หลงทาง....
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 1
อ่านข่าวรัฐะระดมสมอง CEO ของ 50 บริษัทที่ประกอบเป็นดัชนี set 50
ที่ดุสิต รีสอร์ท หัวหิน แล้ว ให้นึกถึงบทความนี้...
"เรากำลังพูดถึงโครงการฟื้นฟูตลาดทุนมากมาย แต่ไม่มีข้อไหนเลยที่จะจับเข้าไปที่หัวใจของปัญหา คือเรื่องของนักลงทุนในตลาด และภาพของตลาดหลักทรัพย์ว่า ตลาดหลักทรัพย์คืออะไรกันแน่ ในสายตาของประชาชนทั่วไปที่มีเงินพร้อมจะลงทุน แต่ตลาดหลักทรัพย์กลับไม่ใช่ทางเลือกของเขา ทั้งๆที่การฝากเงินกับธนาคารในปัจจุบันให้ผลตอบแทนเพียง 2-3 % ต่อปีเท่านั้น
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากจ่ายปันผลมากกว่า 5 % ต่อปี โดยที่แนวโน้มการจ่ายในอนาคตผมดูแล้วไม่ลดลง แต่กลับไม่มีคนสนใจผลทุนซื้อหุ้นประเภทนี้ ในขณะที่หุ้นที่กิจการมีปัญหา ไม่สามารถจ่ายปันผลได้จำนวนมาก กลับเป็นที่นิยมของคนเล่นหุ้น ที่ต้องการความหวือหวาของราคาในลักษณะการเก็งกำไร
แปลกไหมครับ กิจการดีคนไม่สนใจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่สนใจ แต่กิจการไม่ค่อยดี อนาคตไม่แน่นอน แย่งกันลงทุน หน่วยงานต่างๆให้ความสนใจสนับสนุนให้มีการซื้อขายเก็งกำไรกัน
นี่คือความจริงที่ตลาดหุ้นไทยที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่กล้าพูดถึง"
ที่ดุสิต รีสอร์ท หัวหิน แล้ว ให้นึกถึงบทความนี้...
"เรากำลังพูดถึงโครงการฟื้นฟูตลาดทุนมากมาย แต่ไม่มีข้อไหนเลยที่จะจับเข้าไปที่หัวใจของปัญหา คือเรื่องของนักลงทุนในตลาด และภาพของตลาดหลักทรัพย์ว่า ตลาดหลักทรัพย์คืออะไรกันแน่ ในสายตาของประชาชนทั่วไปที่มีเงินพร้อมจะลงทุน แต่ตลาดหลักทรัพย์กลับไม่ใช่ทางเลือกของเขา ทั้งๆที่การฝากเงินกับธนาคารในปัจจุบันให้ผลตอบแทนเพียง 2-3 % ต่อปีเท่านั้น
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากจ่ายปันผลมากกว่า 5 % ต่อปี โดยที่แนวโน้มการจ่ายในอนาคตผมดูแล้วไม่ลดลง แต่กลับไม่มีคนสนใจผลทุนซื้อหุ้นประเภทนี้ ในขณะที่หุ้นที่กิจการมีปัญหา ไม่สามารถจ่ายปันผลได้จำนวนมาก กลับเป็นที่นิยมของคนเล่นหุ้น ที่ต้องการความหวือหวาของราคาในลักษณะการเก็งกำไร
แปลกไหมครับ กิจการดีคนไม่สนใจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่สนใจ แต่กิจการไม่ค่อยดี อนาคตไม่แน่นอน แย่งกันลงทุน หน่วยงานต่างๆให้ความสนใจสนับสนุนให้มีการซื้อขายเก็งกำไรกัน
นี่คือความจริงที่ตลาดหุ้นไทยที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่กล้าพูดถึง"
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 2
ข้างต้นเป็นบทความในกรุงเทพธุรกิจเขียนไว้ประมาณกลางปี 2544 โดยท่าน ดร. นิเวศน์ ผมหยิบบทความนี้ขึ้นมาอ่านเพราะได้ดูข่าวรัฐกำลังระดมสมองพัฒนาตลาดทุนไทยที่หัวหิน
แต่ส่วนตัวผมคิดว่าให้ประชุมกันอีกร้อยครั้ง ผมลัพธ์ก็คงเหมือนเดิม คือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะอะไรครับ
เพราะคนแก้ปัญหา ไม่รู้สาเหตุของปัญหา ว่าที่จริงแล้ว ภาพพจน์ของตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็เหมือนเดิม คือเป็นแหล่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด ชนิดที่ว่าเป็นปิศาจร้ายในสายตาของประชาชนทั่วไปเลยที่เดียว...และมันก็มีเหตุมีผลจริงๆซะด้วย ที่ทำให้ประชาชนทั่วไปคิดเช่นนั้น เพราะเกือบๆ ร้อยเปอร์เซนต์ของคนเล่นหุ้น เจ็งหุ้นมาแล้วทั้งนั้น...
