผู้บริหารจึงตัดสินใจคืนเงินลูกค้าทุกรายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
แสนสิริ-ศุภาลัย ลดพอร์ต
นาย วันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นับจากนี้ถึงปีหน้าการเปิดตัวคอนโดฯ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดของแสนสิริจะเริ่มลดลง เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาเร่งเปิดไปมากแล้ว กำลังซื้อในหลายจังหวัดน่าจะถูกดูดซับไปพอสมควร หลังจากนี้แสนสิริจะหันมาเปิดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์มากขึ้น ส่วนที่ดินแปลงไหนที่เหมาะจะทำคอนโดฯ แต่ยังไม่มีความพร้อมก็จะไม่เร่งเปิดสำนักงานขาย
ทั้งนี้ ปี 2556 แสนสิริวางแผนเปิดใหม่ 47 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้กว่า 50% หรือไม่ต่ำกว่า 24-25 โครงการเป็นคอนโดฯ และได้เร่งเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว 2 ใน 3 ของทั้งหมด
แหล่ง ข่าวจาก บมจ.แสนสิริเปิดเผยเพิ่มเติมว่า แนวโน้มการเปิดโครงการแบรนด์ "ดีคอนโด" ในปีหน้าคงไม่ได้มีจำนวนมากเท่ากับปีนี้ เนื่องจากหาซื้อที่ดินได้ค่อนข้างยากเนื่องจากราคาที่ดินปรับขึ้นเร็ว ปัจจุบันเพิ่งมีที่ดินสำหรับเปิดดีคอนโดในปีหน้า 2 แปลงเท่านั้น
นาย ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า ช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายบริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการในต่างจังหวัดตามแผน โดยเหลือโครงการที่จะเปิดตัวอีก 5 โครงการ จากแผนทั้งปี 13 โครงการ แนวโน้มปี 2557 การเปิดตัวใหม่ในต่างจังหวัดจะเน้นบ้านจัดสรรมากขึ้น เพราะตลาดคอนโดฯ บางจังหวัดมีซัพพลายมาก โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้ง นี้ ปี 2557 คาดว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่ในต่างจังหวัดต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้อาจจะมีคอนโดฯ เปิดตัวเพียง 1-2 โครงการ หรือไม่มีเลย จากปีนี้ประกาศแผนเปิดตัว 5 โครงการ โดยมีที่เปิดตัวไปแล้ว อาทิ ศุภาลัย มาเรย์ พัทยา, ซิตี้ รีสอร์ท ภาสว่าง-เพชรเกษม หาดใหญ่, ศุภาลัย มอนเต้@เวียง เชียงใหม่ ฯลฯ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 11
อสังหาฯเดือนก.ย.ส่งสัญญาณแผ่ว จำนวนเปิดตัวโครงการใหม่-มูลค่าลดลง ส่วนหนึ่งมาจากเป็นช่วงฤดูฝน
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยถึงผลการสำรวจอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่เดือนก.ย. มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 22 โครงการ จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 10,459 หน่วย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 1,027 หน่วย (เดือนส.ค.2556 มีจำนวน 11,486 หน่วย) โดยประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดใหม่มากที่สุด ยังคงเป็นอาคารชุดเช่นเดือนที่ผ่านมา โดยมีจำนวนหน่วยเปิดขาย 9,765 หน่วย (88.5%) รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 722 หน่วย (6.9%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 319 หน่วย (3.1%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมดในเดือนก.ย.
มูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนก.ย.นี้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 34,017 ล้านบาท ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน -6,035 ล้านบาท (เดือนส.ค. 2556 มีมูลค่า 40,372 ล้านบาท) โดยจะพบว่าสินค้าที่เข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่จะมีราคาปานกลางค่อนข้างสูง โดยมีระดับราคา 1-3 ล้านบาท มีประมาณ 54% รองลงมา คือราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวนประมาณ 38% ของหน่วยขายที่เปิดใหม่ทั้งหมดในเดือนนี้
สาเหตุที่จำนวนโครงการเปิดน้อยลง ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากในเดือนนี้เป็นฤดูฝน และหน้าน้ำหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยถูกน้ำท่วมแทบจะไม่มีการเปิดตัวโครงการเลย ซึ่งโครงการที่เปิดขายส่วนใหญ่จะมีทำเลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองและเขตติดต่อเมืองเป็นสำคัญ กรณีอาคารชุดจะเกาะตามแนวรถไฟฟ้า สำหรับบ้านเดี่ยวจะตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ติดต่อกับเขตเมือง เช่น ถนนรามอินทรา ถนนบางนา ถนนงามวงศ์วานและถนนพระราม 2 เป็นต้น ส่วนทาวน์เฮ้าส์จะกระจายอยู่ในเขตพื้นที่ติดต่อเมือง และแหล่งชุมชนหนาแน่น เช่น ถนนรามคำแหง ถนนสุขุมวิท 62 และถนนบางนา-ตราด เป็นต้น
เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) จำนวน 7 บริษัท คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) บริษัท AP Thailand จำกัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และมีบริษัทในเครือบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 5 บริษัท นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... หม่ลด.html
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยถึงผลการสำรวจอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่เดือนก.ย. มีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 22 โครงการ จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 10,459 หน่วย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 1,027 หน่วย (เดือนส.ค.2556 มีจำนวน 11,486 หน่วย) โดยประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดใหม่มากที่สุด ยังคงเป็นอาคารชุดเช่นเดือนที่ผ่านมา โดยมีจำนวนหน่วยเปิดขาย 9,765 หน่วย (88.5%) รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 722 หน่วย (6.9%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 319 หน่วย (3.1%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมดในเดือนก.ย.
มูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนก.ย.นี้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 34,017 ล้านบาท ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน -6,035 ล้านบาท (เดือนส.ค. 2556 มีมูลค่า 40,372 ล้านบาท) โดยจะพบว่าสินค้าที่เข้าสู่ตลาดส่วนใหญ่จะมีราคาปานกลางค่อนข้างสูง โดยมีระดับราคา 1-3 ล้านบาท มีประมาณ 54% รองลงมา คือราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวนประมาณ 38% ของหน่วยขายที่เปิดใหม่ทั้งหมดในเดือนนี้
สาเหตุที่จำนวนโครงการเปิดน้อยลง ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากในเดือนนี้เป็นฤดูฝน และหน้าน้ำหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยถูกน้ำท่วมแทบจะไม่มีการเปิดตัวโครงการเลย ซึ่งโครงการที่เปิดขายส่วนใหญ่จะมีทำเลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองและเขตติดต่อเมืองเป็นสำคัญ กรณีอาคารชุดจะเกาะตามแนวรถไฟฟ้า สำหรับบ้านเดี่ยวจะตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ติดต่อกับเขตเมือง เช่น ถนนรามอินทรา ถนนบางนา ถนนงามวงศ์วานและถนนพระราม 2 เป็นต้น ส่วนทาวน์เฮ้าส์จะกระจายอยู่ในเขตพื้นที่ติดต่อเมือง และแหล่งชุมชนหนาแน่น เช่น ถนนรามคำแหง ถนนสุขุมวิท 62 และถนนบางนา-ตราด เป็นต้น
เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) จำนวน 7 บริษัท คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) บริษัท AP Thailand จำกัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และมีบริษัทในเครือบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 5 บริษัท นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... หม่ลด.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 12
นับจากปีนี้-ปีหน้า ว่ากันว่า "คอนโดมิเนียมราคาต่ำล้าน" เป็นเซ็กเมนต์ที่น่าจับตามอง เพราะเป็นตลาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายพนักงานกินเงินเดือนที่กำลังมองหาบ้านหลังแรก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์แกะกล่องราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ในย่านชานเมืองหรือปริมณฑลแทบสูญพันธุ์ไปแล้ว หรือไม่ก็ต้องเข้าซอยลึกไปหลายกิโลเมตร ซึ่งบางคนอาจมองว่าไม่คุ้มค่ากับการเดินทาง "คอนโดฯต่ำล้าน" จึงเป็นทางเลือกทดแทนตลาด "ทาวน์เฮาส์"
LPN บุกรังสิตหมื่นห้อง
ตลาดคอนโดฯต่ำล้านรอบนี้ มี 2 ค่ายบิ๊กแบรนด์ "LPN-แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์" และ "พฤกษา เรียลเอสเตท" จุดพลุการแข่งขันรอบใหม่ โดยก่อนหน้านี้ "พี่มีน-โอภาส ศรีพยัคฆ์" เอ็มดีค่าย แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ ออกมาระบุว่า... "ตลาดคอนโดฯที่จะเห็นการเปิดตัวและแข่งขันสูงต่อจากนี้ คือเซ็กเมนต์คอนโดฯราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท"
ล่าสุด เมื่อ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา แอล.พี.เอ็น.ฯเปิดจองเมกะคอนโดฯ "ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1" บนที่ดิน 100 ไร่ ด้วยราคายั่วใจคนซื้อ วันเดียวกวาดยอดขายได้ 2 พันยูนิต จากทั้งหมด 50 อาคาร 10,154 ยูนิต ห้องไซซ์ 21.5-26 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6.39 แสนบาท โดย LPN ซื้อที่ดินแปลงนี้มาในราคาตัวเลขกลม ๆ 600 ล้านบาท หรือไร่ละกว่า 6 ล้านบาท บวกกับโนว์ฮาวเรื่องก่อสร้างและควบคุมต้นทุนจึงทำราคาได้ถูก
ขณะที่ปี"57 "เฮียล้ง-ทิฆัมพร เปล่งศรีสุข" ซีอีโอ LPN มั่นใจว่าโครงการทั้ง 1 หมื่นยูนิตจะปิดการขายได้ก่อนตึกบางส่วนเริ่มทยอยสร้างเสร็จปี"58 แน่นอน และอยากจะเปิดคอนโดฯลุมพินีทาวน์ชิปกระจาย 4 มุมเมือง ขึ้นอยู่กับว่าจะหาที่ดินในทำเลและราคาที่เหมาะสมได้หรือไม่
เจอกับเอ็มดีค่าย แอล.พี.เอ็นฯ ล่าสุด "พี่มีน-โอภาส" เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ออกมาตอกย้ำแผนรุกตลาดคอนโดฯ ต่ำล้าน เล็งๆ ที่ดินโซนพระราม 2 เอาไว้ แต่คงต้องเป็นแปลงใหญ่อย่างน้อย 40-50 ไร่ ทำโครงการขั้นต่ำ 5 พันยูนิต ส่วนทำลบางใหญ่แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงก็เคยสนใจ แต่ติดที่ราคาที่ขยับขึ้นไปสูงแล้ว
พฤกษาฯชิงขาย 3 พันห้อง
ฟากมือโปรเรื่องโลว์คอสต์เฮาซิ่งอีกราย "พฤกษา เรียลเอสเตท" ประมาณเดือนเมษายนที่ผ่านมา เปิดตัวโครงการ "พลัม คอนโด พหลโยธิน 89" 8 เฟส32 อาคาร รวม 7.7 พันยูนิต พื้นที่ใช้สอย 22 และ 28 ตารางเมตร ราคาเตะตาเริ่มต้น 6.99 แสนบาท มูลค่าโครงการ 7 พันล้านบาท บนที่ดินติดถนนใหญ่กว่า 100 ไร่ใกล้ทางเข้าเมืองเอก
ก่อนหน้านี้ค่ายพฤกษาฯใช้กลยุทธ์เปิดขายแบบไม่ได้ทำประชาสัมพันธ์โฉ่งฉ่าง ปรากฏว่าผ่านมา 6 เดือนขายไปแล้ว 3 พันห้อง ลูกค้ามีทั้งกลุ่มคนทำงาน อาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้ปกครองนักศึกษา พร้อมประกาศจะเป็นเทรนด์เซตเตอร์-ผู้กำหนดเทรนด์ในตลาดคอนโดฯต่ำล้าน โดยปี"57 ประกาศแผนธุรกิจจะเห็นพลัม คอนโดฯ ที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ 2-5 พันยูนิต อย่างน้อยอีก 2-3 มุมเมือง
ล่าสุดค่ายนี้เพิ่งเปิดลงชื่อจองสิทธิ์ "พลัม คอนโดบางใหญ่สเตชั่น" ภายใต้สโลแกน...ใหญ่ ใหม่ ใกล้ เปลี่ยนไลฟ์สไตล์วันนี้ ราคาเริ่มต้น 8.49 แสนบาท จะเปิดขายเมื่อ 23-24 พ.ย.นี้
ขณะที่คอนโดฯต่ำล้านไม่ได้มีเพียงแบรนด์พลัม คอนโด โดยปีหน้าพฤกษาฯจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ "MASSO" มาจากคำว่า...MASS เป็นคอนโดฯไซซ์ 22-25 ตารางเมตร จำนวน 1.8 พันยูนิต แบ่งขายเป็น 3 เฟส เฟสละประมาณ 600 ยูนิต ราคายูนิตละ 7-9 แสนบาท ทำเลใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (รังสิต) เจาะกลุ่มผู้ปกครองนักศึกษาและคนทำงาน
"ไซมิส" จองทำเลนวมินทร์
ด้านอสังหาฯรายกลางที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะเติบโตมาจากการเป็นผู้รับเหมามาก่อน เรากำลังพูดถึงค่าย "ไซมิส แอสเสท" ที่ตอนนี้เปิดตัวเป็นรายล่าสุดสำหรับคอนโดฯต่ำล้าน โดยจะเปิดพรีเซลในช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปี"57
ก่อนหน้านี้ ไซมิส แอสเสท เจรจาซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเนื้อที่กว่า 10 ไร่จาก "บสก.-บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์" ทำเลสวยติดถนนนวมินทร์ ตรงข้ามเทสโก้ โลตัส สำนักงานใหญ่ วางแผนพัฒนาเป็นคอนโดฯ 2.5 พันยูนิต พื้นที่ใช้สอยประมาณ 25 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6.5 แสนบาท มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท
เสนาฯ บุกโซนขอบเมือง
"เสนาดีเวลลอปเม้นท์" บุกเบิกคอนโดฯต่ำล้านมา 4-5 ปีภายใต้แบรนด์ "เดอะคิทท์" และ "บ้านร่วมทางฝัน" ซึ่งบ้านร่วมทางฝันเป็นโครงการซีเอสอาร์มอบกำไรให้โรงพยาบาล เน้นทำเลรอยต่อกรุงเทพฯชั้นกลาง-ชั้นนอก และปริมณฑล
ปัจจุบันมีอย่างน้อย 2 โครงการที่เปิดขาย คือ "เดอะคิทท์ ติวานนท์-เดอะคิทท์ ลำลูกกา คลอง 2" ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 9-9.9 แสนบาท โดยที่เสนาฯทำราคาได้ต่ำเพราะมีผู้รับเหมาที่ร่วมงานมานาน และใช้วิธีก่อสร้างต่อยอดจากตึกแถว 5 ชั้น มาทำคอนโดฯ 6-7 ชั้น ช่วยให้มีต้นทุนต่ำ
"ดร.ยุ้ย-เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์"คาดว่าปี"57 จะมีคอนโดฯราคาต่ำล้านอีก 2-3 โครงการ หนึ่งในนั้นคือโครงการเดอะคิทท์ บางกะดี ที่มีที่ดินในมือแล้ว
ในภาพรวมจึงต้องรอดูว่าปีหน้าจะมีค่ายไหนเข้ามาร่วมวงอีกหรือไม่ เพราะเป็นเซ็กเมนต์ที่มีดีมานด์สูง แต่โจทย์ใหญ่คือการควบคุมต้นทุนและราคาที่ดิน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์แกะกล่องราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ในย่านชานเมืองหรือปริมณฑลแทบสูญพันธุ์ไปแล้ว หรือไม่ก็ต้องเข้าซอยลึกไปหลายกิโลเมตร ซึ่งบางคนอาจมองว่าไม่คุ้มค่ากับการเดินทาง "คอนโดฯต่ำล้าน" จึงเป็นทางเลือกทดแทนตลาด "ทาวน์เฮาส์"
LPN บุกรังสิตหมื่นห้อง
ตลาดคอนโดฯต่ำล้านรอบนี้ มี 2 ค่ายบิ๊กแบรนด์ "LPN-แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์" และ "พฤกษา เรียลเอสเตท" จุดพลุการแข่งขันรอบใหม่ โดยก่อนหน้านี้ "พี่มีน-โอภาส ศรีพยัคฆ์" เอ็มดีค่าย แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ ออกมาระบุว่า... "ตลาดคอนโดฯที่จะเห็นการเปิดตัวและแข่งขันสูงต่อจากนี้ คือเซ็กเมนต์คอนโดฯราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท"
ล่าสุด เมื่อ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา แอล.พี.เอ็น.ฯเปิดจองเมกะคอนโดฯ "ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1" บนที่ดิน 100 ไร่ ด้วยราคายั่วใจคนซื้อ วันเดียวกวาดยอดขายได้ 2 พันยูนิต จากทั้งหมด 50 อาคาร 10,154 ยูนิต ห้องไซซ์ 21.5-26 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6.39 แสนบาท โดย LPN ซื้อที่ดินแปลงนี้มาในราคาตัวเลขกลม ๆ 600 ล้านบาท หรือไร่ละกว่า 6 ล้านบาท บวกกับโนว์ฮาวเรื่องก่อสร้างและควบคุมต้นทุนจึงทำราคาได้ถูก
ขณะที่ปี"57 "เฮียล้ง-ทิฆัมพร เปล่งศรีสุข" ซีอีโอ LPN มั่นใจว่าโครงการทั้ง 1 หมื่นยูนิตจะปิดการขายได้ก่อนตึกบางส่วนเริ่มทยอยสร้างเสร็จปี"58 แน่นอน และอยากจะเปิดคอนโดฯลุมพินีทาวน์ชิปกระจาย 4 มุมเมือง ขึ้นอยู่กับว่าจะหาที่ดินในทำเลและราคาที่เหมาะสมได้หรือไม่
เจอกับเอ็มดีค่าย แอล.พี.เอ็นฯ ล่าสุด "พี่มีน-โอภาส" เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ออกมาตอกย้ำแผนรุกตลาดคอนโดฯ ต่ำล้าน เล็งๆ ที่ดินโซนพระราม 2 เอาไว้ แต่คงต้องเป็นแปลงใหญ่อย่างน้อย 40-50 ไร่ ทำโครงการขั้นต่ำ 5 พันยูนิต ส่วนทำลบางใหญ่แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงก็เคยสนใจ แต่ติดที่ราคาที่ขยับขึ้นไปสูงแล้ว
พฤกษาฯชิงขาย 3 พันห้อง
ฟากมือโปรเรื่องโลว์คอสต์เฮาซิ่งอีกราย "พฤกษา เรียลเอสเตท" ประมาณเดือนเมษายนที่ผ่านมา เปิดตัวโครงการ "พลัม คอนโด พหลโยธิน 89" 8 เฟส32 อาคาร รวม 7.7 พันยูนิต พื้นที่ใช้สอย 22 และ 28 ตารางเมตร ราคาเตะตาเริ่มต้น 6.99 แสนบาท มูลค่าโครงการ 7 พันล้านบาท บนที่ดินติดถนนใหญ่กว่า 100 ไร่ใกล้ทางเข้าเมืองเอก
ก่อนหน้านี้ค่ายพฤกษาฯใช้กลยุทธ์เปิดขายแบบไม่ได้ทำประชาสัมพันธ์โฉ่งฉ่าง ปรากฏว่าผ่านมา 6 เดือนขายไปแล้ว 3 พันห้อง ลูกค้ามีทั้งกลุ่มคนทำงาน อาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้ปกครองนักศึกษา พร้อมประกาศจะเป็นเทรนด์เซตเตอร์-ผู้กำหนดเทรนด์ในตลาดคอนโดฯต่ำล้าน โดยปี"57 ประกาศแผนธุรกิจจะเห็นพลัม คอนโดฯ ที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ 2-5 พันยูนิต อย่างน้อยอีก 2-3 มุมเมือง
ล่าสุดค่ายนี้เพิ่งเปิดลงชื่อจองสิทธิ์ "พลัม คอนโดบางใหญ่สเตชั่น" ภายใต้สโลแกน...ใหญ่ ใหม่ ใกล้ เปลี่ยนไลฟ์สไตล์วันนี้ ราคาเริ่มต้น 8.49 แสนบาท จะเปิดขายเมื่อ 23-24 พ.ย.นี้
ขณะที่คอนโดฯต่ำล้านไม่ได้มีเพียงแบรนด์พลัม คอนโด โดยปีหน้าพฤกษาฯจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ "MASSO" มาจากคำว่า...MASS เป็นคอนโดฯไซซ์ 22-25 ตารางเมตร จำนวน 1.8 พันยูนิต แบ่งขายเป็น 3 เฟส เฟสละประมาณ 600 ยูนิต ราคายูนิตละ 7-9 แสนบาท ทำเลใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (รังสิต) เจาะกลุ่มผู้ปกครองนักศึกษาและคนทำงาน
"ไซมิส" จองทำเลนวมินทร์
ด้านอสังหาฯรายกลางที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะเติบโตมาจากการเป็นผู้รับเหมามาก่อน เรากำลังพูดถึงค่าย "ไซมิส แอสเสท" ที่ตอนนี้เปิดตัวเป็นรายล่าสุดสำหรับคอนโดฯต่ำล้าน โดยจะเปิดพรีเซลในช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปี"57
ก่อนหน้านี้ ไซมิส แอสเสท เจรจาซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเนื้อที่กว่า 10 ไร่จาก "บสก.-บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์" ทำเลสวยติดถนนนวมินทร์ ตรงข้ามเทสโก้ โลตัส สำนักงานใหญ่ วางแผนพัฒนาเป็นคอนโดฯ 2.5 พันยูนิต พื้นที่ใช้สอยประมาณ 25 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6.5 แสนบาท มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท
เสนาฯ บุกโซนขอบเมือง
"เสนาดีเวลลอปเม้นท์" บุกเบิกคอนโดฯต่ำล้านมา 4-5 ปีภายใต้แบรนด์ "เดอะคิทท์" และ "บ้านร่วมทางฝัน" ซึ่งบ้านร่วมทางฝันเป็นโครงการซีเอสอาร์มอบกำไรให้โรงพยาบาล เน้นทำเลรอยต่อกรุงเทพฯชั้นกลาง-ชั้นนอก และปริมณฑล
ปัจจุบันมีอย่างน้อย 2 โครงการที่เปิดขาย คือ "เดอะคิทท์ ติวานนท์-เดอะคิทท์ ลำลูกกา คลอง 2" ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 9-9.9 แสนบาท โดยที่เสนาฯทำราคาได้ต่ำเพราะมีผู้รับเหมาที่ร่วมงานมานาน และใช้วิธีก่อสร้างต่อยอดจากตึกแถว 5 ชั้น มาทำคอนโดฯ 6-7 ชั้น ช่วยให้มีต้นทุนต่ำ
"ดร.ยุ้ย-เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์"คาดว่าปี"57 จะมีคอนโดฯราคาต่ำล้านอีก 2-3 โครงการ หนึ่งในนั้นคือโครงการเดอะคิทท์ บางกะดี ที่มีที่ดินในมือแล้ว
ในภาพรวมจึงต้องรอดูว่าปีหน้าจะมีค่ายไหนเข้ามาร่วมวงอีกหรือไม่ เพราะเป็นเซ็กเมนต์ที่มีดีมานด์สูง แต่โจทย์ใหญ่คือการควบคุมต้นทุนและราคาที่ดิน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 13
วันที่ 20 พฤศจิกายน นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ มีอาคารชุดเปิดใหม่แล้วกว่า 75,000 ยูนิต และคาดว่าทั้งปีจะมีโครงการเปิดใหม่สูงถึง 80,000 ยูนิต ซึ่งถือว่ามากเกินไป ขณะที่อัตราการขายถือว่ายังดีอยู่ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 75% จึงอยากให้ผู้ประกอบการลดจำนวนโครงการลงในปีหน้า เพื่อให้เหมาะสมกับกับตลาดที่มีความต้องการต่ำกว่า 70,000 ยูนิตต่อปี ส่วนบ้านจัดสรรเปิดใหม่ปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 40,000 ยูนิต อัตราการขายเฉลี่ยที่ 62%
ทั้งนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาอัตราการขายคอนโดฯจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังต้องรอดูตัวเลขการโอน เพราะสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มาก หากลูกค้ากู้ไม่ผ่าน ผู้ประกอบการก็ต้องนำห้องชุดกลับมาขายใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายประกาศลดการลงทุนในปี 2557 ลงแล้ว
นายสัมมา กล่าวว่า ผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล สะสมรอขายในตลาดนับถึงครึ่งแรกปี 2556 มีโครงการบ้านจัดสรรสะสมรวม 843 โครงการ 174,800 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 7 แสนล้านบาท ขายแล้ว 62% หรือ 107,900 ยูนิต ยังมีโครงการเหลือขายอีก 66,900 ยูนิต ส่วนช่วงเดือนก.ค.-ต.ค. มีโครงการบ้านจัดสรรเปิดใหม่ 83 โครงการ จำนวน 13,718 ยูนิต มียอดจองแล้ว 35% หรือ 4,794 ยูนิต
ที่มา TNN24
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
ทั้งนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาอัตราการขายคอนโดฯจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังต้องรอดูตัวเลขการโอน เพราะสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มาก หากลูกค้ากู้ไม่ผ่าน ผู้ประกอบการก็ต้องนำห้องชุดกลับมาขายใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายประกาศลดการลงทุนในปี 2557 ลงแล้ว
นายสัมมา กล่าวว่า ผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล สะสมรอขายในตลาดนับถึงครึ่งแรกปี 2556 มีโครงการบ้านจัดสรรสะสมรวม 843 โครงการ 174,800 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 7 แสนล้านบาท ขายแล้ว 62% หรือ 107,900 ยูนิต ยังมีโครงการเหลือขายอีก 66,900 ยูนิต ส่วนช่วงเดือนก.ค.-ต.ค. มีโครงการบ้านจัดสรรเปิดใหม่ 83 โครงการ จำนวน 13,718 ยูนิต มียอดจองแล้ว 35% หรือ 4,794 ยูนิต
ที่มา TNN24
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 15
ลูกสาวเจ้าสัวซีพี "ธนินท์ เจียรวนนท์"ซุ่มเงียบซื้อคอมมิวนิตี้มอลล์ โครงการ "ปิยรมย์" ย่านสุขุมวิท มูลค่า 4 พันล้านบาท จากเศรษฐีเก่า "ปิยะ จิตตาลาน" ที่ตัดสินใจขายทิ้งทั้งสปอร์ตคลับ สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่าร่วม 40 ไร่ เตรียมต่อยอดพัฒนาโปรเจ็กต์ยักษ์คอนโดฯในห้าง ชูจุดขายทำเลเกาะแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส ชี้ลูกค้าย่านนี้มีกำลังซื้อ
แหล่งข่าวจากวงการพัฒนาที่ดิน เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ทายาทเจ้าสัวนายธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ได้ปิดดีลการเจรจาซื้อกิจการโครงการปิยรมย์ คอมมิวนิตี้มอลล์ในย่านสุขุมวิทเรียบร้อยแล้ว ด้วยมูลค่าการซื้อขายประมาณ 4,000 ล้านบาท ถือเป็นดีลเซอร์ไพรส์ก่อนหมดปี 2556
"แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าของโครงการถึงได้ตัดสินใจขายออกไป ทั้ง ๆที่โครงการนี้กำลังไปได้สวย เพราะทุกวันมีทราฟฟิกที่ดีมาก ทั้งร้านอาหาร ฟาสต์ฟู้ด ซูเปอร์มาร์เก็ต คนแน่นมาก ยิ่งเสาร์-อาทิตย์แทบไม่มีที่จอดรถแล้ว พื้นที่เต็มหมด ที่สำคัญลูกค้าโครงการนี้ล้วนมีกำลังซื้อทั้งสิ้น ในระดับบีและบีบวก" แหล่งข่าวกล่าวและว่า
นอกจากการขายโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว ยังพ่วงการขายที่ดินเปล่าเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นที่แปลงสวย ตั้งอยู่บริเวณด้านหลัง ปัจจุบันได้รื้อสิ่งก่อสร้างไปหมดแล้ว และเหมาะกับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดีคือติดถนนสุขุมวิท ปากซอย101/1 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าปุณณวิถี และสถานีรถไฟฟ้าอุดมสุข
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวว่าบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินของครอบครัว "เจียรวนนท์" บริหารโดยนางสาวทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ บุตรสาวคนเล็กของนายธนินท์ เจียรวนนท์เป็นผู้ซื้อโครงการปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ปากซอยสุขุมวิท 101/1 จากนักธุรกิจซึ่งเป็นเศรษฐีเก่า นายปิยะ จิตตาลาน ประธานกรรมการปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ซึ่งเป็นโครงการสปอร์ตคลับเก่าแก่แบรนด์ดังในโซนสุขุมวิทช่วงปลายก่อนถึงแยกบางนา
ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัท แมกโนเลียควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีการตกลงซื้อขายโครงการกันจริงเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทบรรลุข้อตกลงการเจรจาซื้อกิจการปิยรมย์ สปอร์ตคลับต่อจากเจ้าของเดิม รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 40 ไร่ โดยมีที่ดินเปล่าที่ยังไม่ได้พัฒนาอีกแปลงหนึ่ง แต่ไม่ขอบอกมูลค่าการซื้อครั้งนี้
