ในช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีผู้รู้หรือพยายามรู้เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกันเพิ่มสูงมาก ทั้งๆ ที่การแก้ไขอย่างบูรณาการเป็นเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยความรู้เชิงลึกและประสบการณ์ที่สูงมาก ซึ่งสาเหตุคงมีด้วยกันหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นระดับปัญหาที่ใหญ่กระจายวงกว้างจนเป็น talk of the town และการรับรู้ข่าวสาร รวมถึงการแสดงออกผ่านทาง social network
ข้อดี คือ ทำให้เกิดการเรียนรู้และปรับตัวให้ทันสถานการณ์ รวมถึงมีการแชร์ข้อมูลและไอเดียการแก้ไขปัญหาในวงกว้าง
ข้อเสีย อยู่ในข้อดี เพราะ การเรียนรู้ปัญหาระดับนี้ ต้องมี learning curve หมายความว่า ต้องเก็บสะสมและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนตกผลึก แต่ครั้งนี้ หลายๆ คนที่ผมได้รับรู้ ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็คิดว่าตนเองมีความรู้ความสามารถมากพอ มากพอในระดับที่สามารถออกมาวิจารณ์ผู้เชี่ยวชาญได้ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยง
ทำให้เห็นภาพเปรียบเทียบกับการลงทุนได้เป็นอย่างดี นักลงทุนบางท่านใช้เวลาเพียงน้อยนิดวิเคราะห์บริษัททั้งบริษัทภายในเวลาอันสั้น ก็เข้าใจไปเองหรือเชื่ออย่างสนิทใจว่า เราเข้าใจมันมากเพียงพอแล้ว แล้วก็กระโดดเข้าไปลงทุนทันที และโดยเฉพาะ ในกรณีที่เป็นบริษัทที่เราไม่เคยมีความรู้หรือประสบการณ์มาก่อนด้วยแล้ว ถือเป็นหายนะทางการลงทุนชั้นดี โดยเฉพาะ VI ฝึกหัด
สำหรับนักลงทุน ความเสียหายคงจบลงเพียงแค่ตัวเลขกำไรหรือขาดทุน แต่สำหรับกรณีน้ำท่วม และปัญหาต่อสังคม การกระจายความคิดที่ไม่กลั่นกรองผ่านการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีการไตร่ตรอง ความเสียหายคงมากกว่า ทั้งต่อการรับรู้ข้อมูลผ่านสื่อ ปลูกฝังความคิดแบบผิดๆ และสุดท้ายจะกระทบกับสังคมในหลายภาคส่วนอย่างเป็นวงกว้าง
ก็ขอให้ทุกๆ คนใช้เวที social network อย่างรอบคอบ เพราะทุกๆ ความเห็นอาจมีผลต่อคนในวงกว้างทั้งที่คุณรู้ตัวและไม่รู้ตัว ผู้รู้ก็ยังควรออกมาเปิดเผยแนวคิดและข้อมูล ผู้ที่ไม่รู้ก็ควรติดตามและใช้เวลาศึกษาเก็บความรู้กันต่อไป
ขอให้ทุกคนโชคดีและปลอดภัยทุกท่านครับ
วิกฤตน้ำท่วม vs ขอบข่ายของ"ความรู้" (circle of competence)
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิกฤตน้ำท่วม vs ขอบข่ายของ"ความรู้" (circle of competenc
โพสต์ที่ 2
ปัญหาทั้งหมดของประเทศไทยเกิดจากการคอรัปชั่น
คนที่กำหนดนโยบายไม่ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
แต่เลือกสิ่งที่ตัวเองจะได้มากที่สุดคือ คะแนนเสียง อำนาจ และเงิน
คนที่ออกมาด่าและตำหนินักการเมือง มีเหตุผลเพียงพอ
คนที่รับผิดชอบ ระดับปฏิบัติการ มีความรู้ มีเครื่องมือเพียงพอ
ที่จะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ ท่วมน้อยกว่านี การระบายน้ำดีกว่านี้
คนเดือดร้อน และความเสียหายทาง ศก น้อยกว่านี้
แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวของนักการเมือง ผลที่ออกมาจึงหายนะ
ที่น่ากลัวต่อไปคือโรคระบาด
คนที่กำหนดนโยบายไม่ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
แต่เลือกสิ่งที่ตัวเองจะได้มากที่สุดคือ คะแนนเสียง อำนาจ และเงิน
คนที่ออกมาด่าและตำหนินักการเมือง มีเหตุผลเพียงพอ
คนที่รับผิดชอบ ระดับปฏิบัติการ มีความรู้ มีเครื่องมือเพียงพอ
ที่จะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ ท่วมน้อยกว่านี การระบายน้ำดีกว่านี้
คนเดือดร้อน และความเสียหายทาง ศก น้อยกว่านี้
แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวของนักการเมือง ผลที่ออกมาจึงหายนะ
ที่น่ากลัวต่อไปคือโรคระบาด
Blueplanet
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิกฤตน้ำท่วม vs ขอบข่ายของ"ความรู้" (circle of competenc
โพสต์ที่ 3
ผมไม่ค่อยอยากออกความเห็นที่เกี่ยวกับการเมืองนักนะครับ แต่มันเลี่ยงไม่ได้เพราะผมว่า ประเทศไทย ไม่ว่าจะด้านสังคม เศรษฐกิจ ภาพรวมของประเทศ นักการเมืองมันเป็นคนชี้ว่าประเทศนี้จะไปทางไหนครับ ถึงแม้สุดท้ายแล้ว เราประชาชนจะเป็นคนเลือกพวกมันเข้ามา แต่ถ้าพวกมันมีจิตสำนึกที่ดี ผมว่าประเทศไทย ต้องดีกว่าตอนนี้แน่ๆ ครับ เห็นด้วยกับท่าน blueplanet
ผมพิมพ์ไม่ผิดนะครับ "พวกมัน" ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ลบทิ้งไปได้เลยครับ
ผมพิมพ์ไม่ผิดนะครับ "พวกมัน" ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ลบทิ้งไปได้เลยครับ
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วิกฤตน้ำท่วม vs ขอบข่ายของ"ความรู้" (circle of competenc
โพสต์ที่ 4
เขียนได้แบบ ทำเอา ผมคิดว่า อ่าน บทความ ดร. นิเวศศ์ เลยครับzz99 เขียน:ในช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีผู้รู้หรือพยายามรู้เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกันเพิ่มสูงมาก ทั้งๆ ที่การแก้ไขอย่างบูรณาการเป็นเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยความรู้เชิงลึกและประสบการณ์ที่สูงมาก ซึ่งสาเหตุคงมีด้วยกันหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นระดับปัญหาที่ใหญ่กระจายวงกว้างจนเป็น talk of the town และการรับรู้ข่าวสาร รวมถึงการแสดงออกผ่านทาง social network
ข้อดี คือ ทำให้เกิดการเรียนรู้และปรับตัวให้ทันสถานการณ์ รวมถึงมีการแชร์ข้อมูลและไอเดียการแก้ไขปัญหาในวงกว้าง
ข้อเสีย อยู่ในข้อดี เพราะ การเรียนรู้ปัญหาระดับนี้ ต้องมี learning curve หมายความว่า ต้องเก็บสะสมและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนตกผลึก แต่ครั้งนี้ หลายๆ คนที่ผมได้รับรู้ ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็คิดว่าตนเองมีความรู้ความสามารถมากพอ มากพอในระดับที่สามารถออกมาวิจารณ์ผู้เชี่ยวชาญได้ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยง
ทำให้เห็นภาพเปรียบเทียบกับการลงทุนได้เป็นอย่างดี นักลงทุนบางท่านใช้เวลาเพียงน้อยนิดวิเคราะห์บริษัททั้งบริษัทภายในเวลาอันสั้น ก็เข้าใจไปเองหรือเชื่ออย่างสนิทใจว่า เราเข้าใจมันมากเพียงพอแล้ว แล้วก็กระโดดเข้าไปลงทุนทันที และโดยเฉพาะ ในกรณีที่เป็นบริษัทที่เราไม่เคยมีความรู้หรือประสบการณ์มาก่อนด้วยแล้ว ถือเป็นหายนะทางการลงทุนชั้นดี โดยเฉพาะ VI ฝึกหัด
สำหรับนักลงทุน ความเสียหายคงจบลงเพียงแค่ตัวเลขกำไรหรือขาดทุน แต่สำหรับกรณีน้ำท่วม และปัญหาต่อสังคม การกระจายความคิดที่ไม่กลั่นกรองผ่านการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีการไตร่ตรอง ความเสียหายคงมากกว่า ทั้งต่อการรับรู้ข้อมูลผ่านสื่อ ปลูกฝังความคิดแบบผิดๆ และสุดท้ายจะกระทบกับสังคมในหลายภาคส่วนอย่างเป็นวงกว้าง
ก็ขอให้ทุกๆ คนใช้เวที social network อย่างรอบคอบ เพราะทุกๆ ความเห็นอาจมีผลต่อคนในวงกว้างทั้งที่คุณรู้ตัวและไม่รู้ตัว ผู้รู้ก็ยังควรออกมาเปิดเผยแนวคิดและข้อมูล ผู้ที่ไม่รู้ก็ควรติดตามและใช้เวลาศึกษาเก็บความรู้กันต่อไป
ขอให้ทุกคนโชคดีและปลอดภัยทุกท่านครับ
สุดยอดมาก ท่านต้อง เป็น เทพอีก ตน แน่ แท้
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย