แต่ละตัวที่ถือแดงเถือก -20 % up
ปันผล 1-2 % น้อยกว่าฝากประจำซะอีก
กว่าจะได้ปันผลมาซื้อหุ้นใหม่ก็ปีหน้า
ข้อเสียของการเต็มพอร์ทตลอดเวลา

พี่ปิฯ ครับpicatos เขียน:ถ้าตัวอื่นมี upside สูงกว่า ก็ขายตัวที่ upside ต่ำไปซื้อ upside สูง แต่ถ้าหุ้นที่เราถือ upside สูงมากพอก็ถือไป
การลงทุนต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปสนใจอดีต (ต้นทุน) ถึงจะประสบความสำเร็จ
VI ควบคุม Downside ด้วย MOS เมื่อเราซื้อหุ้นที่มี MOS สูงๆ ในระยะยาวแล้ว... เราจะไม่มีทางขาดทุน... ซึ่งคำว่า MOS จะคิดในกรณี Conservative ที่เราคิดเผื่อกรณีเลวร้ายเอาไว้แล้ว จึงทำให้ไม่ขาดทุนในระยะยาวซากคน เขียน:พี่ปิฯ ครับpicatos เขียน:ถ้าตัวอื่นมี upside สูงกว่า ก็ขายตัวที่ upside ต่ำไปซื้อ upside สูง แต่ถ้าหุ้นที่เราถือ upside สูงมากพอก็ถือไป
การลงทุนต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปสนใจอดีต (ต้นทุน) ถึงจะประสบความสำเร็จ
ซากเข้าใจว่า การโยกเงินจากที่ upside ต่ำ ไปยัง upside สูง คือการเพิ่มโอกาสให้เงินลงทุนตามราคาหุ้นที่น่าปรับตัวขึ้นไปตามผลประกอบการที่ดีขึ้นมากๆในอนาคต แต่ความเป็นจริง ในหุ้นที่ upside เราเห็นว่าสูง แต่ downside ของมันก็อาจสูงได้เช่นกัน ถ้าเป็นกิจการที่ยอดขาย/กำไร อ่อนไหวตามภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ
1. พี่ปิฯ คิดว่ามี ปัจจัยอะไรบ้างครับ ที่สำคัญกว่าการประเมิน upside vs downside เพื่อป้องกันการสูญเสียเงินต้น หลังจากที่เราโยกเงินไปแล้ว
2. ในทางกลับกัน ถ้าเราคิดว่า เราไม่สามารถประเมิน upside vs downside ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วเราหันไปทำอีกอย่าง คือการโยกเงินจากที่ downside สูง ไปยัง downside ต่ำ แต่ไม่ค่อยเหลือ upside หรือแตะ fair ไปแล้ว พี่ปิฯ คิดว่า วิธีนี้จะรักษาเงินต้นไว้ได้มากกว่า การทำอย่างวิธีแรกแต่ไม่แน่ใจใน downside ไหมครับ
อยู่เฉยๆครับviviosmanager เขียน:เมื่อตลาดวาย แต่เงินสดหมดพอร์ท จะทำยังไงกันครับ
แต่ละตัวที่ถือแดงเถือก -20 % up
ปันผล 1-2 % น้อยกว่าฝากประจำซะอีก
กว่าจะได้ปันผลมาซื้อหุ้นใหม่ก็ปีหน้า
ข้อเสียของการเต็มพอร์ทตลอดเวลา
ขออนุญาตตัดข้อความนี้ไปเป็น ลายเซ็นต์นะครับพี่ โดนใจผมมากเลยpicatos เขียน:ถ้าเราไม่สามารถประเมิน upside และ downside ของผลประกอบการได้มากเพียงพอ แสดงว่าเราไม่เข้าใจกิจการพอ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำ คือ ตัดกิจการนั้นออกจาก List แล้วยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่ามันยากเกินความเข้าใจของเรา ถึงแม้ว่าคนทั้งตลาด เซียน เทพ กำลังเล่นกันอย่างสุดฤทธิ์ ยอมรับมันตรงๆ ว่า เราไม่มีบุญได้เงินจากหุ้นตัวนี้ดีกว่าครับ
