'ซื้อต่ำ ขายสูง' เคล็ดลับ 'รวยหุ้น'2 สตรีเก่ง แห่ง 'แม็ค กรุ๊ป'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, June 10, 2013 06:23
เปิดคลังสมบัติ "2 นายหญิง" แห่ง "แม็ค กรุ๊ป" "ปรารถนา มงคลกุล" ประธานกรรมการบริหาร เจ้าของพอร์ตหุ้นเฉียดหลักพันล้าน และ "สุณี เสรีภาณุ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้ปลาบปลื้มหุ้นกลุ่มยานยนต์สุดๆ "ไม่กล้า ไม่รวย"!! หากวันนั้นไม่ยึดวลีนี้ บัดนี้พอร์ต "หุ้น-ทองคา-อสังหาริมทรัพย์" ของ "ติ่ง" ปรารถนา คงไม่ขึ้นมาสะกิดหลัก "พันล้านบาท" กลยุทธ์ "มองให้เป็นเห็นนักลงทุนต่างชาติเป็นครู ใช้ตลาดทุนเป็นห้องเรียนชั้นเลิศ" นี่แหละ บ่อเกิดแห่งความสาเร็จของนาง
"ถือหุ้นต้นทุนต่า" คืองานถนัดของนางทั้งสอง
เปิดคลังสมบัติ "นายหญิง" แห่ง "แม็ค กรุ๊ป" "ปรารถนา มงคลกุล" เจ้าของพอร์ตหุ้นเฉียดหลักพันล้าน และ "สุณี เสรีภาณุ" ผู้ปลาบปลื้มหุ้นกลุ่มยานยนต์สุดๆ "ถือหุ้นต้นทุนต่ำ" งานถนัดของนางทั้งสอง
"ไม่กล้า ไม่รวย"!!
หากวันนั้นไม่ยึดวลีนี้ บัดนี้พอร์ต "หุ้นทองคำ-อสังหาริมทรัพย์" ของ "ติ่ง" ปรารถนา มงคลกุล ประธานกรรมการบริหาร "แม็ค กรุ๊ป" คงไม่ขึ้นมาสะกิดหลัก "พันล้านบาท"กลยุทธ์ "มองให้เป็นเห็นนักลงทุนต่างชาติเป็นครู ใช้ตลาดทุนเป็นห้องเรียนชั้นเลิศ"นี่แหละ บ่อเกิดแห่งความสำเร็จของนาง
กว่า 20 ปีแล้ว ที่ "ปรารถนา" ดีกรีปริญญาตรี สาขาการบัญชี และ ปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โลดแล่นอยู่ในแวดวงการเงิน ที่ผ่านมาเธอมีโอกาสเข้าไปคุมเรื่องเงินๆทองๆ ให้กับ 2 บริษัทยักษ์ ใหญ่ของเมืองไทย อย่าง "เซ็นทรัลพัฒนา" (CPN)"ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และ (MINT)
"ปรารถนา มงคลกุล" สวมกางเกง "แม็คยีนส์" ราวกับ เป็นพรีเซนเตอร์สินค้า มาบอกเล่า เรื่องราวการลงทุนอย่างที่ไม่เคย เผยที่ใดมาก่อนให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟังว่า "ถือหุ้นในบริษัทที่ทำงานอยู่" นี่คือคติประจำใจในการลงทุนหุ้น เราอยู่กับงานทุกวัน ย่อมรู้ดีว่า พื้นฐานของเขาแกร่งมากระดับไหน!!
ในช่วงปี 2540 เริ่มควักเงินก้อนโตซื้อหุ้น CPN ราคา 5 บาทต่อหุ้น ช่วงนั้นใครๆ ก็รู้ว่า เมืองไทยเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ช้อนหุ้นหลังลาออกจากฝ่ายการเงินของ CPN แล้วนะ เราทำงานอยู่รู้ดีว่า พื้นฐาน บริษัทดีมาก เข้าไปเก็บช่วงราคาลงเยอะๆ ช่วงนั้น เขาโดนค่าเงินบาทลอยตัวเล่นงาน
เพิ่งตัดใจขายหุ้น CPN ไปเมื่อปี 2555 ในราคากว่า 60 บาท แม่เจ้า!!