ทำให้ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมการฝากเงินกับธนาคาร จึงเป็นการออมที่นิยมมากที่สุด แม้จะทำให้ได้ผลตอบแทนติดลบหลังจากหักลบกับเงินเฟ้อแล้ว
ข้อมูลจากพี่เจ๋งมีคนที่มีเงินฝากมากกว่า 10 ล้านบาท ทั้งประเทศไทยมีประมาณ 50,000 คนเลยที่เดียว หรือประมาณ 500,000 ล้าน และหากนับรวมคนที่มีเงินฝากมากกว่า 1 ล้านบาทน่าจะมีอีกมากที่เดียว หากผมจำไม่ผิดเงินฝากทั้งประเทศรวมกัน สูงกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์รวมกันครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ ฝากเงินได้ผลตอบแทน 2-3 % ดีกว่าลงทุนในหุ้นที่ได้รับปันผล 4-10 % ได้อย่างไร..
แต่ส่วนตัวผมคิดว่าให้ประชุมกันอีกร้อยครั้ง ผมลัพธ์ก็คงเหมือนเดิม คือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะอะไรครับ
เพราะคนแก้ปัญหา ไม่รู้สาเหตุของปัญหา ว่าที่จริงแล้ว ภาพพจน์ของตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็เหมือนเดิม คือเป็นแหล่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด ชนิดที่ว่าเป็นปิศาจร้ายในสายตาของประชาชนทั่วไปเลยที่เดียว...และมันก็มีเหตุมีผลจริงๆซะด้วย ที่ทำให้ประชาชนทั่วไปคิดเช่นนั้น เพราะเกือบๆ ร้อยเปอร์เซนต์ของคนเล่นหุ้น เจ็งหุ้นมาแล้วทั้งนั้น...
ทำให้ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมการฝากเงินกับธนาคาร จึงเป็นการออมที่นิยมมากที่สุด แม้จะทำให้ได้ผลตอบแทนติดลบหลังจากหักลบกับเงินเฟ้อแล้ว
ข้อมูลจากพี่เจ๋งมีคนที่มีเงินฝากมากกว่า 10 ล้านบาท ทั้งประเทศไทยมีประมาณ 50,000 คนเลยที่เดียว หรือประมาณ 500,000 ล้าน และหากนับรวมคนที่มีเงินฝากมากกว่า 1 ล้านบาทน่าจะมีอีกมากที่เดียว หากผมจำไม่ผิดเงินฝากทั้งประเทศรวมกัน สูงกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์รวมกันครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ ฝากเงินได้ผลตอบแทน 2-3 % ดีกว่าลงทุนในหุ้นที่ได้รับปันผล 4-10 % ได้อย่างไร..

การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 3
นักลงทุนเยอะแยะที่ไม่รู้ว่าหุ้นที่ตนซื้อเป็นของบริษัทอะไร ทำกิจการอะไร
กำไรต่อหุ้นเท่าไหร่ คงเป็นส่วนน้อยมากที่อ่านงบการเงินได้ และน้อยกว่านั้นที่เข้าใจธุรกิจของบริษัทที่ตนซื้อหุ้นอย่างแท้จริง
ตราบใดที่ไม่มีความรู้ ผมไม่คิดว่าจะมีคนส่วนมากจะลงทุนรับปันผล 4-10% ครับ
กำไรต่อหุ้นเท่าไหร่ คงเป็นส่วนน้อยมากที่อ่านงบการเงินได้ และน้อยกว่านั้นที่เข้าใจธุรกิจของบริษัทที่ตนซื้อหุ้นอย่างแท้จริง
ตราบใดที่ไม่มีความรู้ ผมไม่คิดว่าจะมีคนส่วนมากจะลงทุนรับปันผล 4-10% ครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 4
ที่ผ่านมาดูเหมือนจะมีนักลงทุน 3 กลุ่มเท่านั้นที่ทำกำไรได้จากตลาดหุ้นไทย
-กองทุนต่างชาติ+กองทุนไทยบางกลุ่ม
-เสี่ยนักปั่นทั้งหลาย หรือพวกแมงมุมนั่นเอง
-นักลงทุนเน้นคุณค่าหลายท่าน
ส่วนกลุ่มที่ขาดทุน แน่นอนว่ามักเป็นนักลงทุนรายย่อยทั่วๆไป ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของนักลงทุนนั่นเอง น่าแปลกที่คนที่มีเงินรวมกันล้านล้าน กลับให้กองทุนต่างชาติที่มีเงินแค่หมื่นแค่แสนล้าน จูงจมูกทุกครั้งไป
แน่นอนว่าเงินที่กองทุนต่างชาติทำกำไรได้ ก็จะนำออกไปนอกประเทศ บางปีนักลงทุนเหล่านี้นำเงินกำไรออกไปมากกว่า ดุลการค้า ที่เราใช้ทรัพยากรทั้งชาติผลิต ทำได้เสียอีก...
แล้วทำไมรัฐจึงยอมให้เป็นเช่นนั้น มาตรการทั้งหลายก็ดูจะสนับสนุนนักลงทุน สองกลุ่มแรกเสียทุกครั้ง เพราะดันไปเข้าใจว่าตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้เพราะเม็ดเงินจากนักลงทุนสองกลุ่มแรก เลยลืมคิดไปว่ายังมีเงินอีกนับล้านล้าน ที่นอนแช่อยู่ในธนาคาร เพื่อดอกเบี้ยแค่ 2-3% หากมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทยประมาณ 4 ล้านล้านบาท และมีหุ้นหมุนเวียนประมาณ 50 % หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท ดังนั้นหากนักลงทุนนำเงินฝากทั้งหมดมาซื้อหุ้นเหล่านี้ สามารถซื้อหุ้นได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน....
-กองทุนต่างชาติ+กองทุนไทยบางกลุ่ม
-เสี่ยนักปั่นทั้งหลาย หรือพวกแมงมุมนั่นเอง
-นักลงทุนเน้นคุณค่าหลายท่าน
ส่วนกลุ่มที่ขาดทุน แน่นอนว่ามักเป็นนักลงทุนรายย่อยทั่วๆไป ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของนักลงทุนนั่นเอง น่าแปลกที่คนที่มีเงินรวมกันล้านล้าน กลับให้กองทุนต่างชาติที่มีเงินแค่หมื่นแค่แสนล้าน จูงจมูกทุกครั้งไป
แน่นอนว่าเงินที่กองทุนต่างชาติทำกำไรได้ ก็จะนำออกไปนอกประเทศ บางปีนักลงทุนเหล่านี้นำเงินกำไรออกไปมากกว่า ดุลการค้า ที่เราใช้ทรัพยากรทั้งชาติผลิต ทำได้เสียอีก...

แล้วทำไมรัฐจึงยอมให้เป็นเช่นนั้น มาตรการทั้งหลายก็ดูจะสนับสนุนนักลงทุน สองกลุ่มแรกเสียทุกครั้ง เพราะดันไปเข้าใจว่าตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้เพราะเม็ดเงินจากนักลงทุนสองกลุ่มแรก เลยลืมคิดไปว่ายังมีเงินอีกนับล้านล้าน ที่นอนแช่อยู่ในธนาคาร เพื่อดอกเบี้ยแค่ 2-3% หากมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทยประมาณ 4 ล้านล้านบาท และมีหุ้นหมุนเวียนประมาณ 50 % หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท ดังนั้นหากนักลงทุนนำเงินฝากทั้งหมดมาซื้อหุ้นเหล่านี้ สามารถซื้อหุ้นได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน....
