ผมมีปัญหากับการซื้อเพิ่ม
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
ผมมีปัญหากับการซื้อเพิ่ม
โพสต์ที่ 1
ผมไม่มีปัญหาในการ ค้นหาหุ้นที่ดี
ผมไม่มีปัญหากับการขายเพื่อทำกำไร เพราะผมมักถือยาว
แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของผมคือ "ผมไม่กล้า ซื้อเพิ่ม"
ขออธิบายเกียวกับ style ของตัวผมนิดหน่อยก่อน
ผมมักจะดูจาก business model กับความ น่าจะเป็นในการทำกำไร และการเติบโต แล้วก็มีการเลือกที่ PE ปัจจุบันประกอบนิดหน่อย
ผมมักจะมีปัญหากับ PE เป็นส่วนมาก เวลาเห็น model business ที่น่าจะ work ในอนาตค และโอกาษทำกำไร
แต่พอดู PE แล้วมันมักจะทำให้ผมใจสั้นขึ้นไปทุกที ในการซื้อเพิ่ม ในหุ้นบางตัวนะครับมีอยู่ใน PE ที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
แต่ผมวิเคราห์ตามหลังส่วนตัวออกมาแล้ว ก็ยังเห็นว่ามันยังควรจะทำกำไรได้จากนี้ไปอีกหลายๆปี และต่อเนื่อง
แต่เพราะ PE ทำให้ผม ไม่กล้าซื้อเพิ่ม และยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ทั้งราคาหุ้น ทั้ง PE เพราะถ้าซื้อเพิ่มเข้าไปแล้วแน่นอนว่า MOS ลดลงเพราะต้องไปเฉลียกับส่วนใหม่ที่เข้ามา
ผมไม่มีปัญหากับการขายเพื่อทำกำไร เพราะผมมักถือยาว
แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของผมคือ "ผมไม่กล้า ซื้อเพิ่ม"
ขออธิบายเกียวกับ style ของตัวผมนิดหน่อยก่อน
ผมมักจะดูจาก business model กับความ น่าจะเป็นในการทำกำไร และการเติบโต แล้วก็มีการเลือกที่ PE ปัจจุบันประกอบนิดหน่อย
ผมมักจะมีปัญหากับ PE เป็นส่วนมาก เวลาเห็น model business ที่น่าจะ work ในอนาตค และโอกาษทำกำไร
แต่พอดู PE แล้วมันมักจะทำให้ผมใจสั้นขึ้นไปทุกที ในการซื้อเพิ่ม ในหุ้นบางตัวนะครับมีอยู่ใน PE ที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
แต่ผมวิเคราห์ตามหลังส่วนตัวออกมาแล้ว ก็ยังเห็นว่ามันยังควรจะทำกำไรได้จากนี้ไปอีกหลายๆปี และต่อเนื่อง
แต่เพราะ PE ทำให้ผม ไม่กล้าซื้อเพิ่ม และยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ทั้งราคาหุ้น ทั้ง PE เพราะถ้าซื้อเพิ่มเข้าไปแล้วแน่นอนว่า MOS ลดลงเพราะต้องไปเฉลียกับส่วนใหม่ที่เข้ามา
- airazoc
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมมีปัญหากับการซื้อเพิ่ม
โพสต์ที่ 2
ทุกๆครั้งที่งบไตรมาสออก หรือทุกๆครั้งที่มีข่าวสำคัญๆของหุ้นที่ผมถืออยู่ประกาศออกมา
ผมจะลอง valuation ใหม่อีกครั้ง แล้วดูว่า ราคานี้เทียบกับหุ้นตัวอื่นๆใน watch list ของผม