ขอแชร์ความคิดหน่อยนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าในกรณีแบบนี้เราจะทำไปเพื่ออะไรครับ โยกเงินไปในที่ downside ต่ำ แต่ upside ก็ต่ำหรือไม่มีเลย อย่างนี้โยกไปถือเงินสดไม่ดีกว่าหรือครับ เหมือนมีแต่เสมอตัวเท่านั้น เผลอ ๆ ถือหุ้นตัวใหม่ไปก็ยังอาจจะไม่รู้สึกสบายใจอีกต่างหากซากคน เขียน:
2. ในทางกลับกัน ถ้าเราคิดว่า เราไม่สามารถประเมิน upside vs downside ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วเราหันไปทำอีกอย่าง คือการโยกเงินจากที่ downside สูง ไปยัง downside ต่ำ แต่ไม่ค่อยเหลือ upside หรือแตะ fair ไปแล้ว พี่ปิฯ คิดว่า วิธีนี้จะรักษาเงินต้นไว้ได้มากกว่า การทำอย่างวิธีแรกแต่ไม่แน่ใจใน downside ไหมครับ
+1picatos เขียน:ขาดทุนถือเป็นอดีตไม่ต้องสนใจ
คำถามคือ ณ ปัจจุบัน หุ้นที่เราถือ รวมไปถือหุ้นที่อยู่ใน watch list มี upside มี MOS มากขนาดไหน
ถ้าตัวอื่นมี upside สูงกว่า ก็ขายตัวที่ upside ต่ำไปซื้อ upside สูง แต่ถ้าหุ้นที่เราถือ upside สูงมากพอก็ถือไป
การลงทุนต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปสนใจอดีต (ต้นทุน) ถึงจะประสบความสำเร็จ
ผมว่าที่ผมเห็นแน่ ๆ คือ กิจการที่ไม่ดี เวลาลงก็ลงแบบรุนแรง แต่หุ้นที่กิจการแข็งแกร่ง ผลประกอบการดี ถึงจะลงตามสภาวะตลาดบ้าง แต่ก็ไม่ลงหนักครับchukieat30 เขียน: +1
it shall pass ครับ อดีตเซียนหลายท่านย้ำไว้ว่า ตัวไหนที่ลงแรงแล้ว
มักจะไม่ลงแรงมาก ขณะที่ตัวเพิ่งลง หรือมันไม่ค่อยลง เวลาลงมันลงลิฟท์
ัดังนั้นขายกิจการที่ลงน้อยและซื้อกิจการที่ลงเยอะ
viviosmanager เขียน:เมื่อตลาดวาย แต่เงินสดหมดพอร์ท จะทำยังไงกันครับ
แต่ละตัวที่ถือแดงเถือก -20 % up
ปันผล 1-2 % น้อยกว่าฝากประจำซะอีก
กว่าจะได้ปันผลมาซื้อหุ้นใหม่ก็ปีหน้า
ข้อเสียของการเต็มพอร์ทตลอดเวลา
เอารถเข้าไฟแนนช์เสียดอกเบี้ยนะ. มีแผนสำรองมั้ยถ้ามันไม่เป็นไปตามที่เราคาดviviosmanager เขียน:วันนี้ ทั้งพอร์ท - 7 แสนกว่าๆแล้วครับ
Mr.market ทุบหนัก
เดี๋ยวเอารถไปเข้า car for cash เอาตังค์มาช้อนเพิ่ม
ผมคิดว่า ในฐานะคนลงทุนด้วยกัน คงต้องช่วยแชร์ เป็นผมคงไม่ทำเช่นนี้ครับ มันอาจลงลึกไปเรื่อยๆก็ได้ ทำไมต้องรีบ รีบเพราะกลัวเด้งแล้วเสียโอกาสอย่างงั้นหรือ ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่า เรากำลังจับจังหวะ ซึ่งๆใครๆ ชาวvi ก็พูดไม่ใช่หรือว่า โอกาส ถูกผิด มีค่าเท่ากัน นั่นหมายความว่าไม่ควรทำ หรืออีกมุมนึง ลง แล้วเราเห็นว่ามันถูก ถูกแล้วก็อาจมีถูกกว่า