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 6
วงจรณ์อุบาทร์ของตลาดหุ้นไทย...
ภาวะก่อนตลาดกระทิง --- รายย่อยหมดความอดทนขายหุ้นและหายไปจากตลาด>>>กองทุนต่างชาติเก็บหุ้นตัวใหญ่ ลากดัชนี>>> เสี่ยนักปั่น ปั่นหุ้นตัวเล็กหุ้นเน่า>>>รายย่อยกลับมาอีกครั้ง ซื้อตามเสี่ยนักปั่น
ภาวะหลังจากตลาดกระทิง --- กองทุนต่างชาติขายทำกำไร>>>เสี่ยนักปั่นขายหุ้นทำกำไร>>> รายย่อยถือหุ้น-รับหุ้น ไม่กล้าขายขาดทุน
จะเห็นได้ว่ากลุ่มที่ขาดทุนทุกครั้งไปคือนักลงทุนรายย่อย กลุ่มที่ได้กำไรคือกองทุนต่างชาติ+เสี่ยนักปั่น วงจรณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำซากทุกครั้งไป ตลาดหุ้นไทยจึงมีภาพพจณ์เป็นสุสานของการลงทุน ไม่น่าแปลกที่จะมีเงินฝากมหาศาลในธนาคารเพื่อดอกเบี้ยอันน้อยนิด...
สาเหตุ คือนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ข้อนี้สำคัญที่สุด สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ
-รัฐะไม่เคยรับรู้ว่านักลงทุนรายย่อย เป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุดของตลาดหุ้นไทย
จึงไม่เคยติดอาวุธทางปัญญา โดยการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่นักลงทุน ไม่มีนโยบายที่จะสนับสนุนการลงทุนในระยะยาวในตลาดหุ้นไทย เพราะหน่วยงานเหล่านี้มักมองผลในระยะสั้นเท่านั้น ในแง่มูลค่าการซื้อขาย และระดับของดัชนี พูดให้ชัดคือมองระยะสั้นๆ แบบนักการเมืองเวลาหาเสียง
- โบรคเกอร์ มาร์เกตติ้ง ที่ได้รับผลประโยชน์จากมูลค่าการซื้อขาย แน่นอนว่าต้องการให้ลูกค้ามีการซื้อขายเยอะๆ หากนักลงทุนหันไปลงทุนระยะยาวกันหมด มูลค่าการซื้อขายคงลดไปมาก โบรคเกอร์และมาร์เก็ตติ้งส่วนใหญ่คงต้องหายไป ..
ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างนั้นมิใช่เหรอครับ พูดกันตรงๆ ก็คือโบรคเกอร์และมาร์เก็ตติ้งเป็นส่วนเกิน ของระบบเศรษกิจนั่นเอง เพราะส่วนใหญ่มีการศึกษาอย่างน้อยปริญญาตรี แต่ทำหน้าที่แค่รับโทรศัพท์และคีร์ออเดอร์ให้ลูกค้า
ภาวะก่อนตลาดกระทิง --- รายย่อยหมดความอดทนขายหุ้นและหายไปจากตลาด>>>กองทุนต่างชาติเก็บหุ้นตัวใหญ่ ลากดัชนี>>> เสี่ยนักปั่น ปั่นหุ้นตัวเล็กหุ้นเน่า>>>รายย่อยกลับมาอีกครั้ง ซื้อตามเสี่ยนักปั่น
ภาวะหลังจากตลาดกระทิง --- กองทุนต่างชาติขายทำกำไร>>>เสี่ยนักปั่นขายหุ้นทำกำไร>>> รายย่อยถือหุ้น-รับหุ้น ไม่กล้าขายขาดทุน
จะเห็นได้ว่ากลุ่มที่ขาดทุนทุกครั้งไปคือนักลงทุนรายย่อย กลุ่มที่ได้กำไรคือกองทุนต่างชาติ+เสี่ยนักปั่น วงจรณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำซากทุกครั้งไป ตลาดหุ้นไทยจึงมีภาพพจณ์เป็นสุสานของการลงทุน ไม่น่าแปลกที่จะมีเงินฝากมหาศาลในธนาคารเพื่อดอกเบี้ยอันน้อยนิด...
