จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
tenkafubu
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ถึงพี่ๆ ที่เคยผ่านวิกฤต ปี40 และก้คงมีหลายท่านที่ออกจากตลาด ก่อนที่จะขาดทุน มีหลายท่านที่ได้กำไรและกลับมาลงทุนอีกครั้งหลังวิกฤต
ผมอยากทราบว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดของเรา Over เกินไปแล้ว
ถ้าที่ผมเคยอ่านมา ในสหรัฐ เขาให้ดูกองทุนแบบคุณค่า ที่ถอนตัวออกไป แล้วเมืองไทยละครับดูยัง...อะไรเป็นตัวชี้วัด??? ตัวเลขทางเศรษฐกิจมหภาคหรืออย่างไร???
ผมเชื่อว่า ต้องมีพี่ๆ หลายท่านให้คำตอบได้
ยังไงรบกวน ช่วยชี้แนะเป็นวิทยาทานด้วยครับ

ด้วยความเคารพ...
Tenkafubu

ขอให้โลกนี้สงบสุขและทุกหัวใจมีรัก
3M Only...
Market Cap.
Ent'
Verified User
โพสต์: 715
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมคิดเอาไว้ว่าจะออกจากตลาดเมื่อไม่มีบริษัทไหนที่ดูแล้วน่าลงทุนนะครับ หรือมีทางเลือกอื่นที่น่าให้ผลตอบแทนเยอะกว่า

อย่างตอนต้นปี เป็นช่วงที่ผมคิดว่าน่าอึดอัดมาก เพราะว่าหุ้นแต่ละบริษัทราคาแพง จนซื้อไม่ลงกันทั้งนั้นเลย ก็โชคดีไปครับ ที่ตอนนั้นผมไม่ค่อยมีหุ้นเหลืออยู่แล้ว

แต่พูดถึงเรื่องหุ้นถูกหรือแพงก็เป็นเรื่องที่ มาตรฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกันเสียอีกนะ พูดยากนะพูดยาก หาคำตอบที่ถูกได้ยากว่าจะออกจากตลาดเมื่อไหร่

ถ้าถามใหม่เป็นว่าจะลงทุนในหุ้น ถึงเมื่อไหร่ ก็อาจจะยิ่งตอบยากเข้าไปอีก จนกว่าจะเจ๊งหมดตัว หรือว่าจนกว่าจะเริ่มรู้สึกว่าเลือกหุ้นไม่ไหว สมองไม่ทำงาน แก่แล้ว หรือจนกว่าจะ"รวย"จนไม่อยากได้เงินเพิ่มแล้ว อันนี้ก็ตอบยากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
9A
Verified User
โพสต์: 17
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดของเรา Over เกินไปแล้ว

โพสต์ที่ 3

โพสต์

P/E นะครับ ว่ามันสูงกว่าที่ควรจะเป็นหรือเปล่า
และบริษัทนั้นพื้นฐานเป็นอย่างไร สมเหตุสมผลในการทำกำไรหรือเปล่า
มูลค่าหุ้นสูงเกินเหตุหรือเปล่า

อันนี้ก็พูดอยากนะครับ เพราะปี 35-36 อะไรมันก็โตจนคิดว่าดีมากๆ โบนัสเพียบ การใช้จ่ายสุรุยสุร่าย กันถ้วนหน้า รัฐบาลสร้างภาพ ปั่นที่ดิน และอีกหลายอย่าง ผมยังจำคำว่า นิกค์ เสือตัวที่ 11 และหลายคำได้ ตอนนั้นผมยังเด็กไม่ค่อยสนใจเรื่อง เศรษฐกิจ การเมือง

นักเรียนนักศึกษา ตอนนั้น สนใจว่าจบแล้วบริษัทไหนจะมาซื้อตัว ตอนนี้สถาบันที่ผมศึกษา รุ่นพี่ถูกจองตัวกันตั้งแต่ปี 3 ปี 4 แต่รุ่นผมหางานกันงกๆ
ยิ่งรุ่นน้องจบแล้วไม่ต้องพูดถึง มีตังก็เรียนต่อได้เลย ไม่มีตังค์ก็ขายเตี๋ยว หรือไม่ก็ขาย ตั๊ว

ตอนนี้ก้อยู่ในช่วงกำลัง growing ก็ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป บวมเมื่อไหร่ ผมว่าคงอีกสัก 2-3 ปีมั้งครับ

ในทัศนะของผมนะครับ คุณลองศึกษาเอาจากแหล่งอื่นๆ บ้างนะครับ แล้วมาแลกเปลี่ยนกัน
... ชีวิตนี้สั้นนัก ไม่มีความรัก ไม่มีความชัง ...