มี upside สู้ตัวอื่นๆได้หรือไม่ครับ ถ้าตัวนี้ upside สูงกว่าตัวอื่นและเงินเหลือ ก็ซื้อครับ
แต่ถ้า upside มาเป็นที่โหล่ ก็จะลองดูว่าราคานี้ใกล้กับราคาที่คำนวนไว้หรือยังถ้ายังอีกเยอะ
ก็จะถือไว้ครับ ถ้ามันเกินราคาที่คำนวนไว้ ก็ขายครึ่งนึง หรือไม่ก็ขายทั้งหมดครับ
ถ้ามันจะขึ้นไปอีกก็ถือว่า ความรู้เรามีแค่นี้ครับควรจะได้แค่นี้
ผมจะลอง valuation ใหม่อีกครั้ง แล้วดูว่า ราคานี้เทียบกับหุ้นตัวอื่นๆใน watch list ของผม
มี upside สู้ตัวอื่นๆได้หรือไม่ครับ ถ้าตัวนี้ upside สูงกว่าตัวอื่นและเงินเหลือ ก็ซื้อครับ
แต่ถ้า upside มาเป็นที่โหล่ ก็จะลองดูว่าราคานี้ใกล้กับราคาที่คำนวนไว้หรือยังถ้ายังอีกเยอะ
ก็จะถือไว้ครับ ถ้ามันเกินราคาที่คำนวนไว้ ก็ขายครึ่งนึง หรือไม่ก็ขายทั้งหมดครับ
ถ้ามันจะขึ้นไปอีกก็ถือว่า ความรู้เรามีแค่นี้ครับควรจะได้แค่นี้
"In life and business, there are two cardinal sins ... The first is to act precipitously without thought, and the second is to not act at all.” – Carl Icahn
-
- Verified User
- โพสต์: 611
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมมีปัญหากับการซื้อเพิ่ม
โพสต์ที่ 3
PE จะแพงหรือถูก ลองเทียบกับ Growth ดูครับ
PE:G ควรจะเท่ากับ 1 : 1 ยิ่ง PE < G ยิ่งดี
จะทำให้เราเลิกกลัวว่าจะซื้อแพง และมั่นใจมากขึ้น
ถ้าบริษัทมี growth ประมาณ 20+ % และเราก็คาดว่าในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะรักษาระดับ G นี้ไว้ได้
ถ้าหุ้นตัวนี้ PE = 15 - 20 ผมก็ซื้อครับ บางที 25 ผมก็ซื้อถ้าผมพอใจ
เฟอรรารี่ มันก็ไม่เคยถูกนะครับ...
PE:G ควรจะเท่ากับ 1 : 1 ยิ่ง PE < G ยิ่งดี
จะทำให้เราเลิกกลัวว่าจะซื้อแพง และมั่นใจมากขึ้น
ถ้าบริษัทมี growth ประมาณ 20+ % และเราก็คาดว่าในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะรักษาระดับ G นี้ไว้ได้
ถ้าหุ้นตัวนี้ PE = 15 - 20 ผมก็ซื้อครับ บางที 25 ผมก็ซื้อถ้าผมพอใจ
เฟอรรารี่ มันก็ไม่เคยถูกนะครับ...
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมมีปัญหากับการซื้อเพิ่ม
โพสต์ที่ 4
ถ้าประเมินแล้วว่ายังมี g ยังมี MOS และหาหุ้นอื่นที่ไม่มี MOS และแง่ quality สูงกว่า ก็ซื้อเถอะครับ แต่ประเมินใหม่อย่างคุณ airazoc ว่าgnomeller เขียน: แต่ผมวิเคราห์ตามหลังส่วนตัวออกมาแล้ว ก็ยังเห็นว่ามันยังควรจะทำกำไรได้จากนี้ไปอีกหลายๆปี และต่อเนื่อง