หุ้นไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)เป็นหุ้นตัวที่สอง เหตุผลเหมือนเคย เข้าไป นั่งทำงานแล้วเห็นข้อมูลทุกอย่างรับรู้มาตลอดว่า บริษัทนี้ "เลิศ" แค่ไหน ทำให้มีความกล้าที่จะซื้อหุ้นตัวนี้ ช่วงนั้นสัดส่วนการลงทุนมีหุ้น CPN และ หุ้น MINT เยอะมาก
เมื่อก่อนมีคนเตือนว่า "ห้ามถือหุ้นตัวใด ตัวหนึ่ง ในสัดส่วนที่มากเกินไป" จากนั้นมาก็ปรับพอร์ตลงทุนตัวเอง "อย่านำไข่มาอยู่ ในตะกร้าเดียวกัน" ควรแบ่งพอร์ตและตัดขายหุ้นบางตัวออกไป เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่าหรือใกล้เคียงกัน
เธอเล่าต่อว่า หลังปรับแผนลงทุนใหม่ ทำให้พอร์ตมีหุ้นระยะยาว 90% อีก 10% ถือระยะสั้น ทุกวันนี้เน้นถือหุ้นใน 4 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.หุ้นกลุ่มอาหาร แม้จะลาออกจาก MINT มาแล้ว แต่ยังชอบหุ้นตัวนี้มากสุด 2.กลุ่มสื่อสาร"รักมาก" ต้องยกให้หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ต้นทุน 30 บาท ทุกวันนี้ราคา ปาเข้าไป 95 บาทแล้ว!
3.กลุ่มพลังงาน หุ้นครอบครัวปตท. มีเกือบหมดทุกตัว ซื้อหุ้น PTT มา 300 บาท ถึงแม้วันนี้จะ "เจ็บตัว" จากหุ้นตัวนี้ แต่ ไม่เคยคิดขาย เพราะเขาจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ สุดท้าย คือ กลุ่มค้าปลีก หุ้น แม็ค กรุ๊ป ถือว่ามีเยอะมากสุด
ถามถึงสไตล์การลงทุน? เธอบอกว่า ชอบมากอันดับแรก คือ หุ้นที่มีมาร์เก็ตแชร์ สูงๆ เรียกว่าเป็นผู้ชนะในธุรกิจนั้นๆ ยิ่งมีความเสี่ยง ต่ำยิ่งเลิฟ กลุ่มที่มีลักษณะเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ใน "กลุ่มอาหาร-พลังงาน-สื่อสาร-ค้าปลีก"
ปลื้มอันดับ 2 คือ หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราการทำกำไรที่ดี มีการบริหารงานแบบโปร่งใส บางครั้ง ไม่จำเป็นต้องมีกำไรสูงสุด ขอแค่มีธรรมาภิบาลเยอะๆ และผู้บริหารมีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็พอ
จริงๆ แล้วชอบลงทุนหุ้นกลุ่ม SET 50 หรือ SET 100 ได้ยินแบบนี้ดูเหมือนเรา "ใจดำ"กับหุ้นตัวเล็กๆ (หัวเราะ) ไอ้หุ้น ประเภท "หวือหวา" ไม่เล่นเลย บังเอิญเป็นคนขี้กลัวมาก "กลัวเจ๊ง" ว่าง่ายๆ (ฮ่า ฮ่า) ฉะนั้นขอเน้นหุ้นบูลชิพดีกว่า เพื่อความสบายใจ!!
