2006 vs 2010 warren buffet
- ziannoom
- Verified User
- โพสต์: 1041
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 2006 vs 2010 warren buffet
โพสต์ที่ 2
สรุปในแนวของแม่งเม่านะครับJeng เขียน:
ดูแล้วสรุปคร่าวๆได้อะไรบ้าง
1 วอเรนก็ขายเป็นเหมือนกันนะครับ นั่นแสดงว่าแกก็ปรับพอร์ทบ้างตามโอกาส
2 บริษัทที่จะแกร่งจริงๆในระยะยาวมีไม่มากเท่าไหร่
3 ถ้าหุ้นดีราคาสูงขึ้นแต่ถ้ามันดีก็ซื้อได้อีก (Wall Mart)
ผิดถูกไม่รู้ รู้แต่แมงเม่าแบบผมสังเกตคร่าวๆได้ประมาณนี้
ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า ขายเมื่อมูลค่าต่ำกว่าราคา
-
- Verified User
- โพสต์: 258
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 2006 vs 2010 warren buffet
โพสต์ที่ 3
ขอเสริมคุณ Jeng ด้วยครับ
(1) port ที่แสดงใช้มูลค่าตลาดตั้งแต่ 1000 พันล้านเหรียญขึ้นไป
หมายความว่า หุ้นบางตัวในปี 2006 แม้ buffet จะถืออยู่ครบแต่จะไม่แสดงใน
ปี 2010 ถ้า mk ต่ำกว่า 1000 พันล้านเหรียญ (ส่วนนี้จะไปอยู่ใน others ครับ)
(2) หุ้นบางตัว buffet ซื้อมาเพื่อขายครับ โดยใช้วิธี cigar-butt ที่ชัดเจน คือ
PetroChina ตัวนี้ buffett เป็นคนอธิบายเอง. (ฉะนั้นคนที่คิดว่า buffett ซื้อแล้วไม่ขายหุ้น
ไม่จริงนะครับ เป็นเฉพาะบางตัวเท่านั้นที่ซื้อแล้วไม่ขาย ขึ้นกับกลยุทธ์ที่ซื้อตอนแรก)
(3) มีการปรับพอร์ตการลงทุนด้วย เช่น ตัว P&G ที่ลดลงนั้น buffet จำเป็นต้องขาย
เพื่อเอาเงินสดไปซื้อบริษัทรถไฟ BNSF.
(4) พอร์ตของ buffet มีหุ้นพวกโภคภัณฑ์ด้วย คือ Conoco(น้ำมัน) และ POSCO(เหล็ก)
คำถาม คือ ทำไมถึงซื้อหุ้นพวกนี้.
(1) port ที่แสดงใช้มูลค่าตลาดตั้งแต่ 1000 พันล้านเหรียญขึ้นไป
หมายความว่า หุ้นบางตัวในปี 2006 แม้ buffet จะถืออยู่ครบแต่จะไม่แสดงใน
ปี 2010 ถ้า mk ต่ำกว่า 1000 พันล้านเหรียญ (ส่วนนี้จะไปอยู่ใน others ครับ)
(2) หุ้นบางตัว buffet ซื้อมาเพื่อขายครับ โดยใช้วิธี cigar-butt ที่ชัดเจน คือ
PetroChina ตัวนี้ buffett เป็นคนอธิบายเอง. (ฉะนั้นคนที่คิดว่า buffett ซื้อแล้วไม่ขายหุ้น
ไม่จริงนะครับ เป็นเฉพาะบางตัวเท่านั้นที่ซื้อแล้วไม่ขาย ขึ้นกับกลยุทธ์ที่ซื้อตอนแรก)
(3) มีการปรับพอร์ตการลงทุนด้วย เช่น ตัว P&G ที่ลดลงนั้น buffet จำเป็นต้องขาย
เพื่อเอาเงินสดไปซื้อบริษัทรถไฟ BNSF.
(4) พอร์ตของ buffet มีหุ้นพวกโภคภัณฑ์ด้วย คือ Conoco(น้ำมัน) และ POSCO(เหล็ก)
คำถาม คือ ทำไมถึงซื้อหุ้นพวกนี้.
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 2006 vs 2010 warren buffet
โพสต์ที่ 4
เมื่อเช้าดูข่าว อจ.บัฟเฟตต์ ซื้อหุ้นเทสโก้ โลตัส เพิ่มอีกแล้ว กระแสเงินสด ช่างเยอะจริงๆ
---------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่...
http://www.wealththailand.blogspot.com/
---------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่...
http://www.wealththailand.blogspot.com/
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 2006 vs 2010 warren buffet
โพสต์ที่ 5
ผมมองว่า ทิศทางของเค้า ปรับไปเน้นหนักใน ทิศทางของวิถีชีวิตไกล้ตัวคนส่วนใหญ่มากขึ้น
หุ้นทุกตัวใน port เป็นสิ่งทั่วไป basic มากๆ ที่คนอเมริกันทุกคนจะต้องได้หยิบจับมันในวันหนึ่งของทุกๆวัน
หุ้นทุกตัวใน port เป็นสิ่งทั่วไป basic มากๆ ที่คนอเมริกันทุกคนจะต้องได้หยิบจับมันในวันหนึ่งของทุกๆวัน
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 2006 vs 2010 warren buffet
โพสต์ที่ 6
สิ่งที่น่านับถืออีกอย่าง คือความตรงไปตรงมา
สี่ตีนยังรู้พลาด แต่นักปราชญ์ รู้ว่าตัวพลั้ง ก็ไม่ดื้อดึง
ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าพลาดไปแล้ว
และปรับตัวใหม่
I told you in an earlier part of this report that last year I made a major mistake of commission (and maybe more; this one sticks out). Without urging from Charlie or anyone else, I bought a large amount of ConocoPhillips stock when oil and gas prices were near their peak. I in no way anticipated the dramatic fall in energy prices that occurred in the last half of the year. I still believe the odds are good that oil sells far higher in the future than the current $40-$50 price. But so far I have been dead wrong. Even if prices should rise, moreover, the terrible timing of my purchase has cost Berkshire several billion dollars.