สาเหตุ คือนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ข้อนี้สำคัญที่สุด สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ
-รัฐะไม่เคยรับรู้ว่านักลงทุนรายย่อย เป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุดของตลาดหุ้นไทย
จึงไม่เคยติดอาวุธทางปัญญา โดยการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่นักลงทุน ไม่มีนโยบายที่จะสนับสนุนการลงทุนในระยะยาวในตลาดหุ้นไทย เพราะหน่วยงานเหล่านี้มักมองผลในระยะสั้นเท่านั้น ในแง่มูลค่าการซื้อขาย และระดับของดัชนี พูดให้ชัดคือมองระยะสั้นๆ แบบนักการเมืองเวลาหาเสียง
- โบรคเกอร์ มาร์เกตติ้ง ที่ได้รับผลประโยชน์จากมูลค่าการซื้อขาย แน่นอนว่าต้องการให้ลูกค้ามีการซื้อขายเยอะๆ หากนักลงทุนหันไปลงทุนระยะยาวกันหมด มูลค่าการซื้อขายคงลดไปมาก โบรคเกอร์และมาร์เก็ตติ้งส่วนใหญ่คงต้องหายไป ..
ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างนั้นมิใช่เหรอครับ พูดกันตรงๆ ก็คือโบรคเกอร์และมาร์เก็ตติ้งเป็นส่วนเกิน ของระบบเศรษกิจนั่นเอง เพราะส่วนใหญ่มีการศึกษาอย่างน้อยปริญญาตรี แต่ทำหน้าที่แค่รับโทรศัพท์และคีร์ออเดอร์ให้ลูกค้า

แก้ไขล่าสุดโดย ลูกอิสาน เมื่อ อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 4:58 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 7
พูดถึงทางออกบ้าง เดี๋ยวจะเป็นว่าดีแต่ติ..
- บรรจุหลักสูตรการลงทุนในการเรียนชั้นมัธยมหรือประถม เป็นหลักสูตรบังคับ
ให้ความรู้การลงทุนที่ถูกต้อง ให้ตัวอย่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
-เงินกองทุนตลาดหลัพทรัพย์นับหมื่นล้าน (เก็บจากบริษัทจดทะเบียนทุกปี) เก็บเอาไว้ทำไม ทำไมไม่นำดอกผลเพื่อใช้ในการให้ความรู้ การลงทุนที่ควรจะเป็นแก่ประชาชน การออกบูท การจัดทำโปรแกรมทีวี ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน แต่น้อยเกินไปมาก
-ส่งเสริมการใช้อินเตอร์เนทในการซื้อขาย ลดบทบาทของมาร์เก็ตติ้งซึ่งมักมีคำแนะนำให้ซื้อ-ขายบ่อยๆ อาจจะโดยการลดธรรมเนียมการซื้อขายลงไปอีก
ในต่างประเทศเช่น อเมริกา ผมไม่แน่ใจว่ายังมีมาร์เก็ตติ้งอยู่อีกหรือเปล่า แม้ในประเทศในเอเชียเช่น เกาหลีใต้ สัดส่วนการซื้อขายทางอินเตอร์เนทสูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดคงไม่มีอาชีพมาร์เก็ตติ้งอีกต่อไป ซึ่งผมคิดว่าเมืองไทยก็คงเป็นเช่นนั้น แม้ว่ายังจะไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้
-มาตรการทางภาษี เช่นการให้ใช้มาตรการทางภาษี ในการจูงใจในการลงทุนระยะยาวเหมือนที่เพิ่งมีการดำริที่จะทำ หรือควรจะเก็บภาษีกำไรที่เกิดจากการซื้อขายหุ้นเช่น เก็บภาษี 10-20% จากกำไรหุ้นที่ถือน้อยกว่า 1 เดือน เหมือนที่คุณนักดูดาวว่าไว้ครับ แต่ผมไม่คิดว่านักเก็งกำไรจะหายไปซะที่เดียว แต่มูลค่าการซื้อขายคงจะลดลงพอสมควร
-ดำเนินการทางกฎหมายกับนักปั่นหุ้นและเจ้าของกิจการที่ฉ้อฉลนักลงทุน อย่างเด็ดขาด (ว่าแต่ผู้บริหาร roynet ยังคงลอยนวล