มีหุ้นในพอร์ตกี่ตัว? เธอตอบว่า 10 ตัว ถือยาวสัก 7 ตัว สั้นอีก 3 ตัว ฝั่งสั้นจะเป็นหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แม้จะถือลงทุนไม่นาน แต่ก็เลือกซื้อเฉพาะตัวใหญ่ๆ อาทิ หุ้น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) หุ้น ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และ หุ้นกรุงเทพ ดุสิตเวชการ (BGH) บอกตรงไม่กล้าถือกลุ่มนี้ ยาว ฝังใจมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง สมัยนั้นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ดูไม่จืดจริงจริ๊ง
ฟากหุ้นที่ถือยาวๆจะเน้นดู "เงินปันผล" เป็นหลัก ถ้าจ่ายดีจ่ายนานซื้อเลย ส่วนใหญ่หุ้นกลุ่มนี้จะซื้อแล้วปล่อยทิ้ง ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ทำงานไม่ค่อยมีเวลาดู ขืนเอาเวลางานมานั่งเล่นหุ้น โดนกาหัวแน่ๆ จริงๆ เพิ่งกลับมาเคลื่อนไหวพอร์ตลงทุนจริงจัง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังลาออกจากงานประจำ
เมื่อก่อนเคยเป็น "เม่าน้อย" ที่มักช้อนหุ้นช่วงขาขึ้น และขายตอนหุ้นลง โหย!! ช่วงนั้น พอร์ตเป็น "สีแดง" พักหลังๆใจเริ่มเย็น หันมาซื้อตอนหุ้นปรับฐานลง เมื่อดีดขึ้นต้องใจแข็ง อย่าเข้าไปซื้อ ปรับลงก็ห้ามขาย
"ซื้อต่ำ-ขายสูง" กลยุทธ์นี้ดีสุดๆ เดี๋ยวนี้ เวลาหุ้นหล่น รีบโทรไปถามโบรกเกอร์ว่า "มีหุ้นตัวไหนน่าสนใจบ้าง"
"กองทุนทองคำ" ก็ชอบลงทุน เมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ราคาทองคำทำใจหาย ลงมา เหลือ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ สินทรัพย์ประเภท "ที่ดิน" ก็ลงทุนเหมือนกัน แต่ ไม่มากเท่าไร ตอนนี้กำลังสนใจศึกษาการลงทุนต่างประเทศ ช่วงแรกคงเข้าไปในรูปแบบของ กองทุนก่อน หากมีความเข้าใจมากพอค่อยลงทุน หุ้นรายตัวๆ อยากกระจายพอร์ต เพราะตลาดหุ้น ไทยขึ้นมาสูงแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป และ สหรัฐอเมริกา ปรับตัวลดลงค่อนข้างต่ำ
คนที่ทำงานประจำ อย่าเล่นหุ้น แต่ถ้าอยากลงทุนจริงให้ซื้อหุ้นที่รู้จัก ถ้าไม่รู้ว่าหุ้นตัวนั้นทำธุรกิจอะไร อย่าเข้าเด็ดขาด!!
