สัญชาตญาณในการเทรด
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
สัญชาตญาณในการเทรด
โพสต์ที่ 1
วันนี้ลูกน้องท่านหนึ่งถามในอีเมลว่าผมใช้สัญชาตญาณในการเทรดมากขนาดไหน?
ส่วนตัวผม น่าจะครึ่งต่อครึ่งครับ แต่สัญชาติญาณสำหรับเทรดเดอร์ต้องมาจากประสบการณ์ที่สะสมมานาน บางอย่างที่ตัดสินใจไปอย่างรวดเร็วจนไม่ได้ดูข้อมูลต่างๆ ก่อนล้วนมาจากการเรียนรู้ในอดีต ไม่ใช่มาจากอารมณ์ความรู้สึก แต่เป้าหมายของการเทรดคือผลตอบแทน อย่างไรก็ต้องเฝ้าสังเกตสัญชาตญาณของเราอีกทีว่าเวลาใช้พวกมันนั้น มันสร้างผลลัพธ์เป้นอย่างไรบ้าง
อย่างเวลาขับรถมีหมาวิ่งตัดหน้า ก็หักหลบจนตกข้างทาง แต่ผมไม่เคยหลบและชนมาสามครั้งแล้ว หมาตายทั้งสามครั้ง รถหม้อน้ำแตกทั้งสามครั้งเช่นกัน ที่ไม่หลบเพราะเตรียมซ้อมไว้ในหัวแล้วว่าหมาตัดหน้าจะชนอย่างเดียว ผมให้ความสำคัญกับการซ้อมในหัวอย่างมาก เรียกว่าเป็นพิธีกรรมเลยทีเดียวกับการเล่นกายกรรมทางจิตอย่างนี้ และกลายเป็นวัฒนธรรมที่เทรดเดอร์คนอื่นเอาไปฝึกกันในที่ทำงานหลายท่านอย่างที่น้องพอทราบบ้างอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ ผทไม่ได้คิดเองครับ แต่โซรอสเป็นคนสอนครับ
ทำไมสัญชาตญาณของสัตว์มากกว่าคนหลายเท่าตัว
สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณระวังภัยมากกว่าคนเป็นพิเศษ แม้แต่มดหรือตะขาบพากันอพยพขึ้นบ้านผมก่อนน้ำจะมาถึงหลายวันทั้งๆ ที่บ้านผมอยู่ห่างจากถนนใหญ่ที่น้ำท่วมแล้วหลายกิโลเมตร ผมเชื่อว่าคนมีสัญชาตญาณระวังภัยเช่นเดียวกับสัตว์ แต่คนมักจะใช้เหตุและผลที่เกิดจากการเรียนรู้จากประสบการณ์มากกว่า ทำให้สูญเสียความสามารถในการใช้สัญชาตญาณไป ยิ่งใช้ความคิดและเหตุผลมากขึ้น การใช้สัญชาตญาณก็ยิ่งน้อยลง
ผมเคยเห็นแม่แมวที่กำลังเลี้ยงลูกอย่างทะนุถนอม โดยไม่จำเป็นที่เข้าคอร์สอบรมเรียนรู้วิธีเลี้ยงลูก มันเพียงใช้สัญชาตญาณความเป็นแม่เท่านั้น
ผมชอบดูสารคดีสัตว์ต่างๆ ช่วงเย็นทางไทพีบีเอสก็มีบ่อยๆ ความคิดผม ชีวิตพวกมันไม่ได้ถูกควบคลุมด้วยกฎเกณของคุณธรรมและกฎหมาย การเอาตัวรอดก็ไม่เหมือนคน ของสัตว์มันกินกันเลย กฎของสัตว์ คือ dog eat dog สัตว์บางชนิดล่าเหยื่อฉลาดมาก ผมเคยเห็นเสือล่าเหยื่อโดยใช้จิตวิทยา ด้วยการให้ตัวแรกวิ่งไล่ตัวเดียว ต้อนจนเข้าทางที่เพื่อนๆ น้าๆ ญาติๆ รอดักอีกทางอยู่เป็นฝูง มันก็พัฒนาเทคนิคขึ้นมาเฉพาะตัวเพื่อความอยู่รอดของลูกๆ แต่ผมเคยมันก็เผื่อไว้ สัญชาติญานของเทรดเดอร์ก็ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของจิตวิทยาของฝูงคนและบนพื้นฐานที่ต้องเอาชนะความเสี่ยงต่างๆ แต่สิ่งที่เทรดเดอร์สร้างขึ้นมาเพื่อลดความยุ่งยากต่างๆ ลงและต้องการให้ชีวิตมันดำเนินไปง่ายขึ้น มันก็ลดทอนสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคนไปด้วยครับ
เทรดเดอร์ควรใช้ความรู็สึกมากกว่าใช้เหตุผลใช่ไหม?