)
- ลดบทบาทนักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ออกทีวี เพราะน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า ที่จะสื่อให้นักลงทุนทั่วไปทราบว่าหุ้นตัวใดดีหรือไม่ดี เพราะปัจจัยอย่างโน้น อย่างนี้ มากกว่าจะบอกว่าหุ้นดีหรือไม่ดี เพียงแค่ดูรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา
คิดได้แค่นี้ละครับ เพื่อนๆมีอะไรเสริมไหวครับ
- บรรจุหลักสูตรการลงทุนในการเรียนชั้นมัธยมหรือประถม เป็นหลักสูตรบังคับ
ให้ความรู้การลงทุนที่ถูกต้อง ให้ตัวอย่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
-เงินกองทุนตลาดหลัพทรัพย์นับหมื่นล้าน (เก็บจากบริษัทจดทะเบียนทุกปี) เก็บเอาไว้ทำไม ทำไมไม่นำดอกผลเพื่อใช้ในการให้ความรู้ การลงทุนที่ควรจะเป็นแก่ประชาชน การออกบูท การจัดทำโปรแกรมทีวี ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน แต่น้อยเกินไปมาก
-ส่งเสริมการใช้อินเตอร์เนทในการซื้อขาย ลดบทบาทของมาร์เก็ตติ้งซึ่งมักมีคำแนะนำให้ซื้อ-ขายบ่อยๆ อาจจะโดยการลดธรรมเนียมการซื้อขายลงไปอีก
ในต่างประเทศเช่น อเมริกา ผมไม่แน่ใจว่ายังมีมาร์เก็ตติ้งอยู่อีกหรือเปล่า แม้ในประเทศในเอเชียเช่น เกาหลีใต้ สัดส่วนการซื้อขายทางอินเตอร์เนทสูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดคงไม่มีอาชีพมาร์เก็ตติ้งอีกต่อไป ซึ่งผมคิดว่าเมืองไทยก็คงเป็นเช่นนั้น แม้ว่ายังจะไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้
-มาตรการทางภาษี เช่นการให้ใช้มาตรการทางภาษี ในการจูงใจในการลงทุนระยะยาวเหมือนที่เพิ่งมีการดำริที่จะทำ หรือควรจะเก็บภาษีกำไรที่เกิดจากการซื้อขายหุ้นเช่น เก็บภาษี 10-20% จากกำไรหุ้นที่ถือน้อยกว่า 1 เดือน เหมือนที่คุณนักดูดาวว่าไว้ครับ แต่ผมไม่คิดว่านักเก็งกำไรจะหายไปซะที่เดียว แต่มูลค่าการซื้อขายคงจะลดลงพอสมควร
-ดำเนินการทางกฎหมายกับนักปั่นหุ้นและเจ้าของกิจการที่ฉ้อฉลนักลงทุน อย่างเด็ดขาด (ว่าแต่ผู้บริหาร roynet ยังคงลอยนวล

- ลดบทบาทนักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ออกทีวี เพราะน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า ที่จะสื่อให้นักลงทุนทั่วไปทราบว่าหุ้นตัวใดดีหรือไม่ดี เพราะปัจจัยอย่างโน้น อย่างนี้ มากกว่าจะบอกว่าหุ้นดีหรือไม่ดี เพียงแค่ดูรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา
คิดได้แค่นี้ละครับ เพื่อนๆมีอะไรเสริมไหวครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 8
กิเลสและความโลภคือคำตอบสุดท้าย
ให้พระอรหันต์มาลงทุนเท่านั้นถึงจะเป็นอย่างที่คุณต้องการ
ให้เขาทำให้เขาแก้ไปเถอะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ให้พระอรหันต์มาลงทุนเท่านั้นถึงจะเป็นอย่างที่คุณต้องการ
ให้เขาทำให้เขาแก้ไปเถอะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 9