จาก รายงานประจำปี 2008
(ปีที่ค่อยๆ ทยอยขาย ConocoPhillips ออก)
ขาย เมื่อประเมินว่าควรขาย
ไม่หลับหูหลับตา ว่า ไม่ขายโว๊ย
แต่ที่ประเมินว่าดีแล้ว ไม่ควรขาย จะค้างไว้ ไม่ว่าจะร่วงลงไปอย่างไรก็ตาม
สี่ตีนยังรู้พลาด แต่นักปราชญ์ รู้ว่าตัวพลั้ง ก็ไม่ดื้อดึง
ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าพลาดไปแล้ว
และปรับตัวใหม่
I told you in an earlier part of this report that last year I made a major mistake of commission (and maybe more; this one sticks out). Without urging from Charlie or anyone else, I bought a large amount of ConocoPhillips stock when oil and gas prices were near their peak. I in no way anticipated the dramatic fall in energy prices that occurred in the last half of the year. I still believe the odds are good that oil sells far higher in the future than the current $40-$50 price. But so far I have been dead wrong. Even if prices should rise, moreover, the terrible timing of my purchase has cost Berkshire several billion dollars.
จาก รายงานประจำปี 2008
(ปีที่ค่อยๆ ทยอยขาย ConocoPhillips ออก)
ขาย เมื่อประเมินว่าควรขาย
ไม่หลับหูหลับตา ว่า ไม่ขายโว๊ย
แต่ที่ประเมินว่าดีแล้ว ไม่ควรขาย จะค้างไว้ ไม่ว่าจะร่วงลงไปอย่างไรก็ตาม
-
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 2006 vs 2010 warren buffet
โพสต์ที่ 7
เห็นจะมีแต่ vi อ่อนหัดที่คิดซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย
vi ที่แท้จะต้องรู้จักหุ้นบริษัทเป็นอย่างดีตามดูผลงานและ update ข้อมูล
ทุกวัน และที่สำคัญต้องเข้าใจว่าเมื่อใดที่ราคาหุ้นปรับสูงกว่าที่ควร ก็ถึงเวลาขายแล้ว
ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่เจอตัวไหนน่าสนใจกว่าก็ไม่ขายตัวของเรา
และเมื่อขายแล้ว หากราคามันกลับมาต่ำกว่าที่มันควรก็ซื้อใหม่ได้
แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากผลงานของบริษัทจริงๆ ไม่ใช่จากกราฟ
และ เส้นอะไรต่อมิอะไรที่สับสนวุ่นวายไปหมด
vi ที่แท้จะต้องรู้จักหุ้นบริษัทเป็นอย่างดีตามดูผลงานและ update ข้อมูล
ทุกวัน และที่สำคัญต้องเข้าใจว่าเมื่อใดที่ราคาหุ้นปรับสูงกว่าที่ควร ก็ถึงเวลาขายแล้ว
ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่เจอตัวไหนน่าสนใจกว่าก็ไม่ขายตัวของเรา
และเมื่อขายแล้ว หากราคามันกลับมาต่ำกว่าที่มันควรก็ซื้อใหม่ได้
แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากผลงานของบริษัทจริงๆ ไม่ใช่จากกราฟ
และ เส้นอะไรต่อมิอะไรที่สับสนวุ่นวายไปหมด
-
- Verified User
- โพสต์: 1070
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 2006 vs 2010 warren buffet
โพสต์ที่ 8
ไม่ใช่ VI อ่อนหัดนะ แต่เป็นสุดยอด VI อย่าง บัฟเฟต์ที่ ซื้อ coke แล้วไม่ขาย ดร ซื้อ cpall แล้วไม่ขาย...pooklook เขียน:เห็นจะมีแต่ vi อ่อนหัดที่คิดซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย
vi ที่แท้จะต้องรู้จักหุ้นบริษัทเป็นอย่างดีตามดูผลงานและ update ข้อมูล
ทุกวัน และที่สำคัญต้องเข้าใจว่าเมื่อใดที่ราคาหุ้นปรับสูงกว่าที่ควร ก็ถึงเวลาขายแล้ว
ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่เจอตัวไหนน่าสนใจกว่าก็ไม่ขายตัวของเรา
และเมื่อขายแล้ว หากราคามันกลับมาต่ำกว่าที่มันควรก็ซื้อใหม่ได้
แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากผลงานของบริษัทจริงๆ ไม่ใช่จากกราฟ
และ เส้นอะไรต่อมิอะไรที่สับสนวุ่นวายไปหมด
สุดยอด VI จะมองธุรกิจขาด และอยู่กับธุรกิจได้ตลอดไป...
The One