ในชีวิตประจำวัน บางกรณีที่ผมสับสนมาก ๆ ผมจะขยายขอบเขตการทดสอบสัญชาตญาณเอาตัวรอดในสถานการณ์จริง ผมจะคิดให้น้อยลงและใช้ความรู็สึกมากขึ้นครับ ผมจะลองเทรดโดยใช้ความรู็สึกล้วนๆ ผมจะพบวาหัวตัวเองนั้นเบาและโล่งมากเหมือนไม่มีสมองอยู่ข้างในเลย เมื่อความคิดที่สับสนวุ่นวายในสมองลดลง ผมจะมีสมาธิมากขึ้นครับ เมื่อผมมีสมาธิมากขึ้น ลมหายใจของผมก็จะช้าลงอย่างมาก ซึ่งลมหายใจที่ช้าลงก็มีผลกระทบทำให้กับคลื่นสมองของผมราบเรียบมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าในขณะนั้นประสาทสัมผัสของผมอยู๋ในภาวะตื่นตัวเต็มที่ครับ
เทรดเดอร์ยังต้องใช้เหตุและผลมากขึ้นในการประเมิณสถานการณ์ก่อนที่จะตัดสินใจครับ ความมีเหตุและผลทำให้สัญชาตญาณลดลง แต่ถ้าเทรดเดอร์ใช้ ส ช ญ กันมากเกินไปจนขาดความคิดในเชิงเหตุและผลและความรู็สึกผิดชอบชั่วดี ความเป็นคนก็อาจหมดไปด้วย
แต่ผมก็สังเกตว่าเทรดเดอร์หลายท่าน นั่งเทรดแล้วหิว สัญชาตญาณของตัวเองก็ก็หยิบของกินโดยไม่สนใจว่าอาหารที่กินจะอร่อยหรือไม่อร่อย เอาเข้าปากให้ท้องอิ่มพอแล้ว แต่ยังดียังมีความคิดเหตุและผลที่สนใจดูว่าอาหารสุกแล้วหรือยัง เหมือน้องท่านหนึ่งแอร์ในห้องไม่เย็น เขาก็ถอดเสื้อออกจนหมดเหลือแต่กางเกง โดยไม่สนใจน้องเลขาที่นั่งอยู่ แต่ดีที่พอเทรดเสร็จแล้ว เขายังมีความคิดเหตุและผล ใส่เสื่อกลับไปเหมือนเดิม และน้องอีกท่านที่เป็นเกย์ก็มองเขาตลอด เพราะเขาขาวมาก ดีที่ยังมีความคิด ไม่ไล่ปล้ำน้องผู้ชายที่ถอดเสื้อกันตรงนั้น
กฎหมายถูกกำหนดขึ้นมาคลุมคนหมู่มาก สัญชาตญาณที่จำเป็นสำหรับเทรดเดอร์คือการเข้าใจว่าเมื่อคนหมู่มากอยู่ร่วมกัน พฤติกรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไรครับ
โซรอสพูดถึงว่าทักษะที่จำเป็นสำหรับเทรดเดอร์คือสัญชาตญาณการเอาตัวรอด
เรื่อง ส ช ญ นี้คนยิวมีมากกว่าชนชาติอื่น แต่เขาเอาตัวรอดด้วยการเข้าใจจิตใจฝ่ายตรงข้าม ยิวไปอยู่ไหนก็เข้าเมืองตาหลิ่ว โดนชาวบาบิโลนปกครอง ก็กลายเป้นคนรักหนังสือไปด้วย ปกครองโดยโรมัน ก็เอากฎหมายของโรมันมาประยุกต์ใช้ โดยชาวอารามิกปกครองก็เอาภาษาของเขามาใช้ แต่ใช้บนพื้นฐานของการรักษาคุณธรรมตามแบบคนยิวและถูกต้องตามกฎหมายยิวครับ
ส ช ญ สำหรับเทรดเดอร์ ฝึกอย่างไร?
อย่างที่น้องทราบว่าสัตว์มีประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ ไวมากเป็นพิเศษ จากความคิดนี้ เทรดเดอร์จะมีประสาทส่วนต่างๆหู ตา จมูก สัมผัสต่างๆ ไวและละเอียดมากกว่าปกติ เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีลมหายใจเข้าออกที่เป็นสมาธิครับ หรือในกรณีที่ก่อนเทรด น้องสามารถยกเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมาที่น้องคาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้น แล้วลองถามตัวเองว่าจะวางแผนทางออกไว้อย่างไรบ้าง พี่เห็นหลายท่านเข้าใจเรื่อง fallibility นี้ได้ดีทีเดียวครับ ถ้าน้องสนใจเรื่องนี้ก้ไปอ่านของ Karl Popper ซึ่งเป็นอาจารย์ของโซรอสได้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 467
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สัญชาตญาณในการเทรด
โพสต์ที่ 3
เทรดเดอร์ยังต้องใช้เหตุและผลมากขึ้นในการประเมิณสถานการณ์ก่อนที่จะตัดสินใจครับ ความมีเหตุและผลทำให้สัญชาตญาณลดลง แต่ถ้าเทรดเดอร์ใช้ ส ช ญ กันมากเกินไปจนขาดความคิดในเชิงเหตุและผลและความรู็สึกผิดชอบชั่วดี ความเป็นคนก็อาจหมดไปด้วย
แล้วคุณ humdrum สรุปว่ายังไงครับ จำเป็นหรือไม่ที่การใช้สัญชาตญาณจะต้องใช้เหตุผลให้น้อยลง หรือมันสามารถพัฒนาจนถึงระดับที่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกัน
แล้วคุณ humdrum สรุปว่ายังไงครับ จำเป็นหรือไม่ที่การใช้สัญชาตญาณจะต้องใช้เหตุผลให้น้อยลง หรือมันสามารถพัฒนาจนถึงระดับที่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกัน
The miracle of compounding,
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สัญชาตญาณในการเทรด
โพสต์ที่ 4
ผมจะอธิบายให้ฟังครับ
ผมจะตั้งโจทย์ว่า 1= 2 ตามเหตุและผลนั้นมันไมได้เป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าใช้สัญชาตญาณแล้ว มันอาจเท่ากันก็ได้
ที่บอกว่า 1 = 2 นั้นมีที่มาอย่างนี้
เราจะให้ a = b จากนั้นคูณสมการทั้งสองข้างด้วย a ซึ่งจะได้
2
a = ab
2
เอา a - 2ab บวกเข้าไปทั้งสองข้างของสมการ จะได้;
2 2 2
a + (a - 2ab) = ab + (a - 2ab)
หรือเขียนย่อได้เป้น:
2 2
2(a - ab) = a - ab