ถึงคิว "สุณี เสรีภาณุ" ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ "แม็ค กรุ๊ป" เล่าเส้นทางการลงทุน หลังเรียนจบคณะบัญชี จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไปต่อปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ชีวิตการทำงานผ่านมาหลากหลายแห่ง แต่เข้ามาทำใน "แม็ค กรุ๊ป" ช่วงปี 2540 วิกฤติเศรษฐกิจพอดี บริษัทยังมีร้านค้าทั่วประเทศอีก 100 กว่าจุด
"ราคาต่ำๆ" ชอบมากหุ้นสไตล์นี้ ส่วนใหญ่จะซื้อแล้วปล่อยทิ้งมักหันกลับมาดูอีกทีช่วงราคาหุ้นตกเยอะๆ พอร์ตลงทุนไม่ใหญ่ไม่โต แค่หลัก "ร้อยล้านบาท" เน้นลงทุนในหุ้น 20% ที่ดิน 50% ที่เหลือ 30% เก็บเป็นเงินสด หรือไม่ก็ลงทุน "ทองคำ"ส่วนตัวชอบหุ้น "กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์"เข้าไปลงทุนตั้งแต่ราคาต่ำมากๆ กลุ่มนี้ จ่ายปันผลดี ก่อนจะซื้อเคยมองการณ์ไกลว่า วันหนึ่งเมืองไทยต้องมีรถยนต์อีโคคาร์ ฉะนั้นชิ้นส่วนยานยนต์จะขายดีมาก ที่สำคัญเมืองไทยต้องเป็นฐานการผลิตรถยนต์ กลุ่มพลังงานก็มีติดพอร์ตบ้างเล็กน้อย
ถือหุ้นกลุ่มยานยนต์แสนจะมีความสุข ปัจจุบันถือหุ้นอันดับ 10 ใน หุ้นอาปิโก ไฮเทค (AH) จำนวน 5,200,000 หุ้น คิดเป็น 2.30% (ณ วันที่19 มี.ค.56) ซื้อมาตั้งแต่ราคา 4 บาท ปัจจุบันเฉลี่ย 25.25 บาท ตั้งแต่ถือหุ้นตัวนี้ "ไม่เคยผิดหวัง" ได้ทั้งเงินปันผล และ ผลตอบแทนจากราคาหุ้น ที่ผ่านมาบริษัทสร้างผลงานไว้โดดเด่น เคยคิดจะขายหุ้น AH หวังโกยกำไร แต่ "ใจไม่กล้าพอ" ยิ่งเห็นผู้บริหารสู้ไม่ถอยช่วงน้ำท่วมใหญ่ ยิ่งไม่อยากขาย
จากการตรวจสอบของ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" พบชื่อ "สุณี เสรีภาณุ" ถือหุ้น เอสวีโอเอ (SVOA) อันดับที่ 17 จำนวน 7 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.99% (ตัวเลข ณ วันที่ 14 มี.ค.55)
"สะสมที่ดิน" ชอบมากไม่แพ้กัน เราไม่ต้อง "กังวล" ว่าจะเผลอทำหายที่ไหน ส่วน "คอนโดมิเนียม" ซื้อลงทุนบ้าง ปัจจุบันมีขายออก ไปนิดหน่อย ล่าสุดเพิ่งขายคอนโดมิเนียมที่เพิ่งซื้อมาสมัย "ฟองสบู่แตก" ต้นทุนต่ำมาก ตัดขายออกไป ได้กำไรเป็นเท่าตัว
'โกอินเตอร์'อนาคต'ยีนส์'สายพันธุ์ไทย
"สุณี เสรีภาณุ" ในฐานะผู้บริหารรุ่น 2 เล่าว่า ช่วงเข้ามาทำงานใหม่ๆ มีโอกาสไปเดินตรวจสาขาครั้งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ รู้สึกตกใจมาก "ทำไมคนใส่เสื้อแจ๊คเก็ตยีนส์ของ แม็คเยอะจัง" ในขณะที่คนกรุงเทพฯ ไม่ค่อยใส่ ยิ่งดูให้ลึกยิ่งพบว่า สินค้าของเรา ได้รับความนิยมมากในภาคเหนือและอีสาน ฉะนั้นช่องทางนี้ยังขยายตัวได้อีกมาก
"ปรารถนา" พูดในทำนองเดียวกันว่า เราดังมากๆ ในต่างจังหวัด "แม็ค กรุ๊ป" ถือเป็น เจ้าแรกและเจ้าเดียวที่มีโมเดลแบบ "ป่าล้อมเมือง" ปัจจุบันมีจุดขายสินค้า 511 แห่ง