สำหรับเหตุผลของการซื้อโครงการดังกล่าว แหล่งข่าวกล่าวว่า เพราะทำเลดีมาก ติดถนนสุขุมวิท อยู่ระหว่างกลางรถไฟฟ้าบีทีเอสทั้ง 2 สถานี ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมทยอยเกิดขึ้นจำนวนมากในย่านนี้ โดยเฉพาะแบรนด์ดัง ๆ อาทิ ไอดีโอเอสซี แอสเสทฯ ศุภาลัย แมกโนเลียฯแสนสิริ เดอะรูมของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ฯลฯ จึงมั่นใจมากกับศักยภาพของทำเลและกำลังซื้อ
"สไตล์การทำธุรกิจของแมกโนเลียฯ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินของครอบครัวซีพี ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องพัฒนาบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมเท่านั้น แต่จะเป็นอะไรก็ได้ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในย่านนี้ ซึ่งเป็นแหล่งจับจ่ายใช้สอยที่สำคัญ เป็นจุดที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่นขึ้น และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง" แหล่งข่าวกล่าวและว่าบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการบ้านหรูแบรนด์ "แมกโนเลียส์" ทำเลบางนา ซึ่งสร้างชื่อจากการเป็นสปอนเซอร์โครงการเอเอฟ นักล่าฝันในเครือทรู โดยทยอยซื้อที่ดินอยู่หลายแปลงในทำเลสุขุมวิทช่วงบางจาก-อุดมสุข และได้พัฒนาโครงการคอนโดฯแบรนด์ "วิสซ์ดอม"
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า สำหรับโครงการปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ถือเป็นสปอร์ตคลับเก่าแก่ที่มีคลาส แบรนด์ติดตลาดแล้ว การที่ครอบครัวเจียรวนนท์ ตัดสินใจซื้ออสังหาฯชิ้นนี้มา จึงมองว่าเป็นการลงทุนที่มีโอกาสต่อยอดได้ดี นอกจากตัวสปอร์ตคลับและสนามไดรฟ์กอล์ฟแล้ว ยังมีที่ดินเปล่าด้านหลังอีกแปลงหนึ่งที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา
ทั้งนี้ แผนพัฒนาโครงการบนที่ดินแปลงนี้อยู่ระหว่างออกแบบ แต่โดยรวมน่าจะพัฒนาเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูส (ผสมผสานการใช้งาน) แนวโน้มน่าจะพัฒนาและปรับปรุงคอมมิวนิตี้มอลล์ให้ดูโดดเด่นขึ้น ด้วยศักยภาพของทำเลติดรถไฟฟ้า การพัฒนาคอนโดฯน่าจะลงตัวที่สุด ส่วนราคาขายต่อตารางเมตรยังไม่ได้สรุป แต่น่าจะเริ่มต้นที่ยูนิตละกว่า 2-3 ล้านบาท
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัทพัฒนาที่ดินในย่านสุขุมวิท เปิดเผยว่า ทราบข่าวเช่นกันว่ากลุ่มแมกโนเลียฯได้ซื้อโครงการปิยรมย์แล้ว เท่าที่ทราบทางเจ้าของโครงการอยากวางมือเพราะอายุมากแล้ว โดยผังโครงการแบ่งพื้นที่เป็น 3-4 ส่วน คือ 1) พื้นที่มอลล์ให้เช่าร่วมกับ บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ 2) สปอร์ตคลับ 3) สนามไดรฟ์กอล์ฟเก่า พื้นที่ลานจอด และ 4) ที่ดินเปล่าด้านหลัง ทำเลถือว่ามีศักยภาพสามารถพัฒนาคอนโดฯได้ และนำสปอร์ตคลับมาต่อยอดเป็นจุดขายโครงการได้
"ถ้าให้วิเคราะห์การซื้อปิยรมย์เท่ากับเป็นการขยายอาณาจักรอสังหาฯของตระกูลเจียรวนนท์ ในย่านนี้ เพราะที่ดินโซนสุขุมวิทราคาขึ้นเร็วมาก ปัจจุบันที่ดินติดถนนประกาศขายตารางวาละ 4-5 แสนบาท เร็ว ๆ นี้เชื่อว่าจะได้เห็นแผนลงทุนโครงการที่ปรับใหม่อย่างชัดเจน" แหล่งข่าวกล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=1100
แหล่งข่าวจากวงการพัฒนาที่ดิน เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ทายาทเจ้าสัวนายธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ได้ปิดดีลการเจรจาซื้อกิจการโครงการปิยรมย์ คอมมิวนิตี้มอลล์ในย่านสุขุมวิทเรียบร้อยแล้ว ด้วยมูลค่าการซื้อขายประมาณ 4,000 ล้านบาท ถือเป็นดีลเซอร์ไพรส์ก่อนหมดปี 2556
"แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเจ้าของโครงการถึงได้ตัดสินใจขายออกไป ทั้ง ๆที่โครงการนี้กำลังไปได้สวย เพราะทุกวันมีทราฟฟิกที่ดีมาก ทั้งร้านอาหาร ฟาสต์ฟู้ด ซูเปอร์มาร์เก็ต คนแน่นมาก ยิ่งเสาร์-อาทิตย์แทบไม่มีที่จอดรถแล้ว พื้นที่เต็มหมด ที่สำคัญลูกค้าโครงการนี้ล้วนมีกำลังซื้อทั้งสิ้น ในระดับบีและบีบวก" แหล่งข่าวกล่าวและว่า
นอกจากการขายโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว ยังพ่วงการขายที่ดินเปล่าเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นที่แปลงสวย ตั้งอยู่บริเวณด้านหลัง ปัจจุบันได้รื้อสิ่งก่อสร้างไปหมดแล้ว และเหมาะกับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดีคือติดถนนสุขุมวิท ปากซอย101/1 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าปุณณวิถี และสถานีรถไฟฟ้าอุดมสุข
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวว่าบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินของครอบครัว "เจียรวนนท์" บริหารโดยนางสาวทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ บุตรสาวคนเล็กของนายธนินท์ เจียรวนนท์เป็นผู้ซื้อโครงการปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ปากซอยสุขุมวิท 101/1 จากนักธุรกิจซึ่งเป็นเศรษฐีเก่า นายปิยะ จิตตาลาน ประธานกรรมการปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ซึ่งเป็นโครงการสปอร์ตคลับเก่าแก่แบรนด์ดังในโซนสุขุมวิทช่วงปลายก่อนถึงแยกบางนา
ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัท แมกโนเลียควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีการตกลงซื้อขายโครงการกันจริงเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทบรรลุข้อตกลงการเจรจาซื้อกิจการปิยรมย์ สปอร์ตคลับต่อจากเจ้าของเดิม รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 40 ไร่ โดยมีที่ดินเปล่าที่ยังไม่ได้พัฒนาอีกแปลงหนึ่ง แต่ไม่ขอบอกมูลค่าการซื้อครั้งนี้
สำหรับเหตุผลของการซื้อโครงการดังกล่าว แหล่งข่าวกล่าวว่า เพราะทำเลดีมาก ติดถนนสุขุมวิท อยู่ระหว่างกลางรถไฟฟ้าบีทีเอสทั้ง 2 สถานี ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมทยอยเกิดขึ้นจำนวนมากในย่านนี้ โดยเฉพาะแบรนด์ดัง ๆ อาทิ ไอดีโอเอสซี แอสเสทฯ ศุภาลัย แมกโนเลียฯแสนสิริ เดอะรูมของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ฯลฯ จึงมั่นใจมากกับศักยภาพของทำเลและกำลังซื้อ
"สไตล์การทำธุรกิจของแมกโนเลียฯ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินของครอบครัวซีพี ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องพัฒนาบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมเท่านั้น แต่จะเป็นอะไรก็ได้ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในย่านนี้ ซึ่งเป็นแหล่งจับจ่ายใช้สอยที่สำคัญ เป็นจุดที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่นขึ้น และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง" แหล่งข่าวกล่าวและว่าบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการบ้านหรูแบรนด์ "แมกโนเลียส์" ทำเลบางนา ซึ่งสร้างชื่อจากการเป็นสปอนเซอร์โครงการเอเอฟ นักล่าฝันในเครือทรู โดยทยอยซื้อที่ดินอยู่หลายแปลงในทำเลสุขุมวิทช่วงบางจาก-อุดมสุข และได้พัฒนาโครงการคอนโดฯแบรนด์ "วิสซ์ดอม"
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า สำหรับโครงการปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ถือเป็นสปอร์ตคลับเก่าแก่ที่มีคลาส แบรนด์ติดตลาดแล้ว การที่ครอบครัวเจียรวนนท์ ตัดสินใจซื้ออสังหาฯชิ้นนี้มา จึงมองว่าเป็นการลงทุนที่มีโอกาสต่อยอดได้ดี นอกจากตัวสปอร์ตคลับและสนามไดรฟ์กอล์ฟแล้ว ยังมีที่ดินเปล่าด้านหลังอีกแปลงหนึ่งที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา
ทั้งนี้ แผนพัฒนาโครงการบนที่ดินแปลงนี้อยู่ระหว่างออกแบบ แต่โดยรวมน่าจะพัฒนาเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูส (ผสมผสานการใช้งาน) แนวโน้มน่าจะพัฒนาและปรับปรุงคอมมิวนิตี้มอลล์ให้ดูโดดเด่นขึ้น ด้วยศักยภาพของทำเลติดรถไฟฟ้า การพัฒนาคอนโดฯน่าจะลงตัวที่สุด ส่วนราคาขายต่อตารางเมตรยังไม่ได้สรุป แต่น่าจะเริ่มต้นที่ยูนิตละกว่า 2-3 ล้านบาท
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัทพัฒนาที่ดินในย่านสุขุมวิท เปิดเผยว่า ทราบข่าวเช่นกันว่ากลุ่มแมกโนเลียฯได้ซื้อโครงการปิยรมย์แล้ว เท่าที่ทราบทางเจ้าของโครงการอยากวางมือเพราะอายุมากแล้ว โดยผังโครงการแบ่งพื้นที่เป็น 3-4 ส่วน คือ 1) พื้นที่มอลล์ให้เช่าร่วมกับ บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ 2) สปอร์ตคลับ 3) สนามไดรฟ์กอล์ฟเก่า พื้นที่ลานจอด และ 4) ที่ดินเปล่าด้านหลัง ทำเลถือว่ามีศักยภาพสามารถพัฒนาคอนโดฯได้ และนำสปอร์ตคลับมาต่อยอดเป็นจุดขายโครงการได้
"ถ้าให้วิเคราะห์การซื้อปิยรมย์เท่ากับเป็นการขยายอาณาจักรอสังหาฯของตระกูลเจียรวนนท์ ในย่านนี้ เพราะที่ดินโซนสุขุมวิทราคาขึ้นเร็วมาก ปัจจุบันที่ดินติดถนนประกาศขายตารางวาละ 4-5 แสนบาท เร็ว ๆ นี้เชื่อว่าจะได้เห็นแผนลงทุนโครงการที่ปรับใหม่อย่างชัดเจน" แหล่งข่าวกล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=1100
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 16
อสังหาทนพิษต้นทุนแพง-แรงงานขาดไม่ไหว บิ๊กแบรนด์ปรับโมเดลธุรกิจแห่ใช้พรีแฟบ-ล็อกราคาวัสดุล่วงหน้า
updated: 28 พ.ย. 2556 เวลา 12:22:54 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ปี"57 อสังหาฯปรับโมเดลธุรกิจหันมาใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปรับมือแรงงานก่อสร้างขาดแคลน เจรจาซัพพลายเออร์ขอล็อกราคายาวทั้งปี หวั่นต้นทุนผันผวน "ศุภาลัย" ประเดิมใช้กับทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ราคากว่า 1 ล้านบาท 1 พันหลัง "กลุ่มฟายน์โฮม" เจอปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เชียงราย ปรับระบบก่อสร้างใหม่ "คิวเฮ้าส์-เอพี-ปริญสิริ" เพิ่มสัดส่วนใช้พรีแฟบ "พฤกษาฯ-เพอร์เฟค-วังทอง กรุ๊ป" ขยายกำลังผลิต-สร้างโรงงานใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะแรงงานก่อสร้างขาดแคลนยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า และหากรัฐบาลลงทุนโครงการ 2 ล้านล้านบาทจะยิ่งทำให้ปัญหาขาดแคลนแรงงานวิกฤตหนัก จากการสำรวจพบว่าปี 2557 มีผู้ประกอบการอสังหาฯทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมนำร่องปรับเปลี่ยนระบบก่อสร้างมาใช้ผนังพรีแฟบเพิ่ม เพื่อลดการใช้แรงงานและลดระยะเวลาก่อสร้างบ้านจากเฉลี่ย 6-8 เดือน เหลือ 3-5 เดือน ขณะเดียวกันก็มีความพยายามจากผู้ประกอบการจะล็อกราคาจากซัพพลายเออร์ล่วงหน้า เพื่อลดความเสี่ยงต้นทุนก่อสร้างผันผวน
ศุภาลัยประเดิมใช้พรีแฟบ
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะขาดแคลนแรงงานก่อสร้างและผู้รับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นปัญหาหลักของผู้ประกอบการอสังหาฯในปีหน้า ประเมินว่าหากงานโครงการภาครัฐเริ่มทยอยก่อสร้างสภาพปัญหาจะรุนแรงมากขึ้น เกิดการแย่งแรงงานรวมถึงโฟร์แมนควบคุมงาน สำหรับศุภาลัยเตรียมรับมือปัญหาโดยปี 2557 จะใช้ระบบผนังพรีแฟบเต็มรูปแบบ
เป็นครั้งแรกกับงานก่อสร้างทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น แบรนด์ "โนโววิลล์" 3 โครงการ รวมประมาณ 1 พันยูนิต ราคายูนิตละกว่า 1 ล้านบาท หลังจากประเมินว่าปัญหาไม่น่าจะคลี่คลายจากเดิมแก้ปัญหาด้วยการใช้วัสดุสำเร็จรูป เช่น พื้นไม้ลามิเนต บันไดสำเร็จรูป ฯลฯ โดยจะใช้วิธีจ้างผลิตจากโรงงานที่มีความชำนาญ ขณะนี้ได้เซ็นสัญญากับโรงงานผลิตขอล็อกราคาล่วงหน้าไว้แล้ว เพื่อป้องกันความเสี่ยงต้นทุนก่อสร้างผันผวน
คิวเฮ้าส์ล็อกราคาล่วงหน้า
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ หรือ "คิวเฮ้าส์" เปิดเผยว่า ปีหน้าจะขยายไลน์การผลิตโรงงานผนังพรีแฟบไปพร้อมกับการจ้างผลิตจากโรงงานภายนอกเพิ่มขึ้น เพราะคาดว่าแรงงานก่อสร้างขาดแคลนจะเป็นปัญหาต่อไป โดยตั้งแต่ปี 2557 บ้านของกลุ่มคิวเฮ้าส์ตั้งแต่ระดับกลาง-ล่างราคากว่า 1-7 ล้านบาท จะก่อสร้างด้วยผนังพรีแฟบ 100% และอนาคตจะเพิ่มระบบผนังพรีแฟบมากขึ้นด้วย
แหล่งข่าวจากกลุ่มบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" เพิ่มเติมว่า ปีนี้กลุ่มคิวเฮ้าส์สร้างบ้านด้วยระบบพรีแฟบประมาณ 1 พันหลัง ในจำนวนนี้ 75% หรือ 750 หลังมาจากโรงงานของบริษัทที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี อีก 25% หรือ 250 หลังมาจากการจ้างผลิต
ส่วนปีหน้าจะสร้างบ้านด้วยระบบพรีแฟบเพิ่มอีก 30% ด้วยวิธีจ้างซัพพลายเออร์ผลิตเพิ่ม รวมเป็น 1.3 พันหลัง ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาขอล็อกราคาในปีหน้า ซึ่งปัจจุบันการสร้างบ้านด้วยระบบพรีแฟบมีต้นทุนเฉลี่ยตารางเมตรละ 5-6 พันบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันบ้านและทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาโดยบริษัทในเครือ คือ "เดอะ คอนฟิเด้นซ์" และ "กัสโต้" อาทิ แบรนด์เดอะทรัสต์ทาวน์ เดอะทรัสต์เรสซิเดนซ์ กัสโต้ ฯลฯ สร้างด้วยระบบพรีแฟบ 100% ปีหน้าจะขยายมาใช้กับบ้านเดี่ยวแบรนด์ "คาซ่าวิลล์" และ "คาซ่าซิตี้" ของบริษัท คาซ่าวิลล์ จำกัด ในเครือคิวเฮ้าส์ เป็นบ้านระดับกลาง-บน เริ่มต้นยูนิตราคา 6-7 ล้านบาท
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเอพีใช้วิธีจ้างผลิตระบบผนังพรีแฟบกับการก่อสร้างทาวน์โฮมแบรนด์ "เดอะพลีโน่" และ "บ้านกลางกรุง" ทุกโครงการ โดยปีหน้าคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่รวมกัน 9-12 โครงการ ประมาณการว่าเป็นจำนวนบ้านกว่า 1 พันยูนิต เพื่อป้องกันความเสี่ยงค่าก่อสร้างผันผวน บริษัทจะใช้วิธีขอล็อกราคาจากซัพพลายเออร์จนจบโครงการ
รายกลางพึ่งระบบสำเร็จรูป
นายสุกิจ ตรัยวนพงศ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟายน์โฮม เปิดเผยว่า เตรียมใช้ระบบก่อสร้างพรีแฟบเป็นครั้งแรกกับการก่อสร้างบ้านเดี่ยวราคา 4-5 ล้านบาทในโครงการ "เดอะฟายน์ เรสซิเดนซ์ @ เชียงราย" ประมาณ 70 ยูนิต จากทั้งหมด 98 ยูนิต หลังจากก่อสร้างบ้านตัวอย่างแล้วพบว่าผู้รับเหมาก่อสร้างในจังหวัดเชียงรายค่อนข้างหายาก
ล่าสุดเจรจากับผู้รับเหมาก่อสร้างท้องถิ่นที่มีโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูปเพื่อขอล็อกราคา โดยเปรียบเทียบกับการสร้างด้วยระบบก่ออิฐฉาบปูน พบว่าระบบพรีแฟบมีต้นทุนสูงกว่า 10-15% แต่สามารถสร้างบ้านเสร็จเร็วกว่าเพียง 3-4 เดือน จากปกติ 7-8 เดือน ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้และใช้แรงงานก่อสร้างน้อยกว่า ถัวเฉลี่ยจึงมีต้นทุนก่อสร้างใกล้เคียงกัน
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า แรงงานก่อสร้างขาดแคลนถือเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาฯ
ดังนั้นปีหน้าบริษัทจะเริ่มใช้ระบบก่อสร้างพรีแฟบกับโครงการบ้านเดี่ยวราคา 3 ล้านบาทบวกลบ แบรนด์ "เอสวิลล์" 2 โครงการ รวมประมาณ 200 ยูนิต ใช้วิธีจ้างผลิตโดยจะขอเจรจาขอล็อกราคากับซัพพลายเออร์
เนื่องจากบ้านจัดสรรใช้ทีมผู้รับเหมาก่อสร้างหลายชุดจึงบริหารงานก่อสร้างยากกว่าคอนโดฯที่ใช้ผู้รับเหมารายเดียวก่อสร้างทั้งอาคาร
พฤกษาฯ-เพอร์เฟคขยาย รง.
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า ได้ลงทุน 2.2 พันล้านบาท ก่อสร้างโรงงานผลิตผนังพรีแฟบอีก 2 โรงที่อำเภอนวนคร โรงงานใหม่จะแล้วเสร็จเดือนสิงหาคม 2557 มีกำลังผลิตปีละ 5.7 พันหลัง จากปัจจุบันมีโรงงาน 5 โรงเดินกำลังผลิตเต็ม 100% ปีละประมาณ 8,000 หลัง เพื่อรองรับการเปลี่ยนมาใช้ระบบผนังฟรีแฟบแบบหล่อชิ้นส่วนผนังสำเร็จรูปที่โรงงาน 100% ช่วยให้ควบคุมคุณภาพดีขึ้นจากเดิมมีบางส่วนใช้ระบบ Tunnel Form หล่อชิ้นส่วนที่หน้างาน
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างขยายโรงงานพรีแฟบบริเวณถนน 345 เพิ่มจากปัจจุบันมีกำลังผลิต
ปีละ 600 ยูนิต เป็น 700 ยูนิต และปัจจุบันใช้ระบบพรีแฟบก่อสร้างบ้านเดี่ยวแบรนด์เพอร์เฟคพาร์ค และทาวน์โฮมแบรนด์โมดิวิลล่า และเดอะเมทโทร 100%
ส่วนบ้านเดี่ยวเพอร์เฟคเพลสจะใช้ผนังพรีแฟบเฉพาะแบบบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของบ้านทั้งหมด ส่วนปีหน้าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 60%
นายปราโมทย์ เจษฎาวรางกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.วังทอง กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่งก่อสร้างโรงงานผลิตผนังพรีแฟบแล้วเสร็จ เมื่อเซตระบบแล้วช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายเริ่มเดินกำลังผลิตได้ 30-40 หลังต่อเดือน ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 80-100 หลังต่อเดือน โดยจะใช้ระบบพรีแฟบกับโครงการใหม่ 4 โครงการที่จะเปิดตัวปีหน้า เพราะแนวโน้มขาดแคลนแรงงานนับวันยิ่งมีปัญหา ปัจจุบันบริษัทให้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 350-450 บาท แต่ก็ยังไม่สามารถหาแรงงานได้เพียงพอ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1385616010
updated: 28 พ.ย. 2556 เวลา 12:22:54 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ปี"57 อสังหาฯปรับโมเดลธุรกิจหันมาใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปรับมือแรงงานก่อสร้างขาดแคลน เจรจาซัพพลายเออร์ขอล็อกราคายาวทั้งปี หวั่นต้นทุนผันผวน "ศุภาลัย" ประเดิมใช้กับทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ราคากว่า 1 ล้านบาท 1 พันหลัง "กลุ่มฟายน์โฮม" เจอปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เชียงราย ปรับระบบก่อสร้างใหม่ "คิวเฮ้าส์-เอพี-ปริญสิริ" เพิ่มสัดส่วนใช้พรีแฟบ "พฤกษาฯ-เพอร์เฟค-วังทอง กรุ๊ป" ขยายกำลังผลิต-สร้างโรงงานใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะแรงงานก่อสร้างขาดแคลนยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า และหากรัฐบาลลงทุนโครงการ 2 ล้านล้านบาทจะยิ่งทำให้ปัญหาขาดแคลนแรงงานวิกฤตหนัก จากการสำรวจพบว่าปี 2557 มีผู้ประกอบการอสังหาฯทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมนำร่องปรับเปลี่ยนระบบก่อสร้างมาใช้ผนังพรีแฟบเพิ่ม เพื่อลดการใช้แรงงานและลดระยะเวลาก่อสร้างบ้านจากเฉลี่ย 6-8 เดือน เหลือ 3-5 เดือน ขณะเดียวกันก็มีความพยายามจากผู้ประกอบการจะล็อกราคาจากซัพพลายเออร์ล่วงหน้า เพื่อลดความเสี่ยงต้นทุนก่อสร้างผันผวน
ศุภาลัยประเดิมใช้พรีแฟบ
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะขาดแคลนแรงงานก่อสร้างและผู้รับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นปัญหาหลักของผู้ประกอบการอสังหาฯในปีหน้า ประเมินว่าหากงานโครงการภาครัฐเริ่มทยอยก่อสร้างสภาพปัญหาจะรุนแรงมากขึ้น เกิดการแย่งแรงงานรวมถึงโฟร์แมนควบคุมงาน สำหรับศุภาลัยเตรียมรับมือปัญหาโดยปี 2557 จะใช้ระบบผนังพรีแฟบเต็มรูปแบบ
เป็นครั้งแรกกับงานก่อสร้างทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น แบรนด์ "โนโววิลล์" 3 โครงการ รวมประมาณ 1 พันยูนิต ราคายูนิตละกว่า 1 ล้านบาท หลังจากประเมินว่าปัญหาไม่น่าจะคลี่คลายจากเดิมแก้ปัญหาด้วยการใช้วัสดุสำเร็จรูป เช่น พื้นไม้ลามิเนต บันไดสำเร็จรูป ฯลฯ โดยจะใช้วิธีจ้างผลิตจากโรงงานที่มีความชำนาญ ขณะนี้ได้เซ็นสัญญากับโรงงานผลิตขอล็อกราคาล่วงหน้าไว้แล้ว เพื่อป้องกันความเสี่ยงต้นทุนก่อสร้างผันผวน
คิวเฮ้าส์ล็อกราคาล่วงหน้า
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ หรือ "คิวเฮ้าส์" เปิดเผยว่า ปีหน้าจะขยายไลน์การผลิตโรงงานผนังพรีแฟบไปพร้อมกับการจ้างผลิตจากโรงงานภายนอกเพิ่มขึ้น เพราะคาดว่าแรงงานก่อสร้างขาดแคลนจะเป็นปัญหาต่อไป โดยตั้งแต่ปี 2557 บ้านของกลุ่มคิวเฮ้าส์ตั้งแต่ระดับกลาง-ล่างราคากว่า 1-7 ล้านบาท จะก่อสร้างด้วยผนังพรีแฟบ 100% และอนาคตจะเพิ่มระบบผนังพรีแฟบมากขึ้นด้วย
แหล่งข่าวจากกลุ่มบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" เพิ่มเติมว่า ปีนี้กลุ่มคิวเฮ้าส์สร้างบ้านด้วยระบบพรีแฟบประมาณ 1 พันหลัง ในจำนวนนี้ 75% หรือ 750 หลังมาจากโรงงานของบริษัทที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี อีก 25% หรือ 250 หลังมาจากการจ้างผลิต
ส่วนปีหน้าจะสร้างบ้านด้วยระบบพรีแฟบเพิ่มอีก 30% ด้วยวิธีจ้างซัพพลายเออร์ผลิตเพิ่ม รวมเป็น 1.3 พันหลัง ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาขอล็อกราคาในปีหน้า ซึ่งปัจจุบันการสร้างบ้านด้วยระบบพรีแฟบมีต้นทุนเฉลี่ยตารางเมตรละ 5-6 พันบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันบ้านและทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาโดยบริษัทในเครือ คือ "เดอะ คอนฟิเด้นซ์" และ "กัสโต้" อาทิ แบรนด์เดอะทรัสต์ทาวน์ เดอะทรัสต์เรสซิเดนซ์ กัสโต้ ฯลฯ สร้างด้วยระบบพรีแฟบ 100% ปีหน้าจะขยายมาใช้กับบ้านเดี่ยวแบรนด์ "คาซ่าวิลล์" และ "คาซ่าซิตี้" ของบริษัท คาซ่าวิลล์ จำกัด ในเครือคิวเฮ้าส์ เป็นบ้านระดับกลาง-บน เริ่มต้นยูนิตราคา 6-7 ล้านบาท
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการตลาด บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเอพีใช้วิธีจ้างผลิตระบบผนังพรีแฟบกับการก่อสร้างทาวน์โฮมแบรนด์ "เดอะพลีโน่" และ "บ้านกลางกรุง" ทุกโครงการ โดยปีหน้าคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่รวมกัน 9-12 โครงการ ประมาณการว่าเป็นจำนวนบ้านกว่า 1 พันยูนิต เพื่อป้องกันความเสี่ยงค่าก่อสร้างผันผวน บริษัทจะใช้วิธีขอล็อกราคาจากซัพพลายเออร์จนจบโครงการ
รายกลางพึ่งระบบสำเร็จรูป
นายสุกิจ ตรัยวนพงศ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟายน์โฮม เปิดเผยว่า เตรียมใช้ระบบก่อสร้างพรีแฟบเป็นครั้งแรกกับการก่อสร้างบ้านเดี่ยวราคา 4-5 ล้านบาทในโครงการ "เดอะฟายน์ เรสซิเดนซ์ @ เชียงราย" ประมาณ 70 ยูนิต จากทั้งหมด 98 ยูนิต หลังจากก่อสร้างบ้านตัวอย่างแล้วพบว่าผู้รับเหมาก่อสร้างในจังหวัดเชียงรายค่อนข้างหายาก
ล่าสุดเจรจากับผู้รับเหมาก่อสร้างท้องถิ่นที่มีโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูปเพื่อขอล็อกราคา โดยเปรียบเทียบกับการสร้างด้วยระบบก่ออิฐฉาบปูน พบว่าระบบพรีแฟบมีต้นทุนสูงกว่า 10-15% แต่สามารถสร้างบ้านเสร็จเร็วกว่าเพียง 3-4 เดือน จากปกติ 7-8 เดือน ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้และใช้แรงงานก่อสร้างน้อยกว่า ถัวเฉลี่ยจึงมีต้นทุนก่อสร้างใกล้เคียงกัน
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า แรงงานก่อสร้างขาดแคลนถือเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาฯ
ดังนั้นปีหน้าบริษัทจะเริ่มใช้ระบบก่อสร้างพรีแฟบกับโครงการบ้านเดี่ยวราคา 3 ล้านบาทบวกลบ แบรนด์ "เอสวิลล์" 2 โครงการ รวมประมาณ 200 ยูนิต ใช้วิธีจ้างผลิตโดยจะขอเจรจาขอล็อกราคากับซัพพลายเออร์
เนื่องจากบ้านจัดสรรใช้ทีมผู้รับเหมาก่อสร้างหลายชุดจึงบริหารงานก่อสร้างยากกว่าคอนโดฯที่ใช้ผู้รับเหมารายเดียวก่อสร้างทั้งอาคาร
พฤกษาฯ-เพอร์เฟคขยาย รง.
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า ได้ลงทุน 2.2 พันล้านบาท ก่อสร้างโรงงานผลิตผนังพรีแฟบอีก 2 โรงที่อำเภอนวนคร โรงงานใหม่จะแล้วเสร็จเดือนสิงหาคม 2557 มีกำลังผลิตปีละ 5.7 พันหลัง จากปัจจุบันมีโรงงาน 5 โรงเดินกำลังผลิตเต็ม 100% ปีละประมาณ 8,000 หลัง เพื่อรองรับการเปลี่ยนมาใช้ระบบผนังฟรีแฟบแบบหล่อชิ้นส่วนผนังสำเร็จรูปที่โรงงาน 100% ช่วยให้ควบคุมคุณภาพดีขึ้นจากเดิมมีบางส่วนใช้ระบบ Tunnel Form หล่อชิ้นส่วนที่หน้างาน
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างขยายโรงงานพรีแฟบบริเวณถนน 345 เพิ่มจากปัจจุบันมีกำลังผลิต
ปีละ 600 ยูนิต เป็น 700 ยูนิต และปัจจุบันใช้ระบบพรีแฟบก่อสร้างบ้านเดี่ยวแบรนด์เพอร์เฟคพาร์ค และทาวน์โฮมแบรนด์โมดิวิลล่า และเดอะเมทโทร 100%
ส่วนบ้านเดี่ยวเพอร์เฟคเพลสจะใช้ผนังพรีแฟบเฉพาะแบบบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของบ้านทั้งหมด ส่วนปีหน้าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 60%
นายปราโมทย์ เจษฎาวรางกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.วังทอง กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่งก่อสร้างโรงงานผลิตผนังพรีแฟบแล้วเสร็จ เมื่อเซตระบบแล้วช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายเริ่มเดินกำลังผลิตได้ 30-40 หลังต่อเดือน ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 80-100 หลังต่อเดือน โดยจะใช้ระบบพรีแฟบกับโครงการใหม่ 4 โครงการที่จะเปิดตัวปีหน้า เพราะแนวโน้มขาดแคลนแรงงานนับวันยิ่งมีปัญหา ปัจจุบันบริษัทให้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 350-450 บาท แต่ก็ยังไม่สามารถหาแรงงานได้เพียงพอ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1385616010
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 17
บ้าน-คอนโดมิเนียมจดทะเบียนใหม่และการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 3 ไตรมาส หรือ 9 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ย 2556) จากรายงานของศูนย์ข้อม...