2
ตอนนี้หารทั้งสองข้างด้วย a - ab ซึ่งจะได้
2 = 1
หลังจากหารทั้งสองข้างแล้ว ผลออกมาได้อย่างที่เห็นซึ่งไม่เป็นเหตุแลผลเลย
อะไรผิดพลาดหรือครับ? คำตอบตือ กระผมได้ละเมิดกฎพื้นฐานของวิชาเลขซึ่งก็คือ
การหารด้วยศูนย์ การหารด้วย "0" นั้น จะได้คำตอบที่ไร้ความหมาย
แต่เสียงที่บอกในใจกระผมบอกว่า ผมไม่เคยหารด้วย "0" เลยนี่
2
ความจริงคือ ผมให้ a = b ตั้งแต่เริ่มแรก การหารด้วย a - ab ซึ่งก็คือ "0" นั่นเอง
เมือไรก็ตามที่เราอยู่ใกล้กับบางสิ่งหรือคนบางคนมากเกินไป เราจะยืดถือความเชื่อหรือสัญชาตญาณของเราแทนที่เราจะตั้งคำถามเหมือนที่เราทำกับคนหรือสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย และเมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มหารบริษัทต่างๆ ด้วย "สัญชาตญาณ" ผมคิดว่าเขาอาจกำลังเริ่มหารมันด้วย "0" นั่นเองครับ
ผมจะตั้งโจทย์ว่า 1= 2 ตามเหตุและผลนั้นมันไมได้เป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าใช้สัญชาตญาณแล้ว มันอาจเท่ากันก็ได้
ที่บอกว่า 1 = 2 นั้นมีที่มาอย่างนี้
เราจะให้ a = b จากนั้นคูณสมการทั้งสองข้างด้วย a ซึ่งจะได้
2
a = ab
2
เอา a - 2ab บวกเข้าไปทั้งสองข้างของสมการ จะได้;
2 2 2
a + (a - 2ab) = ab + (a - 2ab)
หรือเขียนย่อได้เป้น:
2 2
2(a - ab) = a - ab
2
ตอนนี้หารทั้งสองข้างด้วย a - ab ซึ่งจะได้
2 = 1
หลังจากหารทั้งสองข้างแล้ว ผลออกมาได้อย่างที่เห็นซึ่งไม่เป็นเหตุแลผลเลย
อะไรผิดพลาดหรือครับ? คำตอบตือ กระผมได้ละเมิดกฎพื้นฐานของวิชาเลขซึ่งก็คือ
การหารด้วยศูนย์ การหารด้วย "0" นั้น จะได้คำตอบที่ไร้ความหมาย
แต่เสียงที่บอกในใจกระผมบอกว่า ผมไม่เคยหารด้วย "0" เลยนี่
2
ความจริงคือ ผมให้ a = b ตั้งแต่เริ่มแรก การหารด้วย a - ab ซึ่งก็คือ "0" นั่นเอง
เมือไรก็ตามที่เราอยู่ใกล้กับบางสิ่งหรือคนบางคนมากเกินไป เราจะยืดถือความเชื่อหรือสัญชาตญาณของเราแทนที่เราจะตั้งคำถามเหมือนที่เราทำกับคนหรือสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย และเมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มหารบริษัทต่างๆ ด้วย "สัญชาตญาณ" ผมคิดว่าเขาอาจกำลังเริ่มหารมันด้วย "0" นั่นเองครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 469
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สัญชาตญาณในการเทรด
โพสต์ที่ 5
ไม่รู้เกี่ยวกับหัวข้อหรือเปล่านะครับพี่
ผมเป็นคนนึงที่คิดว่าใช้สัญชาตญาณในการลงทุนมาก
(ซึ่งตอนนี้ก็อาจจะมากกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าเทียบกับโมเดลของVIต้นแบบ)
อารมณ์ เหตุผล จินตนาการ สัญชาตญาณ ทั้งสี่อย่างนี้จะผสมกันอยู่
คุณสมบัติ
- ในอุดมคติเราอาจจะใช้เหตุผล 100 % ซึ่งที่ผมมองกลุ่มที่ใช้เหตุผลมากๆ คือ
เกรแฮม ครับ ไม่สนใจอนาคตกันเลยทีเดียว
- ถ้าใช้จินตนาการนี่อาจจะเป็น ฟิชเชอร์ การมองอนาคตเป็นทักษะที่ต้องใช้จินตนาการมาก
ทั้งบัฟเฟต์ และอาจารย์นิเวศน์ ต่างก็รับส่วนนี้มา แถมเป็นคนมองอนาคต(ของธุรกิจ)ที่เก่งมาก
และตอนนี้ผมว่า เทรนด์นี้นักลงทุนหลายคนก็แนะนำว่าเราซื้อหุ้น คือ ซื้ออนาคต
(แต่มันอาจจะไม่ใช่ เรื่องที่ถูกต้องเท่าไหร่นะครับเรื่องซื้ออนาคต 100%)
- ถ้าใช้อารมณ์นั้น อาจเป็นพวกเก็งกำไรก็ตาม แต่ก็มีพวกใช้จิตวิทยามวลชน
หรือ พวกโมเมนตัม อาจจะพวกคอนทราเรี่ยนบางส่วน ต่างก็ใช้อารมณ์ในการซื้อขาย
(จะอารมณ์ตัวเองหรืออารมณ์ของคนอื่นก็ตาม)
- พวกที่ใช้สัญชาตญาณ หรือ อาจเรียกว่าพวกซื้อหุ้นด้วยสามัญสำนึกก็ได้
จริงๆผมว่า ลินซ์ ใช้สัญชาติญาณเยอะนะครับ ทำให้เขาอยู่ในเกมส์ได้หลายแบบ
การตัดสินใจ
ทีนี้ที่ต่างกันคือ ลำดับขั้นต่างหากไม่ใช่สัดส่วน วินาทีสุดท้าย คุณใช้อะไรตัดสิน
ไม่ว่าอย่างไร วีไอ ต้องใช้เหตุผลของตัวเองเท่านั้น และต้องยึดมั่นในเหตุและผลนั้นด้วย
(หมายถึง ไม่หวั่นไหวด้วยอะไรก็แล้วแต่ นอกจากหวั่นไหวด้วยเหตุผลเดิม)
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เราอาจจะมีอารมณ์ที่กลัว หรือ โลภ เหตุผลจะช่วยได้
แต่ก็ขึ้นมาจากคุณสมบัติเริ่มแรกด้วย ถ้าเริ่มจากคุณสมบัติด้านอารมณ์ เหตุผลก็หวั่นไหวง่าย
ในทางปฏิบัติแล้ว สัญชาติญาณกลัวช่วยเราได้แต่ก็ตัดโอกาสเราด้วย ทำให้ขายเร็วไปเป็นต้น
ทำอย่างไร เราจะขยายสัญชาตญาณของเราให้เป็นระยะยาวได้ ผมว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับผมครับ
(อาจจะงงในตัวเองไปหน่อยนะครับ ขออภัยด้วย)
ผมเป็นคนนึงที่คิดว่าใช้สัญชาตญาณในการลงทุนมาก