การที่นักลงทนรายย่อยเล่นห้นแบบซื้อๆขายๆนั้นเป็นขมทรัพย์ของผ้ที่เกี่ยวข้องกับธรกิจหลักทรัพย์ครับ
ลองนึกดว่า ถ้ารายย่อยลงทนแบบ VI มลค่าการซื้อขายจะลดลงเท่าไร บล.ทั้งหลายคงมีรายได้ลดลง มลค่าห้นของบล.ก็ลดลงด้วย อาชีพมาร์เก็ตติ้งก็คงไม่มีใครสนใจ รายใหญ่ขาปั่นก็คงหมดทางทำมาหากิน
แล้วบคคลที่ได้รับผลประโยชน์เป็นใครกันบ้างครับ ใกล้ชิดกับใครบ้างครับ แค่จะเปิดเสรีค่าคอม.ยังไม่ได้เลยครับ
ลองนึกดว่า ถ้ารายย่อยลงทนแบบ VI มลค่าการซื้อขายจะลดลงเท่าไร บล.ทั้งหลายคงมีรายได้ลดลง มลค่าห้นของบล.ก็ลดลงด้วย อาชีพมาร์เก็ตติ้งก็คงไม่มีใครสนใจ รายใหญ่ขาปั่นก็คงหมดทางทำมาหากิน
แล้วบคคลที่ได้รับผลประโยชน์เป็นใครกันบ้างครับ ใกล้ชิดกับใครบ้างครับ แค่จะเปิดเสรีค่าคอม.ยังไม่ได้เลยครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 10
เขาว่ากันว่า สิ่งที่ขาใหญ่นักปั่นกลัวที่สุดไม่ใช่ กลต แต่กลัวปั่นแล้วไม่ไม่รายย่อยมาติดกับครับ
ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่เปิดตลาดมา ยังไม่เคยมีนักปั่นคนไหนไปนั่งกินข้าวแดงซักคนเลยนะ
ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่เปิดตลาดมา ยังไม่เคยมีนักปั่นคนไหนไปนั่งกินข้าวแดงซักคนเลยนะ
-
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 11
เห็นด้วยครับ...เรื่องพัฒนาตลาดทุน
ถึงจะส่งเสริมให้ลงทุนระยะยาว
แต่เมื่อรับปันผล ก็เจอหักภาษีเยอะนะครับ
อันนี้น่าจะมีมาตรการลดภาษีเงินปันผลลงบ้าง...
จูงใจให้คนที่เกษียนแล้ว หันมาถือหุ้นกันมากๆ
ถึงจะส่งเสริมให้ลงทุนระยะยาว
แต่เมื่อรับปันผล ก็เจอหักภาษีเยอะนะครับ
อันนี้น่าจะมีมาตรการลดภาษีเงินปันผลลงบ้าง...
จูงใจให้คนที่เกษียนแล้ว หันมาถือหุ้นกันมากๆ
-
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 12
วงจรณ์อุบาทร์ของตลาดหุ้นไทย...
ภาวะก่อนตลาดกระทิง --- รายย่อยหมดความอดทนขายหุ้นและหายไปจากตลาด>>>กองทุนต่างชาติเก็บหุ้นตัวใหญ่ ลากดัชนี>>> เสี่ยนักปั่น ปั่นหุ้นตัวเล็กหุ้นเน่า>>>รายย่อยกลับมาอีกครั้ง ซื้อตามเสี่ยนักปั่น
ภาวะหลังจากตลาดกระทิง --- กองทุนต่างชาติขายทำกำไร>>>เสี่ยนักปั่นขายหุ้นทำกำไร>>> รายย่อยถือหุ้น-รับหุ้น ไม่กล้าขายขาดทุน
โดนใจจริงๆ ครับตรงนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วงจรอุบาทร์อย่างนี้ถึงจะหมดไปสักที
ภาวะก่อนตลาดกระทิง --- รายย่อยหมดความอดทนขายหุ้นและหายไปจากตลาด>>>กองทุนต่างชาติเก็บหุ้นตัวใหญ่ ลากดัชนี>>> เสี่ยนักปั่น ปั่นหุ้นตัวเล็กหุ้นเน่า>>>รายย่อยกลับมาอีกครั้ง ซื้อตามเสี่ยนักปั่น
ภาวะหลังจากตลาดกระทิง --- กองทุนต่างชาติขายทำกำไร>>>เสี่ยนักปั่นขายหุ้นทำกำไร>>> รายย่อยถือหุ้น-รับหุ้น ไม่กล้าขายขาดทุน
โดนใจจริงๆ ครับตรงนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วงจรอุบาทร์อย่างนี้ถึงจะหมดไปสักที
- tenkafubu
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 13
ผมเห็นด้วยกับพี่ๆ ทุกท่านครับ...