จะทำอย่างไรให้รักษา ระดับ จิตใจให้ มั่นคง
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ถ้าถามถึงวิกฤตครั้งก่อน สิ่งที่ทำให้ผมถอยออกจากตลาดก็คือตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของไทยครับ ที่สำคัญก็คือเรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการลดลงของการส่งออกครับ

แต่วิกฤตครั้งต่อไป อาจจะเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุครับ ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่ของโลก สภาพเศรษฐกิจของไทยเอง สงคราม

หรือแม้แต่อาจจะเกิดวิกฤตในขอบเขตที่เล็กลงมา เช่น เฉพาะในบางอุตสาหกรรม บางกลุ่มธุรกิจ หรือบางบริษัท
บุคคลทั่วไป
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

โพสต์ที่ 5

โพสต์

แล้วครั้งก่อน ตัวเลขมหภาคเป้นยังไงครับ?? ถึงแสดงว่าเตรียมตัวได้แล้ว
ยังไงพี่ chatchai ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ

Tenkafubu
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ปัญหาครั้งก่อนนั้นเกิดจาก

บัญชีเดินสะพัดของเราขาดดุลมานานและเพิ่มสูงขึ้นเป็นประมาณ 8%ของ GDP (บัญชีเดินสะพัดของประเทศก็คล้ายกับกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานรวมกับกระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุนในบัญชีกระแสเงินสดนะครับ) หมายประเทศเรามีเงินสดไม่เพียงพอในการลงทุน จำเป็นต้องอาศัยจากการกู้ยืมมาลงทุน

ข้ออ้างที่มักจะใช้บ่อยก็คือว่าประเทศเรากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จึงมีการซื้อสินค้าทุน ประเภทเครื่องจักร เพื่อนำมาผลิตสินค้าเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น กล่าวคือขาดดุลตอนนี้ก็เหมือนกับบริษัทที่มีการขยายกำลังการผลิต โดยหวังว่าเมื่อเครื่องจักรที่ซื้อมาใหม่ผลิตสินค้าออกขายได้แล้ว ยอดขายก็จะโตเพียงพอจนไม่ขาดดุลและมีเงินไปชำระหนี้ที่กู้มา

แต่จุดที่ทำให้ผมตัดสินใจล้างพอร์ตก็คือ การประกาศยอดการส่งออกที่ลดลงนะครับ แถมลดลงต่อเนื่องซะด้วย นั่นหมายถึงมีปัญหาละครับ กู้เงินมาขยายกำลังการผลิต แต่แทนที่ยอดขายจะเพิ่มขึ้นกลับลดลง ใช้แผนการตลาดอย่างไรก็ไม่ได้ผล

ทางออกสุดท้ายคืออะไรครับ ลดราคาสินค้า ซึ่งก็คือการลดค่าเงินบาทนั่นเอง ดังนั้นตราบใดที่ไม่ลดค่าเงินบาท เศรษฐกิจของไทยตอนนั้นก็ยังจมกับปัญหาครับ
mr.bean
Verified User
โพสต์: 159
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอเรียนถามพี่ chatchai ครับว่า
พี่มีมุมมองอย่างไรกับ การขาดดุลเดินบัญชีสะพัดของพี่เบิ้ม (น้าบุช)
ว่าจะเอาตัวรอดได้ไหม และในสภาวะปัจจุบันความรุนแรงของปัญหามีมากน้อยแค่ไหน
นักลงทุนที่แท้จริง
สามารถหาประโยชน์จากการเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกของการมองโลกในแง่ดีเกินไปและการวิตกกังวลจนเกินเหตุของฝูงชน
ที่มา : Value Investing made easy
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมเองก็กังวลเรื่องการขาดดุลการค้าและการค้าดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่บ้าง

แต่จากการติดตามจะรู้สึกว่าการขาดดุลการค้าและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนั้นถึงแม้จะอยู่ในระดับสูง แต่ก็ยังไม่เท่ากับของประเทศไทยในสมัยนั้นครับ

อีกทั้งสภาพเงินเหรียญสหรัฐและสถานะของบริษัทในสหรัฐก็แตกต่างจากเงินบาทและสถานะบริษัทของไทยครับ

เงินเหรียญนั้นเป็นสกุลหลักของโลก ในขณะที่เงินบาทนั้นเป็นแค่สกุลท้องถิ่น

บริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐก็เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีการลงทุนนอกสหรัฐเยอะมาก การขาดดุลการค้าส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากบริษัทสหรัฐนั้นได้ย้ายฐานการผลิตไปนอกสหรัฐ แล้วผลิตสินค้ากลับเข้าไปขายในสหรัฐ ส่วนบริษัทในไทยเป็นเพียงบริษัทท้องถิ่นเท่านั้น

ผมเองก็คงจะวิเคราะห์เจาะลึกไม่ได้มากนัก คงจะต้องติดตามข้อความจากนักเศรษฐศาสตร์และบทความต่างประเทศครับ

แต่น่าติดตามนะครับว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ FED นั้นย่อมทำให้ค่าเงินเหรียญแข็งค่าขึ้น แล้วจะส่งผลต่อการขาดดุลการค้าและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นหรือไม่และเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน

*** การขาดดุลการค้าล่าสุดของสหรัฐลดลงครับ ***
big
ผู้ติดตาม: 0

จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรออกจากตลาด ขนเงินกลับบ้านได้แล้ว

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ไม่ยากครับ จับตาดูพี่ฉัตรชัยไว้สั่งโดดเมื่อไหร่ :lol:
ล็อคหัวข้อ