(ซึ่งตอนนี้ก็อาจจะมากกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าเทียบกับโมเดลของVIต้นแบบ)
อารมณ์ เหตุผล จินตนาการ สัญชาตญาณ ทั้งสี่อย่างนี้จะผสมกันอยู่
คุณสมบัติ
- ในอุดมคติเราอาจจะใช้เหตุผล 100 % ซึ่งที่ผมมองกลุ่มที่ใช้เหตุผลมากๆ คือ
เกรแฮม ครับ ไม่สนใจอนาคตกันเลยทีเดียว
- ถ้าใช้จินตนาการนี่อาจจะเป็น ฟิชเชอร์ การมองอนาคตเป็นทักษะที่ต้องใช้จินตนาการมาก
ทั้งบัฟเฟต์ และอาจารย์นิเวศน์ ต่างก็รับส่วนนี้มา แถมเป็นคนมองอนาคต(ของธุรกิจ)ที่เก่งมาก
และตอนนี้ผมว่า เทรนด์นี้นักลงทุนหลายคนก็แนะนำว่าเราซื้อหุ้น คือ ซื้ออนาคต
(แต่มันอาจจะไม่ใช่ เรื่องที่ถูกต้องเท่าไหร่นะครับเรื่องซื้ออนาคต 100%)
- ถ้าใช้อารมณ์นั้น อาจเป็นพวกเก็งกำไรก็ตาม แต่ก็มีพวกใช้จิตวิทยามวลชน
หรือ พวกโมเมนตัม อาจจะพวกคอนทราเรี่ยนบางส่วน ต่างก็ใช้อารมณ์ในการซื้อขาย
(จะอารมณ์ตัวเองหรืออารมณ์ของคนอื่นก็ตาม)
- พวกที่ใช้สัญชาตญาณ หรือ อาจเรียกว่าพวกซื้อหุ้นด้วยสามัญสำนึกก็ได้
จริงๆผมว่า ลินซ์ ใช้สัญชาติญาณเยอะนะครับ ทำให้เขาอยู่ในเกมส์ได้หลายแบบ
การตัดสินใจ
ทีนี้ที่ต่างกันคือ ลำดับขั้นต่างหากไม่ใช่สัดส่วน วินาทีสุดท้าย คุณใช้อะไรตัดสิน
ไม่ว่าอย่างไร วีไอ ต้องใช้เหตุผลของตัวเองเท่านั้น และต้องยึดมั่นในเหตุและผลนั้นด้วย
(หมายถึง ไม่หวั่นไหวด้วยอะไรก็แล้วแต่ นอกจากหวั่นไหวด้วยเหตุผลเดิม)
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เราอาจจะมีอารมณ์ที่กลัว หรือ โลภ เหตุผลจะช่วยได้
แต่ก็ขึ้นมาจากคุณสมบัติเริ่มแรกด้วย ถ้าเริ่มจากคุณสมบัติด้านอารมณ์ เหตุผลก็หวั่นไหวง่าย
ในทางปฏิบัติแล้ว สัญชาติญาณกลัวช่วยเราได้แต่ก็ตัดโอกาสเราด้วย ทำให้ขายเร็วไปเป็นต้น
ทำอย่างไร เราจะขยายสัญชาตญาณของเราให้เป็นระยะยาวได้ ผมว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับผมครับ
(อาจจะงงในตัวเองไปหน่อยนะครับ ขออภัยด้วย)
Sixth Sense Investor
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สัญชาตญาณในการเทรด
โพสต์ที่ 6
ตามความเข้าใจของผมส่วนตัวผม น่าจะครึ่งต่อครึ่งครับ แต่สัญชาติญาณสำหรับเทรดเดอร์ต้องมาจากประสบการณ์ที่สะสมมานาน บางอย่างที่ตัดสินใจไปอย่างรวดเร็วจนไม่ได้ดูข้อมูลต่างๆ ก่อนล้วนมาจากการเรียนรู้ในอดีต ไม่ใช่มาจากอารมณ์ความรู้สึก แต่เป้าหมายของการเทรดคือผลตอบแทน อย่างไรก็ต้องเฝ้าสังเกตสัญชาตญาณของเราอีกทีว่าเวลาใช้พวกมันนั้น มันสร้างผลลัพธ์เป้นอย่างไรบ้าง
คำว่า สัญชาตญาณ น่าจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับ ประสพการณ์
สัญชาตญาน หมายถึงสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ประสพการณ์ เกิดจากการเรียนรู้
ข้อความของพี่ humdrum ผมว่าน่าจะหมายถึงประสพการณ์มากกว่า เป็นเรื่องที่ผ่านการใช้เหตุและผลมาแล้ว จนทำให้ make decision ได้เร็ว
เคยมีคนไปถาม บัฟเฟต ตอนที่บัฟเฟต ตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนึง แค่ 10 นาที คนถามถามว่า ทำไมตัดสินใจเร็วมากกับเงินลงทุนมหาศาล บัฟเฟตตอบว่า เพราะเค้าเรียนรู้กับมันมาแล้ว 10 ปีจึงตัดสินใจแค่ 10 นาที
ทุกวันนี้ ผมพยายามใช้เหตุและผล กับการลงทุนให้มากที่สุด เพราะไม่เชื่อในสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดในตลาดของตัวเองเลย
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: สัญชาตญาณในการเทรด
โพสต์ที่ 7
ในการเทรด... คงจะต้องให้น้ำหนักกับสัญชาตญาณมากหน่อย เพราะ เราต้อง react กับสิ่งที่เราไม่รู้อยู่เยอะ เรากระโดดเข้าไปในสนามรบ เพื่อที่จะเอาผลประโยชน์กลับออกไปทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ ดังนั้นถ้า gut feeling ห่วย sense ในการพนันไม่มี ประสาทไม่ตื่นตัว ผมว่าโดนเค้าฆ่าตายพอดี
แต่นั่นก็แค่การเทรดนะครับ... สำหรับ VI ที่มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาวคงจะไม่ต้องใช้สัญชาตญาณสักเท่าไหร่นัก... เราเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ห่างๆ คล้ายๆ กับนั่งดูสงครามบนยอดเขา เราไม่จำเป็นต้องลงไปตะลุมบอนแล้วเอาชีวิตรอด กิจการที่เราลงทุนก็ดำเนินของมันไปแต่ละวันๆ เราไม่จำเป็นต้องเปิดจอ เราก็สามารถที่จะได้รับผลตอบแทนระยะยาวดีๆ ได้ แถมยิ่งเราอยู่ห่างกับตลาดมากเท่าไหร่ กลับจะส่งผลดีต่อการวิเคราะห์กิจการอย่างปราศจากอคติได้มากยิ่งขึ้นซะอีก