Sat, 30 Nov 2013 12:56:35 GMT
หน้าแรก > อสังหาริมทรัพย์ [ฉบับที่ 1458 ประจำวันที่ 2013-11-27 ถึง 2013-11-29]
โอนบ้าน-คอนโดฯทะลุ 1.2 แสนยูนิต แบงก์เข้มกู้ไม่ผ่านถึง 20%
บ้าน-คอนโดมิเนียมจดทะเบียนใหม่และการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 3 ไตรมาส หรือ 9 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ย 2556) จากรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ทำการสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 จังหวัด คือ นนทบุรี, สุมทรปราการ, ปทุมธานี, สุมทรสาคร และนครปฐม พบว่ามีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน ใหม่รวม 89,100 ยูนิต เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2555 ที่มีจำนวน 87,400 ยูนิต โดยในจำนวนดังกล่าว อยู่ในกรุงเทพฯ 51,400 ยูนิต และ 5 จังหวัดปริมณฑลรวมกัน 37,700 ยูนิต
จำนวน 89,100 ยูนิตนั้น แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 46,700 ยูนิต หรือ 52% บ้านเดี่ยว 22,500 ยูนิต หรือ 25% ทาวน์เฮาส์ 11,400 ยูนิต หรือ 13%
โดย 9 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.2556 ) มียอดการโอนกรรมสิทธิ์รวมกัน 123,700 ยูนิต เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555 ที่มียอดการโอนอยู่ที่ 114,000 ยูนิต ทั้งนี้แบ่งเป็นการโอนคอนโดมิเนียม 49,700 ยูนิต หรือ 40% ของจำนวนทั้งหมด รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ 37,600 ยูนิต หรือ 31% บ้านเดี่ยว 22,700 ยูนิต หรือ 18%
ข้อมูลดังกล่าวเห็นได้ว่ามียอดการสร้างและโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมสูงสุด สอดรับกับยอดการจองซื้อในงานมหกรรมบ้าน-คอนโด ครั้งที่ 29 ซึ่งจัดโดย 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ 14-17 พฤศจิกายนนี้ที่ผ่านมาซึ่งผู้ประกอบการ 200 ราย ขน 600 โครงการเข้าร่วมงานมียอดการขอสินเชื่อในงานกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าครั้งที่แล้วมากถึง 20%
โดยจากข้อมูลการลงทะเบียนผู้เข้าชมงาน พบว่ากลุ่มผู้บริโภคมีความต้องซื้อ ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว 38.88% คอนโดมิเนียม 35.55% ทาวน์เฮาส์ 17.08% และงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละ ประเภทเรียงลำดับ ตามความต้องการ คือ ระดับราคา 1-2 ล้านบาท 39.13%,ราคา 2-3 ล้านบาท 25.85%, ต่ำกว่า 1 ล้านบาท 9.43%, ราคา 3-4 ล้านบาท 13.50% และ 4-6 ล้านบาท 9.29%
นอกจากนี้ ในงานสัมมนาประจำปี หัวข้อ "2 ล้านล้าน....จุดเปลี่ยนอสังหาฯ ปี 57" จัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ นั้นนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 ว่าราคาที่ดินที่จะทำคอนโดฯ ได้ขึ้น ราคาเกินกว่า 10% ต่อปี ต้นทุนที่ดินทำคอนโดฯ จึงเพิ่มขึ้น ราคาวัสดุก่อสร้างก็เพิ่มขึ้น การหาผู้รับเหมาทำโครงการยากขึ้น ผู้รับเหมาขาดแคลนแรงงาน ไม่กล้ารับงานมาก ผู้รับเหมาปรับราคางานขึ้นแน่นอน ทุกอย่างที่กล่าวเป็นต้นทุนของราคาบ้านและคอนโดมิเนียมที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 10%
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์กลัวที่สุดคือการตื่นตูม ตอนนี้ที่อุดรฯราคาที่ดินขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ ขึ้นแบบนึกไม่ออกว่าขึ้นไปทำไมและมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยบางประเภทก่อนความจำเป็น ขณะเดียวกันการขอสินเชื่อค่อนข้างยากลำบากขึ้นสำหรับผู้ซื้อ ทำให้กู้ยาก และการปฏิเสธสินเชื่อก็มีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นจากปีก่อนมีการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 15-16% แต่ปีนี้มีสิทธิ์ทะลุ 20% นายอธิป กล่าว
http://www.siamturakij.com/main/news_co ... 4&nid=5686
Sat, 30 Nov 2013 12:56:35 GMT
หน้าแรก > อสังหาริมทรัพย์ [ฉบับที่ 1458 ประจำวันที่ 2013-11-27 ถึง 2013-11-29]
โอนบ้าน-คอนโดฯทะลุ 1.2 แสนยูนิต แบงก์เข้มกู้ไม่ผ่านถึง 20%
บ้าน-คอนโดมิเนียมจดทะเบียนใหม่และการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 3 ไตรมาส หรือ 9 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ย 2556) จากรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ทำการสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 จังหวัด คือ นนทบุรี, สุมทรปราการ, ปทุมธานี, สุมทรสาคร และนครปฐม พบว่ามีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน ใหม่รวม 89,100 ยูนิต เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2555 ที่มีจำนวน 87,400 ยูนิต โดยในจำนวนดังกล่าว อยู่ในกรุงเทพฯ 51,400 ยูนิต และ 5 จังหวัดปริมณฑลรวมกัน 37,700 ยูนิต
จำนวน 89,100 ยูนิตนั้น แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 46,700 ยูนิต หรือ 52% บ้านเดี่ยว 22,500 ยูนิต หรือ 25% ทาวน์เฮาส์ 11,400 ยูนิต หรือ 13%
โดย 9 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.2556 ) มียอดการโอนกรรมสิทธิ์รวมกัน 123,700 ยูนิต เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555 ที่มียอดการโอนอยู่ที่ 114,000 ยูนิต ทั้งนี้แบ่งเป็นการโอนคอนโดมิเนียม 49,700 ยูนิต หรือ 40% ของจำนวนทั้งหมด รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ 37,600 ยูนิต หรือ 31% บ้านเดี่ยว 22,700 ยูนิต หรือ 18%
ข้อมูลดังกล่าวเห็นได้ว่ามียอดการสร้างและโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมสูงสุด สอดรับกับยอดการจองซื้อในงานมหกรรมบ้าน-คอนโด ครั้งที่ 29 ซึ่งจัดโดย 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ 14-17 พฤศจิกายนนี้ที่ผ่านมาซึ่งผู้ประกอบการ 200 ราย ขน 600 โครงการเข้าร่วมงานมียอดการขอสินเชื่อในงานกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าครั้งที่แล้วมากถึง 20%
โดยจากข้อมูลการลงทะเบียนผู้เข้าชมงาน พบว่ากลุ่มผู้บริโภคมีความต้องซื้อ ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว 38.88% คอนโดมิเนียม 35.55% ทาวน์เฮาส์ 17.08% และงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละ ประเภทเรียงลำดับ ตามความต้องการ คือ ระดับราคา 1-2 ล้านบาท 39.13%,ราคา 2-3 ล้านบาท 25.85%, ต่ำกว่า 1 ล้านบาท 9.43%, ราคา 3-4 ล้านบาท 13.50% และ 4-6 ล้านบาท 9.29%
นอกจากนี้ ในงานสัมมนาประจำปี หัวข้อ "2 ล้านล้าน....จุดเปลี่ยนอสังหาฯ ปี 57" จัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ นั้นนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 ว่าราคาที่ดินที่จะทำคอนโดฯ ได้ขึ้น ราคาเกินกว่า 10% ต่อปี ต้นทุนที่ดินทำคอนโดฯ จึงเพิ่มขึ้น ราคาวัสดุก่อสร้างก็เพิ่มขึ้น การหาผู้รับเหมาทำโครงการยากขึ้น ผู้รับเหมาขาดแคลนแรงงาน ไม่กล้ารับงานมาก ผู้รับเหมาปรับราคางานขึ้นแน่นอน ทุกอย่างที่กล่าวเป็นต้นทุนของราคาบ้านและคอนโดมิเนียมที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 10%
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์กลัวที่สุดคือการตื่นตูม ตอนนี้ที่อุดรฯราคาที่ดินขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ ขึ้นแบบนึกไม่ออกว่าขึ้นไปทำไมและมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยบางประเภทก่อนความจำเป็น ขณะเดียวกันการขอสินเชื่อค่อนข้างยากลำบากขึ้นสำหรับผู้ซื้อ ทำให้กู้ยาก และการปฏิเสธสินเชื่อก็มีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นจากปีก่อนมีการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 15-16% แต่ปีนี้มีสิทธิ์ทะลุ 20% นายอธิป กล่าว
http://www.siamturakij.com/main/news_co ... 4&nid=5686
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 18
เจ้าตลาดทาวน์เฮาส์ 4 ห้องนอน อ่านสัญญาณอสังหาฯปีหน้า...ยังโตได้ 5%
updated: 05 ธ.ค. 2556 เวลา 15:06:10 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สั่งสม ประสบการณ์อยู่ในวงการบ้านจัดสรรมากว่า 20 ปี เคยเป็นนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร 2 สมัย และเป็นคนที่ศึกษาข้อมูลสถิติอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง ข้อคิดเห็นในฐานะคอมเมนเตเตอร์หลายครั้งของ "พี่อ๋อย-อิสระ บุญยัง" กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จึงอยู่บนพื้นฐานตัวเลขสถิติที่มีที่มาที่ไป
ล่าสุด "ประชาชาติธุรกิจ" นัดสัมภาษณ์พิเศษที่ไซต์โครงการใหม่ "ไอลีฟ พาร์ค"พระราม 2 กม.14 บ้านเดี่ยวคอนเซ็ปต์ "อีโคสมาร์ท ทาวน์"
- สรุปตลาดอสังหาฯปีนี้
ยอด โอนกรรมสิทธิ์ 9 เดือนแรก แนวราบ 74,043 หน่วย สูงกว่าคอนโดมิเนียมที่มีจำนวน 49,676 หน่วย ส่วนโครงการเปิดตัวใหม่ 10 เดือนแรก แนวราบ 27,749 หน่วย ยังเติบโต 11% แนวสูง 66,327 หน่วย เติบโตถึง 38%
ขณะที่ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน (สร้างเสร็จขอบ้านเลขที่) 9 เดือนแรกมียอดรวม 89,056 หน่วย แยกเป็นแนวราบ 42,336 หน่วย และแนวสูง 46,720 หน่วย ถือว่าคอนโดฯมีสัดส่วนมากกว่าเล็กน้อย
ส่วนที่บอกกันว่าปีนี้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยพรีไฟแนนซ์ (สินเชื่อโครงการ) มีความเห็นว่าไม่ได้มีผลกับผู้ประกอบการรายใหญ่มากนัก เพราะสามารถระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ได้ ส่วนผู้ประกอบการรายกลาง-รายเล็กก็ไม่ได้มีผู้เล่นรายใหม่เพิ่ม แบงก์ก็ยังต้องปล่อยกู้รายเดิมอยู่
- แบงก์เริ่มปล่อยกู้ลูกค้ายาก
บาง คนอาจจะมองเลวร้าย ถ้าดูสถิติสินเชื่อบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ เปรียบเทียบไตรมาส 1/2555-2556 เติบโต 28.2% ไตรมาส 2/2555-2556 เติบโต 20.6% ตัวอย่างโครงการของกานดาฯทุกวันเสาร์-อาทิตย์มีเจ้าหน้าที่ธนาคารมารอบริการ ลูกค้า
ขณะที่ธนาคารก็แข่งขันค่อนข้างสูง เช่น ธนาคารออมสินเดิมไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสินเชื่อรายย่อย ก็ขยับขึ้นมา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็พยายามรักษาส่วนแบ่งตลาด 30% เอาไว้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ยูโอบี กรุงศรีอยุธยา ธนชาต ก็ไม่ได้ปล่อยสินเชื่อลดลง
- ปัญหาการเมือง
ต้องบอกว่า ปี"53 ที่การเมืองรุนแรงเกิดเหตุเผาเมือง อสังหาฯในกรุงเทพฯและปริมณฑลยังเติบโตต่อ ย้อนหลังไปปี"35 ช่วงพฤษภาทมิฬ (ยอดขาย) ก็ไม่ตก ปี 2552 เกิดวิกฤตการเงินสหรัฐ สถิติที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน 90,457 หน่วย ปี 2553 มีจำนวน 106,893 หน่วย เห็นได้ว่าตัวเลขไม่ตก แต่ปี 2554 ลดลงเหลือ 81,850 หน่วยเพราะเกิดน้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเมืองทำให้คนชะลอซื้อระยะสั้น รอบนี้ก็เชื่อว่าเป็นแบบเดียวกันเพราะอสังหาฯเป็นสินค้าลองเทอม ขายได้วันนี้อีกประมาณ 12 เดือนค่อยโอนกรรมสิทธิ์ ยกเว้นการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจถึงขั้นต้องเลิกจ้างงาน ต้องลดเงินเดือน อันนี้จะกระทบ
- แนวโน้มปี 2557
มองว่าโครงการเปิดตัวใหม่ยัง เติบโตต่อแต่คงไม่มาก อาจจะสัก 5% เพราะปีนี้สถิติโครงการเปิดตัวใหม่ 10 เดือนแรกทั้งแนวราบ-แนวสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 29% แต่สถิติโครงการสร้างเสร็จจดทะเบียน (9 เดือนแรก) เพิ่มขึ้นเพียง 1% ดังนั้นโครงการเปิดตัวใหม่ปี 2557 น่าจะลดลง
- ปีหน้ามีแนวโน้มฟองสบู่ ?
แนว ราบไม่มีปัจจัยเรื่องสบู่ ยกเว้นจังหวัดภูเก็ตมีเก็งกำไรทาวน์เฮาส์หรือซื้อลงทุน เพราะซัพพลายบ้านเช่าไม่เพียงพอ ปัจจัยการเกิดฟองสบู่ คือ 1.เศรษฐกิจต้องเติบโตดี 2.ราคาอสังหาฯต้องขยับขึ้นเร็ว 3.มีคนเก็งกำไร ปัจจุบันราคาอสังหาฯปรับขึ้น ส่วนเก็งกำไรมีไม่มาก ไม่เหมือนปี 2540 ที่เกิดฟองสบู่ทุกเซ็กเมนต์ ภาวะตอนนี้คือมีโอเวอร์ซัพพลายเป็นจุด ๆ แข่งขันราคาสูง ก็ทำโปรโมชั่นแคมเปญแข่งกัน
- โครงการใหม่ของกานดาฯ
ปี หน้าคงเปิดโครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์เฟสต่อเนื่องอีก 7 โครงการ เช่น ทำเลพระราม 2 กม.18, โครงการสยามเนเชอรัลโฮมเฟสใหม่ โครงการเฟสใหม่ที่ภูเก็ตอีก 250 ยูนิต, ไอลีฟทาวน์ (ทาวน์เฮาส์) กม.14, โครงการเฟสใหม่ที่ลำลูกกาอาจมีอีก 1 โครงการ ฯลฯ
สำหรับทาวน์เฮาส์ ยังคงคอนเซ็ปต์ 4 ห้องนอนทุกหลัง ส่วนคอนโดฯมีที่ดิน 3 แปลงที่ภูเก็ต พระราม 7 และราชพฤกษ์ ไม่ได้เร่งเปิดตัว ที่ภูเก็ตรอเซ็นทรัลขยายเฟส 3 เสร็จ พระราม 7 รอโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ส่วนที่ราชพฤกษ์รอผ่านอีไอเอ (สิ่งแวดล้อม) ได้ใบอนุญาตก่อสร้างก่อน จะสร้างด้วยผนังพรีแฟบทั้งโครงการ
- ทาวน์เฮาส์ 4 นอนเป็นจุดขาย
แน่ นอนครับ (ยิ้ม) ทุกโครงการต้องมีห้องนอนที่ 4 อยู่ข้างล่าง และวางเตียงกว้าง 5 ฟุตได้ เพื่อการอยู่อาศัยของครอบครัว 3 เจเนอเรชั่น คือ รุ่นพ่อ-แม่ ปู่-ย่า และลูก เพราะเราไม่เชื่อผลวิจัยว่าครัวเรือนในกรุงเทพฯมีประชากรเฉลี่ยกว่า 2 คนต่อครัวเรือน เพราะบางส่วนไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน จริง ๆ น่าจะมีเฉลี่ยถึง 4 คน
- พรีแฟบเป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็ง
บ้าน ตัวอย่างของกานดาฯมีทั้งบ้านเปลือย-บ้านตกแต่งเสร็จ ให้ลูกค้าเห็นผนังเปลือย งานระบบ เดินท่ออย่างไร บอกเลยว่าอนาคต 5-7 ปีมีโอกาสเกิดรอยร้าวที่จุดรอยต่อผนังได้ แต่ไม่มีปัญหากับโครงสร้างสามารถซีลปิดผิวซ่อมแซมได้ จริง ๆ ผนังพรีแฟบก็เหมือนเหล็ก ขึ้นสนิมได้ บำรุงรักษาเมื่อถึงกำหนด
ปัจจุบัน กานดาฯมีกำลังผลิตทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์รวมปีละ 1.5 พันหลัง แต่ถ้าโครงการไหนมีจำนวนยูนิตในแบบเดียวกันน้อยกว่า 50 หลัง การลงทุนทำโมลด์ (แม่แบบ) หล่อผนังขึ้นใหม่จะไม่คุ้ม เพราะมีต้นทุนชุดละ 6-10 ล้านบาทแล้วแต่ขนาด ใช้วิธีจ้างผลิตคุ้มกว่า ส่วนการใช้ระบบเสา-คานสำเร็จรูปสร้างบ้านแนะนำให้ดูจากระยะทางขนส่ง
ช่วง ที่บริษัทเปิดโครงการที่ลำลูกกา มีอาคารพาณิชย์ 54 หลัง หากขนส่งชิ้นส่วนจากโรงงานบริษัทที่พระราม 2 จะไม่คุ้ม จึงใช้วิธีจ้างผลิตจากโรงงานในละแวกนั้น ถัวเฉลี่ยแล้วต้นทุนต่ำกว่าผลิตเองและขนส่งมาที่ไซต์งาน ดังนั้นผู้ประกอบการที่จะใช้ระบบผนังพรีแฟบหรือเสา-คานสำเร็จรูปต้องวางแผน ให้ดี
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1386230828
updated: 05 ธ.ค. 2556 เวลา 15:06:10 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สั่งสม ประสบการณ์อยู่ในวงการบ้านจัดสรรมากว่า 20 ปี เคยเป็นนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร 2 สมัย และเป็นคนที่ศึกษาข้อมูลสถิติอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง ข้อคิดเห็นในฐานะคอมเมนเตเตอร์หลายครั้งของ "พี่อ๋อย-อิสระ บุญยัง" กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จึงอยู่บนพื้นฐานตัวเลขสถิติที่มีที่มาที่ไป
ล่าสุด "ประชาชาติธุรกิจ" นัดสัมภาษณ์พิเศษที่ไซต์โครงการใหม่ "ไอลีฟ พาร์ค"พระราม 2 กม.14 บ้านเดี่ยวคอนเซ็ปต์ "อีโคสมาร์ท ทาวน์"
- สรุปตลาดอสังหาฯปีนี้
ยอด โอนกรรมสิทธิ์ 9 เดือนแรก แนวราบ 74,043 หน่วย สูงกว่าคอนโดมิเนียมที่มีจำนวน 49,676 หน่วย ส่วนโครงการเปิดตัวใหม่ 10 เดือนแรก แนวราบ 27,749 หน่วย ยังเติบโต 11% แนวสูง 66,327 หน่วย เติบโตถึง 38%
ขณะที่ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน (สร้างเสร็จขอบ้านเลขที่) 9 เดือนแรกมียอดรวม 89,056 หน่วย แยกเป็นแนวราบ 42,336 หน่วย และแนวสูง 46,720 หน่วย ถือว่าคอนโดฯมีสัดส่วนมากกว่าเล็กน้อย
ส่วนที่บอกกันว่าปีนี้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยพรีไฟแนนซ์ (สินเชื่อโครงการ) มีความเห็นว่าไม่ได้มีผลกับผู้ประกอบการรายใหญ่มากนัก เพราะสามารถระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ได้ ส่วนผู้ประกอบการรายกลาง-รายเล็กก็ไม่ได้มีผู้เล่นรายใหม่เพิ่ม แบงก์ก็ยังต้องปล่อยกู้รายเดิมอยู่
- แบงก์เริ่มปล่อยกู้ลูกค้ายาก
บาง คนอาจจะมองเลวร้าย ถ้าดูสถิติสินเชื่อบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ เปรียบเทียบไตรมาส 1/2555-2556 เติบโต 28.2% ไตรมาส 2/2555-2556 เติบโต 20.6% ตัวอย่างโครงการของกานดาฯทุกวันเสาร์-อาทิตย์มีเจ้าหน้าที่ธนาคารมารอบริการ ลูกค้า
ขณะที่ธนาคารก็แข่งขันค่อนข้างสูง เช่น ธนาคารออมสินเดิมไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสินเชื่อรายย่อย ก็ขยับขึ้นมา ธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็พยายามรักษาส่วนแบ่งตลาด 30% เอาไว้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ยูโอบี กรุงศรีอยุธยา ธนชาต ก็ไม่ได้ปล่อยสินเชื่อลดลง
- ปัญหาการเมือง
ต้องบอกว่า ปี"53 ที่การเมืองรุนแรงเกิดเหตุเผาเมือง อสังหาฯในกรุงเทพฯและปริมณฑลยังเติบโตต่อ ย้อนหลังไปปี"35 ช่วงพฤษภาทมิฬ (ยอดขาย) ก็ไม่ตก ปี 2552 เกิดวิกฤตการเงินสหรัฐ สถิติที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน 90,457 หน่วย ปี 2553 มีจำนวน 106,893 หน่วย เห็นได้ว่าตัวเลขไม่ตก แต่ปี 2554 ลดลงเหลือ 81,850 หน่วยเพราะเกิดน้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเมืองทำให้คนชะลอซื้อระยะสั้น รอบนี้ก็เชื่อว่าเป็นแบบเดียวกันเพราะอสังหาฯเป็นสินค้าลองเทอม ขายได้วันนี้อีกประมาณ 12 เดือนค่อยโอนกรรมสิทธิ์ ยกเว้นการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจถึงขั้นต้องเลิกจ้างงาน ต้องลดเงินเดือน อันนี้จะกระทบ
- แนวโน้มปี 2557
มองว่าโครงการเปิดตัวใหม่ยัง เติบโตต่อแต่คงไม่มาก อาจจะสัก 5% เพราะปีนี้สถิติโครงการเปิดตัวใหม่ 10 เดือนแรกทั้งแนวราบ-แนวสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 29% แต่สถิติโครงการสร้างเสร็จจดทะเบียน (9 เดือนแรก) เพิ่มขึ้นเพียง 1% ดังนั้นโครงการเปิดตัวใหม่ปี 2557 น่าจะลดลง
- ปีหน้ามีแนวโน้มฟองสบู่ ?
แนว ราบไม่มีปัจจัยเรื่องสบู่ ยกเว้นจังหวัดภูเก็ตมีเก็งกำไรทาวน์เฮาส์หรือซื้อลงทุน เพราะซัพพลายบ้านเช่าไม่เพียงพอ ปัจจัยการเกิดฟองสบู่ คือ 1.เศรษฐกิจต้องเติบโตดี 2.ราคาอสังหาฯต้องขยับขึ้นเร็ว 3.มีคนเก็งกำไร ปัจจุบันราคาอสังหาฯปรับขึ้น ส่วนเก็งกำไรมีไม่มาก ไม่เหมือนปี 2540 ที่เกิดฟองสบู่ทุกเซ็กเมนต์ ภาวะตอนนี้คือมีโอเวอร์ซัพพลายเป็นจุด ๆ แข่งขันราคาสูง ก็ทำโปรโมชั่นแคมเปญแข่งกัน
- โครงการใหม่ของกานดาฯ
ปี หน้าคงเปิดโครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์เฟสต่อเนื่องอีก 7 โครงการ เช่น ทำเลพระราม 2 กม.18, โครงการสยามเนเชอรัลโฮมเฟสใหม่ โครงการเฟสใหม่ที่ภูเก็ตอีก 250 ยูนิต, ไอลีฟทาวน์ (ทาวน์เฮาส์) กม.14, โครงการเฟสใหม่ที่ลำลูกกาอาจมีอีก 1 โครงการ ฯลฯ
สำหรับทาวน์เฮาส์ ยังคงคอนเซ็ปต์ 4 ห้องนอนทุกหลัง ส่วนคอนโดฯมีที่ดิน 3 แปลงที่ภูเก็ต พระราม 7 และราชพฤกษ์ ไม่ได้เร่งเปิดตัว ที่ภูเก็ตรอเซ็นทรัลขยายเฟส 3 เสร็จ พระราม 7 รอโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ส่วนที่ราชพฤกษ์รอผ่านอีไอเอ (สิ่งแวดล้อม) ได้ใบอนุญาตก่อสร้างก่อน จะสร้างด้วยผนังพรีแฟบทั้งโครงการ
- ทาวน์เฮาส์ 4 นอนเป็นจุดขาย
แน่ นอนครับ (ยิ้ม) ทุกโครงการต้องมีห้องนอนที่ 4 อยู่ข้างล่าง และวางเตียงกว้าง 5 ฟุตได้ เพื่อการอยู่อาศัยของครอบครัว 3 เจเนอเรชั่น คือ รุ่นพ่อ-แม่ ปู่-ย่า และลูก เพราะเราไม่เชื่อผลวิจัยว่าครัวเรือนในกรุงเทพฯมีประชากรเฉลี่ยกว่า 2 คนต่อครัวเรือน เพราะบางส่วนไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน จริง ๆ น่าจะมีเฉลี่ยถึง 4 คน
- พรีแฟบเป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็ง
บ้าน ตัวอย่างของกานดาฯมีทั้งบ้านเปลือย-บ้านตกแต่งเสร็จ ให้ลูกค้าเห็นผนังเปลือย งานระบบ เดินท่ออย่างไร บอกเลยว่าอนาคต 5-7 ปีมีโอกาสเกิดรอยร้าวที่จุดรอยต่อผนังได้ แต่ไม่มีปัญหากับโครงสร้างสามารถซีลปิดผิวซ่อมแซมได้ จริง ๆ ผนังพรีแฟบก็เหมือนเหล็ก ขึ้นสนิมได้ บำรุงรักษาเมื่อถึงกำหนด
ปัจจุบัน กานดาฯมีกำลังผลิตทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์รวมปีละ 1.5 พันหลัง แต่ถ้าโครงการไหนมีจำนวนยูนิตในแบบเดียวกันน้อยกว่า 50 หลัง การลงทุนทำโมลด์ (แม่แบบ) หล่อผนังขึ้นใหม่จะไม่คุ้ม เพราะมีต้นทุนชุดละ 6-10 ล้านบาทแล้วแต่ขนาด ใช้วิธีจ้างผลิตคุ้มกว่า ส่วนการใช้ระบบเสา-คานสำเร็จรูปสร้างบ้านแนะนำให้ดูจากระยะทางขนส่ง
ช่วง ที่บริษัทเปิดโครงการที่ลำลูกกา มีอาคารพาณิชย์ 54 หลัง หากขนส่งชิ้นส่วนจากโรงงานบริษัทที่พระราม 2 จะไม่คุ้ม จึงใช้วิธีจ้างผลิตจากโรงงานในละแวกนั้น ถัวเฉลี่ยแล้วต้นทุนต่ำกว่าผลิตเองและขนส่งมาที่ไซต์งาน ดังนั้นผู้ประกอบการที่จะใช้ระบบผนังพรีแฟบหรือเสา-คานสำเร็จรูปต้องวางแผน ให้ดี
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1386230828
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 19
"แบงก์ชาติ" สั่งทีมเกาะติดฟองสบู่อสังหาฯ หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยเหลือ 2.25% หวั่นเติมเชื้อให้เร่งตัวขึ้น ด้านแบงก์มองสินเชื่อบ้านปีหน้าชะลอตัว
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ให้เจ้าหน้าที่สำรวจและเฝ้าระวังปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% ไปเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา เพราะดอกเบี้ยที่ลดลง มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ภาวะฟองสบู่เร่งตัวขึ้นได้
"การลดดอกเบี้ยถือเป็นเชื้อเพลิง ที่ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งแบงก์ชาติเองก็ตั้งเรื่องนี้เป็นโจทย์ภายใน และเราก็มีทีมงานที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด"นายประสาร กล่าว
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ประเมิน ยังไม่พบอาการใดที่บ่งบอกว่าจะทำให้ฟองสบู่มีความรุนแรงขึ้น แม้ว่าในบางจุดอาจมีบ้างที่กิจกรรมการซื้อขาย หรือการก่อสร้างจะมีความคึกคัก แต่โดยมากจะอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการสูง หรือในต่างจังหวัดก็จะเป็นจังหวัดที่คาดกันว่าจะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อไปยังอินโดจีน เช่น ที่จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
นายประสาร กล่าวว่า การซื้อขายหรือกิจกรรมก่อสร้างในบางจุด อาจมีความคึกคักบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว ไม่ได้น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะถ้าดูเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคผ่านดัชนีชี้วัดบางตัว เช่น ดัชนีราคาสินทรัพย์ต่อค่าเช่ารายปี จะพบว่า ของประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10 จุดเท่านั้น ขณะที่ฮ่องกงขึ้นไปสูงกว่า 50 จุด หรือ ของสิงคโปร์ ก็ปรับขึ้นไปกว่า 30 จุด
"ในเชิงเปรียบเทียบของเราจึงไม่ได้ดูรุนแรงอะไรมากนัก ส่วนที่เราติดตามอยู่ ก็พบว่าในช่วงการปล่อยสินเชื่ออาจสูง แต่โดยรวมแล้วไม่ได้สูงจนเป็นประเด็นที่น่ากลัวเกินไป"
ธปท.ชี้อสังหาฯ โตเฉลี่ย 11-12%
นายประสาร กล่าวว่า สินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 11-12% แม้จะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงแต่ไม่ใช่ระดับที่น่ากลัวจนเกินไป ซึ่ง ธปท.เองก็มีทีมติดตามดูปัญหาในเรื่องนี้อยู่ โดยที่ผ่านมาได้เข้าตรวจสอบการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ และจากการตรวจสอบก็พบว่า มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อโดยรวมไม่ได้หย่อนยานลง
นอกจากนี้ นายประสาร ยังกล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง และธนาคารพาณิชย์ก็มีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามด้วย นั้น ทาง ธปท. เองก็ตั้งความหวังว่า อยากเห็นธนาคารพาณิชย์รักษามาตรฐานในการให้สินเชื่อ เพราะการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นั้น ไม่ได้หมายความว่า จะให้ธนาคารพาณิชย์ลดมาตรฐานสินเชื่อลง แต่ควรต้องรักษามาตรฐานเดิมเอาไว้
"บางจุดที่เราคิดว่าอาจจะมีอะไรเป็นพิเศษ เราก็ได้ดำเนินการให้ข้อสังเกตและได้เตือนไปยังแบงก์พาณิชย์นั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาผู้บริหารของแบงก์พาณิชย์ ก็ให้ความสนใจและนำไปปรับปรุง ซึ่งเวลานี้ที่ทีมเราติดตามดูอยู่ ไม่พบว่ามีอะไรที่น่าห่วง และที่เราปรับลดดอกเบี้ยลง ก็ไม่ได้หมายความว่าแบงก์จะต้องผ่อนมาตรฐานลงตาม เรายังอยากเห็นการรักษามาตรฐานเดิมเอาไว้อยู่" นายประสาร กล่าว
ภาวะอสังหาฯ กทม.ปรับตัวดีขึ้น
ด้านรายงานเศรษฐกิจและการเงินธปท. เดือนต.ค. ระบุว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเดือนต.ค. ปรับตัวดีขึ้น จากเดือนก่อนทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะอาคารชุด ซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยในเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ทั้งที่อาศัยแนวราบและอาคารชุด โดยความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังจากที่ผู้บริโภคคลายความกังวล ในเรื่องสถานการณ์อุทกภัยที่อาจกลับมาเกิดซ้ำ
ขณะที่ความต้องการอาคารชุดยังมีอยู่ สะท้อนจากอัตราการขายได้ในปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับสูง หากพิจารณาจากข้อมูลปรับฤดูกาลเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือน พบว่า จำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ จากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 5,132 หน่วย มาอยู่ที่ 5,779 หน่วย โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและอาคารชุด อย่างไรก็ดี หากเทียบกับช่วงปลายปี 2555 ถึงช่วงต้นปี 2556 ความต้องการที่อยู่อาศัยโดยรวมยังอยู่ในภาวะชะลอตัว
ด้านผู้ประกอบการ ภาพรวมการเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน สอดคล้องกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาคารชุดในทำเลตามแนวรถไฟฟ้าซึ่งยังได้รับความนิยม ขณะที่แนวราบชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะทำเลที่จะนำไปพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบเริ่มหายากขึ้น
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ยังมีการเร่งเปิดขายไปมากแล้วในช่วงไตรมาส 2 โดยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือนของจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในเดือนนี้เพิ่มจาก 9,310 หน่วยมาอยู่ที่ 10,676 หน่วย ตามการเพิ่มขึ้นของอาคารชุดที่เพิ่มจาก 6,457 หน่วยมาอยู่ที่ 8,162 หน่วย ขณะที่แนวราบลดลงจาก 2,853 หน่วยมาอยู่ที่ 2,514 หน่วย
แบงก์ยันดบ.ลด ไม่กระตุ้นฟองสบู่อสังหาฯ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การลดอัตราดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้ในระดับหนึ่ง โดยดอกเบี้ยที่ลดลงทุก 1% มีผลให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น 7% การที่ กนง. ลดดอกเบี้ยลงมา 0.25% นั้น จะส่งผลดีต่อกำลังซื้อประมาณ 1.75% ดีต่อกำลังซื้อบ้านและรถ แต่ดอกเบี้ยที่ลดในระดับดังกล่าวไม่ได้มีผลกระตุ้นกำลังซื้อมากนัก และหากจะส่งผลให้เกิดฟองสบู่ต้องมีการลดดอกเบี้ยที่แรงกว่านี้ จึงจะจูงใจ
ในปี 2557 คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลง โดยคาดว่าขยายตัวได้ประมาณ 9% ต่อเนื่องจากปีนี้ที่เติบโต 9.5% โดยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและกำลังซื้อที่หดตัวลงจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายได้ปรับลดประมาณการยอดขายไปก่อนหน้านี้แล้ว แม้ว่าการรีไฟแนนซ์และการขยายตัวของภาคต่างจังหวัดมาช่วยชดเชยได้บ้าง แต่จะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเร่งโอนบ้านเพื่อปิดยอดของผู้ประกอบการ แต่ในไตรมาส 4 ปีนี้กลับไม่คึกคักเหมือนปีก่อนๆ
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าทั้งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และผู้บริโภค มีการปรับตัวตามภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยผู้ประกอบการไม่ได้เร่งออกโครงสร้างมากนัก และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้การเก็งกำไรเกิดขึ้นได้ยากไม่เหมือนช่วงที่เศรษฐกิจร้อนแรง
"การซื้อเก็งกำไรตอนนี้ไม่ง่ายต้องมีเงิน ใช้เงินตัวเองโดยไม่ต้องกู้ เพราะตลาดตอนนี้ไม่หวือหวามาก คนไม่เลือกเก็งอสังหาฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยแบบนี้ต้องเก็งกำไรช่วงเศรษฐกิจร้อนแรงจึงจะมีกำไร ซึ่งธนาคารมีมาตรการในการดูแลสินเชื่อไม่ให้กู้ซื้อบ้านหลังที่ 3 และดูภาระหนี้ต่อรายได้ไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งเราตรวจสอบผ่านเครดิตบูโรได้ โอกาสเก็งกำไรน้อยจึงไม่น่าห่วง"
ห่วงต่างจังหวัดเก็งกำไรสูง-ราคาที่ดินพุ่ง
นายชาติชาย กล่าวอีกว่า ที่น่าเป็นห่วงคือการเก็งกำไรในต่างจังหวัดมากกว่า ที่บรรดาผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เข้าไปขยายโครงการจำนวนมาก ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ และได้รับความนิยมจากลูกค้าในต่างจังหวัด ทำให้ตลาดเติบโตได้ แต่จะเห็นได้ว่าราคาที่ดินในต่างจังหวัดปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่าความเป็นจริงมาก เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้าไปกว้านซื้อที่ดิน โดยเฉพาะที่ดินในเมืองแข่งกับผู้ประกอบการในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ความร้อนแรงในต่างจังหวัดจะมีไม่มากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการมีการสำรวจความต้องการของตลาด และดูความเป็นไปได้ของราคาบ้านที่จะขายจากการลงทุนซื้อที่ดินนั้น ขณะที่ผู้ซื้อเองมีข้อจำกัดด้านกำลังซื้อเช่นกัน ทำให้เชื่อว่าการปรับขึ้นราคาที่ดินจะไม่สูงมากนัก
ในส่วนของ ธนาคารกสิกรไทย คาดว่าจะขยายสินเชื่อได้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4.8-5 หมื่นล้านบาท ขณะที่คุณภาพสินเชื่อยอมรับว่าได้รับผลกระทบเล็กน้อย โดยสินเชื่อบ้านมีเอ็นพีแอลปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.5-1.6% เป็น 1.8%
ด้าน นายยุทธชัย เตยะราชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของ ธปท. ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจกู้ซื้อบ้านมากนัก โดยลูกค้ากู้ซื้อบ้านมี 2 กลุ่ม คือ ผู้ที่ซื้ออยู่เอง หรือซื้อเพื่อให้เช่า ซึ่งกลุ่มหลังมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ แต่กลุ่มที่ซื้ออยู่เองยังมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ซื้อบ้านหลังที่สอง เช่น คอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
ส่วนภาพรวมการขยายสินเชื่อบ้านในปีนี้ ยังต่อเนื่องจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ที่ยังมีการโอนต่อเนื่อง และในไตรมาสนี้ยังมียอดโอนสูงที่สุดตลอดทั้งปี ขณะที่แนวโน้มปี 2557 คาดว่าจะชะลอตัวลง
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... บู่โต.html
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ให้เจ้าหน้าที่สำรวจและเฝ้าระวังปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% ไปเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา เพราะดอกเบี้ยที่ลดลง มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ภาวะฟองสบู่เร่งตัวขึ้นได้
"การลดดอกเบี้ยถือเป็นเชื้อเพลิง ที่ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งแบงก์ชาติเองก็ตั้งเรื่องนี้เป็นโจทย์ภายใน และเราก็มีทีมงานที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด"นายประสาร กล่าว
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ประเมิน ยังไม่พบอาการใดที่บ่งบอกว่าจะทำให้ฟองสบู่มีความรุนแรงขึ้น แม้ว่าในบางจุดอาจมีบ้างที่กิจกรรมการซื้อขาย หรือการก่อสร้างจะมีความคึกคัก แต่โดยมากจะอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการสูง หรือในต่างจังหวัดก็จะเป็นจังหวัดที่คาดกันว่าจะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อไปยังอินโดจีน เช่น ที่จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
นายประสาร กล่าวว่า การซื้อขายหรือกิจกรรมก่อสร้างในบางจุด อาจมีความคึกคักบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว ไม่ได้น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะถ้าดูเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคผ่านดัชนีชี้วัดบางตัว เช่น ดัชนีราคาสินทรัพย์ต่อค่าเช่ารายปี จะพบว่า ของประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10 จุดเท่านั้น ขณะที่ฮ่องกงขึ้นไปสูงกว่า 50 จุด หรือ ของสิงคโปร์ ก็ปรับขึ้นไปกว่า 30 จุด
"ในเชิงเปรียบเทียบของเราจึงไม่ได้ดูรุนแรงอะไรมากนัก ส่วนที่เราติดตามอยู่ ก็พบว่าในช่วงการปล่อยสินเชื่ออาจสูง แต่โดยรวมแล้วไม่ได้สูงจนเป็นประเด็นที่น่ากลัวเกินไป"
ธปท.ชี้อสังหาฯ โตเฉลี่ย 11-12%
นายประสาร กล่าวว่า สินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 11-12% แม้จะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงแต่ไม่ใช่ระดับที่น่ากลัวจนเกินไป ซึ่ง ธปท.เองก็มีทีมติดตามดูปัญหาในเรื่องนี้อยู่ โดยที่ผ่านมาได้เข้าตรวจสอบการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ และจากการตรวจสอบก็พบว่า มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อโดยรวมไม่ได้หย่อนยานลง
นอกจากนี้ นายประสาร ยังกล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง และธนาคารพาณิชย์ก็มีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามด้วย นั้น ทาง ธปท. เองก็ตั้งความหวังว่า อยากเห็นธนาคารพาณิชย์รักษามาตรฐานในการให้สินเชื่อ เพราะการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นั้น ไม่ได้หมายความว่า จะให้ธนาคารพาณิชย์ลดมาตรฐานสินเชื่อลง แต่ควรต้องรักษามาตรฐานเดิมเอาไว้
"บางจุดที่เราคิดว่าอาจจะมีอะไรเป็นพิเศษ เราก็ได้ดำเนินการให้ข้อสังเกตและได้เตือนไปยังแบงก์พาณิชย์นั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาผู้บริหารของแบงก์พาณิชย์ ก็ให้ความสนใจและนำไปปรับปรุง ซึ่งเวลานี้ที่ทีมเราติดตามดูอยู่ ไม่พบว่ามีอะไรที่น่าห่วง และที่เราปรับลดดอกเบี้ยลง ก็ไม่ได้หมายความว่าแบงก์จะต้องผ่อนมาตรฐานลงตาม เรายังอยากเห็นการรักษามาตรฐานเดิมเอาไว้อยู่" นายประสาร กล่าว
ภาวะอสังหาฯ กทม.ปรับตัวดีขึ้น
ด้านรายงานเศรษฐกิจและการเงินธปท. เดือนต.ค. ระบุว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเดือนต.ค. ปรับตัวดีขึ้น จากเดือนก่อนทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะอาคารชุด ซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยในเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ทั้งที่อาศัยแนวราบและอาคารชุด โดยความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังจากที่ผู้บริโภคคลายความกังวล ในเรื่องสถานการณ์อุทกภัยที่อาจกลับมาเกิดซ้ำ
ขณะที่ความต้องการอาคารชุดยังมีอยู่ สะท้อนจากอัตราการขายได้ในปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับสูง หากพิจารณาจากข้อมูลปรับฤดูกาลเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือน พบว่า จำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ จากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 5,132 หน่วย มาอยู่ที่ 5,779 หน่วย โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและอาคารชุด อย่างไรก็ดี หากเทียบกับช่วงปลายปี 2555 ถึงช่วงต้นปี 2556 ความต้องการที่อยู่อาศัยโดยรวมยังอยู่ในภาวะชะลอตัว
ด้านผู้ประกอบการ ภาพรวมการเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน สอดคล้องกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาคารชุดในทำเลตามแนวรถไฟฟ้าซึ่งยังได้รับความนิยม ขณะที่แนวราบชะลอลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะทำเลที่จะนำไปพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบเริ่มหายากขึ้น
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ยังมีการเร่งเปิดขายไปมากแล้วในช่วงไตรมาส 2 โดยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 เดือนของจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในเดือนนี้เพิ่มจาก 9,310 หน่วยมาอยู่ที่ 10,676 หน่วย ตามการเพิ่มขึ้นของอาคารชุดที่เพิ่มจาก 6,457 หน่วยมาอยู่ที่ 8,162 หน่วย ขณะที่แนวราบลดลงจาก 2,853 หน่วยมาอยู่ที่ 2,514 หน่วย
แบงก์ยันดบ.ลด ไม่กระตุ้นฟองสบู่อสังหาฯ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การลดอัตราดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้ในระดับหนึ่ง โดยดอกเบี้ยที่ลดลงทุก 1% มีผลให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น 7% การที่ กนง. ลดดอกเบี้ยลงมา 0.25% นั้น จะส่งผลดีต่อกำลังซื้อประมาณ 1.75% ดีต่อกำลังซื้อบ้านและรถ แต่ดอกเบี้ยที่ลดในระดับดังกล่าวไม่ได้มีผลกระตุ้นกำลังซื้อมากนัก และหากจะส่งผลให้เกิดฟองสบู่ต้องมีการลดดอกเบี้ยที่แรงกว่านี้ จึงจะจูงใจ
ในปี 2557 คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลง โดยคาดว่าขยายตัวได้ประมาณ 9% ต่อเนื่องจากปีนี้ที่เติบโต 9.5% โดยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและกำลังซื้อที่หดตัวลงจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายได้ปรับลดประมาณการยอดขายไปก่อนหน้านี้แล้ว แม้ว่าการรีไฟแนนซ์และการขยายตัวของภาคต่างจังหวัดมาช่วยชดเชยได้บ้าง แต่จะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเร่งโอนบ้านเพื่อปิดยอดของผู้ประกอบการ แต่ในไตรมาส 4 ปีนี้กลับไม่คึกคักเหมือนปีก่อนๆ
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าทั้งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และผู้บริโภค มีการปรับตัวตามภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยผู้ประกอบการไม่ได้เร่งออกโครงสร้างมากนัก และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้การเก็งกำไรเกิดขึ้นได้ยากไม่เหมือนช่วงที่เศรษฐกิจร้อนแรง
"การซื้อเก็งกำไรตอนนี้ไม่ง่ายต้องมีเงิน ใช้เงินตัวเองโดยไม่ต้องกู้ เพราะตลาดตอนนี้ไม่หวือหวามาก คนไม่เลือกเก็งอสังหาฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยแบบนี้ต้องเก็งกำไรช่วงเศรษฐกิจร้อนแรงจึงจะมีกำไร ซึ่งธนาคารมีมาตรการในการดูแลสินเชื่อไม่ให้กู้ซื้อบ้านหลังที่ 3 และดูภาระหนี้ต่อรายได้ไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งเราตรวจสอบผ่านเครดิตบูโรได้ โอกาสเก็งกำไรน้อยจึงไม่น่าห่วง"
ห่วงต่างจังหวัดเก็งกำไรสูง-ราคาที่ดินพุ่ง
นายชาติชาย กล่าวอีกว่า ที่น่าเป็นห่วงคือการเก็งกำไรในต่างจังหวัดมากกว่า ที่บรรดาผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เข้าไปขยายโครงการจำนวนมาก ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ และได้รับความนิยมจากลูกค้าในต่างจังหวัด ทำให้ตลาดเติบโตได้ แต่จะเห็นได้ว่าราคาที่ดินในต่างจังหวัดปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่าความเป็นจริงมาก เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้าไปกว้านซื้อที่ดิน โดยเฉพาะที่ดินในเมืองแข่งกับผู้ประกอบการในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ความร้อนแรงในต่างจังหวัดจะมีไม่มากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการมีการสำรวจความต้องการของตลาด และดูความเป็นไปได้ของราคาบ้านที่จะขายจากการลงทุนซื้อที่ดินนั้น ขณะที่ผู้ซื้อเองมีข้อจำกัดด้านกำลังซื้อเช่นกัน ทำให้เชื่อว่าการปรับขึ้นราคาที่ดินจะไม่สูงมากนัก
ในส่วนของ ธนาคารกสิกรไทย คาดว่าจะขยายสินเชื่อได้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4.8-5 หมื่นล้านบาท ขณะที่คุณภาพสินเชื่อยอมรับว่าได้รับผลกระทบเล็กน้อย โดยสินเชื่อบ้านมีเอ็นพีแอลปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.5-1.6% เป็น 1.8%
ด้าน นายยุทธชัย เตยะราชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยของ ธปท. ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจกู้ซื้อบ้านมากนัก โดยลูกค้ากู้ซื้อบ้านมี 2 กลุ่ม คือ ผู้ที่ซื้ออยู่เอง หรือซื้อเพื่อให้เช่า ซึ่งกลุ่มหลังมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ แต่กลุ่มที่ซื้ออยู่เองยังมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ซื้อบ้านหลังที่สอง เช่น คอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
ส่วนภาพรวมการขยายสินเชื่อบ้านในปีนี้ ยังต่อเนื่องจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ที่ยังมีการโอนต่อเนื่อง และในไตรมาสนี้ยังมียอดโอนสูงที่สุดตลอดทั้งปี ขณะที่แนวโน้มปี 2557 คาดว่าจะชะลอตัวลง
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... บู่โต.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 20
ตั้งแต่ต้นปี 2556 ภาคอสังหาริมทรัพย์ถูกตั้งคำถามว่ามี "ฟองสบู่" ก่อตัวหรือไม่ โดยเฉพาะตลาด "คอนโดมิเนียม" ที่มีโครงการใหม่ผุดขึ้นไม่หยุด จนหวั่น ๆ จะร้อนแรงเกินไป บางโครงการที่มีห้องชุดหลักร้อย-หลักพันยูนิต มีลูกค้าจองเกลี้ยงในวันเดียว แต่จะเป็นดีมานด์จริงหรือไม่...ยังเป็นคำถาม
คอนโดฯ เปิดใหม่ทุบสถิติ
กับประเด็นฟองสบู่อสังหาฯ เริ่มเห็นสัญญาณต้องระวัง เพราะกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดสัมมนาใหญ่เผยตัวเลขผลสำรวจโครงการคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ 10 เดือนแรก 2556 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรากฏว่าทุบสถิติรอบ 16 ปี นับจากเกิดวิกฤตฟองสบู่เมื่อปี"40 โดยสถิติ 10 เดือนแรกมีคอนโดฯ เปิดตัวใหม่กว่า 75,000 ยูนิต สูงกว่าปี"55 ทั้งปีที่มีคอนโดฯ เปิดตัวรวมกันเพียง 62,000 ยูนิต
ที่น่าสังเกตคือ หากนับเฉพาะช่วง 4 เดือน (กรกฎาคม-ตุลาคม 2556) มีคอนโดฯเปิดตัวมากถึง 78 โครงการ 32,671 หน่วย คิดเป็น 52% ของที่เปิดตัวทั้งหมด
ทั้งนี้ โครงการคอนโดฯ เปิดใหม่กระจายตัวไปทั่วทุกทำเล โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ราคาต่ำกว่าล้าน กับราคา 1-2 ล้านบาท เข้ามาจับจองทำเลในย่านชุมชนและกรุงเทพฯ รอบนอก
จับตาซื้อเก็งกำไร 20%
โดยผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ 10 ทำเลที่มีคอนโดฯ เปิดตัวสูงสุด 10 เดือนแรกปีนี้ ได้แก่ 1.จังหวัดปทุมธานี 5,948 หน่วย 2.ฝั่งธนบุรี อาทิ บางพลัด จรัญสนิทวงศ์ ฯลฯ 5,857 หน่วย 3.นนทบุรี 5,156 หน่วย 4.ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง 2,672 หน่วย
5.สีลม-สาทร-บางรัก 2,258 หน่วย 6.สุขุมวิทตอนปลาย 2,062 หน่วย 7.บางซื่อ-ดุสิต 1,884 หน่วย 8.ยานนาวา-บางคอแหลม 1,137 หน่วย 9.จังหวัดสมุทรปราการ 1,112 หน่วย และ 10.กรุงเทพฯ เขตอื่น ๆ1,087 หน่วย
"ผอ.แซม-สัมมา คีตสิน" ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินแนวโน้มถึงสิ้นปีนี้ว่า น่าจะได้เห็นคอนโดฯ เปิดใหม่ทะลุ 80,000 ยูนิต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประเมินว่าไม่ควรจะเกิน 60,000 หน่วย
"ในกลุ่มผู้ซื้อประเมินว่ามีประมาณ 20% เป็นกลุ่มซื้อเก็งกำไร ต้องดูว่าเมื่อสร้างเสร็จจะโอนกรรมสิทธิ์หมดหรือไม่
สิ่งที่อยากเห็นคือปี"57 คอนโดฯ เปิดใหม่ควรลดลง" คำกล่าวของ ผอ.ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ
เตือนอย่าประมาทฟองสบู่
ขณะที่ "ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินว่า ภาพรวมอสังหาฯ ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นมีภาวะฟองสบู่รุนแรง แม้ว่าพื้นที่ทำเลแนวรถไฟฟ้าจะมีการซื้อ-ขายและก่อสร้างคอนโดฯ กันคึกคัก แต่ก็ประมาทไม่ได้
ส่วน "รศ.มานพ พงศทัต" อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการด้านอสังหาฯ ระบุว่า การเก็งกำไรในตลาดคอนโดฯ ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ยังคงมีอยู่ โดยปัจจุบันมองว่ากลุ่มที่ซื้อคอนโดฯ มีสัดส่วนซื้ออยู่จริงเพียง 30% ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า 50% ซื้อเก็งกำไรขายต่อช่วงผ่อนดาวน์ 20%
"ปรากฏการณ์คอนโดฯ ที่เปิดตัว 1,000 ยูนิตแล้วขายหมดภายในวันเดียวหรือ 3 ชั่วโมง ยังมีให้เห็น บ่งบอกว่าการเก็งกำไรที่อาจนำไปสู่การเกิดฟองสบู่ยังมีอยู่ นี่คือสิ่งที่ต้องระวัง" คำกล่าวของ รศ.มานพ
ทาวน์เฮาส์จะเบียดห้องชุด
ขณะที่ "ธำรง ปัญญาสกุลวงศ์" นายกสมาคมอาคารชุดไทยระบุว่า ตลาดคอนโดฯ บางพื้นที่มีภาวะอิ่มตัวหรือโอเวอร์ซัพพลาย เช่น โซนสุขุมวิทตอนปลาย จตุจักร ห้วยขวาง ลาดพร้าว รัชดาฯ ฯลฯ ขณะเดียวกันยอมรับว่า มีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเก็งกำไรอยู่จริง แต่ยังไม่สูงมากจนเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่แตกแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม มุมมองที่น่าสนใจสำหรับแนวโน้มปีหน้าก็คือ
"มีความเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการจะทำโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาการเปิดตัวทาวน์เฮาส์-บ้านเดี่ยวลดลงไปมาก ผู้ประกอบการหลายรายน่าจะเห็นว่าตลาดคอนโดฯ เริ่มชะลอตัวและมาทำโครงการแนวราบเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ซึ่งตอบโจทย์การอยู่อาศัยเป็นครอบครัวและราคาไม่สูงมากนัก" นายกสมาคมอาคารชุดไทยระบุ
ปรับแผนหันเปิดแนวราบ
"อิสระ บุญยัง" เอ็มดีค่ายกานดาพร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์แนวโน้มปีหน้าจะเห็นผู้ประกอบการปรับพอร์ตลงทุน เปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดบ้านราคา 3-5 ล้านบาท เพราะปีนี้มีคอนโดฯ เปิดตัวเป็นจำนวนมากเกินความคาดหมาย
สำหรับปี"57 กานดาฯ มีแผนเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ใหม่รวมถึงขยายเฟสโครงการเดิมทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูเก็ต รวม 7-8 โครงการ เช่น โครงการไอลีฟ ทาวน์ พระราม 2 กม.14 บ้านเดี่ยวแบรนด์สยามแนเชอรัลโฮม พระราม 2 เฟสใหม่ ฯลฯ
ส่วนคอนโดฯ เดิมมีแผนจะเปิดตัวทำเลพระราม 7 ราชพฤกษ์ และจังหวัดภูเก็ต ล่าสุดตัดสินใจชะลอไปก่อนเนื่องจาก 2 เหตุผลคือ 1.เศรษฐกิจมีความเสี่ยง และ 2.โครงการที่ราชพฤกษ์รอใบอนุญาตก่อสร้าง ที่พระราม 7 รอการก่อสร้างรถไฟฟ้า และที่ภูเก็ตรอการก่อสร้างเซ็นทรัล
สู่ยุคปลาเร็วกินปลาช้า
ขณะที่บิ๊กแบรนด์อย่างค่าย "แสนสิริ"มีแนวโน้มว่าปี"57 จะลดการลงทุนคอนโดแบรนด์ "ดีคอนโด" ราคายูนิตเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อเริ่มชะลอตัวหลังจากปี"56 เปิดตัวโครงการจำนวนมาก สอดคล้องกับทิศทางค่าย "ศุภาลัย" เตรียมเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบจาก 30-35% ขยับสูงขึ้นเป็น 35-40%
อีกค่ายที่มีความเคลื่อนไหวเปิดโครงการแนวราบจำนวนมากคือ "โกลเด้น แลนด์ เรสซิเด้นซ์" ในเครือแผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์ หนึ่งในบริษัทอสังหาฯ ของ "เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี"
แผนธุรกิจค่ายนี้เตรียมบุกหนักโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ตั้งแต่ปลายปี"56-57 จำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท อาทิ ทำเลปิ่นเกล้ารัตนาธิเบศร์ สุขสวัสดิ์ วัชรพล ฯลฯ
"บ้านแนวราบมีซัพพลายไม่มาก ข้อดีคือโครงการแนวราบสร้างเร็ว โอนกรรมสิทธิ์ได้เร็ว ทำให้มีรอบกระแสเงินสดหมุนเวียนกลับมาเพื่อขยายงานเร็วกว่าคอนโดฯ เพราะยุคนี้ปลาเร็วกินปลาช้า ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเหมือนเมื่อก่อน" คำกล่าวของ "แสนผิน สุขี" เอ็มดีโกลเด้น แลนด์ เรสซิเด้นซ์ระบุ
เป็นการตอกย้ำโมเดลพัฒนาโครงการปี"57 ที่จะมีการปรับฐานจากโครงการแนวสูงสู่แนวราบมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ตลาดคอนโดฯ ที่ก่อตัวให้เห็นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
คอนโดฯ เปิดใหม่ทุบสถิติ
กับประเด็นฟองสบู่อสังหาฯ เริ่มเห็นสัญญาณต้องระวัง เพราะกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดสัมมนาใหญ่เผยตัวเลขผลสำรวจโครงการคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ 10 เดือนแรก 2556 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรากฏว่าทุบสถิติรอบ 16 ปี นับจากเกิดวิกฤตฟองสบู่เมื่อปี"40 โดยสถิติ 10 เดือนแรกมีคอนโดฯ เปิดตัวใหม่กว่า 75,000 ยูนิต สูงกว่าปี"55 ทั้งปีที่มีคอนโดฯ เปิดตัวรวมกันเพียง 62,000 ยูนิต
ที่น่าสังเกตคือ หากนับเฉพาะช่วง 4 เดือน (กรกฎาคม-ตุลาคม 2556) มีคอนโดฯเปิดตัวมากถึง 78 โครงการ 32,671 หน่วย คิดเป็น 52% ของที่เปิดตัวทั้งหมด
ทั้งนี้ โครงการคอนโดฯ เปิดใหม่กระจายตัวไปทั่วทุกทำเล โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ราคาต่ำกว่าล้าน กับราคา 1-2 ล้านบาท เข้ามาจับจองทำเลในย่านชุมชนและกรุงเทพฯ รอบนอก
จับตาซื้อเก็งกำไร 20%
โดยผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ 10 ทำเลที่มีคอนโดฯ เปิดตัวสูงสุด 10 เดือนแรกปีนี้ ได้แก่ 1.จังหวัดปทุมธานี 5,948 หน่วย 2.ฝั่งธนบุรี อาทิ บางพลัด จรัญสนิทวงศ์ ฯลฯ 5,857 หน่วย 3.นนทบุรี 5,156 หน่วย 4.ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง 2,672 หน่วย
5.สีลม-สาทร-บางรัก 2,258 หน่วย 6.สุขุมวิทตอนปลาย 2,062 หน่วย 7.บางซื่อ-ดุสิต 1,884 หน่วย 8.ยานนาวา-บางคอแหลม 1,137 หน่วย 9.จังหวัดสมุทรปราการ 1,112 หน่วย และ 10.กรุงเทพฯ เขตอื่น ๆ1,087 หน่วย
"ผอ.แซม-สัมมา คีตสิน" ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินแนวโน้มถึงสิ้นปีนี้ว่า น่าจะได้เห็นคอนโดฯ เปิดใหม่ทะลุ 80,000 ยูนิต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประเมินว่าไม่ควรจะเกิน 60,000 หน่วย
"ในกลุ่มผู้ซื้อประเมินว่ามีประมาณ 20% เป็นกลุ่มซื้อเก็งกำไร ต้องดูว่าเมื่อสร้างเสร็จจะโอนกรรมสิทธิ์หมดหรือไม่
สิ่งที่อยากเห็นคือปี"57 คอนโดฯ เปิดใหม่ควรลดลง" คำกล่าวของ ผอ.ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ
เตือนอย่าประมาทฟองสบู่
ขณะที่ "ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินว่า ภาพรวมอสังหาฯ ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นมีภาวะฟองสบู่รุนแรง แม้ว่าพื้นที่ทำเลแนวรถไฟฟ้าจะมีการซื้อ-ขายและก่อสร้างคอนโดฯ กันคึกคัก แต่ก็ประมาทไม่ได้
ส่วน "รศ.มานพ พงศทัต" อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการด้านอสังหาฯ ระบุว่า การเก็งกำไรในตลาดคอนโดฯ ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ยังคงมีอยู่ โดยปัจจุบันมองว่ากลุ่มที่ซื้อคอนโดฯ มีสัดส่วนซื้ออยู่จริงเพียง 30% ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า 50% ซื้อเก็งกำไรขายต่อช่วงผ่อนดาวน์ 20%
"ปรากฏการณ์คอนโดฯ ที่เปิดตัว 1,000 ยูนิตแล้วขายหมดภายในวันเดียวหรือ 3 ชั่วโมง ยังมีให้เห็น บ่งบอกว่าการเก็งกำไรที่อาจนำไปสู่การเกิดฟองสบู่ยังมีอยู่ นี่คือสิ่งที่ต้องระวัง" คำกล่าวของ รศ.มานพ
ทาวน์เฮาส์จะเบียดห้องชุด
ขณะที่ "ธำรง ปัญญาสกุลวงศ์" นายกสมาคมอาคารชุดไทยระบุว่า ตลาดคอนโดฯ บางพื้นที่มีภาวะอิ่มตัวหรือโอเวอร์ซัพพลาย เช่น โซนสุขุมวิทตอนปลาย จตุจักร ห้วยขวาง ลาดพร้าว รัชดาฯ ฯลฯ ขณะเดียวกันยอมรับว่า มีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเก็งกำไรอยู่จริง แต่ยังไม่สูงมากจนเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่แตกแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม มุมมองที่น่าสนใจสำหรับแนวโน้มปีหน้าก็คือ
"มีความเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการจะทำโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาการเปิดตัวทาวน์เฮาส์-บ้านเดี่ยวลดลงไปมาก ผู้ประกอบการหลายรายน่าจะเห็นว่าตลาดคอนโดฯ เริ่มชะลอตัวและมาทำโครงการแนวราบเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ซึ่งตอบโจทย์การอยู่อาศัยเป็นครอบครัวและราคาไม่สูงมากนัก" นายกสมาคมอาคารชุดไทยระบุ
ปรับแผนหันเปิดแนวราบ
"อิสระ บุญยัง" เอ็มดีค่ายกานดาพร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์แนวโน้มปีหน้าจะเห็นผู้ประกอบการปรับพอร์ตลงทุน เปิดตัวโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดบ้านราคา 3-5 ล้านบาท เพราะปีนี้มีคอนโดฯ เปิดตัวเป็นจำนวนมากเกินความคาดหมาย
สำหรับปี"57 กานดาฯ มีแผนเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ใหม่รวมถึงขยายเฟสโครงการเดิมทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูเก็ต รวม 7-8 โครงการ เช่น โครงการไอลีฟ ทาวน์ พระราม 2 กม.14 บ้านเดี่ยวแบรนด์สยามแนเชอรัลโฮม พระราม 2 เฟสใหม่ ฯลฯ
ส่วนคอนโดฯ เดิมมีแผนจะเปิดตัวทำเลพระราม 7 ราชพฤกษ์ และจังหวัดภูเก็ต ล่าสุดตัดสินใจชะลอไปก่อนเนื่องจาก 2 เหตุผลคือ 1.เศรษฐกิจมีความเสี่ยง และ 2.โครงการที่ราชพฤกษ์รอใบอนุญาตก่อสร้าง ที่พระราม 7 รอการก่อสร้างรถไฟฟ้า และที่ภูเก็ตรอการก่อสร้างเซ็นทรัล
สู่ยุคปลาเร็วกินปลาช้า
ขณะที่บิ๊กแบรนด์อย่างค่าย "แสนสิริ"มีแนวโน้มว่าปี"57 จะลดการลงทุนคอนโดแบรนด์ "ดีคอนโด" ราคายูนิตเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อเริ่มชะลอตัวหลังจากปี"56 เปิดตัวโครงการจำนวนมาก สอดคล้องกับทิศทางค่าย "ศุภาลัย" เตรียมเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบจาก 30-35% ขยับสูงขึ้นเป็น 35-40%
อีกค่ายที่มีความเคลื่อนไหวเปิดโครงการแนวราบจำนวนมากคือ "โกลเด้น แลนด์ เรสซิเด้นซ์" ในเครือแผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์ หนึ่งในบริษัทอสังหาฯ ของ "เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี"
แผนธุรกิจค่ายนี้เตรียมบุกหนักโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ตั้งแต่ปลายปี"56-57 จำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท อาทิ ทำเลปิ่นเกล้ารัตนาธิเบศร์ สุขสวัสดิ์ วัชรพล ฯลฯ
"บ้านแนวราบมีซัพพลายไม่มาก ข้อดีคือโครงการแนวราบสร้างเร็ว โอนกรรมสิทธิ์ได้เร็ว ทำให้มีรอบกระแสเงินสดหมุนเวียนกลับมาเพื่อขยายงานเร็วกว่าคอนโดฯ เพราะยุคนี้ปลาเร็วกินปลาช้า ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเหมือนเมื่อก่อน" คำกล่าวของ "แสนผิน สุขี" เอ็มดีโกลเด้น แลนด์ เรสซิเด้นซ์ระบุ
เป็นการตอกย้ำโมเดลพัฒนาโครงการปี"57 ที่จะมีการปรับฐานจากโครงการแนวสูงสู่แนวราบมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ตลาดคอนโดฯ ที่ก่อตัวให้เห็นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 21
ธุรกิจอสังหาฯ ปี 57 ส่อซึม ชี้"แรงงานก่อสร้าง-การเมือง"ตัวแปร แย้มตลาดต่างจังหวัดยังขยายตัวได้รับแรงหนุนเออีซี
ผู้ประกอบการฟันธงอสังหาฯ ปี 2557 เติบโตได้ไม่เกิน 5% มูลค่ารวม 6.4 แสนล้านบาท ชี้เข้ายุคผู้บริโภคหนี้ท่วมฉุดกำลังซื้อ ห่วงปัจจัยเสี่ยง "วิกฤติแรงงาน-การเมือง" ทุบตลาด ผู้ประกอบการรายใหญ่ปรับแผนธุรกิจหันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคาถูกมากขึ้น กดราคาต่อยูนิตต่ำ ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดยังขยายตัวได้ หลังจากได้แรงหนุนปรับตัวรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 เป็นอีกปีหนึ่งที่มีความท้าทายสูงมาก โดยหลายฝ่ายได้ออกมาคาดการณ์ว่าปีนี้ภาคอสังหาฯ มีอัตราการขยายตัวไม่มาก เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่เติบโต 7% ด้วยมีหลากหลายด้านปัจจัยลบ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบเปราะบาง ภาระหนี้สินครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของภาคอสังหาฯ ผนวกกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ผู้รับเหมา ยังคงเป็นวิกฤติต่อเนื่องต่อการเติบโตของภาคอสังหาฯ ขณะที่ปัจจัยบวก มีเพียงอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะทรงตัว และการขยายการลงทุนของต่างชาติ ซึ่งปี 2557 เสมือนเป็นปีแห่งซ้อมใหญ่ของการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปลายปี 2558 ที่จะผลักดันให้เกิดการลงทุนของต่างชาติอย่างเป็นรูปธรรม
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 น่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5% คิดเป็นมูลค่ารวมทั่วประเทศ 6.4 แสนล้านบาท เป็นทิศทางการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวในอัตรา 4.5-5% ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดว่าจะมีขนาดตลาดประมาณ 3.4 แสนล้านบาท เติบโตในระดับเดียวกันกับปี 2556
ส่วนต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ มองว่าจะยังคงขยายตัวได้ 15% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัว รวมทั้งกระแสของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะนำมาซึ่งการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างภูมิภาค
'การเมือง'ปัจจัยเสี่ยงอสังหาฯ ปี 2557
อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยง ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและภาคอสังหาฯในปีนี้ ได้แก่ ความขัดแย้งและเสถียรภาพการเมืองในประเทศ การขยายตัวของภาคการลงทุนและภาคการท่องเที่ยว มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจ
"แนวโน้มหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น จะทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินตึงตัว ธนาคารจะปล่อยสินเชื่อน้อยลง "
ชี้คอนโด ราคาต่อยูนิตลด
ส่วนประเภทที่อยู่อาศัยในปี 2557 แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียม จะยังคงเติบโตเป็นผู้นำตลาดเช่นเดิม ครองส่วนแบ่งในตลาดคิดเป็น 55% แต่ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตลดลง เนื่องจากโครงการระดับกลาง-ล่าง มีการเปิดตัวมากกว่าปี 2556 ประกอบกับผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย ปรับแผนธุรกิจมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคาถูกมากขึ้น ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมระดับกลาง-บน คาดว่ายังคงได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากตลาดกลุ่มนี้ ได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ
ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ราคาเฉลี่ยจะสูงขึ้น ผันแปรตามต้นทุนที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะทำเลในแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ส่วนทาวน์เฮ้าส์จะขยับเข้าสู่เมืองมากขึ้น ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ยังคงมีความต้องการมากที่สุด แต่ในการพัฒนาโครงการ อาจจะกระจายตัวอยู่ห่างจากเขตเมืองออกไป สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาสูงขึ้นไป จะได้ผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากลูกค้ามีความมั่นคงทางด้านรายได้ โดยที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่คนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อ
แรงงานก่อสร้างปัจจัยชี้ธุรกิจ
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและผู้รับเหมาก่อสร้าง ยังเป็นตัวแปรสำคัญของธุรกิจในปีนี้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการเร่งเปิดโครงการใหม่เป็นจำนวนมาก รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับสู่ภูมิลำเนา จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ซึ่งยังนำไปสู่ภาวะการขาดแคลนกำลังการผลิต ที่มีผลต่อการแพ้ชนะธุรกิจ จะขึ้นอยู่กับการก่อสร้างหรือกำลังผลิต ไม่ใช่อยู่ที่การขายได้
"การแพ้-ชนะของธุรกิจนี้ ไม่ใช่เรื่องของการขายได้มาก เพราะถ้าก่อสร้างไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ธุรกิจอสังหาฯ จะรับรู้รายได้ต่อเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ แต่ทั้งนี้อยู่ที่การก่อสร้างที่จะต้องสปีดได้เร็ว ตลาดบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ แพ้ชนะจะอยู่ที่เรื่องของการก่อสร้าง หรือกำลังผลิต ส่วนคอนโดมิเนียม จะอยู่ที่โครงสร้างการเงินแข็งที่แข็งแรง และการมีพันธมิตรผู้รับเหมารายใหญ่ในมือเท่านั้น ถึงจะเติบโตได้ในตลาดคอนโด เพราะไม่มีผู้รับเหมารายใดรับงานของบริษัทหน้าใหม่ นอกจากบริษัทที่เป็นบริษัทพันธมิตรเท่านั้น"
นอกจากนี้ จะเห็นภาพการปรับตัวของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการบริหารการผลิต ของผู้ประกอบการรายใหญ่ท็อปไฟว์ในตลาด ด้วยการขยายการลงทุนสร้างโรงงานระบบก่อสร้างสำเร็จรูป นำเข้าเทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ เข้ามาใช้ทดแทนแรงงานฝีมือ
ตลาดไฮเอนด์-ซูเปอร์ลักชัวรีฟื้นตัว
ขณะที่กลยุทธ์การทำตลาดในปีหน้า ต้องมองหาตลาดใหม่ ดีมานด์ที่เป็นช่องว่างในตลาด และมองว่าปี 2557 ตลาดระดับไฮเอนด์และซูเปอร์ลักชัวรี ราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 1.5 แสนบาท จะกลับมาฟื้นตัว หลังเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา
"วันนี้แค่ขายได้ ไม่รู้ว่าจะสร้างได้หรือไม่ ต้องรอดูอีก 2 ปีข้างหน้า คือปี 2559 เมื่อถึงเวลานั้น ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แม้ตอนนี้ตลาดต่างจังหวัดโตมากก็ตาม แต่ก็ล้วนมาถูกกระตุ้นด้วยนโยบายจำนำข้าว และกระแสของเออีซี แต่ยังไม่เป็นรูปธรรม หากโครงการจำนำข้าวยกเลิกไม่ทำต่อ ขณะที่ระยะเวลาการผ่อนดาวน์นาน 1-2 ปี ผู้บริโภคอาจจะเกิดปัญหาการผ่อนดาวน์ ก็จะทิ้งดาวน์ไม่มารับโอน อาจต้องเป็นภาระนำกลับมารีเซลขายใหม่ หรือกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับบริษัทในอนาคต"
เตือนผู้ประกอบการระวังการลงทุน
นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ประเมินภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 เติบโตได้ไม่มากนัก หลังจากเศรษฐกิจเริ่มชะลอมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อผนวกกับปัญหาการเมืองอีก เชื่อว่าเศรษฐกิจและกำลังซื้อจะไม่ฟื้นตัวได้เร็ว รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ยังไม่ฟื้นตัวดีอย่างเป็นรูปธรรมนัก ขณะที่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งเป็นความหวังสร้างโอกาสการเติบโตธุรกิจก็ต้องรอเวลาอีก 2 ปี
"ปี 2557 ผู้ประกอบการต้องเพิ่มระมัดระวังการลงทุน เพราะในยุคโลกาภิวัตน์ เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะส่งผลกระทบถึงกันเร็วมาก เพียงไตรมาสเดียวก็เห็นผลเลย ถ้าการเมืองการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดี และเหตุการณ์จบลงได้โดยไม่มีความรุนแรง จะส่งผลต่อความเชื่อมั่น ให้กับนักลงทุนกลับเข้ามา ตลาดหุ้นก็จะกลับมาคึกคักทันที"
อนันต์ชี้เอ็นพีแอลขยับ-หนี้ครัวเรือนพุ่ง
นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประเมินธุรกิจอสังหาฯ ปี 2557 ว่า จะเติบโตปานกลาง ยอดขายไม่ขยายตัวเท่ากับปี 2556 แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจอาจจะดีขึ้น เนื่องจากยอดขายของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในปี 2556 เติบโตมาก
"สิ่งสำคัญที่ต้องระมัดระวัง คือ ปัญหาหนี้ที่ไม่ให้ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนี้ เนื่องจากผู้บริโภคมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนสูงขึ้น"
อย่างไรก็ดี หลักในการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ที่สำคัญ คือ คุณภาพสินค้า คุณภาพบริการก่อนขายและหลังการขาย และระยะเวลาที่ได้สัญญากับลูกค้า จะเป็นเครื่องมือชี้วัด "แพ้-ชนะ" เกมการตลาด ในปี 2557
เขายังเห็นว่า การแข่งขันควรมองที่คุณภาพของสินค้ามากกว่าแข่งขันที่ยอดขายและยอดจอง รวมทั้งอัตราการเติบโต การขายดีไม่ใช่สิ่งที่ดี ในภาวะปัญหาแรงงานขาดแคลน ภาระหนี้ของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อธนาคาร การขายไม่ใช่หลักประกันทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นจุดเริ่มต้นแค่ 20%
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ่อซึม.html
ผู้ประกอบการฟันธงอสังหาฯ ปี 2557 เติบโตได้ไม่เกิน 5% มูลค่ารวม 6.4 แสนล้านบาท ชี้เข้ายุคผู้บริโภคหนี้ท่วมฉุดกำลังซื้อ ห่วงปัจจัยเสี่ยง "วิกฤติแรงงาน-การเมือง" ทุบตลาด ผู้ประกอบการรายใหญ่ปรับแผนธุรกิจหันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคาถูกมากขึ้น กดราคาต่อยูนิตต่ำ ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดยังขยายตัวได้ หลังจากได้แรงหนุนปรับตัวรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 เป็นอีกปีหนึ่งที่มีความท้าทายสูงมาก โดยหลายฝ่ายได้ออกมาคาดการณ์ว่าปีนี้ภาคอสังหาฯ มีอัตราการขยายตัวไม่มาก เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่เติบโต 7% ด้วยมีหลากหลายด้านปัจจัยลบ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบเปราะบาง ภาระหนี้สินครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของภาคอสังหาฯ ผนวกกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ผู้รับเหมา ยังคงเป็นวิกฤติต่อเนื่องต่อการเติบโตของภาคอสังหาฯ ขณะที่ปัจจัยบวก มีเพียงอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะทรงตัว และการขยายการลงทุนของต่างชาติ ซึ่งปี 2557 เสมือนเป็นปีแห่งซ้อมใหญ่ของการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปลายปี 2558 ที่จะผลักดันให้เกิดการลงทุนของต่างชาติอย่างเป็นรูปธรรม
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 น่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5% คิดเป็นมูลค่ารวมทั่วประเทศ 6.4 แสนล้านบาท เป็นทิศทางการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวในอัตรา 4.5-5% ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดว่าจะมีขนาดตลาดประมาณ 3.4 แสนล้านบาท เติบโตในระดับเดียวกันกับปี 2556
ส่วนต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ มองว่าจะยังคงขยายตัวได้ 15% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัว รวมทั้งกระแสของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะนำมาซึ่งการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างภูมิภาค
'การเมือง'ปัจจัยเสี่ยงอสังหาฯ ปี 2557
อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยง ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและภาคอสังหาฯในปีนี้ ได้แก่ ความขัดแย้งและเสถียรภาพการเมืองในประเทศ การขยายตัวของภาคการลงทุนและภาคการท่องเที่ยว มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจ
"แนวโน้มหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น จะทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินตึงตัว ธนาคารจะปล่อยสินเชื่อน้อยลง "
ชี้คอนโด ราคาต่อยูนิตลด
ส่วนประเภทที่อยู่อาศัยในปี 2557 แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียม จะยังคงเติบโตเป็นผู้นำตลาดเช่นเดิม ครองส่วนแบ่งในตลาดคิดเป็น 55% แต่ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตลดลง เนื่องจากโครงการระดับกลาง-ล่าง มีการเปิดตัวมากกว่าปี 2556 ประกอบกับผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย ปรับแผนธุรกิจมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคาถูกมากขึ้น ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมระดับกลาง-บน คาดว่ายังคงได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากตลาดกลุ่มนี้ ได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ
ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ราคาเฉลี่ยจะสูงขึ้น ผันแปรตามต้นทุนที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะทำเลในแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ส่วนทาวน์เฮ้าส์จะขยับเข้าสู่เมืองมากขึ้น ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ยังคงมีความต้องการมากที่สุด แต่ในการพัฒนาโครงการ อาจจะกระจายตัวอยู่ห่างจากเขตเมืองออกไป สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาสูงขึ้นไป จะได้ผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากลูกค้ามีความมั่นคงทางด้านรายได้ โดยที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่คนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อ
แรงงานก่อสร้างปัจจัยชี้ธุรกิจ
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและผู้รับเหมาก่อสร้าง ยังเป็นตัวแปรสำคัญของธุรกิจในปีนี้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการเร่งเปิดโครงการใหม่เป็นจำนวนมาก รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับสู่ภูมิลำเนา จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ซึ่งยังนำไปสู่ภาวะการขาดแคลนกำลังการผลิต ที่มีผลต่อการแพ้ชนะธุรกิจ จะขึ้นอยู่กับการก่อสร้างหรือกำลังผลิต ไม่ใช่อยู่ที่การขายได้
"การแพ้-ชนะของธุรกิจนี้ ไม่ใช่เรื่องของการขายได้มาก เพราะถ้าก่อสร้างไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ธุรกิจอสังหาฯ จะรับรู้รายได้ต่อเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ แต่ทั้งนี้อยู่ที่การก่อสร้างที่จะต้องสปีดได้เร็ว ตลาดบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ แพ้ชนะจะอยู่ที่เรื่องของการก่อสร้าง หรือกำลังผลิต ส่วนคอนโดมิเนียม จะอยู่ที่โครงสร้างการเงินแข็งที่แข็งแรง และการมีพันธมิตรผู้รับเหมารายใหญ่ในมือเท่านั้น ถึงจะเติบโตได้ในตลาดคอนโด เพราะไม่มีผู้รับเหมารายใดรับงานของบริษัทหน้าใหม่ นอกจากบริษัทที่เป็นบริษัทพันธมิตรเท่านั้น"
นอกจากนี้ จะเห็นภาพการปรับตัวของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการบริหารการผลิต ของผู้ประกอบการรายใหญ่ท็อปไฟว์ในตลาด ด้วยการขยายการลงทุนสร้างโรงงานระบบก่อสร้างสำเร็จรูป นำเข้าเทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ เข้ามาใช้ทดแทนแรงงานฝีมือ
ตลาดไฮเอนด์-ซูเปอร์ลักชัวรีฟื้นตัว
ขณะที่กลยุทธ์การทำตลาดในปีหน้า ต้องมองหาตลาดใหม่ ดีมานด์ที่เป็นช่องว่างในตลาด และมองว่าปี 2557 ตลาดระดับไฮเอนด์และซูเปอร์ลักชัวรี ราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 1.5 แสนบาท จะกลับมาฟื้นตัว หลังเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา
"วันนี้แค่ขายได้ ไม่รู้ว่าจะสร้างได้หรือไม่ ต้องรอดูอีก 2 ปีข้างหน้า คือปี 2559 เมื่อถึงเวลานั้น ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แม้ตอนนี้ตลาดต่างจังหวัดโตมากก็ตาม แต่ก็ล้วนมาถูกกระตุ้นด้วยนโยบายจำนำข้าว และกระแสของเออีซี แต่ยังไม่เป็นรูปธรรม หากโครงการจำนำข้าวยกเลิกไม่ทำต่อ ขณะที่ระยะเวลาการผ่อนดาวน์นาน 1-2 ปี ผู้บริโภคอาจจะเกิดปัญหาการผ่อนดาวน์ ก็จะทิ้งดาวน์ไม่มารับโอน อาจต้องเป็นภาระนำกลับมารีเซลขายใหม่ หรือกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับบริษัทในอนาคต"
เตือนผู้ประกอบการระวังการลงทุน
นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ประเมินภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2557 เติบโตได้ไม่มากนัก หลังจากเศรษฐกิจเริ่มชะลอมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อผนวกกับปัญหาการเมืองอีก เชื่อว่าเศรษฐกิจและกำลังซื้อจะไม่ฟื้นตัวได้เร็ว รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ยังไม่ฟื้นตัวดีอย่างเป็นรูปธรรมนัก ขณะที่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งเป็นความหวังสร้างโอกาสการเติบโตธุรกิจก็ต้องรอเวลาอีก 2 ปี
"ปี 2557 ผู้ประกอบการต้องเพิ่มระมัดระวังการลงทุน เพราะในยุคโลกาภิวัตน์ เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะส่งผลกระทบถึงกันเร็วมาก เพียงไตรมาสเดียวก็เห็นผลเลย ถ้าการเมืองการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดี และเหตุการณ์จบลงได้โดยไม่มีความรุนแรง จะส่งผลต่อความเชื่อมั่น ให้กับนักลงทุนกลับเข้ามา ตลาดหุ้นก็จะกลับมาคึกคักทันที"
อนันต์ชี้เอ็นพีแอลขยับ-หนี้ครัวเรือนพุ่ง
นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประเมินธุรกิจอสังหาฯ ปี 2557 ว่า จะเติบโตปานกลาง ยอดขายไม่ขยายตัวเท่ากับปี 2556 แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจอาจจะดีขึ้น เนื่องจากยอดขายของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในปี 2556 เติบโตมาก
"สิ่งสำคัญที่ต้องระมัดระวัง คือ ปัญหาหนี้ที่ไม่ให้ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนี้ เนื่องจากผู้บริโภคมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนสูงขึ้น"
อย่างไรก็ดี หลักในการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ที่สำคัญ คือ คุณภาพสินค้า คุณภาพบริการก่อนขายและหลังการขาย และระยะเวลาที่ได้สัญญากับลูกค้า จะเป็นเครื่องมือชี้วัด "แพ้-ชนะ" เกมการตลาด ในปี 2557
เขายังเห็นว่า การแข่งขันควรมองที่คุณภาพของสินค้ามากกว่าแข่งขันที่ยอดขายและยอดจอง รวมทั้งอัตราการเติบโต การขายดีไม่ใช่สิ่งที่ดี ในภาวะปัญหาแรงงานขาดแคลน ภาระหนี้ของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อธนาคาร การขายไม่ใช่หลักประกันทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นจุดเริ่มต้นแค่ 20%
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ่อซึม.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 22
http://www.youtube.com/watch?v=8WFrOZw9 ... 5&index=14
ได้ฟังมุมจากสอง CEO ผู้น่ารักครับ LPN และ SENA ครับ
ได้ฟังมุมจากสอง CEO ผู้น่ารักครับ LPN และ SENA ครับ
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 23
การเมืองกระทบธุรกิจหนัก อสังหาฯแตะเบรกลงทุนปีมะเมียตัวโก่ง "แสนสิริ" ห่วงการเมือง ประกาศแผนเปิดโครงการใหม่ลดฮวบเหลือ 19 โครงการ จากปีก่อน 48 โครงการ เน้นเจาะตลาดบ้าน-คอนโดฯ ระดับกลาง-ล่าง "เพอร์เฟค" ทบทวนแผนปี"57 เตรียมชะลอลงทุนทำเลใหม่อีก 1-2 โครงการ "เอพี-เสนาฯ" ลดลงทุนรอความหวังเศรษฐกิจขาขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจความเคลื่อนไหวบริษัทพัฒนาที่ดินที่เริ่มทยอยประกาศแผนธุรกิจปี 2557 พบว่าจากปัจจัยเหตุชุมนุมทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนวางแผนธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะปัญหาการเมืองกลายเป็นปัจจัยลำดับแรกที่กดดันให้การทำธุรกิจปีนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก
จากการสำรวจพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่-รายกลางอย่างน้อย 4 รายทบทวนแผนลงทุนเปิดโครงการใหม่ในปี 2557 ลดลงจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จาก 48 โครงการ เหลือ 19 โครงการ, บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) จาก 24 โครงการ เหลือ 18-20 โครงการ, บมจ.เสนาดีเวลอปเม้นท์ จาก 11 โครงการ เหลือ 7 โครงการ และ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จาก 18-19 โครงการ ลดเหลือ 15 โครงการ และกำลังทบทวนแผนเหลือ 13-14 โครงการ สะท้อนถึงการกำหนดแผนธุรกิจแบบคอนเซอร์เวทีฟเชิงตั้งรับ
แสนสิริชี้หนักสุดรอบ 30 ปี
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัญหาการเมืองและการชะลอลงทุนโครงการ 2 ล้านล้าน บริษัทตัดสินใจทำแผนธุรกิจปี 2557 แบบตั้งรับด้วยความระมัดระวัง โดยปรับลดการลงทุน เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างมาก
สำหรับปีนี้จะเปิดตัว 19 โครงการ มูลค่าขายรวม 33,263 ล้านบาท จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขยายการลงทุนเต็มที่ โดยปี 2556 เปิดตัว 48 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 6.12 หมื่นล้านบาท เทียบกับปี 2555 เปิดตัว 51 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 57,051 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขายปีนี้ตั้งเป้า 3 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 4.22 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 3.4 หมื่นล้านบาท จากปีที่ผ่านมา คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงประมาณการ 3 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ในปี 2557 แล้วกว่า 2.24 หมื่นล้านบาท
"สิ่งที่กังวลมากที่สุดขณะนี้คือเรื่องการเมือง การที่ม็อบปิดสถานที่ราชการ ตัดน้ำ-ไฟ จะติดต่อกับราชการไม่ได้ ธุรกิจอสังหาฯจะได้รับผลกระทบ เพราะต้องทำธุรกรรมกับหน่วยงานราชการ โดยปีนี้แสนสิริมีอายุครบ 30 ปี ตั้งแต่ทำธุรกิจมา ถือว่าผลกระทบจากการเมืองครั้งนี้หนักสุด สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดคือการนองเลือด ได้แต่หวังว่าจะไม่ยืดเยื้อไปกว่านี้"
นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า ในจำนวนแผนเปิดตัว 19 โครงการ แยกเป็นคอนโดมิเนียม 9 โครงการ บ้านเดี่ยว 8 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ เน้นบุกเซ็กเมนต์กลาง-ล่าง อาทิ คอนโดฯ เดอะเบส และดีคอนโด ราคายูนิตละ 1-2 ล้านบาท, ทาวน์เฮาส์แบรนด์เมททาวน์ ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท เป็นต้น เพราะมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ กำลังซื้อในตลาดระดับบนมีจำนวนจำกัด และฐานไม่ได้ใหญ่ ขณะเดียวกัน พฤติกรรมคนไทยยังต้องการขยายครอบครัว
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีที่ดินรองรับการเปิดตัวครบ 19 โครงการ จังหวะการเปิดตัวจะไปอยู่ในช่วงไตรมาส 2-4 เป็นหลัก ส่วนไตรมาส 1 จะเปิดตัวเพียง 2-3 โครงการ อย่างไรก็ตาม แผนลงทุนอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ หากเกิดเหตุนองเลือด ก็จะชะลอโครงการ แต่ถ้าสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ อาจพิจารณาเปิดโครงการเพิ่มขึ้น
เพอร์เฟคทบทวนแผน
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง บริษัทคงต้องทบทวนแผนธุรกิจใหม่ จากเดิมปีนี้เตรียมเปิดตัว 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท คาดว่า ปรับลดลงอย่างน้อย 1-2 โครงการ คงเหลือ 13-14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท โดยจะลดโครงการในทำเลใหม่ ๆ เป็นหลัก
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่ยากคือการวางแผนการตลาด ขณะนี้ถือว่าศาสตร์ทุกตำราใช้ไม่ได้ผล ไม่สามารถวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดล่วงหน้าได้ เดิมเพอร์เฟคจะจัดแคมเปญใหญ่ครั้งแรก
ของปีในเดือนมีนาคมนี้ โดยวางแผนลงสื่อสิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา และแผ่นพับ-โบรชัวร์เต็มที่ ขณะนี้ได้ปรับลดการใช้สื่อโฆษณาสิ่งพิมพ์ลง
เอพี-เสนาฯ ลดลงทุน
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์การตลาด บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทวางแผนธุรกิจปีนี้อย่างระมัดระวัง เพราะมีปัจจัยลบทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ โดยจะเปิดตัว 18-20 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท ต่ำจากปีที่ผ่านมา เปิดตัว 24 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 27,600 ล้านบาท
"คงต้องรอประเมินครึ่งปีหลังอีกครั้ง หากสถานการณ์กลับสู่ปกติ อาจจะเร่งเปิดโครงการเพิ่มขึ้น"
สำหรับสัดส่วนการเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีแรก-ครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงกันคือ 50 : 50 โดยโครงการจะเริ่มเปิดตัวช่วงสิ้นเดือนมกราคมนี้คือบ้านเดี่ยว "โซล รัชดา" เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ราคาเริ่มต้นประมาณ 20 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท เพราะมีจำนวนกว่า 20 ยูนิตเท่านั้น จุดเด่นเป็นทำเลที่ไม่มีคู่แข่ง
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บมจ.เสนาดีเวลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า ปีนี้มีแผนลงทุนเปิด 7 โครงการ มูลค่าขายรวม 7 พันล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการ คอนโดฯ 3 โครงการ ลดลงจากปีที่ผ่านมา เปิดตัวประมาณ 11 โครงการ มูลค่าขายรวม 7 พันล้านบาท โดยไตรมาสแรก คาดว่าจะไม่เปิดโครงการใหม่เลย แต่อาจจะทบทวนแผนลงทุนในอีกครั้งในช่วงครึ่งหลัง หากสถานการณ์ดีขึ้น
แหล่งข่าวจาก บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า แผนธุรกิจเบื้องต้น คาดว่าจะเปิดตัว 6 โครงการ แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 5 โครงการ คอนโดฯ 1 โครงการ ลดลงจากปีที่ผ่านมา เปิดตัวประมาณ
11 โครงการ โดยการลดลงทุนในปีนี้ ไม่ได้เกิดจากปัญหาการเมือง แต่เป็นเพราะปัจจุบัน เอสซี แอสเสทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขายมากเพียงพอแล้ว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจความเคลื่อนไหวบริษัทพัฒนาที่ดินที่เริ่มทยอยประกาศแผนธุรกิจปี 2557 พบว่าจากปัจจัยเหตุชุมนุมทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนวางแผนธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะปัญหาการเมืองกลายเป็นปัจจัยลำดับแรกที่กดดันให้การทำธุรกิจปีนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก
จากการสำรวจพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่-รายกลางอย่างน้อย 4 รายทบทวนแผนลงทุนเปิดโครงการใหม่ในปี 2557 ลดลงจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จาก 48 โครงการ เหลือ 19 โครงการ, บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) จาก 24 โครงการ เหลือ 18-20 โครงการ, บมจ.เสนาดีเวลอปเม้นท์ จาก 11 โครงการ เหลือ 7 โครงการ และ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จาก 18-19 โครงการ ลดเหลือ 15 โครงการ และกำลังทบทวนแผนเหลือ 13-14 โครงการ สะท้อนถึงการกำหนดแผนธุรกิจแบบคอนเซอร์เวทีฟเชิงตั้งรับ
แสนสิริชี้หนักสุดรอบ 30 ปี
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัญหาการเมืองและการชะลอลงทุนโครงการ 2 ล้านล้าน บริษัทตัดสินใจทำแผนธุรกิจปี 2557 แบบตั้งรับด้วยความระมัดระวัง โดยปรับลดการลงทุน เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างมาก
สำหรับปีนี้จะเปิดตัว 19 โครงการ มูลค่าขายรวม 33,263 ล้านบาท จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขยายการลงทุนเต็มที่ โดยปี 2556 เปิดตัว 48 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 6.12 หมื่นล้านบาท เทียบกับปี 2555 เปิดตัว 51 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 57,051 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขายปีนี้ตั้งเป้า 3 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 4.22 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 3.4 หมื่นล้านบาท จากปีที่ผ่านมา คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงประมาณการ 3 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ในปี 2557 แล้วกว่า 2.24 หมื่นล้านบาท
"สิ่งที่กังวลมากที่สุดขณะนี้คือเรื่องการเมือง การที่ม็อบปิดสถานที่ราชการ ตัดน้ำ-ไฟ จะติดต่อกับราชการไม่ได้ ธุรกิจอสังหาฯจะได้รับผลกระทบ เพราะต้องทำธุรกรรมกับหน่วยงานราชการ โดยปีนี้แสนสิริมีอายุครบ 30 ปี ตั้งแต่ทำธุรกิจมา ถือว่าผลกระทบจากการเมืองครั้งนี้หนักสุด สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดคือการนองเลือด ได้แต่หวังว่าจะไม่ยืดเยื้อไปกว่านี้"
นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า ในจำนวนแผนเปิดตัว 19 โครงการ แยกเป็นคอนโดมิเนียม 9 โครงการ บ้านเดี่ยว 8 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ เน้นบุกเซ็กเมนต์กลาง-ล่าง อาทิ คอนโดฯ เดอะเบส และดีคอนโด ราคายูนิตละ 1-2 ล้านบาท, ทาวน์เฮาส์แบรนด์เมททาวน์ ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท เป็นต้น เพราะมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ กำลังซื้อในตลาดระดับบนมีจำนวนจำกัด และฐานไม่ได้ใหญ่ ขณะเดียวกัน พฤติกรรมคนไทยยังต้องการขยายครอบครัว
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีที่ดินรองรับการเปิดตัวครบ 19 โครงการ จังหวะการเปิดตัวจะไปอยู่ในช่วงไตรมาส 2-4 เป็นหลัก ส่วนไตรมาส 1 จะเปิดตัวเพียง 2-3 โครงการ อย่างไรก็ตาม แผนลงทุนอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ หากเกิดเหตุนองเลือด ก็จะชะลอโครงการ แต่ถ้าสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ อาจพิจารณาเปิดโครงการเพิ่มขึ้น
เพอร์เฟคทบทวนแผน
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง บริษัทคงต้องทบทวนแผนธุรกิจใหม่ จากเดิมปีนี้เตรียมเปิดตัว 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท คาดว่า ปรับลดลงอย่างน้อย 1-2 โครงการ คงเหลือ 13-14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท โดยจะลดโครงการในทำเลใหม่ ๆ เป็นหลัก
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่ยากคือการวางแผนการตลาด ขณะนี้ถือว่าศาสตร์ทุกตำราใช้ไม่ได้ผล ไม่สามารถวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดล่วงหน้าได้ เดิมเพอร์เฟคจะจัดแคมเปญใหญ่ครั้งแรก
ของปีในเดือนมีนาคมนี้ โดยวางแผนลงสื่อสิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา และแผ่นพับ-โบรชัวร์เต็มที่ ขณะนี้ได้ปรับลดการใช้สื่อโฆษณาสิ่งพิมพ์ลง
เอพี-เสนาฯ ลดลงทุน
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์การตลาด บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทวางแผนธุรกิจปีนี้อย่างระมัดระวัง เพราะมีปัจจัยลบทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ โดยจะเปิดตัว 18-20 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท ต่ำจากปีที่ผ่านมา เปิดตัว 24 โครงการ มูลค่าขายรวมกว่า 27,600 ล้านบาท
"คงต้องรอประเมินครึ่งปีหลังอีกครั้ง หากสถานการณ์กลับสู่ปกติ อาจจะเร่งเปิดโครงการเพิ่มขึ้น"
สำหรับสัดส่วนการเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีแรก-ครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงกันคือ 50 : 50 โดยโครงการจะเริ่มเปิดตัวช่วงสิ้นเดือนมกราคมนี้คือบ้านเดี่ยว "โซล รัชดา" เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ราคาเริ่มต้นประมาณ 20 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท เพราะมีจำนวนกว่า 20 ยูนิตเท่านั้น จุดเด่นเป็นทำเลที่ไม่มีคู่แข่ง
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บมจ.เสนาดีเวลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า ปีนี้มีแผนลงทุนเปิด 7 โครงการ มูลค่าขายรวม 7 พันล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการ คอนโดฯ 3 โครงการ ลดลงจากปีที่ผ่านมา เปิดตัวประมาณ 11 โครงการ มูลค่าขายรวม 7 พันล้านบาท โดยไตรมาสแรก คาดว่าจะไม่เปิดโครงการใหม่เลย แต่อาจจะทบทวนแผนลงทุนในอีกครั้งในช่วงครึ่งหลัง หากสถานการณ์ดีขึ้น
แหล่งข่าวจาก บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า แผนธุรกิจเบื้องต้น คาดว่าจะเปิดตัว 6 โครงการ แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 5 โครงการ คอนโดฯ 1 โครงการ ลดลงจากปีที่ผ่านมา เปิดตัวประมาณ
11 โครงการ โดยการลดลงทุนในปีนี้ ไม่ได้เกิดจากปัญหาการเมือง แต่เป็นเพราะปัจจุบัน เอสซี แอสเสทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขายมากเพียงพอแล้ว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 24