เพื่อนผม วันก่อนผมเพิ่งติดต่อหาเพื่อนสาวๆ ที่ไม่เจอกันนาน
คุยไปคุยมา ขาดทุนไปหลายหมื่นครับ..เฮ้อน่าสงสาร
ผมก็เทศน์ไปหลายยก ..กะว่าคุณเธอจะเข้าใจแนวทาง value ครับ
สุดท้าย คุณเธอบอกว่า เดี๋ยวรอให้ ดีดมาเท่าทุน ก่อนค่อยมาเริ่ม VI
ผมว่า ไม่พ้นวงจรนี้อีกครับ..
เป็นห่วงจริงๆ น่ารักด้วย แต่ไม่เชื่อกันเลย เฮ้อเศร้า
ขอให้โลกนี้ มีความสุขและสงบ
ทุกหัวใจมีรักครับ
เพื่อนผม วันก่อนผมเพิ่งติดต่อหาเพื่อนสาวๆ ที่ไม่เจอกันนาน
คุยไปคุยมา ขาดทุนไปหลายหมื่นครับ..เฮ้อน่าสงสาร
ผมก็เทศน์ไปหลายยก ..กะว่าคุณเธอจะเข้าใจแนวทาง value ครับ
สุดท้าย คุณเธอบอกว่า เดี๋ยวรอให้ ดีดมาเท่าทุน ก่อนค่อยมาเริ่ม VI
ผมว่า ไม่พ้นวงจรนี้อีกครับ..
เป็นห่วงจริงๆ น่ารักด้วย แต่ไม่เชื่อกันเลย เฮ้อเศร้า

ขอให้โลกนี้ มีความสุขและสงบ
ทุกหัวใจมีรักครับ
3M Only...
Market Cap.
Market Cap.
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
หลงทาง....
โพสต์ที่ 14
ผมว่าปัญหาของตลาดทุนบ้านเราอยู่ที่:
1. ธรรมาภิบาลของบริษัทในตลาด 100 นึงมี 60ที่คิดเรื่องพวกนี้ ใน 60 อาจจะมีสัก 20 ที่ยังคิดเรื่องพวกนี้เมื่อมีต้นทุนในการทำธรรมาภิบาล
2. Double standard ของผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ เช่นกรณีเดียวกันกับสองบริษัท อันนึงเป็นการปั่นหุ้น อันนึงไม่เป็น
3. ความเข้าใจว่าการเล่นหุ้น คือหวยของคนรวย
4. ขาดบริษัทชั้นดีในตลาด ทำไมไม่มีหุ้นอย่าง MKสุกี้ ฟูจิ ไทยรัฐ ในตลาดหนอ
5. และแน่นอน รัฐบาลเห็นว่าการแก้ไขปัญหาของตลาดทุนคือการเพิ่ม set index
1. ธรรมาภิบาลของบริษัทในตลาด 100 นึงมี 60ที่คิดเรื่องพวกนี้ ใน 60 อาจจะมีสัก 20 ที่ยังคิดเรื่องพวกนี้เมื่อมีต้นทุนในการทำธรรมาภิบาล
2. Double standard ของผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ เช่นกรณีเดียวกันกับสองบริษัท อันนึงเป็นการปั่นหุ้น อันนึงไม่เป็น
3. ความเข้าใจว่าการเล่นหุ้น คือหวยของคนรวย
4. ขาดบริษัทชั้นดีในตลาด ทำไมไม่มีหุ้นอย่าง MKสุกี้ ฟูจิ ไทยรัฐ ในตลาดหนอ
5. และแน่นอน รัฐบาลเห็นว่าการแก้ไขปัญหาของตลาดทุนคือการเพิ่ม set index
ขอนไม้อันนิ่งสงบ