ดังนั้นผมเชื่อครับว่าสัญชาตญานสำคัญในการเทรด แต่ผมไม่เชื่อว่าสัญชาตญาณสำคัญในการลงทุนครับ
แต่นั่นก็แค่การเทรดนะครับ... สำหรับ VI ที่มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาวคงจะไม่ต้องใช้สัญชาตญาณสักเท่าไหร่นัก... เราเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ห่างๆ คล้ายๆ กับนั่งดูสงครามบนยอดเขา เราไม่จำเป็นต้องลงไปตะลุมบอนแล้วเอาชีวิตรอด กิจการที่เราลงทุนก็ดำเนินของมันไปแต่ละวันๆ เราไม่จำเป็นต้องเปิดจอ เราก็สามารถที่จะได้รับผลตอบแทนระยะยาวดีๆ ได้ แถมยิ่งเราอยู่ห่างกับตลาดมากเท่าไหร่ กลับจะส่งผลดีต่อการวิเคราะห์กิจการอย่างปราศจากอคติได้มากยิ่งขึ้นซะอีก
ดังนั้นผมเชื่อครับว่าสัญชาตญานสำคัญในการเทรด แต่ผมไม่เชื่อว่าสัญชาตญาณสำคัญในการลงทุนครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 467
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สัญชาตญาณในการเทรด
โพสต์ที่ 8
ผมขอขยายความส่วนที่ คุณ humdrum ได้ยกตัวอย่างสมการ การแทนค่า แล้วจบลงด้วยผลลัพธ์
2 = 1
เป็นไปได้อย่างไร
ก่อนอื่นต้องขอยกย่องก่อนว่า คุณ humdrum อธิบายปรากฏการณ์หนึ่งด้วยปรากฏการณ์อีกอันหนึ่ง zen มากๆ ทำให้ความยุ่งยากและความซับซ้อนเพิ่มขี้นไปอีก ซึ่งผมก็จะขอต่อยอดความคิดต่อไปเพื่อเพิ่มความงงงวยให้กับตัวผมเอง
ผมคิดว่า การตีความสิ่งต่างๆ จากผลลัพธ์อาจทำให้การเข้าใจสิ่งต่างๆ ผิดเพี้ยนได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างการลงทุน เช่น กำไรของบจ.ประกาศออกมาวันนี้ดีขี้น แต่หุ้นกลับลง สมการนี้นักลงทุนที่มีประสบการณ์อาจเข้าใจและยอมรับได้ แต่ถ้ามลองไปถามคนทั่วไป ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต้องตอบว่าเป็นไปไม่ได้ และคิดว่าคงมีอะไรผิดปกติ ทั้งนี้ ผมเชื่อว่าทั้งหมดมาจากตัวแปรและปัจจัยที่ใส่เข้าไปในสมการ ซึ่งก็หมายความถึง ประสบการณ์ เหตุผล และตรรกะของกระบวนการในการลงทุน ที่ไม่ได้อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ตามสมการโดยเรียงจาก 1 ไป 10 แต่กลับตีความจาก 10 กลับมายัง 1 เพื่อหาเหตุผลอีกที
เพราะฉะนั้น สัญชาตญาณโดยขาดประสบการณ์และความเข้าใจในหลักเหตุและผลที่แท้จริงและถูกต้อง ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากขาดสิ่งนี้ การอธิบายสิ่งต่างๆ ก็จะผิดไปด้วยทั้งหมด
สรุป ผมเองยังมองว่า 2 อาจเท่ากับ 1 ได้ ถ้าเหตุผลที่คุณเคยเข้าใจมาตลอดไม่ใช่เป็นเหตุผลที่ถูกต้องหรือผิดนั่นเอง เพราะฉะนั้น เราอาจต้องกลับมาทบทวนให้แน่ใจอีกครั้งว่า เราเข้าใจกระบวนการในการหาผลลัพธ์เป็นอย่างไร ถูกหรือว่าผิดตั้งแต่เริ่มต้น
อืม... งงเพิ่มขี้นจริงๆ แฮะ
2 = 1
เป็นไปได้อย่างไร
ก่อนอื่นต้องขอยกย่องก่อนว่า คุณ humdrum อธิบายปรากฏการณ์หนึ่งด้วยปรากฏการณ์อีกอันหนึ่ง zen มากๆ ทำให้ความยุ่งยากและความซับซ้อนเพิ่มขี้นไปอีก ซึ่งผมก็จะขอต่อยอดความคิดต่อไปเพื่อเพิ่มความงงงวยให้กับตัวผมเอง
ผมคิดว่า การตีความสิ่งต่างๆ จากผลลัพธ์อาจทำให้การเข้าใจสิ่งต่างๆ ผิดเพี้ยนได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างการลงทุน เช่น กำไรของบจ.ประกาศออกมาวันนี้ดีขี้น แต่หุ้นกลับลง สมการนี้นักลงทุนที่มีประสบการณ์อาจเข้าใจและยอมรับได้ แต่ถ้ามลองไปถามคนทั่วไป ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต้องตอบว่าเป็นไปไม่ได้ และคิดว่าคงมีอะไรผิดปกติ ทั้งนี้ ผมเชื่อว่าทั้งหมดมาจากตัวแปรและปัจจัยที่ใส่เข้าไปในสมการ ซึ่งก็หมายความถึง ประสบการณ์ เหตุผล และตรรกะของกระบวนการในการลงทุน ที่ไม่ได้อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ตามสมการโดยเรียงจาก 1 ไป 10 แต่กลับตีความจาก 10 กลับมายัง 1 เพื่อหาเหตุผลอีกที
เพราะฉะนั้น สัญชาตญาณโดยขาดประสบการณ์และความเข้าใจในหลักเหตุและผลที่แท้จริงและถูกต้อง ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากขาดสิ่งนี้ การอธิบายสิ่งต่างๆ ก็จะผิดไปด้วยทั้งหมด
สรุป ผมเองยังมองว่า 2 อาจเท่ากับ 1 ได้ ถ้าเหตุผลที่คุณเคยเข้าใจมาตลอดไม่ใช่เป็นเหตุผลที่ถูกต้องหรือผิดนั่นเอง เพราะฉะนั้น เราอาจต้องกลับมาทบทวนให้แน่ใจอีกครั้งว่า เราเข้าใจกระบวนการในการหาผลลัพธ์เป็นอย่างไร ถูกหรือว่าผิดตั้งแต่เริ่มต้น
อืม... งงเพิ่มขี้นจริงๆ แฮะ
The miracle of compounding,
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สัญชาตญาณในการเทรด
โพสต์ที่ 9
น่าสนใจดีคับเรื่องสัญชาตญาณ
ลองแบ่งคร่าวๆเพื่อดูว่าสัญชาตญาณคืออะไร และมาจากไหน