วังเวง...คำ คำนี้อาจจะอยู่ในใจผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายต่อหลายราย เนื่องมาจากภาวะกำลังซื้อชะลอตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/56 ต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ ปัจจัยลบที่รุมเร้ารอบด้าน อาทิ หนี้ภาคครัวเรือนพุ่ง สุญญากาศการเมือง ปฏิบัติการชัตดาวน์ กทม. ฯลฯ
"ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "ผอ.แซม-สัมมา คีตสิน" ผู้อำนวยการ "REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์" ให้ช่วยมองไปข้างหน้าสถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ 2557 ปีนี้ทั้งปี
- สถานการณ์อสังหาฯ
ตลาดชะลอตัวอยู่แล้ว ตั้งแต่กลางปี 2556 เป็นสัญญาณที่เห็นชัดเจน เพราะธุรกิจนี้ร้อนแรงต่อเนื่องในปี 2555 จนถึงไตรมาส 1/56 พอเข้าไตรมาส 2/56, 3/56 และ 4/56 ก็แย่ลงมาหน่อย พอมาเจอปัญหาการเมืองสมทบเข้ามาช่วงต้นไตรมาส 4/56 จนถึงปัจจุบัน การเมืองถือเป็นเพียงปัจจัยเสริมที่ทำให้ตลาดนิ่งมากขึ้น
ภาวะตลาด ชะลอตัวตอนนี้ก็มีข้อดีของมัน คือทำให้ผ่อนคลายความร้อนแรงลง เพราะตัวเลขห้องชุดเปิดตัวใหม่ ปี"56 ทะลักถึง 8.5 หมื่นหน่วย สูงมาก เพราะปี"55 สถิติปิดที่ 6.3-6.4 หมื่นหน่วย ผมเคยส่งสัญญาณเตือนผู้ประกอบการว่า ปี"56 ถ้าใกล้เคียงกัน ก็จะปลอดภัยจากปัญหาฟองสบู่คอนโดฯ
ทีนี้มาดูคำว่าตลาดนิ่ง บางรายบอกว่าเงียบมาก เขาหมายถึงด้านการขาย แต่ตัวโครงการก็ยังแข่งเปิดใหม่กันโครม ๆ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ถ้ามองย้อนกลับไปตอนภาวะร้อนแรงมีปัจจัยหนุนส่ง เพราะมีเงินล้นระบบ มีความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นมาซื้ออสังหาฯ เพื่อเก็งกำไร
พอเข้าไตร มาส 2/56 เงินนอกไหลออก ตลาดหุ้นไม่เพอร์ฟอร์ม (ลดความร้อนแรงเช่นกัน) ความมั่งคั่งที่จะมาซื้อเก็งกำไรก็ลดลงไปด้วย ซึ่งยังมีข้อดีที่ในส่วนของโครงการแนวราบเปิดตัวใหม่ปีละ 4.2 หมื่นหน่วยเท่า ๆ กันหลายปี
มอง ด้านบวกตลาดอสังหาฯที่ชะลอตัวตั้งแต่ปลายปี"56 ต่อเนื่องถึงต้นปีนี้ ทำให้ผู้ประกอบการพากันชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ นั่นหมายความว่าสต๊อกที่มีสะสมอยู่เดิมจะสามารถระบายได้ง่ายขึ้น บริษัทไหนที่ประกาศแผนธุรกิจจะเห็นทิศทางว่าลดจำนวนโครงการใหม่ลง ส่วนบริษัทที่ยังไม่ได้ประกาศแผนก็รอดูจังหวะ
ขณะเดียวกัน โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่สะดุดตามการเมือง การแข่งขันด้านต้นทุนจะผ่อนคลาย เพราะไม่มีงานภาครัฐมาแย่งซื้อวัสดุ แย่งจ้างแรงงาน
ในส่วนต่างจังหวัด ทั่วทุกภูมิภาคจะมีสภาพคล้ายกับพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยเฉพาะหัวเมืองหลัก อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต โคราช อุดรธานี ฯลฯ เป็นภาพที่เริ่มมีแนวโน้มโอเวอร์ซัพพลายได้ ผมส่งสัญญาณแล้วว่า ปีนี้การเติบโตของอสังหาฯ ต่างจังหวัดจะย้ายไปจังหวัดหัวเมืองรอง เช่น นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี เชียงราย พิษณุโลก อุบลฯ
- แนวโน้มปี"57 ควรเป็นยังไง
ผม เตือนแล้วว่า (ซัพพลาย) อย่าออกมาเยอะ ยกตัวอย่าง โครงการคอนโดฯ ปี"57 อาจจะไหลลงมาต่ำกว่า 7 หมื่นหน่วย เพราะถ้ายังแข่งกันเปิดตัวใหม่ไม่หยุด จะมีปัญหายอดขายรอโอนสะสมจำนวนมาก (แบ็กล็อก) นอกจากนี้จะมีปัญหาก่อสร้างด้วย ตอนนี้ก็ต้องแข่งกันสร้างให้ได้ด้วย ที่ผ่านมาเปิดตัวกันเยอะ แต่สร้างได้ช้า
และจะเห็นว่าตอนนี้ไม่มีอีก แล้วภาพที่เปิดขายวันเดียวเกลี้ยงโครงการ...ถ้าจะมีก็เพราะผู้ประกอบการใช้ เทคนิคตุนยอดขายล่วงหน้ามาก่อนแล้ววันเปิดตัวเหลือขายอีกจำนวนหนึ่งแล้วก็ ปิดการขาย
- ปัญหาฟองสบู่รุนแรงไหม
ภาวะตลาดชะลอตัวใน ปัจจุบันก็เป็นตัวช่วยให้หลีกเลี่ยงปัญหาฟองสบู่ภาคอสังหาฯได้ ผมเป็นนักเศรษฐศาสตร์ จะมองระยะยาว ถ้าเราดูตัวเลขยอดเปิดตัวใหม่โครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ การแข่งขันไม่ได้สูงมาก เฉลี่ยปีละ 4-4.2 หมื่นหน่วยมาตั้งแต่ปี"53-56
ปีนี้ถ้าคอนโดฯลดความร้อนแรง หันมาเพิ่มแนวราบ ก็ยังโอเค เพิ่มเป็น 4.5-5 หมื่นหน่วย ก็ยังไม่เสียหาย
- ภาวะชะลอตัวยาวนานแค่ไหน
มอง รวม ๆ ช่วงครึ่งปีแรกยังไม่ดีนัก แต่ยังมีปัจจัยบวกจากการเปิดเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) ปี"58 กับความหวังจากแผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ 2 ล้านล้านของรัฐบาล ถ้าจะให้ชัดเลยก็คือไตรมาส 1 ไม่ดีแน่นอน ไตรมาส 2 ทรง ๆ ตัว ครึ่งปีหลังน่าจะได้ลุ้น
- ราคาที่ดินยังเป็นตัวถ่วง
อสัง หาฯลดความร้อนแรง ราคาที่ดินก็เป็นส่วนหนึ่งของภาวะตลาด จะเห็นว่ายุคร้อนแรงของราคาที่ดินอยู่ ในปี"55 ขึ้นกันระเบิดเถิดเทิงเป็น 100% ปี"56 ราคาที่ดินขึ้นได้อีกประมาณ 20-30% ปีนี้น่าจะชะลอตัว ยกเว้นทำเลตามแนวรถไฟฟ้า
- มีโอกาสช็อปของถูกไหม
เวลา เศรษฐกิจไม่ดี คนมักจะถามว่าราคาอสังหาฯจะถูกลงหรือไม่...ราคาบ้านปีนี้บอกได้เลยว่าปรับ ขึ้นมากไม่ได้ อย่างเต็มที่ก็ 5% เพราะซัพพลายมีเยอะ
- ผู้บริโภคต้องปรับตัวยังไง
ใน ฝั่งผู้บริโภค ถ้าตั้งใจจะซื้ออสังหาฯคุณก็มีโอกาสซื้อตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนนี้มีสินค้าท่วมตลาด แต่ไม่ใช่ซื้อสะเปะสะปะ ซึ่งผู้ซื้อจำแนกได้ 3 กลุ่มหลัก ซื้ออยู่อาศัยจริง ซื้อเก็งกำไร กับซื้อเพื่อลงทุน อย่างที่บอกไปแล้วว่ากลุ่มซื้อเก็งกำไรน่าจะน้อยลง
ที นี้ก็ต้องมาดูว่าไลฟ์สไตล์คุณเป็นยังไง ก่อนซื้อต้องศึกษาดูว่าทำเลที่ไหนเหมาะสม ลูกอยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตยังไง ในด้านการวางแผนสุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นคุณต้องวางแผนเรื่องโลจิสติกส์ของตัว เอง อสังหาฯเป็นของชิ้นใหญ่ราคาสูง คนชอบคิดแต่ว่าซื้อแล้วต้องผ่อนส่งบ้านหรือคอนโดฯ แต่ลืมคิดไปว่าวิถีชีวิตคุณยังต้องผ่อนส่งอีกหลายอย่าง
เรื่องแรกเลย ขึ้นทางด่วนวันละ 100-200บาท ก็คือผ่อนส่งไปกับค่าทางด่วนใช้รถยนต์เติมน้ำมันอีกวันละ 200-300 บาท ค่าใช้จ่ายคุณก็ผ่อนส่งไปอยู่กับค่าน้ำมันแล้ว ยังมีต้นทุนผ่อนส่งอีกเรื่องคือ "Neighbor-เพื่อนบ้าน" อสังหาฯที่ซื้ออยู่ลึกสุดเลยไหม ซอยเปลี่ยวหรือเปล่า ฯลฯ เป็นเรื่องความปลอดภัยกับคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้ ถ้าจะซื้ออสังหาฯ สิ่งที่ผู้บริโภคต้องดูอีกเรื่องคือการเติบโตของเมือง ตัวอย่างชัดเจน สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสไปบางหว้า กลุ่มอสังหาฯราคาถูกยังมีให้เลือกในโซนรอบนอก แต่เราสามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้ง่ายและสะดวก
- นิยามอสังหาฯ ปี"57 อย่างไร
ผม มองว่าเป็นปีแห่งการปรับฐาน (ซัพพลาย-ดีมานด์) ตลอดทั้งปี"57 ส่วนปี"58 แนวโน้มจะเริ่มดีขึ้น เพราะเข้าสู่โหมดเปิดเออีซี ผู้ประกอบการต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริง
เดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ ศูนย์ข้อมูลเตรียมทยอยจัดสัมมนาใหญ่ นอกจากกรุงเทพฯกับปริมณฑลแล้ว จะมีเซ็กชั่นของต่างจังหวัด ทั้งเหนือ ใต้ อีสาน ตะวันออก นั่นคือแม้แต่ REIC เองก็ต้องทำงานเยอะขึ้น
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
"ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "ผอ.แซม-สัมมา คีตสิน" ผู้อำนวยการ "REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์" ให้ช่วยมองไปข้างหน้าสถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ 2557 ปีนี้ทั้งปี
- สถานการณ์อสังหาฯ
ตลาดชะลอตัวอยู่แล้ว ตั้งแต่กลางปี 2556 เป็นสัญญาณที่เห็นชัดเจน เพราะธุรกิจนี้ร้อนแรงต่อเนื่องในปี 2555 จนถึงไตรมาส 1/56 พอเข้าไตรมาส 2/56, 3/56 และ 4/56 ก็แย่ลงมาหน่อย พอมาเจอปัญหาการเมืองสมทบเข้ามาช่วงต้นไตรมาส 4/56 จนถึงปัจจุบัน การเมืองถือเป็นเพียงปัจจัยเสริมที่ทำให้ตลาดนิ่งมากขึ้น
ภาวะตลาด ชะลอตัวตอนนี้ก็มีข้อดีของมัน คือทำให้ผ่อนคลายความร้อนแรงลง เพราะตัวเลขห้องชุดเปิดตัวใหม่ ปี"56 ทะลักถึง 8.5 หมื่นหน่วย สูงมาก เพราะปี"55 สถิติปิดที่ 6.3-6.4 หมื่นหน่วย ผมเคยส่งสัญญาณเตือนผู้ประกอบการว่า ปี"56 ถ้าใกล้เคียงกัน ก็จะปลอดภัยจากปัญหาฟองสบู่คอนโดฯ
ทีนี้มาดูคำว่าตลาดนิ่ง บางรายบอกว่าเงียบมาก เขาหมายถึงด้านการขาย แต่ตัวโครงการก็ยังแข่งเปิดใหม่กันโครม ๆ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ถ้ามองย้อนกลับไปตอนภาวะร้อนแรงมีปัจจัยหนุนส่ง เพราะมีเงินล้นระบบ มีความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นมาซื้ออสังหาฯ เพื่อเก็งกำไร
พอเข้าไตร มาส 2/56 เงินนอกไหลออก ตลาดหุ้นไม่เพอร์ฟอร์ม (ลดความร้อนแรงเช่นกัน) ความมั่งคั่งที่จะมาซื้อเก็งกำไรก็ลดลงไปด้วย ซึ่งยังมีข้อดีที่ในส่วนของโครงการแนวราบเปิดตัวใหม่ปีละ 4.2 หมื่นหน่วยเท่า ๆ กันหลายปี
มอง ด้านบวกตลาดอสังหาฯที่ชะลอตัวตั้งแต่ปลายปี"56 ต่อเนื่องถึงต้นปีนี้ ทำให้ผู้ประกอบการพากันชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ นั่นหมายความว่าสต๊อกที่มีสะสมอยู่เดิมจะสามารถระบายได้ง่ายขึ้น บริษัทไหนที่ประกาศแผนธุรกิจจะเห็นทิศทางว่าลดจำนวนโครงการใหม่ลง ส่วนบริษัทที่ยังไม่ได้ประกาศแผนก็รอดูจังหวะ
ขณะเดียวกัน โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่สะดุดตามการเมือง การแข่งขันด้านต้นทุนจะผ่อนคลาย เพราะไม่มีงานภาครัฐมาแย่งซื้อวัสดุ แย่งจ้างแรงงาน
ในส่วนต่างจังหวัด ทั่วทุกภูมิภาคจะมีสภาพคล้ายกับพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยเฉพาะหัวเมืองหลัก อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต โคราช อุดรธานี ฯลฯ เป็นภาพที่เริ่มมีแนวโน้มโอเวอร์ซัพพลายได้ ผมส่งสัญญาณแล้วว่า ปีนี้การเติบโตของอสังหาฯ ต่างจังหวัดจะย้ายไปจังหวัดหัวเมืองรอง เช่น นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี เชียงราย พิษณุโลก อุบลฯ
- แนวโน้มปี"57 ควรเป็นยังไง
ผม เตือนแล้วว่า (ซัพพลาย) อย่าออกมาเยอะ ยกตัวอย่าง โครงการคอนโดฯ ปี"57 อาจจะไหลลงมาต่ำกว่า 7 หมื่นหน่วย เพราะถ้ายังแข่งกันเปิดตัวใหม่ไม่หยุด จะมีปัญหายอดขายรอโอนสะสมจำนวนมาก (แบ็กล็อก) นอกจากนี้จะมีปัญหาก่อสร้างด้วย ตอนนี้ก็ต้องแข่งกันสร้างให้ได้ด้วย ที่ผ่านมาเปิดตัวกันเยอะ แต่สร้างได้ช้า
และจะเห็นว่าตอนนี้ไม่มีอีก แล้วภาพที่เปิดขายวันเดียวเกลี้ยงโครงการ...ถ้าจะมีก็เพราะผู้ประกอบการใช้ เทคนิคตุนยอดขายล่วงหน้ามาก่อนแล้ววันเปิดตัวเหลือขายอีกจำนวนหนึ่งแล้วก็ ปิดการขาย
- ปัญหาฟองสบู่รุนแรงไหม
ภาวะตลาดชะลอตัวใน ปัจจุบันก็เป็นตัวช่วยให้หลีกเลี่ยงปัญหาฟองสบู่ภาคอสังหาฯได้ ผมเป็นนักเศรษฐศาสตร์ จะมองระยะยาว ถ้าเราดูตัวเลขยอดเปิดตัวใหม่โครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ การแข่งขันไม่ได้สูงมาก เฉลี่ยปีละ 4-4.2 หมื่นหน่วยมาตั้งแต่ปี"53-56
ปีนี้ถ้าคอนโดฯลดความร้อนแรง หันมาเพิ่มแนวราบ ก็ยังโอเค เพิ่มเป็น 4.5-5 หมื่นหน่วย ก็ยังไม่เสียหาย
- ภาวะชะลอตัวยาวนานแค่ไหน
มอง รวม ๆ ช่วงครึ่งปีแรกยังไม่ดีนัก แต่ยังมีปัจจัยบวกจากการเปิดเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) ปี"58 กับความหวังจากแผนลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ 2 ล้านล้านของรัฐบาล ถ้าจะให้ชัดเลยก็คือไตรมาส 1 ไม่ดีแน่นอน ไตรมาส 2 ทรง ๆ ตัว ครึ่งปีหลังน่าจะได้ลุ้น
- ราคาที่ดินยังเป็นตัวถ่วง
อสัง หาฯลดความร้อนแรง ราคาที่ดินก็เป็นส่วนหนึ่งของภาวะตลาด จะเห็นว่ายุคร้อนแรงของราคาที่ดินอยู่ ในปี"55 ขึ้นกันระเบิดเถิดเทิงเป็น 100% ปี"56 ราคาที่ดินขึ้นได้อีกประมาณ 20-30% ปีนี้น่าจะชะลอตัว ยกเว้นทำเลตามแนวรถไฟฟ้า
- มีโอกาสช็อปของถูกไหม
เวลา เศรษฐกิจไม่ดี คนมักจะถามว่าราคาอสังหาฯจะถูกลงหรือไม่...ราคาบ้านปีนี้บอกได้เลยว่าปรับ ขึ้นมากไม่ได้ อย่างเต็มที่ก็ 5% เพราะซัพพลายมีเยอะ
- ผู้บริโภคต้องปรับตัวยังไง
ใน ฝั่งผู้บริโภค ถ้าตั้งใจจะซื้ออสังหาฯคุณก็มีโอกาสซื้อตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนนี้มีสินค้าท่วมตลาด แต่ไม่ใช่ซื้อสะเปะสะปะ ซึ่งผู้ซื้อจำแนกได้ 3 กลุ่มหลัก ซื้ออยู่อาศัยจริง ซื้อเก็งกำไร กับซื้อเพื่อลงทุน อย่างที่บอกไปแล้วว่ากลุ่มซื้อเก็งกำไรน่าจะน้อยลง
ที นี้ก็ต้องมาดูว่าไลฟ์สไตล์คุณเป็นยังไง ก่อนซื้อต้องศึกษาดูว่าทำเลที่ไหนเหมาะสม ลูกอยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตยังไง ในด้านการวางแผนสุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นคุณต้องวางแผนเรื่องโลจิสติกส์ของตัว เอง อสังหาฯเป็นของชิ้นใหญ่ราคาสูง คนชอบคิดแต่ว่าซื้อแล้วต้องผ่อนส่งบ้านหรือคอนโดฯ แต่ลืมคิดไปว่าวิถีชีวิตคุณยังต้องผ่อนส่งอีกหลายอย่าง
เรื่องแรกเลย ขึ้นทางด่วนวันละ 100-200บาท ก็คือผ่อนส่งไปกับค่าทางด่วนใช้รถยนต์เติมน้ำมันอีกวันละ 200-300 บาท ค่าใช้จ่ายคุณก็ผ่อนส่งไปอยู่กับค่าน้ำมันแล้ว ยังมีต้นทุนผ่อนส่งอีกเรื่องคือ "Neighbor-เพื่อนบ้าน" อสังหาฯที่ซื้ออยู่ลึกสุดเลยไหม ซอยเปลี่ยวหรือเปล่า ฯลฯ เป็นเรื่องความปลอดภัยกับคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้ ถ้าจะซื้ออสังหาฯ สิ่งที่ผู้บริโภคต้องดูอีกเรื่องคือการเติบโตของเมือง ตัวอย่างชัดเจน สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสไปบางหว้า กลุ่มอสังหาฯราคาถูกยังมีให้เลือกในโซนรอบนอก แต่เราสามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้ง่ายและสะดวก
- นิยามอสังหาฯ ปี"57 อย่างไร
ผม มองว่าเป็นปีแห่งการปรับฐาน (ซัพพลาย-ดีมานด์) ตลอดทั้งปี"57 ส่วนปี"58 แนวโน้มจะเริ่มดีขึ้น เพราะเข้าสู่โหมดเปิดเออีซี ผู้ประกอบการต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริง
เดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ ศูนย์ข้อมูลเตรียมทยอยจัดสัมมนาใหญ่ นอกจากกรุงเทพฯกับปริมณฑลแล้ว จะมีเซ็กชั่นของต่างจังหวัด ทั้งเหนือ ใต้ อีสาน ตะวันออก นั่นคือแม้แต่ REIC เองก็ต้องทำงานเยอะขึ้น
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 530
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 25
โดยกรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 27 มกราคม 2557
"อนุรักษ์นิยม" วิธิคิด "บิ๊กอสังหาฯ"การเมืองยืดเยื้อ เศรษฐกิจไทยชะลอตัว “LPN-PF-PS-SENA” ตัดใจแตะเบรค ลดการลงทุนและรายได้ และอย่าลืมตรวจสภาพคล่องทางการเงิน การเมืองไทยไม่สงบออกแนวยืดเยื้อ ภาวะเศรษฐกิจไทยส่อแววชะลอตัว เหตุเหล่านี้ให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยออกมาประกาศ “ทบทวน” แผนธุรกิจปี 2557 ใหม่ ส่วนใหญ่เน้นเดินกลยุทธ์ด้วย “ความระมัดระวัง” ปัจจัยทางการเมืองถือเป็นเรื่องแรกๆที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่-กลาง-เล็ก หวั่นใจว่าจะส่งผลให้ธุรกิจในปีนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก
“กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” สอบถามการ “ทบทวน” แผนธุรกิจปีม้ากับ “โอภาส ศรีพยัคฆ์” กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ หรือ LPN ได้ความบอกว่า เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองไม่นิ่ง เราจำเป็นต้องปรับแผนธุรกิจ รวมถึงปรับลดเป้าหมายรายได้รวมเหลือเพียงเติบโต ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่คาดว่ารายได้จะขยายตัวประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เราจำเป็นต้องเดินธุรกิจในปี 2557 แบบ “อนุรักษ์นิยม" เพราะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อาจได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอลง แต่คงไม่น่าถึงขั้นหยุดชะงัก เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นพียงวิกฤตจากการเมืองที่น่าจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงเหมือนในยุคต้มยำกุ้งปี 2540 ตอนโน้นธนาคารไม่ปล่อยกู้ คนตกงานเยอะแยะ เป็นเหตุให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยหยุดชะงักตามไปด้วย
"เอ็มดีใหญ่” วิเคราะห์ว่า นอกจากผู้ประกอบการต้องปรับตัวหลังการเมืองวุ่นวายแล้ว ในปีนี้ยังต้องกลับมาดูเรื่องสภาพคล่องทางการเงินด้วย หากกำลังซื้อชะลอลดลงเท่ากับรายรับของผู้ประกอบการจะน้อยตามไปด้วย ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการลดขนาดมาตรการ QE ของประเทศสหรัฐอเมริกาอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลออก ฉะนั้นปริมาณเงินในระบบจะน้อยลงซึ่งจะกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่อาจยากขึ้น
“สถาบันการเงินหลายแห่งอาจจะมีนโยบายเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องคัดลูกค้าให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้สามารถกู้ผ่าน อาทิ เช็คประวัติการเงินของลูกค้า โดยเฉพาะรายได้ต่อเดือน เราต้องเช็คตั้งแต่เริ่มวางเงินจองจนถึงรับมอบสินค้า”
ด้าน “วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต” รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค หรือ PF บอกในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้บริษัทต้องทบทวนแผนธุรกิจใหม่ จากเดิมปีนี้ตั้งใจจะเปิดตัว 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 17,000 ล้านบาท คงเหลือเพียง 13-14 แห่ง มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,000-15,000 ล้านบาท เราคงลดโครงการในทำเลใหม่ ๆ เป็นหลัก
สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ทำให้ยากต่อการวางแผนการตลาด เชื่อหรือไม่!! “ศาสตร์ทุกตำราใช้ไม่ได้ผลแล้ว” เราไม่สามารถวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดล่วงหน้าได้เลย เดิมเราจะจัดแคมเปญใหญ่ครั้งแรกของปีในเดือนมีนาคมนี้ โดยวางแผนลงสื่อสิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา และแผ่นพับ เรียกว่าโปรโมทเต็มเหนี่ยว แต่ตอนนี้จำเป็นต้องปรับลดการใช้สื่อโฆษณาสิ่งพิมพ์ลง
“ปีนี้คงต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง เพราะว่ามีปัจจัยลบหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ แต่อเราต้องกลับมาประเมินแผนธุรกิจอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ หากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ อาจจะเร่งเปิดโครงการเพิ่มขึ้น"
สำหรับสัดส่วนการเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีแรก และ 6 เดือนหลังอาจใกล้เคียงกัน นั่นคือ 50:50 เราจะเปิดตัวโครงการแรก ด้วยบ้านเดี่ยว “โซล รัชดา" จำนวนกว่า 20 ยูนิต มูลค่า 550 ล้านบาท ในช่วงสิ้นเดือนม.ค.นี้ โครงการนี้จะเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ราคาเริ่มต้นประมาณ 20 ล้านบาท “จุดเด่น” ของโครงการนี้ คือ ไม่มีคู่แข่ง
ฟาก “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์” ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ PS บอกว่า ปัญหาทางเมืองทำให้เราต้องปรับลดรายได้เหลือเพียงการเติบโตประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่มีการชุมนุมทางการเมืองปลายเดือนพ.ย.2556 บริษัทมียอดจองบ้านและคอนโดมิเนียมในเดือน ธ.ค. 56 ลดลงประมาณ 15เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
หลังลูกค้าชะลอการตัดสินใจในการจองซื้อบ้านใหม่ แต่ในส่วนของยอดโอนบ้านยังอยู่ในระดับปกติ ไม่มีสัญญาณที่ลดน้อยลง โดยเฉพาะในส่วนของแนวราบประเภททาวน์เฮ้าส์ ซึ่งกลุ่มลูกค้าในส่วนนี้มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริงๆ
ในปี 2557 บริษัทตั้งเป้ายอดขายจำนวน 41,000-45,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับยอดขายรวมในปี 2556 ที่บริษัทสามารถทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 41,282 ล้านบาท โดยปีนี้เราจะเปิด โครงการใหม่ 40-50 แห่ง มูลค่าโครงการรวมประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภททาวน์เฮ้าส์ 25-29 แห่ง บ้านเดี่ยว 9-12 แห่ง คอนโดมิเนียม 5-8 แห่ง และโครงการในต่างประเทศ 1 แห่ง
แม้ตองปรับแผนธุรกิจบ้าง แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้เรามีรายได้จากโครงการเดิมที่อยู่ระหว่างการพัฒนารวม 164 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 59,689 ล้านบาท ปีนี้คงใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่ใช้เงินลงทุนมากถึง 14,500 ล้านบาท เรื่องเงินลงทุนไม่ต้องห่วงเช่นกัน เราเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณากำหนดวงเงินการออกหุ้นกู้มูลค่าราว 5,000-7,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท และใช้ในกรณีที่อาจเกิดความต้องการใช้เงินเร่งด่วน
“นายใหญ่” ทำนายภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2557 ว่า อาจเติบโตในกรอบแคบๆไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดว่ามูลค่าตลาดรวมอาจอยู่ระดับ 640,000 ล้านบาท โดยตลาดต่างจังหวัดอาจเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะตามจังหวัดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านลบอื่นๆ อาจชะลอตัวลงประมาณ 2% ซึ่งโครงการในกรุงเทพและปริมณฑลจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
“เราอยู่ระหว่างยื่นข้อเสนอลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนนประเทศเวียดนามเหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ถือมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการพัฒนาโครงการในประเทศเวียดนามมีปัญหาในเรื่องที่ดินที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุมชน ทำให้ต้องมีการเวนคืน รวมถึงภาพรวมของตลาดในประเทศเวียดนามยังถือว่า มีการเติบโตที่ไม่สูง”
“ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ หรือ SENA เล่าว่า การเมืองไม่สงบ ทำให้บริษัทต้อง “ทบทวน” แผนการลงทุนปี 2557 ใหม่ เราจะเปิดโครงการเฉพาะที่มีที่ดินเป็นของตัวเองเท่านั้น เดิมตั้งเป้าจะเปิดโครงการใหม่ 10-11 แห่ง มูลค่า 7,000 กว่าล้านบาท แต่เมื่อมีการชุมนุมทางการเมือง และเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนแผนการเปิดโครงการใหม่เพียง 7 แห่ง มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 4 แห่ง และคอนโดมิเนียม 3 แห่ง
โครงการคอนโดมิเนียม 1 แห่งจะอยู่ในย่านบางแค มูลค่าโครงการประมาณ 500-600 ล้านบาท ส่วนอีก 1 แห่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ในช่วงไตรมาส 1/2557 บริษัทจะยังไม่มีการเปิดโครงการใดๆ เราต้องการรอดูสถานการณ์ทางการเมืองก่อน แต่คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ได้ในไตรมาส 2/2557 และอาจทบทวนแผนลงทุนอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 หากสถานการณ์ต่างๆเริ่มดีขึ้น
เธอ เล่าต่อว่า ในปี 2557 เราตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 2,800 ล้านบาท ส่วนยอดโอนจะอยู่ระดับ 2,500 ล้านบาท เราเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะไม่ร้อนแรงเหมือนปี 2556 เพราะปัญหาทางการเมือง หากการเมืองจบเร็วบริษัทจะทบทวนแผนธุรกิจใหม่อีกรอบ เธอย้ำ คาดว่าจะปรับแผนให้เติบโตกว่าในปัจจุบัน “การเมืองจบตลาดอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง” ดร.เกษรา บอกความเชื่อของตนเอง
“ปีนี้ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์”เปรียบตัวเองเหมือน “กางเกงเอวยืด” หากสถานการณ์กลับมาปกติ เราพร้อมกลับมากินอิ่มเหมือนเดิม กางเกงเอวยืดสามารถขยายออกได้ ฉะนั้นหากการเมืองยืดเยื้อรับรองเราไม่ได้ผลกระทบมากกมาย เพราะว่าเราจะทำตัวให้ “ยืดหยุ่น” ตลอดเวลา”
บิสวีคสำรวจความเห็นของเหล่านักวิเคราะห์ พบว่า บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ในปีนี้ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท อาจมีรายได้ประมาณ 37,000 ล้านบาท สิ้นปี 2556 บริษัทมียอด Backlog จำนวน 37,800 ล้านบาท ซึ่งจะมีกำหนดโอนในปีนี้ประมาณ 17,500 ล้านบาท ถือเป็นการรองรับรายได้แล้ว 47 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแนวโน้ม “อัตรากำไรขั้นต้น” คงทรงตัวระดับ 34 เปอร์เซ็นต์ หลังบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ตั้งแต่เปิดโครงการ
“กำไรในปีนี้ของ PS อาจชะลอตัวเล็กน้อยลดลงเหลือ 5,450 ล้านบาท หลังได้รับผลกระทบด้านการเมือง แต่เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.62 บาท”
ด้าน บล.กรุงศรี บอกว่า ในปี 2557 บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ อาจมี “กำไรสุทธิ” ประมาณ 2,700 ล้านบาท หรือเติบโต 6.9 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 20 บาท ขณะที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) มองว่า ปีนี้ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค อาจมี “กำไรสุทธิ” เติบโต 14 เปอร์เซ็นต์ หลังมีคอนโดมีเนียมพร้อมโอนเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าราคาเป้าหมายจะอยู่ระดับ 1.39 บาท
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 27 มกราคม 2557
"อนุรักษ์นิยม" วิธิคิด "บิ๊กอสังหาฯ"การเมืองยืดเยื้อ เศรษฐกิจไทยชะลอตัว “LPN-PF-PS-SENA” ตัดใจแตะเบรค ลดการลงทุนและรายได้ และอย่าลืมตรวจสภาพคล่องทางการเงิน การเมืองไทยไม่สงบออกแนวยืดเยื้อ ภาวะเศรษฐกิจไทยส่อแววชะลอตัว เหตุเหล่านี้ให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยออกมาประกาศ “ทบทวน” แผนธุรกิจปี 2557 ใหม่ ส่วนใหญ่เน้นเดินกลยุทธ์ด้วย “ความระมัดระวัง” ปัจจัยทางการเมืองถือเป็นเรื่องแรกๆที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่-กลาง-เล็ก หวั่นใจว่าจะส่งผลให้ธุรกิจในปีนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก
“กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” สอบถามการ “ทบทวน” แผนธุรกิจปีม้ากับ “โอภาส ศรีพยัคฆ์” กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ หรือ LPN ได้ความบอกว่า เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองไม่นิ่ง เราจำเป็นต้องปรับแผนธุรกิจ รวมถึงปรับลดเป้าหมายรายได้รวมเหลือเพียงเติบโต ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่คาดว่ารายได้จะขยายตัวประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เราจำเป็นต้องเดินธุรกิจในปี 2557 แบบ “อนุรักษ์นิยม" เพราะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อาจได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอลง แต่คงไม่น่าถึงขั้นหยุดชะงัก เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นพียงวิกฤตจากการเมืองที่น่าจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงเหมือนในยุคต้มยำกุ้งปี 2540 ตอนโน้นธนาคารไม่ปล่อยกู้ คนตกงานเยอะแยะ เป็นเหตุให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยหยุดชะงักตามไปด้วย
"เอ็มดีใหญ่” วิเคราะห์ว่า นอกจากผู้ประกอบการต้องปรับตัวหลังการเมืองวุ่นวายแล้ว ในปีนี้ยังต้องกลับมาดูเรื่องสภาพคล่องทางการเงินด้วย หากกำลังซื้อชะลอลดลงเท่ากับรายรับของผู้ประกอบการจะน้อยตามไปด้วย ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการลดขนาดมาตรการ QE ของประเทศสหรัฐอเมริกาอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลออก ฉะนั้นปริมาณเงินในระบบจะน้อยลงซึ่งจะกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่อาจยากขึ้น
“สถาบันการเงินหลายแห่งอาจจะมีนโยบายเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องคัดลูกค้าให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้สามารถกู้ผ่าน อาทิ เช็คประวัติการเงินของลูกค้า โดยเฉพาะรายได้ต่อเดือน เราต้องเช็คตั้งแต่เริ่มวางเงินจองจนถึงรับมอบสินค้า”
ด้าน “วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต” รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค หรือ PF บอกในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้บริษัทต้องทบทวนแผนธุรกิจใหม่ จากเดิมปีนี้ตั้งใจจะเปิดตัว 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 17,000 ล้านบาท คงเหลือเพียง 13-14 แห่ง มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,000-15,000 ล้านบาท เราคงลดโครงการในทำเลใหม่ ๆ เป็นหลัก
สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ทำให้ยากต่อการวางแผนการตลาด เชื่อหรือไม่!! “ศาสตร์ทุกตำราใช้ไม่ได้ผลแล้ว” เราไม่สามารถวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดล่วงหน้าได้เลย เดิมเราจะจัดแคมเปญใหญ่ครั้งแรกของปีในเดือนมีนาคมนี้ โดยวางแผนลงสื่อสิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา และแผ่นพับ เรียกว่าโปรโมทเต็มเหนี่ยว แต่ตอนนี้จำเป็นต้องปรับลดการใช้สื่อโฆษณาสิ่งพิมพ์ลง
“ปีนี้คงต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง เพราะว่ามีปัจจัยลบหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ แต่อเราต้องกลับมาประเมินแผนธุรกิจอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ หากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ อาจจะเร่งเปิดโครงการเพิ่มขึ้น"