ก็มีให้เห็นเยอะแยะ ผมว่าที่สำคัญ กลับไปสำรวจเหตุผล ในการลงทุนก่อนดีมั้ยครับ ถ้าซื้อแนวพื้นฐาน ก็สำรวจธุระกิจ สำรวจ mos ถ้าคิดว้่าที่ซื้อมันไม่แพง แน่ๆ ก็คงดูให้ชัดเจนอีกทีซิว่า เครื่องมือที่ใช้วัด ความถูกแพงที่ว่า มันใช้ใด้ มันรอบคอบที่สุดแล้ว บางครั้งความมั่นใจเกินเหตุนี่แหละที่ทำให้เราพัง (โดยเฉพาะไม่รู้ตัวว่าเราไม่รู้ ยิ่งอันตราย ) แม้กระทั้งคนที่คิดว่า มี mos แล้ว ไม่มีทางขาดทุน อันนี้คงไม่ใช่แน่ๆ เพียงแต่ปลอดภัยกว่า ขึ้นชื่อว่าทำธุระกิจ ก็มีความเสี่ยงทั้งแหละครับ บริษัทเจ๊ง มีให้เห็นเยอะแยะ ผมอยากให้ใจเย็นๆ ใช้เวลาคิดให้รอบคอบ อย่าคิดเอง เออเองคนเดียว ผมเคยเจอมาก่อน แล้วไม่อยากให้คนอื่นและตัวเองเป็นอีก โชคดีครับviviosmanager เขียน:วันนี้ ทั้งพอร์ท - 7 แสนกว่าๆแล้วครับ
Mr.market ทุบหนัก
เดี๋ยวเอารถไปเข้า car for cash เอาตังค์มาช้อนเพิ่ม
viviosmanager เขียน:เมื่อตลาดวาย แต่เงินสดหมดพอร์ท จะทำยังไงกันครับ
แต่ละตัวที่ถือแดงเถือก -20 % up
ปันผล 1-2 % น้อยกว่าฝากประจำซะอีก
กว่าจะได้ปันผลมาซื้อหุ้นใหม่ก็ปีหน้า
ข้อเสียของการเต็มพอร์ทตลอดเวลา
viviosmanager เขียน:วันนี้ ทั้งพอร์ท - 7 แสนกว่าๆแล้วครับ
Mr.market ทุบหนัก
เดี๋ยวเอารถไปเข้า car for cash เอาตังค์มาช้อนเพิ่ม
ผมว่าดูเหมือนเป็นการ "บ่น" ของจขกท.มากกว่ามั๊งครับ แต่ผมอยากทราบหน่อยนะครับ เพราะไหน ๆ ก็มีหลายคนเข้ามาตอบซะยืดยาว ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าคุณจขกท.ถือหุ้นตัวไหนอยู่ พอจะบอกได้ไหมครับว่าหุ้นตัวที่คุณซื้อ คุณซื้อเพราะอะไรครับ แล้วที่มันลงมา 20% หรือมากกว่า เพราะอะไรครับ เพราะตลาดไม่ดี หรือเพราะผลประกอบการออกมาแล้วไม่ดี ผมว่าแบบนี้มันน่าจะมีประโยชน์กว่าและเราจะได้มาเรียนรู้กันครับ แต่ไม่ต้องบอกหรอกครับว่าหุ้นไหนsone เขียน:ถ้าเข้าใจไม่ผิด ดูจากโพสต์ที่ผ่านมา
เจ้าของกระทู้มีเจตนาเหน็บแนมการลงทุนแบบvi ขอให้ทีมงานจับตาด้วย
ผมอ่านยังไงก็ไม่ได้ดูเหน็บแนมนะครับ ขขกท.เค้่าคงแค่ร้อนใจที่เห็นพอร์ทติดลบ7แสน บางคนเงิน7แสนอาจจะเล็ก แต่ของหลายๆก็มีความหมายมากๆนะครับ ยังไงก็เอาใจช่วยจขกท.ครับ ลองกลับไปดูคุณภาพของกิจการนั้นใหม่ดูครับว่าเป็นกิจการคุณภาพดีหรือไม่ ถ้ามั่นใจในกิจการว่าดีจริง แปลว่าเราอาจจะพลาดซื้อกิจการที่ดีแต่ในราคาที่แพงเกินไปแค่นั้นเองครับซึ่งเคสนี้ถือไปเถอะครับ เดี๋ยวมันก็กลับมาเอง(แต่ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีก็จะน้อยซึ่งก็ถือว่าเป็นบทเรียนไปละกันครับ)sone เขียน:ถ้าเข้าใจไม่ผิด ดูจากโพสต์ที่ผ่านมา
เจ้าของกระทู้มีเจตนาเหน็บแนมการลงทุนแบบvi ขอให้ทีมงานจับตาด้วย