และมันเป็นประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตอย่างไร
1.สัญชาตญาณที่มาจากการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
น่าจะเป็นเรื่องการเอาชีวิตรอด ต่อสู้ หรือหนี สืบพันธุ์ ถ้ามองในแง่นี้
คนเราก็มีสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตต่างๆอยู่ในตัวอยู่แล้วนะ
เพราะว่าเรามียีนคล้ายๆกันกับของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เล็กสุดก็คงแบคทีเรีย
แมลงหวี่ ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลี้ยงคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แล้วก็สิ่งมีชีวิตที่มียีนใกล้เคียงเราที่อย่างลิงไม่มีหางขนาดใหญ่ อุรังอุตัง กอริลล่า ซิมแพนซี โบโนโบ
ซึ่งสืบเชื้อสายมากจากกลุ่มไพรเมท เรียกว่ามีบรรพบุรษร่วมกันมา
สัญชาตญาณของลิงไม่มีหางขนาดใหญ่ ใกล้เคียงกับเรามากในเรื่องของ สังคม การใช้ภาษา
ต่อสู้ แย่งชิงพื้นที่ แย่งชิงทรัพยากร เรื่องของการเป็นผู้นำ เรื่องของการรุนแรงต่อลูก ต่อเพศเมีย
การใช้เครื่องมืออย่างง่าย การร่วมมือกันหาอาหาร การแบ่งระดับชั้น การเลือกคู่ครอง ฯลฯ
พฤติกรรมจากสัญชาตญาณส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อการดำรงชีวิต เอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อม
และศัตรูตามธรรมชาติ สิ่งที่เรามนุษย์พันธุ์โฮโมแตกต่าง คงเป็นความละเอียด พัฒนาการด้านภาษา
การถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น การใช้สิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ การใช้ไฟ จนถึงการพัฒนาของวิทยาศาสตร์
2.สัญชาตญาณที่มาจากเรื่องทางสรีระจิตวิทยาของสิ่งมีชีวิต
อันนี้เน้นเข้ามาที่ตัวของสิ่งมีชีวิตที่จะตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆเพื่อการอยู่รอดอีกเหมือนกัน
แต่จะเป็นในแง่ของอารมณ์ และพฤติกรรม เพื่อการตอบสนองต่างๆ
ในเรื่องของการเรียนรู้อย่างง่ายๆ อย่างเช่น การตอบสนองแบบวางเงื่อนไข
เช่น สุนัข เห็นอาหารแล้วน้ำลายไหล ถ้าเป็นคนเราเห็นของเปรี้ยวแล้ว เปรี้ยวปาก เบียร์ อาหารที่ชอบ
หรือแม้กระทั้งผู้หญิงผู้ชายที่ชอบ เรามีการตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นๆอย่างไร รวมถึง
พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ที่ซับซ้อนขึ้น อย่างการได้แรงเสริม การสังเกตุ การหยั่งรู้ในการทำบางสิ่งบางอย่าง
เช่น ให้ซิมแพนซีอยู่ในห้องหนึ่ง มีกล้วยผูกอยู่บนแพดานห้อยอยู่ ภายในห้องมีเก้าอี้ และไม้ยาว ปรากฏว่า
สิ่งเร้าเรื่องอาหาร และความสามารถ หรือสัญชาตญาณของซิมแพนซี สามารถใช้อุปกรณ์คือเก้าอี้และไม้ยาว ดึงกล้วยมากินได้
ถ้าเป็นสัตว์ชนิดอื่นคงทำได้ยาก เพราะว่าไม่มีสรีระที่เหมาะสมด้วย
สำหรับมนุษย์เราก็คงเป็นผลเนื่องมาด้วยระบบของร่างกายด้วย ที่วิวัฒนาการมา เพื่อความอยู่รอด
สัญชาตญาณแรกสุด ถูกควบคุมโดยสมองของเรา ไม่ว่าการหายใจ การเต้นของหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน
การแบ่งตัวของเซลล์ การกลืนอาหาร การมองเห็น ได้ยิน รู้สึก ความจำ เราแทบไม่รู้สึกถึงมันเลย
ต่อมาคงเป็นเรื่องของอารมณ์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก เป็นเรื่องของการรักตัว ต่อสู้ หรือหนี
มันสะท้อนออกมาในรูปแบบพฤติกรรมมากมาย การเอาตัวรอด การพูดโกหก การหาพวกพ้อง
การหาอาหาร การทำงาน มนุษยสัมพันธ์ การเลือกคู่ ความกลัว ความเข็ดขยาด ความเจ็บปวด
ทางจิตใจ ความกล้าบ้าบิ่น ฯลฯ ในขั้นนี่จะเป็นการตอบสนองที่มาจากสัญชาตญาณตั้งแต่เรา
วิวัฒนาการมา ทั้งเรื่องของอารมณ์ และพฤิตกรรม รวมถึงการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆในสภาพแวดล้อม
3.สัญชาตญาณที่มาจากการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิต
ในข้อนี้คงเป็นเรื่องของการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เป็นการปฏิบัติอย่างมีจุดมุ่งหมายซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
อย่างสมัยหินเก่า มนุษย์โฮโม มีการสร้างเครื่องมือหิน โดยการกระเทาะหิน นำมาเป็นมีดไว้ล่าสัตว์
ยิ่งทำยิ่งชำนาญ ยิ่งถ่ายทอดได้ดี พอมายุคหินกลาง หินใหม่ เครื่องมือมีความละเอียดคมมากขึ้น
หรือแม้กระทั่งการล่าสัตว์โดยการพุ่งหลาวออกไป เมื่อทำบ่อยๆเข้า เกิดความแม่นยำ ความแรง
พอฝึกถึงที่สุด ก็ทำให้เกิดการทำต่อเนื่องโดยไม่ต้องคิดอีกต่อไป การล่าสัตว์เป็นกลุ่ม