สำหรับสัดส่วนการเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีแรก และ 6 เดือนหลังอาจใกล้เคียงกัน นั่นคือ 50:50 เราจะเปิดตัวโครงการแรก ด้วยบ้านเดี่ยว “โซล รัชดา" จำนวนกว่า 20 ยูนิต มูลค่า 550 ล้านบาท ในช่วงสิ้นเดือนม.ค.นี้ โครงการนี้จะเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ราคาเริ่มต้นประมาณ 20 ล้านบาท “จุดเด่น” ของโครงการนี้ คือ ไม่มีคู่แข่ง
ฟาก “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์” ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ PS บอกว่า ปัญหาทางเมืองทำให้เราต้องปรับลดรายได้เหลือเพียงการเติบโตประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่มีการชุมนุมทางการเมืองปลายเดือนพ.ย.2556 บริษัทมียอดจองบ้านและคอนโดมิเนียมในเดือน ธ.ค. 56 ลดลงประมาณ 15เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
หลังลูกค้าชะลอการตัดสินใจในการจองซื้อบ้านใหม่ แต่ในส่วนของยอดโอนบ้านยังอยู่ในระดับปกติ ไม่มีสัญญาณที่ลดน้อยลง โดยเฉพาะในส่วนของแนวราบประเภททาวน์เฮ้าส์ ซึ่งกลุ่มลูกค้าในส่วนนี้มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริงๆ
ในปี 2557 บริษัทตั้งเป้ายอดขายจำนวน 41,000-45,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับยอดขายรวมในปี 2556 ที่บริษัทสามารถทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 41,282 ล้านบาท โดยปีนี้เราจะเปิด โครงการใหม่ 40-50 แห่ง มูลค่าโครงการรวมประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภททาวน์เฮ้าส์ 25-29 แห่ง บ้านเดี่ยว 9-12 แห่ง คอนโดมิเนียม 5-8 แห่ง และโครงการในต่างประเทศ 1 แห่ง
แม้ตองปรับแผนธุรกิจบ้าง แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้เรามีรายได้จากโครงการเดิมที่อยู่ระหว่างการพัฒนารวม 164 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 59,689 ล้านบาท ปีนี้คงใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่ใช้เงินลงทุนมากถึง 14,500 ล้านบาท เรื่องเงินลงทุนไม่ต้องห่วงเช่นกัน เราเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณากำหนดวงเงินการออกหุ้นกู้มูลค่าราว 5,000-7,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท และใช้ในกรณีที่อาจเกิดความต้องการใช้เงินเร่งด่วน
“นายใหญ่” ทำนายภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปี 2557 ว่า อาจเติบโตในกรอบแคบๆไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน คาดว่ามูลค่าตลาดรวมอาจอยู่ระดับ 640,000 ล้านบาท โดยตลาดต่างจังหวัดอาจเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะตามจังหวัดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านลบอื่นๆ อาจชะลอตัวลงประมาณ 2% ซึ่งโครงการในกรุงเทพและปริมณฑลจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
“เราอยู่ระหว่างยื่นข้อเสนอลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนนประเทศเวียดนามเหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ถือมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการพัฒนาโครงการในประเทศเวียดนามมีปัญหาในเรื่องที่ดินที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุมชน ทำให้ต้องมีการเวนคืน รวมถึงภาพรวมของตลาดในประเทศเวียดนามยังถือว่า มีการเติบโตที่ไม่สูง”
“ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ หรือ SENA เล่าว่า การเมืองไม่สงบ ทำให้บริษัทต้อง “ทบทวน” แผนการลงทุนปี 2557 ใหม่ เราจะเปิดโครงการเฉพาะที่มีที่ดินเป็นของตัวเองเท่านั้น เดิมตั้งเป้าจะเปิดโครงการใหม่ 10-11 แห่ง มูลค่า 7,000 กว่าล้านบาท แต่เมื่อมีการชุมนุมทางการเมือง และเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนแผนการเปิดโครงการใหม่เพียง 7 แห่ง มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 4 แห่ง และคอนโดมิเนียม 3 แห่ง
โครงการคอนโดมิเนียม 1 แห่งจะอยู่ในย่านบางแค มูลค่าโครงการประมาณ 500-600 ล้านบาท ส่วนอีก 1 แห่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ในช่วงไตรมาส 1/2557 บริษัทจะยังไม่มีการเปิดโครงการใดๆ เราต้องการรอดูสถานการณ์ทางการเมืองก่อน แต่คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ได้ในไตรมาส 2/2557 และอาจทบทวนแผนลงทุนอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 หากสถานการณ์ต่างๆเริ่มดีขึ้น
เธอ เล่าต่อว่า ในปี 2557 เราตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 2,800 ล้านบาท ส่วนยอดโอนจะอยู่ระดับ 2,500 ล้านบาท เราเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะไม่ร้อนแรงเหมือนปี 2556 เพราะปัญหาทางการเมือง หากการเมืองจบเร็วบริษัทจะทบทวนแผนธุรกิจใหม่อีกรอบ เธอย้ำ คาดว่าจะปรับแผนให้เติบโตกว่าในปัจจุบัน “การเมืองจบตลาดอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง” ดร.เกษรา บอกความเชื่อของตนเอง
“ปีนี้ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์”เปรียบตัวเองเหมือน “กางเกงเอวยืด” หากสถานการณ์กลับมาปกติ เราพร้อมกลับมากินอิ่มเหมือนเดิม กางเกงเอวยืดสามารถขยายออกได้ ฉะนั้นหากการเมืองยืดเยื้อรับรองเราไม่ได้ผลกระทบมากกมาย เพราะว่าเราจะทำตัวให้ “ยืดหยุ่น” ตลอดเวลา”
บิสวีคสำรวจความเห็นของเหล่านักวิเคราะห์ พบว่า บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ในปีนี้ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท อาจมีรายได้ประมาณ 37,000 ล้านบาท สิ้นปี 2556 บริษัทมียอด Backlog จำนวน 37,800 ล้านบาท ซึ่งจะมีกำหนดโอนในปีนี้ประมาณ 17,500 ล้านบาท ถือเป็นการรองรับรายได้แล้ว 47 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแนวโน้ม “อัตรากำไรขั้นต้น” คงทรงตัวระดับ 34 เปอร์เซ็นต์ หลังบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ตั้งแต่เปิดโครงการ
“กำไรในปีนี้ของ PS อาจชะลอตัวเล็กน้อยลดลงเหลือ 5,450 ล้านบาท หลังได้รับผลกระทบด้านการเมือง แต่เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.62 บาท”
ด้าน บล.กรุงศรี บอกว่า ในปี 2557 บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ อาจมี “กำไรสุทธิ” ประมาณ 2,700 ล้านบาท หรือเติบโต 6.9 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 20 บาท ขณะที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) มองว่า ปีนี้ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค อาจมี “กำไรสุทธิ” เติบโต 14 เปอร์เซ็นต์ หลังมีคอนโดมีเนียมพร้อมโอนเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าราคาเป้าหมายจะอยู่ระดับ 1.39 บาท
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 26
ม็อบทุบยอดขาย"บ้าน-คอนโด"ร่วงระนาว บิ๊กแบรนด์-รายกลางพลาดเป้า30%เลื่อนเปิดโครงการครึ่งปีหลัง
updated: 12 ก.พ. 2557 เวลา 11:18:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สำรวจยอดขายเดือน ม.ค. อสังหาฯรายใหญ่-รายกลางออกตัวแผ่ว พลาดเป้าระนาว "พฤกษาฯ" ปิดยอดเดือนแรก 2,800 ล้าน ตกเป้า 9% "ศุภาลัย" ได้ยอด 870 ล้าน หลุดเป้า 3% รายกลาง "ปริญสิริ-เสนาฯ-ซื่อตรงฯ-เปี่ยมสุขฯ-ริชี่เพลซฯ" ต้านไม่ไหว ยอดวูบจากเป้า 14-30% ปรับกลยุทธ์ "เวต แอนด์ ซี" ภาวนาการเมืองสงบ ชะลอเปิดโครงการใหม่จากไตรมาสแรกเป็นไตรมาส 2-3
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การชุมนุมทางการเมืองที่กินเวลามากว่า 3 เดือน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนจากยอดขายบ้าน-คอนโดมิเนียมที่เริ่มชะลอตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
จากการสำรวจยอดขายล่าสุดในเดือนมกราคม 2557 ของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่-รายกลาง 7 บริษัท ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.ศุภาลัย บมจ.ปริญสิริ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.ริชี่เพลซ (2002) บจ.ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ และ บจ. เปี่ยมสุข พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ พบว่ามียอดขายเดือนแรกต่ำกว่าเป้าหมายตั้งแต่ 3-30%
พฤกษาฯยอดต่ำเป้า 9%
แหล่งข่าวจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทมียอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา 2,550 ล้านบาท ถึงจะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 2,800 ล้านบาท อยู่ 9% ปัจจัยหลักมาจากผลกระทบการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ เริ่มเห็นผลกระทบมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีทีแล้ว ขณะที่ปริมาณลูกค้าแวะชมโครงการลดลงจากช่วงปกติเฉลี่ย 25-30% จากเดิมเฉลี่ยสัปดาห์ละ 20 คนต่อโครงการ เหลือสัปดาห์ละ 14-15 คนต่อโครงการ
"ไซต์โครงการทำเลรังสิต และบางบัวทอง มีลูกค้าเข้าชมลดลงมากกว่าโซนอื่น วิเคราะห์ว่ากลุ่มลูกค้าในโซนนี้ส่วนใหญ่เป็นพนักงานโรงงาน เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หลังจากหมดมาตรการรถคันแรก ทางโรงงานเริ่มทยอยลดชั่วโมงทำงานโอที ทำให้รายได้ลดลง"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เพื่อรับมือกับภาวะยอดขายชะลอซึ่งน่าจะต่อเนื่องไปถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ หากปัญหาการเมืองยังไม่ได้ข้อยุติ บริษัทปรับแผนไม่รีบร้อนเปิดโครงการใหม่ แม้ว่าประกาศแผนลงทุนปีนี้จำนวน 40-50 โครงการ โดยโครงการทาวน์เฮาส์คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ส่วนโครงการคอนโดฯจะเริ่มเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 3-4 ยกเว้นปัญหาการเมืองจบเร็วก็อาจจะเริ่มเปิดตัวในไตรมาส 2 เป็นต้นไป
ศุภาลัย-ปริญสิริแผ่ว
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปิดยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา 870 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3% ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนทำยอดขายได้ 1,000 ล้านบาท ลดลง 20% แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ปัจจัยมาจากปัญหาการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ
สำหรับการเร่งยอดขายยอมรับว่าคงฝืนตลาดยาก การบริหารจัดการในภาวะปัจจุบันจะต้องระมัดระวังการลงทุน โดยปีนี้วางแผนเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ (บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์) 15-16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 8-9 โครงการ สำหรับโครงการแนวราบคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ ส่วนคอนโดฯเซตไว้ไตรมาส 2 แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจะเลื่อนเปิดตัวเป็นไตรมาส 3
นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดขายช่วงเดือนแรกที่ผ่านมาชะลอลงทุกโครงการ มียอดขาย 197 ล้านบาท จากเป้าหมาย 250 ล้านบาท หรือลดลง 25% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายได้ 273 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่ปรับแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมาเปิดแล้ว 1 โครงการ ไตรมาส 2 จะเปิด 1 โครงการ และไตรมาส 3-4 จะเปิด 3 โครงการ เนื่องจากบางส่วนเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดตัวจากปีที่ผ่านมา
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปิดยอดขายเดือนมกราคม 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 102 ล้านบาท แต่ยังต่ำกว่าประมาณการทั้งเดือนที่ตั้งไว้ 180 ล้านบาท โดยมีบางโครงการที่ยอดขายต่ำกว่าเป้า 50-60%
"ปัจจัยหลักเกิดจากปัญหาการเมือง ในกลุ่มคอนโดฯยังไม่ถึงขั้นเห็นการทิ้งเงินจอง-เงินดาวน์เพิ่ม อัตราเฉลี่ยยังปกติอยู่ที่ 4% ส่วนกลุ่มที่ประวิงเวลายื้อการโอนมีบ้างตามปกติ"
รายกลางยอดวูบ
นายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำได้ 60 ล้านบาท จากเป้า 75 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้า 20% ล่าสุดบริษัทปรับลดประมาณการยอดขายทั้งปีลงจาก 1,200-1,400 ล้านบาท เหลือ 800-1,200 ล้าน และเลื่อนเปิดตัวโครงการบ้านซื่อตรง พระราม 2 จากเดิมจะเปิดตัวไตรมาส 2 เป็นไตรมาส 4 หรือต้นปี 2558 เพื่อคุมค่าใช้จ่าย และการที่ปรับลดเป้าหมายยอดขายปีนี้ เพราะประเมินว่าปัญหาการเมืองมีโอกาสจะยืดเยื้อ กว่าจะได้รัฐบาลใหม่คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ดังนั้นแผนธุรกิจช่วง 1 ปีนับจากนี้จะใช้กลยุทธ์ประคองตัว
ผู้สื่อข่าวสำรวจยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมาของบริษัทพัฒนาที่ดินรายอื่น อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% , บมจ.ริชี่เพลซ (2002) ได้ยอดขาย 85 ล้านบาท ต่ำจากเป้า 120 ล้านบาท อยู่ 30%, บจ.เปี่ยมสุข พร็อพเพอร์ตี้ฯ มียอดขาย 60 ล้านบาท ต่ำจากเป้า 70 ล้านบาท อยู่ 14% ฯลฯ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1392178804
updated: 12 ก.พ. 2557 เวลา 11:18:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สำรวจยอดขายเดือน ม.ค. อสังหาฯรายใหญ่-รายกลางออกตัวแผ่ว พลาดเป้าระนาว "พฤกษาฯ" ปิดยอดเดือนแรก 2,800 ล้าน ตกเป้า 9% "ศุภาลัย" ได้ยอด 870 ล้าน หลุดเป้า 3% รายกลาง "ปริญสิริ-เสนาฯ-ซื่อตรงฯ-เปี่ยมสุขฯ-ริชี่เพลซฯ" ต้านไม่ไหว ยอดวูบจากเป้า 14-30% ปรับกลยุทธ์ "เวต แอนด์ ซี" ภาวนาการเมืองสงบ ชะลอเปิดโครงการใหม่จากไตรมาสแรกเป็นไตรมาส 2-3
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การชุมนุมทางการเมืองที่กินเวลามากว่า 3 เดือน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนจากยอดขายบ้าน-คอนโดมิเนียมที่เริ่มชะลอตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
จากการสำรวจยอดขายล่าสุดในเดือนมกราคม 2557 ของบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่-รายกลาง 7 บริษัท ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.ศุภาลัย บมจ.ปริญสิริ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.ริชี่เพลซ (2002) บจ.ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ และ บจ. เปี่ยมสุข พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ พบว่ามียอดขายเดือนแรกต่ำกว่าเป้าหมายตั้งแต่ 3-30%
พฤกษาฯยอดต่ำเป้า 9%
แหล่งข่าวจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทมียอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา 2,550 ล้านบาท ถึงจะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 2,800 ล้านบาท อยู่ 9% ปัจจัยหลักมาจากผลกระทบการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ เริ่มเห็นผลกระทบมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีทีแล้ว ขณะที่ปริมาณลูกค้าแวะชมโครงการลดลงจากช่วงปกติเฉลี่ย 25-30% จากเดิมเฉลี่ยสัปดาห์ละ 20 คนต่อโครงการ เหลือสัปดาห์ละ 14-15 คนต่อโครงการ
"ไซต์โครงการทำเลรังสิต และบางบัวทอง มีลูกค้าเข้าชมลดลงมากกว่าโซนอื่น วิเคราะห์ว่ากลุ่มลูกค้าในโซนนี้ส่วนใหญ่เป็นพนักงานโรงงาน เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หลังจากหมดมาตรการรถคันแรก ทางโรงงานเริ่มทยอยลดชั่วโมงทำงานโอที ทำให้รายได้ลดลง"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เพื่อรับมือกับภาวะยอดขายชะลอซึ่งน่าจะต่อเนื่องไปถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ หากปัญหาการเมืองยังไม่ได้ข้อยุติ บริษัทปรับแผนไม่รีบร้อนเปิดโครงการใหม่ แม้ว่าประกาศแผนลงทุนปีนี้จำนวน 40-50 โครงการ โดยโครงการทาวน์เฮาส์คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ส่วนโครงการคอนโดฯจะเริ่มเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 3-4 ยกเว้นปัญหาการเมืองจบเร็วก็อาจจะเริ่มเปิดตัวในไตรมาส 2 เป็นต้นไป
ศุภาลัย-ปริญสิริแผ่ว
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปิดยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา 870 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3% ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนทำยอดขายได้ 1,000 ล้านบาท ลดลง 20% แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ปัจจัยมาจากปัญหาการเมืองทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ
สำหรับการเร่งยอดขายยอมรับว่าคงฝืนตลาดยาก การบริหารจัดการในภาวะปัจจุบันจะต้องระมัดระวังการลงทุน โดยปีนี้วางแผนเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ (บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์) 15-16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 8-9 โครงการ สำหรับโครงการแนวราบคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ ส่วนคอนโดฯเซตไว้ไตรมาส 2 แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจะเลื่อนเปิดตัวเป็นไตรมาส 3
นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดขายช่วงเดือนแรกที่ผ่านมาชะลอลงทุกโครงการ มียอดขาย 197 ล้านบาท จากเป้าหมาย 250 ล้านบาท หรือลดลง 25% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายได้ 273 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่ปรับแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมาเปิดแล้ว 1 โครงการ ไตรมาส 2 จะเปิด 1 โครงการ และไตรมาส 3-4 จะเปิด 3 โครงการ เนื่องจากบางส่วนเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดตัวจากปีที่ผ่านมา
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทปิดยอดขายเดือนมกราคม 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 102 ล้านบาท แต่ยังต่ำกว่าประมาณการทั้งเดือนที่ตั้งไว้ 180 ล้านบาท โดยมีบางโครงการที่ยอดขายต่ำกว่าเป้า 50-60%
"ปัจจัยหลักเกิดจากปัญหาการเมือง ในกลุ่มคอนโดฯยังไม่ถึงขั้นเห็นการทิ้งเงินจอง-เงินดาวน์เพิ่ม อัตราเฉลี่ยยังปกติอยู่ที่ 4% ส่วนกลุ่มที่ประวิงเวลายื้อการโอนมีบ้างตามปกติ"
รายกลางยอดวูบ
นายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำได้ 60 ล้านบาท จากเป้า 75 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้า 20% ล่าสุดบริษัทปรับลดประมาณการยอดขายทั้งปีลงจาก 1,200-1,400 ล้านบาท เหลือ 800-1,200 ล้าน และเลื่อนเปิดตัวโครงการบ้านซื่อตรง พระราม 2 จากเดิมจะเปิดตัวไตรมาส 2 เป็นไตรมาส 4 หรือต้นปี 2558 เพื่อคุมค่าใช้จ่าย และการที่ปรับลดเป้าหมายยอดขายปีนี้ เพราะประเมินว่าปัญหาการเมืองมีโอกาสจะยืดเยื้อ กว่าจะได้รัฐบาลใหม่คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ดังนั้นแผนธุรกิจช่วง 1 ปีนับจากนี้จะใช้กลยุทธ์ประคองตัว
ผู้สื่อข่าวสำรวจยอดขายเดือนมกราคมที่ผ่านมาของบริษัทพัฒนาที่ดินรายอื่น อาทิ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% , บมจ.ริชี่เพลซ (2002) ได้ยอดขาย 85 ล้านบาท ต่ำจากเป้า 120 ล้านบาท อยู่ 30%, บจ.เปี่ยมสุข พร็อพเพอร์ตี้ฯ มียอดขาย 60 ล้านบาท ต่ำจากเป้า 70 ล้านบาท อยู่ 14% ฯลฯ
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1392178804
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 27
ภาพรวม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ส่งผลให้ยอดขายและปริมาณลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เห็นชัดเจนแล้วลดลงถึง 20-50% ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับแผนรับมือความเสี่ยง
ล่าสุด 3 สมาคมอสังหาฯ ประกอบด้วยสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี 2557 "อสังหาริมทรัพย์ ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจปี 2014" เพื่อวิเคราะห์ทิศทางอสังหาฯ
บ้าน-คอนโดฯ เปิดใหม่ลดฮวบ
"สัมมา คีตสิน" ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยสถิติโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอัพเดตล่าสุด ปรากฏว่าหลังจากเกิดปัญหาการเมือง เดือนมกราคม 2557 มี "บ้านจัดสรร" เปิดขายใหม่ 1,800 ยูนิต (10 โครงการ)
และวันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเปิดตัวอีก 700 ยูนิต (4 โครงการ) ส่วน "คอนโดฯ" เดือนมกราคม 2557 เปิดขายใหม่ 5,700 ยูนิต (7 โครงการ) และวันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีคอนโดฯ เปิดตัว 50 ยูนิต (1 โครงการ) ลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปี 2556 มี "บ้านจัดสรร" เปิดขายใหม่เฉลี่ยเดือนละ 4 พันยูนิต และ "คอนโดฯ" เฉลี่ยเดือนละ 7 พันยูนิต เห็นได้ว่าผู้ประกอบการชะลอเปิดโครงการในช่วงต้นปีเพื่อถือเงินสดไว้เพิ่มขึ้น
ดังนั้นคาดการณ์โครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2557 จะชะลอตัวลง โดย "คอนโดฯ" น่าจะเปิดตัวลดลงเหลือ 60,000-65,000 ยูนิต จากปี 2556 เปิดตัว 85,210 ยูนิต ส่วน "บ้านจัดสรร" คาดการณ์จะเปิดตัวไม่ต่ำกว่า 45,000 หน่วย จากปีུ เปิดตัว 45,030 หน่วย ซึ่งจะทำให้ "ดีมานด์-ซัพพลาย" เริ่มปรับเข้าสู่จุดสมดุล
อสังหาฯ รายกลางคุมสต๊อก
"อิสระ บุญยัง" เอ็มดีค่ายกานดา พร็อพเพอร์ตี้ หนึ่งในผู้ประกอบการรายกลางย่านพระราม 2 ระบุว่า นิยามอสังหาฯ ปี 2557 คือ "ปีแห่งการปรับตัว" โดยแต่ละบริษัทควรตรวจ "สุขภาพ" องค์กร การปรับตัวของกานดาฯ ขณะนี้คือควบคุม "ปริมาณ" การสร้างบ้านให้สอดรับกับยอดขาย จากปี 2556 ทั้งปีบริษัทเร่งสร้างบ้านเต็มที่โดยมีบ้านที่ปลูกสร้างทั้งปีประมาณ 1,000-1,100 หลัง หรือเฉลี่ยเดือนละ 80-90 หลัง นโยบายปีนี้ได้ปรับลดปริมาณการสร้างบ้านเหลือประมาณ 900 หลัง เฉลี่ยเดือนละกว่า 70 หลัง มอนิเตอร์ยอดขายทุก 7 วัน
สอดคล้องกับ "ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์" กรรมการบริหารค่ายเสนาดีเวลลอปเม้นท์ระบุว่า ขณะนี้บริษัทติดตามยอดขายอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบันมีบ้าน-คอนโดฯ เปิดขาย 23 โครงการ เดือนมกราคาที่ผ่านมาพบว่ายอดขายลดลงจากปกติ 30-40%
"หากเหตุการณ์ชุมนุมยืดเยื้อจากปัจจุบันไปอีก 3-6 เดือน และยอดขายลดลงมากกว่า 50% จะลดปริมาณบ้านสร้างเสร็จก่อนขายในสต๊อก จากปัจจุบันประมาณ 150-200 ยูนิต แนวโน้มจะปรับลดลงเหลือ 80-120 ยูนิต"
คาดอสังหาฯ ทรงตัว-ติดลบ 10%
ขณะที่มุมมองดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ "ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต" เอ็มดีสายงานคอนโดฯ ค่ายพฤกษา เรียลเอสเตท ชี้ว่า ภาพรวมอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2557 หาก "ทรงตัว" ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะจากข้อมูลฝ่ายวิจัยบริษัทพฤกษาฯ พบว่าปีที่ผ่านมาภาพรวมอสังหาฯ กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีมูลค่ายอดขายรวม 348,546 ล้านบาท เติบโต 12% ถือว่าเป็นสถิติ "นิวไฮ" ของอสังหาฯ
ส่วน "อธิป พีชานนท์" เอ็มดีค่ายศุภาลัยชี้ว่า ปัจจุบันคาดการณ์ภาพรวมอสังหาฯ มีโอกาสทรงตัวหรือเติบโตได้ 5% แต่ถ้าปัญหาการเมืองยืดเยื้อไปถึงกลางปีนี้อาจจะติดลบ 10%
โดยธุรกิจอสังหาฯ ตอนนี้เหมือนเจอ "ถนนขรุขระ" หากปัจจัยไม่เอื้อก็ต้องชะลอการลงทุนเพื่อรอให้สถานการณ์คลี่คลายจึงค่อยกลับมาเปิดโครงการใหม่อีกครั้ง แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติกำลังซื้อจะกลับมารวดเร็ว เพราะขณะนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
สางปัญหาไฟฟ้า-ประปา-สวล.
นอกจากนี้เรื่องการขออนุญาตระบบสาธารณูปโภคอย่าง "ไฟฟ้าและน้ำประปา" นับว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการอสังหาฯ โดย "พิชัย สงวนไชยไผ่วงศ์" รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ระบุว่า ที่ผ่านมา กฟน.มีโครงการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับผู้ประกอบการอสังหาฯ เพื่อให้บริการแบบ "วันสต็อปเซอร์วิส" เกี่ยวกับไฟฟ้า ณ จุดเดียวเพิ่มความรวดเร็ว ปัจจุบันมี "แลนด์แอนด์เฮ้าส์-ควอลิตี้เฮ้าส์-พฤกษาฯ" ที่ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน และพร้อมเปิดรับเพิ่ม
ส่วนการประปานครหลวง (กปน.) ทาง "ธนศักดิ์ วัฒนฐานะ" ผู้ว่าการ กปน.ระบุว่า สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ สะท้อนออกมา กปน.ยินดีช่วยแก้ไขเพื่ออำนวยความสะดวก เช่น เรื่องการวางท่อประปาภายในโครงการบ้านจัดสรร-คอนโดฯ จากเดิม กปน.เป็นผู้ตรวจรับงานจากผู้รับเหมา หากเจ้าของโครงการต้องการตรวจรับงานพร้อมกันก็ยินดี ฯลฯ
ขณะที่ "ปิยนันท์ โศภนคณาภรณ์" ผู้อำนวยการสำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ "สผ." ระบุว่า ขณะนี้ สผ.อยู่ระหว่างผลักดันการทำ "คู่มือแนวทางปฏิบัติการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม" หรือ "Code of Practice" สำหรับโครงการบางประเภท แนวโน้มอาจเป็นคอนโดฯ สูงไม่เกิน 8 ชั้น หรือ 23 เมตร โดยไม่ต้องขออนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก สผ. แต่ให้โครงการดำเนินการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยยึดตามคู่มือปฏิบัติ และ สผ.จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าได้ปฏิบัติตามคู่มือหรือไม่
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
ล่าสุด 3 สมาคมอสังหาฯ ประกอบด้วยสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี 2557 "อสังหาริมทรัพย์ ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจปี 2014" เพื่อวิเคราะห์ทิศทางอสังหาฯ
บ้าน-คอนโดฯ เปิดใหม่ลดฮวบ
"สัมมา คีตสิน" ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยสถิติโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอัพเดตล่าสุด ปรากฏว่าหลังจากเกิดปัญหาการเมือง เดือนมกราคม 2557 มี "บ้านจัดสรร" เปิดขายใหม่ 1,800 ยูนิต (10 โครงการ)
และวันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเปิดตัวอีก 700 ยูนิต (4 โครงการ) ส่วน "คอนโดฯ" เดือนมกราคม 2557 เปิดขายใหม่ 5,700 ยูนิต (7 โครงการ) และวันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีคอนโดฯ เปิดตัว 50 ยูนิต (1 โครงการ) ลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปี 2556 มี "บ้านจัดสรร" เปิดขายใหม่เฉลี่ยเดือนละ 4 พันยูนิต และ "คอนโดฯ" เฉลี่ยเดือนละ 7 พันยูนิต เห็นได้ว่าผู้ประกอบการชะลอเปิดโครงการในช่วงต้นปีเพื่อถือเงินสดไว้เพิ่มขึ้น
ดังนั้นคาดการณ์โครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2557 จะชะลอตัวลง โดย "คอนโดฯ" น่าจะเปิดตัวลดลงเหลือ 60,000-65,000 ยูนิต จากปี 2556 เปิดตัว 85,210 ยูนิต ส่วน "บ้านจัดสรร" คาดการณ์จะเปิดตัวไม่ต่ำกว่า 45,000 หน่วย จากปีུ เปิดตัว 45,030 หน่วย ซึ่งจะทำให้ "ดีมานด์-ซัพพลาย" เริ่มปรับเข้าสู่จุดสมดุล
อสังหาฯ รายกลางคุมสต๊อก
"อิสระ บุญยัง" เอ็มดีค่ายกานดา พร็อพเพอร์ตี้ หนึ่งในผู้ประกอบการรายกลางย่านพระราม 2 ระบุว่า นิยามอสังหาฯ ปี 2557 คือ "ปีแห่งการปรับตัว" โดยแต่ละบริษัทควรตรวจ "สุขภาพ" องค์กร การปรับตัวของกานดาฯ ขณะนี้คือควบคุม "ปริมาณ" การสร้างบ้านให้สอดรับกับยอดขาย จากปี 2556 ทั้งปีบริษัทเร่งสร้างบ้านเต็มที่โดยมีบ้านที่ปลูกสร้างทั้งปีประมาณ 1,000-1,100 หลัง หรือเฉลี่ยเดือนละ 80-90 หลัง นโยบายปีนี้ได้ปรับลดปริมาณการสร้างบ้านเหลือประมาณ 900 หลัง เฉลี่ยเดือนละกว่า 70 หลัง มอนิเตอร์ยอดขายทุก 7 วัน
สอดคล้องกับ "ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์" กรรมการบริหารค่ายเสนาดีเวลลอปเม้นท์ระบุว่า ขณะนี้บริษัทติดตามยอดขายอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบันมีบ้าน-คอนโดฯ เปิดขาย 23 โครงการ เดือนมกราคาที่ผ่านมาพบว่ายอดขายลดลงจากปกติ 30-40%
"หากเหตุการณ์ชุมนุมยืดเยื้อจากปัจจุบันไปอีก 3-6 เดือน และยอดขายลดลงมากกว่า 50% จะลดปริมาณบ้านสร้างเสร็จก่อนขายในสต๊อก จากปัจจุบันประมาณ 150-200 ยูนิต แนวโน้มจะปรับลดลงเหลือ 80-120 ยูนิต"
คาดอสังหาฯ ทรงตัว-ติดลบ 10%
ขณะที่มุมมองดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ "ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต" เอ็มดีสายงานคอนโดฯ ค่ายพฤกษา เรียลเอสเตท ชี้ว่า ภาพรวมอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2557 หาก "ทรงตัว" ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะจากข้อมูลฝ่ายวิจัยบริษัทพฤกษาฯ พบว่าปีที่ผ่านมาภาพรวมอสังหาฯ กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีมูลค่ายอดขายรวม 348,546 ล้านบาท เติบโต 12% ถือว่าเป็นสถิติ "นิวไฮ" ของอสังหาฯ
ส่วน "อธิป พีชานนท์" เอ็มดีค่ายศุภาลัยชี้ว่า ปัจจุบันคาดการณ์ภาพรวมอสังหาฯ มีโอกาสทรงตัวหรือเติบโตได้ 5% แต่ถ้าปัญหาการเมืองยืดเยื้อไปถึงกลางปีนี้อาจจะติดลบ 10%
โดยธุรกิจอสังหาฯ ตอนนี้เหมือนเจอ "ถนนขรุขระ" หากปัจจัยไม่เอื้อก็ต้องชะลอการลงทุนเพื่อรอให้สถานการณ์คลี่คลายจึงค่อยกลับมาเปิดโครงการใหม่อีกครั้ง แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติกำลังซื้อจะกลับมารวดเร็ว เพราะขณะนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
สางปัญหาไฟฟ้า-ประปา-สวล.