ถามถึงแผนธุรกิจ 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) "สองผู้บริหารหญิง" ประสานเสียงว่า หลังขายหุ้นไอพีโอ ให้แก่ประชาชนทั่วไปไม่เกิน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท (ตอนนี้ยังไม่ระบุช่วงเวลาซื้อขาย) เรามีแผนจะ "โกอินเตอร์" ไปในประเทศ "อินโดนีเซีย- มาเลเซีย-กัมพูชา" ทุกวันนี้มีรายได้ต่างประเทศ เพียงพม่าและลาวเท่านั้น ปีก่อนมีรายได้นอกบ้าน เพียง 10 ล้านบาท
"ญี่ปุ่น-เกาหลี" บอกเลย มีโอกาสไปแน่เรายังมีแผนจะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย เรียกว่าสินค้าของเราต้องขายได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกของตนเอง (Free standing shop) ห้างสรรพสินค้า (Modern trade) และช่องทางอื่นๆ ที่สำคัญจะจัดการแยก แบรนด์ "McLand" ซึ่งเป็นสินค้าสตรี ออกมาจากแบรนด์ "Mc" รวมถึงทำ "New Concept"โดยสาขาจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ภายในร้านจะมีสินค้าครบทุกอย่าง ปัจจุบันกำลังวางรูปแบบ ภายในปี 2556 จะได้เห็น 1-2 แห่ง เดิมเรา ใช้พื้นที่ต่อสาขาเพียง 80 ตารางเมตร แต่ คอนเซ็ปต์ใหม่จะทำให้มีพื้นที่เพิ่มเป็น 300 ตารางเมตร
ในส่วนของแบรนด์ใหม่ๆ ยังคงมีต่อเนื่อง กำลังจะเจาะกลุ่มตลาดยีนส์ "พรีเมี่ยม" ปัจจุบันตลาดนี้เป็นของแบรนด์นอก โดยจะเปิดแบรด์ "Blue Brothers" ภายในไตรมาส 3/56 แรกๆคงดูกระแสตอบรับว่า ผู้บริโภคคิดอย่างไรกับยีนส์ราคา 4,000 บาท แต่ถ้าเทียบกับแบรนด์นอกที่ราคา 6,000-10,000 บาท ก็ถือว่าสินค้าของถูกกว่าเยอะ หากผลออกมาเชิงบวกจะทำตลาดเพิ่มขึ้น กลางปี 2556
เธอ เล่าต่อว่า วันนี้เด็กไทยยังไม่ค่อยนิยมกางเกงยีนส์เท่าที่ควร ฉะนั้นเราจะผุดแบรนด์ "Mc Mini" "Mc Pink" หลายคนคิดจะออกอะไรเยอะแยะ ความต้องการสินค้าใหม่ๆ ยังมีอีกมาก วันนี้มูลค่าตลาดเสื้อผ้าภายในประเทศสูงถึง 3 แสนล้านบาท แต่ "แม็ค กรุ๊ป" มีมาร์เก็ตแชร์เพียง 1% เท่านั้น เท่ากับว่าช่องว่างของตลาดยังมีอีก "มหาศาล"
แต่ถ้าเป็นตลาดยีนส์อย่างเดียวมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท "แม็ค กรุ๊ป" มีมาร์เก็ตแชร์ 38% เป็นอันดับ 1 รองจากเรามีมาร์เก็ตแชร์ไม่ต่ำกว่า 30% ตลาดยีนส์เติบโตปีละ 15-20% ตอนนี้กำลังขยายตลาด เปรียบเหมือน กำลังออกสู่มหาสมุทร ยังมีโอกาสจับปลากินได้ อีกเพียบ
รายได้โตเฉลี่ย 20% ทุกปี รักษามาร์จิ้น 24-25% เรื่องง่ายๆ ทำได้อยู่แล้ว
'อย่านำไข่มาอยู่ในตะกร้าเดียวกัน ควรแบ่งพอร์ต และตัดขายหุ้นบางตัวออกไปบ้าง "ปรารถนา มงคลกุล" '
บรรยายใต้ภาพ
สุณี เสรีภาณุ
ปรารถนา มงคลกุล--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
'ซื้อต่ำ ขายสูง' เคล็ดลับ 'รวยหุ้น'2 สตรีเก่ง แห่ง 'แม็ค กรุ
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1