พอทำนานๆเข้าเกิดความชำนาญ เกิดการแบ่งหน้าที่ ต่อมาภายหลังการล่าสัตว์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
การทำเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ก็มาในแนวทางเดียวกัน ก็พัฒนามาเรื่อยๆ
พอมายุคปัจจุบัน สิ่งต่างที่ฝึกซ่ำๆในสายอาชีพต่างๆกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่ามืออาชีพ
มืออาชีพคงเป็นเรื่องของการฝึกฝนจนชำนาญ ใช้งานได้จริง จนกลายเป็นสัญชาตญานในการทำเรื่องนั้นๆ
ยิ่งลับยิ่งคม ยิ่งเร็ว ยิ่งแม่นยำ เปรียบเทียบก็อาจจะเหมือนกันนักกีฬาที่ฝึกซ้อมเป็นประจำ
แค่มองก็รู้แล้วว่าจะตัดสินใจ และทำอย่างไร ในช่วงเวลานั้นๆ นักฟุตบอล ขณะยิงประตู
มันเกิดขึ้นเร็วมาก ในตำแหน่งและทิศทาง น้ำหนัก การแตะที่ลูกบอล นักฟุตบอลมานั่งคิดหรือ
ไม่ว่าเขาจะแตะส่วนไหนของลูก ถ้าเพิ่งหัดคงต้องดู ต้องกะ แต่สำหรับมืออาชีพแล้ว
เป็นไปโดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นไปตามสัญชาตญาณก็ว่าได้
สำหรับการสร้างสัญชาตญาณมืออาชีพในด้านต่างๆคงมาจาก
จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในเรื่องนั้นๆ ในอาชีพ ความเชื่อและเหตุผลที่ถูกต้อง รวมถึง
การฝึกฝนพยายามอย่างยิ่งยวด พร้อมกับการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมที่เหมาะสม
และการเข้าใจตัวเราเองด้วยว่าเป็นมาอย่างไร
การเรียนรู้สัญชาตญาณอย่างง่ายๆ ลองอดอาหารดูซักสามวันคับ(ทานน้ำได้)
ดูความเปลี่ยนแปลงของเราทางร่างกาย อารมณ์ ความคิด ว่าเป็นอย่างไร
ไม่ก็ให้คนใกล้ชิดเราสังเกต ไม่ก็ลองเขียนบรรยายออกมาขณะนั้นๆ น่าจะทำให้เรา
เข้าใจสัณชาตญาณของตัวเองได้ดีขึ้นคับ
เทรดเดอร์ นักลงทุน ก็ต้องใช้การฝึกฝนอย่างยิ่งยวด จึงจะทำให้เกิดสัญชาตญาณที่แหลมคม
ในการตัดสินใจ แทบจะอัตโนมัติ เหมือนนายช่างมืออาชีพ เพียงแค่เห็นก็เข้าใจถึงส่วนประกอบต่างๆ
เข้าใจถึงกระบวนการทำงาน การแก้ไข แก้ปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
แต่ก็ขึ้นอยู่กับทักษะส่วนตัว ความถนัดของแต่ละคนด้วย ซึ่งสิ่งเหล้านี้เราต้องหาให้เจอด้วยตัวเอง
ว่าเรานั้นมีความถนัดในเรื่องไหนบ้าง และฝึกฝนอย่างยิ่งยวด
เพื่อให้เกิดความเป็นสัญชาตญาณของมืออาชีพ
ลองแบ่งคร่าวๆเพื่อดูว่าสัญชาตญาณคืออะไร และมาจากไหน
และมันเป็นประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตอย่างไร
1.สัญชาตญาณที่มาจากการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
น่าจะเป็นเรื่องการเอาชีวิตรอด ต่อสู้ หรือหนี สืบพันธุ์ ถ้ามองในแง่นี้
คนเราก็มีสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตต่างๆอยู่ในตัวอยู่แล้วนะ
เพราะว่าเรามียีนคล้ายๆกันกับของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เล็กสุดก็คงแบคทีเรีย
แมลงหวี่ ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลี้ยงคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แล้วก็สิ่งมีชีวิตที่มียีนใกล้เคียงเราที่อย่างลิงไม่มีหางขนาดใหญ่ อุรังอุตัง กอริลล่า ซิมแพนซี โบโนโบ
ซึ่งสืบเชื้อสายมากจากกลุ่มไพรเมท เรียกว่ามีบรรพบุรษร่วมกันมา
สัญชาตญาณของลิงไม่มีหางขนาดใหญ่ ใกล้เคียงกับเรามากในเรื่องของ สังคม การใช้ภาษา
ต่อสู้ แย่งชิงพื้นที่ แย่งชิงทรัพยากร เรื่องของการเป็นผู้นำ เรื่องของการรุนแรงต่อลูก ต่อเพศเมีย
การใช้เครื่องมืออย่างง่าย การร่วมมือกันหาอาหาร การแบ่งระดับชั้น การเลือกคู่ครอง ฯลฯ
พฤติกรรมจากสัญชาตญาณส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อการดำรงชีวิต เอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อม
และศัตรูตามธรรมชาติ สิ่งที่เรามนุษย์พันธุ์โฮโมแตกต่าง คงเป็นความละเอียด พัฒนาการด้านภาษา
การถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น การใช้สิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ การใช้ไฟ จนถึงการพัฒนาของวิทยาศาสตร์
2.สัญชาตญาณที่มาจากเรื่องทางสรีระจิตวิทยาของสิ่งมีชีวิต
อันนี้เน้นเข้ามาที่ตัวของสิ่งมีชีวิตที่จะตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆเพื่อการอยู่รอดอีกเหมือนกัน
แต่จะเป็นในแง่ของอารมณ์ และพฤติกรรม เพื่อการตอบสนองต่างๆ
ในเรื่องของการเรียนรู้อย่างง่ายๆ อย่างเช่น การตอบสนองแบบวางเงื่อนไข
เช่น สุนัข เห็นอาหารแล้วน้ำลายไหล ถ้าเป็นคนเราเห็นของเปรี้ยวแล้ว เปรี้ยวปาก เบียร์ อาหารที่ชอบ