นอกจากนี้เรื่องการขออนุญาตระบบสาธารณูปโภคอย่าง "ไฟฟ้าและน้ำประปา" นับว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการอสังหาฯ โดย "พิชัย สงวนไชยไผ่วงศ์" รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ระบุว่า ที่ผ่านมา กฟน.มีโครงการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับผู้ประกอบการอสังหาฯ เพื่อให้บริการแบบ "วันสต็อปเซอร์วิส" เกี่ยวกับไฟฟ้า ณ จุดเดียวเพิ่มความรวดเร็ว ปัจจุบันมี "แลนด์แอนด์เฮ้าส์-ควอลิตี้เฮ้าส์-พฤกษาฯ" ที่ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน และพร้อมเปิดรับเพิ่ม
ส่วนการประปานครหลวง (กปน.) ทาง "ธนศักดิ์ วัฒนฐานะ" ผู้ว่าการ กปน.ระบุว่า สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ สะท้อนออกมา กปน.ยินดีช่วยแก้ไขเพื่ออำนวยความสะดวก เช่น เรื่องการวางท่อประปาภายในโครงการบ้านจัดสรร-คอนโดฯ จากเดิม กปน.เป็นผู้ตรวจรับงานจากผู้รับเหมา หากเจ้าของโครงการต้องการตรวจรับงานพร้อมกันก็ยินดี ฯลฯ
ขณะที่ "ปิยนันท์ โศภนคณาภรณ์" ผู้อำนวยการสำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ "สผ." ระบุว่า ขณะนี้ สผ.อยู่ระหว่างผลักดันการทำ "คู่มือแนวทางปฏิบัติการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม" หรือ "Code of Practice" สำหรับโครงการบางประเภท แนวโน้มอาจเป็นคอนโดฯ สูงไม่เกิน 8 ชั้น หรือ 23 เมตร โดยไม่ต้องขออนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก สผ. แต่ให้โครงการดำเนินการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยยึดตามคู่มือปฏิบัติ และ สผ.จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าได้ปฏิบัติตามคู่มือหรือไม่
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0700
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 28
พิษการเมืองลูกค้าทิ้งดาวน์คอนโด "บิ๊กแบรนด์"กุมขมับตัวเลขพุ่ง20%
updated: 06 มี.ค. 2557 เวลา 21:00:03 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
การเมือง-เศรษฐกิจชะลอตัว ยอดทิ้งดาวน์คอนโดฯ พุ่งปรี๊ด ค่าเฉลี่ย 3% ล่าสุดกระฉูดไปถึง 20% บิ๊กแบรนด์ "เพอร์เฟค-แสนสิริ-เสนาฯ" แจงปัญหาลูกค้ากลุ่มซื้อเก็งกำไรขายต่อห้องชุดไม่ได้ ปรับแผนเช็กสถานะการเงิน-ความพร้อมรับโอนกรรมสิทธิ์ของลูกค้า
ผู้สื่อข่าวสำรวจผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการคอนโดมิเนียมทยอยโอนกรรมสิทธิ์ช่วงไตรมาส 1/57 พบว่าขณะนี้ประเด็นที่จับตามองคือภาวะฟองสบู่สำหรับยอดแบ็กล็อก (ยอดขายรอโอน) ของโครงการคอนโดฯ ที่เปิดขายเมื่อช่วง 1-2 ปีที่แล้ว ซึ่งลูกค้ากลุ่มเก็งกำไรพร้อมจะทิ้งดาวน์ทันทีหากขายห้องชุดต่อไม่ได้
คอนโดฯรอโอนทะลักปีนี้
ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ข้อมูลบริษัทพัฒนาที่ดินจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 15 รายแรก มีแบ็กล็อกสะสมรวม 2.81 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้จะโอนปี 2557 ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท นำไปสู่ความวิตกกังวลของผู้ประกอบการที่ว่าลูกค้าจะรับโอนห้องชุดหรือไม่
ปัจจัยกดดันมาจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ยาวนานร่วม 4 เดือน ส่งผลกระทบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้ซื้อคอนโดฯ โดยกลุ่มที่ซื้อเก็งกำไรจะมีปัญหาไม่สามารถขายห้องชุดต่อได้
ส่วนกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองอาจจะเริ่มไม่มั่นใจว่า อนาคตจะถูกลดเงินเดือนหรือตกงาน ขณะนี้จึงเริ่มเห็นปรากฏการณ์ลูกค้าทิ้งดาวน์เพิ่มขึ้นผิดปกติ
เพอร์เฟคทิ้งดาวน์เพิ่มเท่าตัว
แหล่งข่าวจากบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมามีลูกค้าคอนโดฯทิ้งดาวน์เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากเดิมมีตัวเลขเฉลี่ยโครงการละ 3-4% ของยูนิตทั้งหมด ล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 7-8% โดยกรณีโครงการขนาด 400-500 ยูนิต จะมีห้องชุดทิ้งดาวน์เดิมมีไม่ต่ำกว่า 10 ยูนิต เพิ่มเป็น 20-40 ยูนิต
บริษัทประเมินว่าสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้กลุ่มที่ซื้อห้องชุดไว้เก็งกำไร ไม่สามารถขายห้องชุดได้ก่อนโอนกรรมสิทธิ์ โดยบริษัทได้นำห้องชุดส่วนนี้มารีเซลโดยอาจมีแคมเปญพิเศษ เช่น เพิ่มของแถม ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนให้ลูกค้า เป็นต้น
ทั้งนี้ เพอร์เฟคไม่มีนโยบายเจาะขายกลุ่มลูกค้าเก็งกำไร แต่ในทางปฏิบัติย่อมต้องมีปะปนเข้ามาบ้าง ประเมินว่าโครงการของบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าเก็งกำไรเฉลี่ย 10-15% ต่อโครงการ ถือว่ายังต่ำกว่าภาพรวมตลาดซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าซื้อเก็งกำไรเฉลี่ย 20-30% ต่อโครงการ
"ช่วงนี้เพอร์เฟคมีโครงการไอคอนโดอยู่ระหว่างโอนหลายทำเล เช่น งามวงศ์วาน สุขุมวิท 103 สุขุมวิท 105 สุขาภิบาล 2 ยอมรับว่ามีลูกค้าทิ้งดาวน์เพิ่มขึ้นจริง แต่ยังมั่นใจว่าสามารถนำกลับมาขายใหม่ได้ เพราะราคาปรับขึ้นจากช่วงเปิดตัว 10-15%" แหล่งข่าวกล่าว
แสนสิริเจอทิ้งดาวน์ 5%
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คอนโดฯของแสนสิริที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา มีห้องชุดที่ต้องนำกลับมารีเซลต่อโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 10-15% ในจำนวนนี้เกิดจากลูกค้าทิ้งดาวน์ 5% เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ปกติที่มีตัวเลขทิ้งดาวน์ 3% สัดส่วนที่เหลืออีก 10% เกิดจากกู้ไม่ผ่าน
สำหรับคอนโดฯที่ลูกค้าทิ้งดาวน์ส่วนใหญ่เป็นเซ็กเมนต์กลาง-ล่าง แบรนด์ดีคอนโดและเดอะเบส ราคาขายตารางเมตรละ 4-8 หมื่นบาท หรือยูนิตละ 1-2 ล้านบาททำให้มีกลุ่มที่ซื้อเก็งกำไรเข้ามาบ้าง
ส่วนโครงการออนิกซ์ที่เป็นคอนโดฯระดับกลาง-บนราคาตารางเมตรละ 1 แสนบาทขึ้นไปมีลูกค้าทิ้งดาวน์ 3%
อย่างไรก็ตาม ห้องชุดที่ลูกค้าทิ้งดาวน์เมื่อยึดกลับมาขายใหม่ จะสามารถบวกราคาเพิ่มขึ้นได้อีกตามราคาตลาด เช่น เดิมห้องชุดตอนเปิดขายใหม่มีราคา 1 ล้านบาท เมื่อยึดกลับมาขายใหม่จะตั้งราคา 1.05 ล้านบาท หรือประมาณ 5% เนื่องจากช่วงที่ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 18 เดือน ราคาคอนโดฯจะปรับขึ้นประมาณ 10%
"แสนสิริมีแบ็กล็อกคอนโดฯปีนี้ 1.8 หมื่นล้านบาท ยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่ลูกค้าส่วนหนึ่งไม่มาโอนกรรมสิทธิ์ ผมยังมองบวกว่าถ้าปัญหาการเมืองไม่รุนแรงมากกว่านี้เชื่อว่าจะนำกลับมาขายใหม่ได้ทั้งหมด เพราะคอนโดฯ 8 ชั้นใช้เวลาสร้างประมาณ 15-18 เดือน ราคาปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 10%"
นายอุทัยกล่าวด้วยว่า ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาบริษัทปรับเพิ่มสัดส่วนเงินดาวน์จาก 5-7% เป็น 10-15% เพื่อลดปัญหากู้ไม่ผ่าน โดยยอมรับว่าการใช้กลยุทธ์เงินดาวน์ต่ำเป็นปัจจัยหนึ่งกระตุ้นนักเก็งกำไรเข้ามาซื้อห้องชุด ที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจชะลอจากผลกระทบปัญหาการเมืองและหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น เชื่อว่าปัจจุบันเหลือแต่กลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ซื้ออยู่อาศัยจริงและซื้อลงทุนปล่อยเช่าเท่านั้น
เสนาฯเช็กลูกค้าพร้อมโอน
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทมีคอนโดฯรอโอน 4 โครงการ ได้แก่ เดอะคิทท์ติวานนท์, เดอะคิทท์คลองหลวง, เดอะคิทท์นวมินทร์ และเดอะคิทท์ลำลูกกา มูลค่ารวม 2 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ยยูนิตละ 9 แสนบาท จะเริ่มทยอยโอนตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม-เมษายนนี้
สถานการณ์เฉพาะหน้าในปัจจุบันจากปัญหาการเมืองและปัญหาหนี้สินครัวเรือน อาจมีลูกค้าทิ้งดาวน์เพิ่มขึ้นจากปกติเฉลี่ยโครงการละ 10% คาดว่าจะเพิ่มเป็น 15-20%
เพราะผู้ซื้อเริ่มไม่มั่นใจว่าอนาคตจะถูกลดเงินเดือนหรือให้ออกจากงานหรือไม่ จึงตัดสินใจขายห้องชุดต่อแทนที่จะมารับโอน แต่เมื่อขายไม่ได้ก็อาจตัดใจทิ้งดาวน์ เช่นเดียวกับกลุ่มเก็งกำไรเมื่อขายห้องชุดไม่ได้ก็ต้องทิ้งดาวน์
"เร็วๆ นี้เสนาฯจะจัดอีเวนต์เชิญลูกค้ามาเยี่ยมชมความคืบหน้างานก่อสร้าง ขณะเดียวกันจะสอบถามลูกค้าว่ายังพร้อมจะโอนห้องชุดหรือไม่ พร้อมทั้งขอตรวจสอบประวัติการเงินและภาระหนี้สินลูกค้า เพื่อทราบข้อมูลล่วงหน้าว่ามีลูกค้าพร้อมจะโอนกรรมสิทธิ์จริง ๆ เท่าไหร่" ดร.เกษรากล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1394091201
updated: 06 มี.ค. 2557 เวลา 21:00:03 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
การเมือง-เศรษฐกิจชะลอตัว ยอดทิ้งดาวน์คอนโดฯ พุ่งปรี๊ด ค่าเฉลี่ย 3% ล่าสุดกระฉูดไปถึง 20% บิ๊กแบรนด์ "เพอร์เฟค-แสนสิริ-เสนาฯ" แจงปัญหาลูกค้ากลุ่มซื้อเก็งกำไรขายต่อห้องชุดไม่ได้ ปรับแผนเช็กสถานะการเงิน-ความพร้อมรับโอนกรรมสิทธิ์ของลูกค้า
ผู้สื่อข่าวสำรวจผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการคอนโดมิเนียมทยอยโอนกรรมสิทธิ์ช่วงไตรมาส 1/57 พบว่าขณะนี้ประเด็นที่จับตามองคือภาวะฟองสบู่สำหรับยอดแบ็กล็อก (ยอดขายรอโอน) ของโครงการคอนโดฯ ที่เปิดขายเมื่อช่วง 1-2 ปีที่แล้ว ซึ่งลูกค้ากลุ่มเก็งกำไรพร้อมจะทิ้งดาวน์ทันทีหากขายห้องชุดต่อไม่ได้
คอนโดฯรอโอนทะลักปีนี้
ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ข้อมูลบริษัทพัฒนาที่ดินจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 15 รายแรก มีแบ็กล็อกสะสมรวม 2.81 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้จะโอนปี 2557 ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท นำไปสู่ความวิตกกังวลของผู้ประกอบการที่ว่าลูกค้าจะรับโอนห้องชุดหรือไม่
ปัจจัยกดดันมาจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ยาวนานร่วม 4 เดือน ส่งผลกระทบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้ซื้อคอนโดฯ โดยกลุ่มที่ซื้อเก็งกำไรจะมีปัญหาไม่สามารถขายห้องชุดต่อได้
ส่วนกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองอาจจะเริ่มไม่มั่นใจว่า อนาคตจะถูกลดเงินเดือนหรือตกงาน ขณะนี้จึงเริ่มเห็นปรากฏการณ์ลูกค้าทิ้งดาวน์เพิ่มขึ้นผิดปกติ
เพอร์เฟคทิ้งดาวน์เพิ่มเท่าตัว
แหล่งข่าวจากบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมามีลูกค้าคอนโดฯทิ้งดาวน์เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากเดิมมีตัวเลขเฉลี่ยโครงการละ 3-4% ของยูนิตทั้งหมด ล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 7-8% โดยกรณีโครงการขนาด 400-500 ยูนิต จะมีห้องชุดทิ้งดาวน์เดิมมีไม่ต่ำกว่า 10 ยูนิต เพิ่มเป็น 20-40 ยูนิต
บริษัทประเมินว่าสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้กลุ่มที่ซื้อห้องชุดไว้เก็งกำไร ไม่สามารถขายห้องชุดได้ก่อนโอนกรรมสิทธิ์ โดยบริษัทได้นำห้องชุดส่วนนี้มารีเซลโดยอาจมีแคมเปญพิเศษ เช่น เพิ่มของแถม ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนให้ลูกค้า เป็นต้น
ทั้งนี้ เพอร์เฟคไม่มีนโยบายเจาะขายกลุ่มลูกค้าเก็งกำไร แต่ในทางปฏิบัติย่อมต้องมีปะปนเข้ามาบ้าง ประเมินว่าโครงการของบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าเก็งกำไรเฉลี่ย 10-15% ต่อโครงการ ถือว่ายังต่ำกว่าภาพรวมตลาดซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าซื้อเก็งกำไรเฉลี่ย 20-30% ต่อโครงการ
"ช่วงนี้เพอร์เฟคมีโครงการไอคอนโดอยู่ระหว่างโอนหลายทำเล เช่น งามวงศ์วาน สุขุมวิท 103 สุขุมวิท 105 สุขาภิบาล 2 ยอมรับว่ามีลูกค้าทิ้งดาวน์เพิ่มขึ้นจริง แต่ยังมั่นใจว่าสามารถนำกลับมาขายใหม่ได้ เพราะราคาปรับขึ้นจากช่วงเปิดตัว 10-15%" แหล่งข่าวกล่าว
แสนสิริเจอทิ้งดาวน์ 5%
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คอนโดฯของแสนสิริที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา มีห้องชุดที่ต้องนำกลับมารีเซลต่อโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 10-15% ในจำนวนนี้เกิดจากลูกค้าทิ้งดาวน์ 5% เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ปกติที่มีตัวเลขทิ้งดาวน์ 3% สัดส่วนที่เหลืออีก 10% เกิดจากกู้ไม่ผ่าน
สำหรับคอนโดฯที่ลูกค้าทิ้งดาวน์ส่วนใหญ่เป็นเซ็กเมนต์กลาง-ล่าง แบรนด์ดีคอนโดและเดอะเบส ราคาขายตารางเมตรละ 4-8 หมื่นบาท หรือยูนิตละ 1-2 ล้านบาททำให้มีกลุ่มที่ซื้อเก็งกำไรเข้ามาบ้าง
ส่วนโครงการออนิกซ์ที่เป็นคอนโดฯระดับกลาง-บนราคาตารางเมตรละ 1 แสนบาทขึ้นไปมีลูกค้าทิ้งดาวน์ 3%
อย่างไรก็ตาม ห้องชุดที่ลูกค้าทิ้งดาวน์เมื่อยึดกลับมาขายใหม่ จะสามารถบวกราคาเพิ่มขึ้นได้อีกตามราคาตลาด เช่น เดิมห้องชุดตอนเปิดขายใหม่มีราคา 1 ล้านบาท เมื่อยึดกลับมาขายใหม่จะตั้งราคา 1.05 ล้านบาท หรือประมาณ 5% เนื่องจากช่วงที่ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 18 เดือน ราคาคอนโดฯจะปรับขึ้นประมาณ 10%
"แสนสิริมีแบ็กล็อกคอนโดฯปีนี้ 1.8 หมื่นล้านบาท ยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่ลูกค้าส่วนหนึ่งไม่มาโอนกรรมสิทธิ์ ผมยังมองบวกว่าถ้าปัญหาการเมืองไม่รุนแรงมากกว่านี้เชื่อว่าจะนำกลับมาขายใหม่ได้ทั้งหมด เพราะคอนโดฯ 8 ชั้นใช้เวลาสร้างประมาณ 15-18 เดือน ราคาปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 10%"
นายอุทัยกล่าวด้วยว่า ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาบริษัทปรับเพิ่มสัดส่วนเงินดาวน์จาก 5-7% เป็น 10-15% เพื่อลดปัญหากู้ไม่ผ่าน โดยยอมรับว่าการใช้กลยุทธ์เงินดาวน์ต่ำเป็นปัจจัยหนึ่งกระตุ้นนักเก็งกำไรเข้ามาซื้อห้องชุด ที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจชะลอจากผลกระทบปัญหาการเมืองและหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น เชื่อว่าปัจจุบันเหลือแต่กลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ซื้ออยู่อาศัยจริงและซื้อลงทุนปล่อยเช่าเท่านั้น
เสนาฯเช็กลูกค้าพร้อมโอน
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทมีคอนโดฯรอโอน 4 โครงการ ได้แก่ เดอะคิทท์ติวานนท์, เดอะคิทท์คลองหลวง, เดอะคิทท์นวมินทร์ และเดอะคิทท์ลำลูกกา มูลค่ารวม 2 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ยยูนิตละ 9 แสนบาท จะเริ่มทยอยโอนตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม-เมษายนนี้
สถานการณ์เฉพาะหน้าในปัจจุบันจากปัญหาการเมืองและปัญหาหนี้สินครัวเรือน อาจมีลูกค้าทิ้งดาวน์เพิ่มขึ้นจากปกติเฉลี่ยโครงการละ 10% คาดว่าจะเพิ่มเป็น 15-20%
เพราะผู้ซื้อเริ่มไม่มั่นใจว่าอนาคตจะถูกลดเงินเดือนหรือให้ออกจากงานหรือไม่ จึงตัดสินใจขายห้องชุดต่อแทนที่จะมารับโอน แต่เมื่อขายไม่ได้ก็อาจตัดใจทิ้งดาวน์ เช่นเดียวกับกลุ่มเก็งกำไรเมื่อขายห้องชุดไม่ได้ก็ต้องทิ้งดาวน์
"เร็วๆ นี้เสนาฯจะจัดอีเวนต์เชิญลูกค้ามาเยี่ยมชมความคืบหน้างานก่อสร้าง ขณะเดียวกันจะสอบถามลูกค้าว่ายังพร้อมจะโอนห้องชุดหรือไม่ พร้อมทั้งขอตรวจสอบประวัติการเงินและภาระหนี้สินลูกค้า เพื่อทราบข้อมูลล่วงหน้าว่ามีลูกค้าพร้อมจะโอนกรรมสิทธิ์จริง ๆ เท่าไหร่" ดร.เกษรากล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1394091201
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 29
จ่ายงบท้องถิ่น7พันแห่งสะดุด รับเหมาจ๊าก!! ยื้อค่าก่อสร้าง 1 ปี
updated: 07 มี.ค. 2557 เวลา 11:30:34 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เบิกจ่ายงบภาครัฐสะดุด เงินอุดหนุนท้องถิ่น 7,000 แห่งขาดตอน รับเหมารายกลาง-รายย่อยป่วนหนัก ถูกยื้อค่างวดงานถ้วนหน้า 2 เดือน-1 ปี เผยไม่เว้นแม้แต่ "ดีเอสไอ-กทม." ส่วนรถไฟฟ้า 3 สีลุ้นเงินก้อน 1.7 หมื่นล้านโปะไซต์ก่อสร้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลกระทบจากบรรยากาศการเมืองที่มีการชุมนุมปิดสถานที่ราชการจนทำให้ข้าราชการไม่สามารถเข้าทำงานได้ตามปกติ ยังคงมีแรงเหวี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในวงการผู้รับเหมาก่อสร้างที่เป็นคู่สัญญากับภาครัฐ จากการสำรวจความเคลื่อนไหวล่าสุดพบว่ากลุ่มผู้รับเหมารายกลางและรายย่อยในพื้นที่ต่างจังหวัดถูกปฏิเสธการเบิกเงินค่างวดงานจากหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ โดยชี้แจงว่าไม่สามารถทำธุรกรรมเบิกจ่ายได้ เพราะไม่สามารถเบิกเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร หรืองบประมาณอุดหนุนได้ตามปกตินั่นเอง
โครงการดีเอสไอดึงเงินงวด
แหล่งข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้าง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้มีผู้รับเหมาก่อสร้างทุกระดับ ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็กที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานราชการเริ่มประสบปัญหาได้รับค่าจ้างล่าช้า คาดว่ามีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย คือหน่วยงานถูกปิดเนื่องจากมีการชุมนุมเกิดขึ้น เช่น กรณีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) วงเงินประมาณ 500-600 ล้านบาท ที่จ่ายเงินล่าช้าอยู่ประมาณ 1-2 เดือนหลังกระทรวงการคลังถูกปิด
นอกจากนี้ ยังเกิดกรณีมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการงบประมาณที่มีการโยกไปใช้จ่ายสำหรับโครงการอื่น ปัจจุบันเริ่มเห็นในส่วนของหน่วยงานท้องถิ่นที่ได้รับเงินงบประมาณเป็นก้อนใหญ่แล้วไปบริหารจัดการภายหลัง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่มีปัญหาเรื่องการบริหารงบประมาณการเบิกจ่ายมาประมาณ 1-2 ปีแล้ว
"กทม.จะบริหารงานและเงินไม่ดี หรือใช้เงินผิดประเภท ทำให้มีปัญหา เช่น โยกเงินค่าก่อสร้างไปใช้โครงการอื่นก่อน สาเหตุอาจเพราะความคืบหน้าการก่อสร้างอาจจะล่าช้า แต่เมื่องานก่อสร้างเดินหน้าก็ไม่มีเงินมาจ่าย อย่างปีที่แล้วล่าช้า 6-7 เดือน" แหล่งข่าวกล่าว
กทม.ยอมรับยื้อ 1-2 เดือน
นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ยอมรับว่า กทม.จ่ายเงินผู้รับเหมาล่าช้าบ้าง เนื่องจากงบประมาณประจำปีหมด และมีบางโครงการที่ก่อสร้างได้เร็วกว่าแผน ทำให้ตั้งงบประมาณไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ กทม.ได้กันงบประมาณกลางปี จำนวน 2,000 ล้านบาท สำหรับจ่ายค่าก่อสร้างให้ผู้รับเหมาใน 16 โครงการหลัก ทั้งงานถนนและระบายน้ำ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผู้รับเหมาโครงการไหนขอเบิกจ่ายมา อาจจะอยู่ในขั้นตอนตรวจรับงานก่อสร้าง
"ตอนนี้อาจจะมีล่าช้าบ้าง 1-2 เดือน เพราะกระบวนการเบิกจ่ายงบฯกลางปีจะนาน เหมือนกับรัฐบาล เวลาขอเบิกมาใช้จะใช้เวลาหลายเดือน ส่วนปีที่แล้วที่จ่ายช้าหลายเดือน เพราะ กทม.ไม่ได้รับเงินอุดหนุนสำหรับงานโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐบาลกลางเลย จึงไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างผู้รับเหมา ปีนี้ กทม.ใช้เงินจากงบประมาณของ กทม.เอง จึงคาดว่าไม่น่ามีปัญหามากนัก" รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าว
รถไฟฟ้า 3 สายติดบ่วง
นายอังสุรัสมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ได้รับการรายงานเรื่องนี้มาเหมือนกัน ประเด็นจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาล่าช้า เท่าที่ทราบเป็นงานก่อสร้างอาคารของหน่วยงานหนึ่ง เนื่องจากที่ทำงานถูกปิด จึงไม่สามารถเข้าไปทำงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนรับเหมางานทาง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อีกหน่วยงานที่มีปัญหาเรื่องจ่ายเงินผู้รับเหมา คือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ต้องรอการอนุมัติจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อมาจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย วงเงินรวมประมาณ 17,100 ล้านบาท ได้แก่ สายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) วงเงิน 10,918 ล้านบาท จะครบกำหนดจ่ายเดือนมีนาคมนี้ยังมีสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ครบกำหนดจ่ายเดือนพฤษภาคม จำนวน 1,654 ล้านบาท และสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) ครบกำหนดจ่ายในเดือนพฤษภาคม 4,545 ล้านบาท หากล่าช้าจะกระทบต่อแผนงานก่อสร้าง และการเปิดให้บริการล่าช้าโดยปริยาย
อบต.7 พันแห่งชะเง้อรอ
นายชัยมงคล ไชยรบ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย (สมาคม อบจ.) เปิดเผยว่า จากการที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลล่าช้า กระทบต่อองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ อบต.ขนาดเล็กที่ได้รับงบประมาณ 15 ล้านบาท/ปี เป็นกลุ่มได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะขาดเงินทุนในการบริหารงาน แตกต่างจาก อบต.ขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนเหลือสะสมอยู่แล้ว
"ปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากรัฐจัดเก็บภาษีรถยนต์ได้ช้า ทำให้การส่งภาษีถึงท้องถิ่นช้าตามไปด้วย จากเดิมจะส่งเดือนละ 1 ครั้ง แต่นับจากสิ้นปีงบประมาณ"56 เมื่อเดือนกันยายน ปรากฏว่ารัฐบาลเพิ่งจ่ายเงินให้ท้องถิ่นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์"57 และจ่ายครั้งเดียว3 เดือน ทำให้แผนลงทุนของท้องถิ่นคลาดเคลื่อน" นายชัยมงคลกล่าว
หวั่นงบฯล่าช้าลากยาวปีหน้า
นายวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้กำลังให้เทศบาลทั่วประเทศตรวจสอบว่ามีกี่โครงการที่หน่วยงานภาครัฐจัดสรรงบประมาณส่วนท้องถิ่นประจำปี 2557 ล่าช้า เพื่อจะได้หาทางพิจารณาช่วยเหลือต่อไป โดยได้รับคำชี้แจงว่าสาเหตุที่งบประมาณเบิกจ่ายช้า เนื่องจากรัฐเก็บภาษีต่าง ๆ ได้ช้าเช่น ภาษีบำรุงท้องถิ่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย ค่าธรรมเนียมห้องพักจากผู้ประกอบการโรงแรม ซึ่งเป็นผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางลดลง อีกสาเหตุหนึ่งคือเศรษฐกิจภาพรวมที่ชะลอตัวลง ทำให้ผู้ประกอบการจ่ายภาษีล่าช้า
"สิ่งที่เป็นห่วงคือปัญหานี้จะเห็นได้ชัดเจนในปีงบประมาณ 2558 ที่แนวโน้มรัฐจะจัดเก็บภาษีลดลง หากสภาพเศรษฐกิจ การเมืองยังเป็นเช่นนี้ จะมีผลต่อการจัดสรรงบประมาณกระจายสู่ท้องถิ่น ทำให้แผนงานต่าง ๆ ที่ท้องถิ่นวางไว้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย" นายวิชัยกล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1394119899
updated: 07 มี.ค. 2557 เวลา 11:30:34 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เบิกจ่ายงบภาครัฐสะดุด เงินอุดหนุนท้องถิ่น 7,000 แห่งขาดตอน รับเหมารายกลาง-รายย่อยป่วนหนัก ถูกยื้อค่างวดงานถ้วนหน้า 2 เดือน-1 ปี เผยไม่เว้นแม้แต่ "ดีเอสไอ-กทม." ส่วนรถไฟฟ้า 3 สีลุ้นเงินก้อน 1.7 หมื่นล้านโปะไซต์ก่อสร้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลกระทบจากบรรยากาศการเมืองที่มีการชุมนุมปิดสถานที่ราชการจนทำให้ข้าราชการไม่สามารถเข้าทำงานได้ตามปกติ ยังคงมีแรงเหวี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในวงการผู้รับเหมาก่อสร้างที่เป็นคู่สัญญากับภาครัฐ จากการสำรวจความเคลื่อนไหวล่าสุดพบว่ากลุ่มผู้รับเหมารายกลางและรายย่อยในพื้นที่ต่างจังหวัดถูกปฏิเสธการเบิกเงินค่างวดงานจากหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ โดยชี้แจงว่าไม่สามารถทำธุรกรรมเบิกจ่ายได้ เพราะไม่สามารถเบิกเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร หรืองบประมาณอุดหนุนได้ตามปกตินั่นเอง
โครงการดีเอสไอดึงเงินงวด
แหล่งข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้าง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้มีผู้รับเหมาก่อสร้างทุกระดับ ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็กที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานราชการเริ่มประสบปัญหาได้รับค่าจ้างล่าช้า คาดว่ามีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย คือหน่วยงานถูกปิดเนื่องจากมีการชุมนุมเกิดขึ้น เช่น กรณีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) วงเงินประมาณ 500-600 ล้านบาท ที่จ่ายเงินล่าช้าอยู่ประมาณ 1-2 เดือนหลังกระทรวงการคลังถูกปิด
นอกจากนี้ ยังเกิดกรณีมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการงบประมาณที่มีการโยกไปใช้จ่ายสำหรับโครงการอื่น ปัจจุบันเริ่มเห็นในส่วนของหน่วยงานท้องถิ่นที่ได้รับเงินงบประมาณเป็นก้อนใหญ่แล้วไปบริหารจัดการภายหลัง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่มีปัญหาเรื่องการบริหารงบประมาณการเบิกจ่ายมาประมาณ 1-2 ปีแล้ว
"กทม.จะบริหารงานและเงินไม่ดี หรือใช้เงินผิดประเภท ทำให้มีปัญหา เช่น โยกเงินค่าก่อสร้างไปใช้โครงการอื่นก่อน สาเหตุอาจเพราะความคืบหน้าการก่อสร้างอาจจะล่าช้า แต่เมื่องานก่อสร้างเดินหน้าก็ไม่มีเงินมาจ่าย อย่างปีที่แล้วล่าช้า 6-7 เดือน" แหล่งข่าวกล่าว
กทม.ยอมรับยื้อ 1-2 เดือน
นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ยอมรับว่า กทม.จ่ายเงินผู้รับเหมาล่าช้าบ้าง เนื่องจากงบประมาณประจำปีหมด และมีบางโครงการที่ก่อสร้างได้เร็วกว่าแผน ทำให้ตั้งงบประมาณไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ กทม.ได้กันงบประมาณกลางปี จำนวน 2,000 ล้านบาท สำหรับจ่ายค่าก่อสร้างให้ผู้รับเหมาใน 16 โครงการหลัก ทั้งงานถนนและระบายน้ำ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผู้รับเหมาโครงการไหนขอเบิกจ่ายมา อาจจะอยู่ในขั้นตอนตรวจรับงานก่อสร้าง
"ตอนนี้อาจจะมีล่าช้าบ้าง 1-2 เดือน เพราะกระบวนการเบิกจ่ายงบฯกลางปีจะนาน เหมือนกับรัฐบาล เวลาขอเบิกมาใช้จะใช้เวลาหลายเดือน ส่วนปีที่แล้วที่จ่ายช้าหลายเดือน เพราะ กทม.ไม่ได้รับเงินอุดหนุนสำหรับงานโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐบาลกลางเลย จึงไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างผู้รับเหมา ปีนี้ กทม.ใช้เงินจากงบประมาณของ กทม.เอง จึงคาดว่าไม่น่ามีปัญหามากนัก" รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าว
รถไฟฟ้า 3 สายติดบ่วง
นายอังสุรัสมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ได้รับการรายงานเรื่องนี้มาเหมือนกัน ประเด็นจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาล่าช้า เท่าที่ทราบเป็นงานก่อสร้างอาคารของหน่วยงานหนึ่ง เนื่องจากที่ทำงานถูกปิด จึงไม่สามารถเข้าไปทำงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนรับเหมางานทาง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อีกหน่วยงานที่มีปัญหาเรื่องจ่ายเงินผู้รับเหมา คือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ต้องรอการอนุมัติจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อมาจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย วงเงินรวมประมาณ 17,100 ล้านบาท ได้แก่ สายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) วงเงิน 10,918 ล้านบาท จะครบกำหนดจ่ายเดือนมีนาคมนี้ยังมีสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ครบกำหนดจ่ายเดือนพฤษภาคม จำนวน 1,654 ล้านบาท และสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) ครบกำหนดจ่ายในเดือนพฤษภาคม 4,545 ล้านบาท หากล่าช้าจะกระทบต่อแผนงานก่อสร้าง และการเปิดให้บริการล่าช้าโดยปริยาย
อบต.7 พันแห่งชะเง้อรอ
นายชัยมงคล ไชยรบ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย (สมาคม อบจ.) เปิดเผยว่า จากการที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลล่าช้า กระทบต่อองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ อบต.ขนาดเล็กที่ได้รับงบประมาณ 15 ล้านบาท/ปี เป็นกลุ่มได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะขาดเงินทุนในการบริหารงาน แตกต่างจาก อบต.ขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนเหลือสะสมอยู่แล้ว
"ปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากรัฐจัดเก็บภาษีรถยนต์ได้ช้า ทำให้การส่งภาษีถึงท้องถิ่นช้าตามไปด้วย จากเดิมจะส่งเดือนละ 1 ครั้ง แต่นับจากสิ้นปีงบประมาณ"56 เมื่อเดือนกันยายน ปรากฏว่ารัฐบาลเพิ่งจ่ายเงินให้ท้องถิ่นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์"57 และจ่ายครั้งเดียว3 เดือน ทำให้แผนลงทุนของท้องถิ่นคลาดเคลื่อน" นายชัยมงคลกล่าว
หวั่นงบฯล่าช้าลากยาวปีหน้า
นายวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้กำลังให้เทศบาลทั่วประเทศตรวจสอบว่ามีกี่โครงการที่หน่วยงานภาครัฐจัดสรรงบประมาณส่วนท้องถิ่นประจำปี 2557 ล่าช้า เพื่อจะได้หาทางพิจารณาช่วยเหลือต่อไป โดยได้รับคำชี้แจงว่าสาเหตุที่งบประมาณเบิกจ่ายช้า เนื่องจากรัฐเก็บภาษีต่าง ๆ ได้ช้าเช่น ภาษีบำรุงท้องถิ่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย ค่าธรรมเนียมห้องพักจากผู้ประกอบการโรงแรม ซึ่งเป็นผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางลดลง อีกสาเหตุหนึ่งคือเศรษฐกิจภาพรวมที่ชะลอตัวลง ทำให้ผู้ประกอบการจ่ายภาษีล่าช้า
"สิ่งที่เป็นห่วงคือปัญหานี้จะเห็นได้ชัดเจนในปีงบประมาณ 2558 ที่แนวโน้มรัฐจะจัดเก็บภาษีลดลง หากสภาพเศรษฐกิจ การเมืองยังเป็นเช่นนี้ จะมีผลต่อการจัดสรรงบประมาณกระจายสู่ท้องถิ่น ทำให้แผนงานต่าง ๆ ที่ท้องถิ่นวางไว้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย" นายวิชัยกล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1394119899
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์
โพสต์ที่ 30
สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ชี้ ศาลตีตก พ.ร.บ.2 ล้านล้าน ราคาที่ดินตกแน่ ห่วงนักเก็งกำไรอ่วม หลังก่อนหน้าแห่ซื้อที่ดินตามแนวรถไฟความเร็วสูง...
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน ขัดต่อกฎหมายนั้น ส่งผลให้ราคาที่ดินตามต่างจังหวัด ที่เป็นแนวโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง มีราคาปรับลดลงอย่างแน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการเก็งกำไรราคาที่ดิน สูงขึ้นไป 2-3 เท่า จากราคาปกติ
คาดว่า ส่วนใหญ่มาจากการเก็งกำไรของที่ดิน ไม่ใช่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นห่วงว่า นักเก็งกำไรเหล่านี้อยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งคงต้องรอดูความชัดเจนว่า โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะมีขึ้นหรือไม่ หรือน่าจะพัฒนาไปในรูปแบบใด
นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าผู้ประกอบการจะมีการย้ายทำเลในการพัฒนาโครงการจากเดิมไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัด และจะกลับมาพัฒนาในส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลแทน.
โดย: ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/content/eco/410051
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน ขัดต่อกฎหมายนั้น ส่งผลให้ราคาที่ดินตามต่างจังหวัด ที่เป็นแนวโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง มีราคาปรับลดลงอย่างแน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการเก็งกำไรราคาที่ดิน สูงขึ้นไป 2-3 เท่า จากราคาปกติ
คาดว่า ส่วนใหญ่มาจากการเก็งกำไรของที่ดิน ไม่ใช่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นห่วงว่า นักเก็งกำไรเหล่านี้อยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งคงต้องรอดูความชัดเจนว่า โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจะมีขึ้นหรือไม่ หรือน่าจะพัฒนาไปในรูปแบบใด
นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าผู้ประกอบการจะมีการย้ายทำเลในการพัฒนาโครงการจากเดิมไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัด และจะกลับมาพัฒนาในส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลแทน.
โดย: ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/content/eco/410051
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.