หรือแม้กระทั้งผู้หญิงผู้ชายที่ชอบ เรามีการตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นๆอย่างไร รวมถึง
พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ที่ซับซ้อนขึ้น อย่างการได้แรงเสริม การสังเกตุ การหยั่งรู้ในการทำบางสิ่งบางอย่าง
เช่น ให้ซิมแพนซีอยู่ในห้องหนึ่ง มีกล้วยผูกอยู่บนแพดานห้อยอยู่ ภายในห้องมีเก้าอี้ และไม้ยาว ปรากฏว่า
สิ่งเร้าเรื่องอาหาร และความสามารถ หรือสัญชาตญาณของซิมแพนซี สามารถใช้อุปกรณ์คือเก้าอี้และไม้ยาว ดึงกล้วยมากินได้
ถ้าเป็นสัตว์ชนิดอื่นคงทำได้ยาก เพราะว่าไม่มีสรีระที่เหมาะสมด้วย
สำหรับมนุษย์เราก็คงเป็นผลเนื่องมาด้วยระบบของร่างกายด้วย ที่วิวัฒนาการมา เพื่อความอยู่รอด
สัญชาตญาณแรกสุด ถูกควบคุมโดยสมองของเรา ไม่ว่าการหายใจ การเต้นของหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน
การแบ่งตัวของเซลล์ การกลืนอาหาร การมองเห็น ได้ยิน รู้สึก ความจำ เราแทบไม่รู้สึกถึงมันเลย
ต่อมาคงเป็นเรื่องของอารมณ์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก เป็นเรื่องของการรักตัว ต่อสู้ หรือหนี
มันสะท้อนออกมาในรูปแบบพฤติกรรมมากมาย การเอาตัวรอด การพูดโกหก การหาพวกพ้อง
การหาอาหาร การทำงาน มนุษยสัมพันธ์ การเลือกคู่ ความกลัว ความเข็ดขยาด ความเจ็บปวด
ทางจิตใจ ความกล้าบ้าบิ่น ฯลฯ ในขั้นนี่จะเป็นการตอบสนองที่มาจากสัญชาตญาณตั้งแต่เรา
วิวัฒนาการมา ทั้งเรื่องของอารมณ์ และพฤิตกรรม รวมถึงการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆในสภาพแวดล้อม
3.สัญชาตญาณที่มาจากการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิต
ในข้อนี้คงเป็นเรื่องของการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เป็นการปฏิบัติอย่างมีจุดมุ่งหมายซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
อย่างสมัยหินเก่า มนุษย์โฮโม มีการสร้างเครื่องมือหิน โดยการกระเทาะหิน นำมาเป็นมีดไว้ล่าสัตว์
ยิ่งทำยิ่งชำนาญ ยิ่งถ่ายทอดได้ดี พอมายุคหินกลาง หินใหม่ เครื่องมือมีความละเอียดคมมากขึ้น
หรือแม้กระทั่งการล่าสัตว์โดยการพุ่งหลาวออกไป เมื่อทำบ่อยๆเข้า เกิดความแม่นยำ ความแรง
พอฝึกถึงที่สุด ก็ทำให้เกิดการทำต่อเนื่องโดยไม่ต้องคิดอีกต่อไป การล่าสัตว์เป็นกลุ่ม
พอทำนานๆเข้าเกิดความชำนาญ เกิดการแบ่งหน้าที่ ต่อมาภายหลังการล่าสัตว์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
การทำเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ก็มาในแนวทางเดียวกัน ก็พัฒนามาเรื่อยๆ
พอมายุคปัจจุบัน สิ่งต่างที่ฝึกซ่ำๆในสายอาชีพต่างๆกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่ามืออาชีพ
มืออาชีพคงเป็นเรื่องของการฝึกฝนจนชำนาญ ใช้งานได้จริง จนกลายเป็นสัญชาตญานในการทำเรื่องนั้นๆ
ยิ่งลับยิ่งคม ยิ่งเร็ว ยิ่งแม่นยำ เปรียบเทียบก็อาจจะเหมือนกันนักกีฬาที่ฝึกซ้อมเป็นประจำ
แค่มองก็รู้แล้วว่าจะตัดสินใจ และทำอย่างไร ในช่วงเวลานั้นๆ นักฟุตบอล ขณะยิงประตู
มันเกิดขึ้นเร็วมาก ในตำแหน่งและทิศทาง น้ำหนัก การแตะที่ลูกบอล นักฟุตบอลมานั่งคิดหรือ
ไม่ว่าเขาจะแตะส่วนไหนของลูก ถ้าเพิ่งหัดคงต้องดู ต้องกะ แต่สำหรับมืออาชีพแล้ว
เป็นไปโดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นไปตามสัญชาตญาณก็ว่าได้
สำหรับการสร้างสัญชาตญาณมืออาชีพในด้านต่างๆคงมาจาก
จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในเรื่องนั้นๆ ในอาชีพ ความเชื่อและเหตุผลที่ถูกต้อง รวมถึง
การฝึกฝนพยายามอย่างยิ่งยวด พร้อมกับการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมที่เหมาะสม
และการเข้าใจตัวเราเองด้วยว่าเป็นมาอย่างไร
การเรียนรู้สัญชาตญาณอย่างง่ายๆ ลองอดอาหารดูซักสามวันคับ(ทานน้ำได้)
ดูความเปลี่ยนแปลงของเราทางร่างกาย อารมณ์ ความคิด ว่าเป็นอย่างไร
ไม่ก็ให้คนใกล้ชิดเราสังเกต ไม่ก็ลองเขียนบรรยายออกมาขณะนั้นๆ น่าจะทำให้เรา
เข้าใจสัณชาตญาณของตัวเองได้ดีขึ้นคับ
เทรดเดอร์ นักลงทุน ก็ต้องใช้การฝึกฝนอย่างยิ่งยวด จึงจะทำให้เกิดสัญชาตญาณที่แหลมคม
ในการตัดสินใจ แทบจะอัตโนมัติ เหมือนนายช่างมืออาชีพ เพียงแค่เห็นก็เข้าใจถึงส่วนประกอบต่างๆ
เข้าใจถึงกระบวนการทำงาน การแก้ไข แก้ปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
แต่ก็ขึ้นอยู่กับทักษะส่วนตัว ความถนัดของแต่ละคนด้วย ซึ่งสิ่งเหล้านี้เราต้องหาให้เจอด้วยตัวเอง
ว่าเรานั้นมีความถนัดในเรื่องไหนบ้าง และฝึกฝนอย่างยิ่งยวด
เพื่อให้เกิดความเป็นสัญชาตญาณของมืออาชีพ