แต่เพราะ PE ทำให้ผม ไม่กล้าซื้อเพิ่ม และยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ทั้งราคาหุ้น ทั้ง PE เพราะถ้าซื้อเพิ่มเข้าไปแล้วแน่นอนว่า MOS ลดลงเพราะต้องไปเฉลียกับส่วนใหม่ที่เข้ามา
และที่เราได้ยินกันทุกบ่อย ว่าการซื้อเพิ่ม คือการ "ซื้อเฉลี่ย" เป็นความจริงที่หลอกๆ ไม่ว่าเฉลี่ยจะทำให้ต้นทุนถูกลงยามตลดซบเซา หรือถุกทำให้เพิ่มขึ้นอย่างกรณีคุณกลัว
ถ้าจะซื้อเพิ่ม ผมจะไม่สนใจค่าเฉลี่ย เพราะไม่มีการเฉลี่ยเกิดขึ้นจริง แม้ว่า port ที่โชว์ให้เราเห็นจะเป็นตัวเลขเฉลี่ยก็ตาม
เวลาเราขายหุ้น โดยเฉพาะถ้าปรับพอร์ตแบ่งขาย จำนวนหุ้นที่ถูกซื้อก่อน จะถูกขายออกไปก่อน ที่เรียกว่า FIFO: First In First Out
ตัวอย่าง
(สมมติว่าไม่มีค่า comm เพราะตัวเลขจะได้ดูง่าย)
ถ้าคุณซื้อหุ้น xxx ปีที่แล้ว ที่ราคาต้นทุนหุ้นละ 5 บาท จำนวน 50,000 หุ้น
และปีนี้ ต้นทุนหุ้นละ 10 บาท จำนวน 50,000 หุ้น
แม้ว่ามันจะออกมาค่าเฉลี่ย ว่าราคาอยู่ 7.5 บาท/หุ้น
แต่ถ้าตอนนั้นสักพัก คุณแบ่งขาย ออกไป 50,000 หุ้น หุ้นชุดแรกจะถูกขายออกไป
หุ้นที่เหลือใน port จะถูกแสดงค่า ในราคาต้นทุนของปีนี้ คือหุ้นละ 10 บาท
ดังนั้นบทสรุป จะซื้อหุ้นเพิ่ม ไม่ว่าถูกลง หรือแพงขึ้น อย่าคิดว่ามันจะมาเฉลี่ย แต่ให้คิดเหมือนซื้อหุ้นใหม่แทน เป็นการ valuation เฉพาะที่ซื้อใหม่ ไม่เกี่ยวกับของเก่า
จะเกี่ยวกับของเก่า ก็ตรงที่ในแง่ quality คือความน่าไว้วางใจในตัวผู้บริหารที่ขับเคลื่อนองค์กร และคุณภาพผลิตภัณฑ์เท่านั้น
แต่ก็ไม่แน่ทุกกรณี เมื่อข้ามปี ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ หรือความสามารถในการแข่งขันในตลาดอาจเปลี่ยนไปสิ้นเชิงก็ได้ บางทีสภาพเศรษฐกิจอาจทำให้คุณภาพการทำกำไรลดลง ของจริงเลยมีเกิดขึ้นเยอะ อย่างกรณีหุ้นมือถือ เป็นต้น ทำไมที่ว่าปู่บัฟฟ์ไม่ชอบลงทุนหุ้นเทคโนโลยีก็เพราะเหตุนี้
และเรื่องผู้บริหาร อาจเปลี่ยนคน ต้องดูกันใหม่ หรือคนเดิม แต่อาจเพิ่งหางงอกให้มาเห็นก็ได้
ของจริง ภาคปฏิบัติผมทำแบ่งอย่างนี้ทุกครั้งที่ซื้อหุ้นเพิ่ม แม้จะห่างกันอาทิตย์เดียวหรือเดือนเดียว เพื่อจะได้ไม่ "หลอกตัวเอง"
ที่เราลงทุนไปแล้ว ที่เคยกำไรเท่าใด ก็กำไรเท่าเดิม ถ้าขาดทุนอยู่ ก็ขาดทุนเท่าเดิม
ไฟล์ Excel ของตารางข้างบน
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมมีปัญหากับการซื้อเพิ่ม
โพสต์ที่ 5
เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้คุณ gnomeller เจ้าของกระทู้ ว่าอาจารย์เราก็มาซื้อเพิ่มทีหลัง ทั้งที่ราคามันก็ไต่ขึ้นเรื่อยๆ (น่าจะประเมินรอบคอบแล้วว่าของดีจริง)
ลองไปดูกระทู้เก่า หุ้นทุกตัวที่ประสบความสำเร็จ ก็ใช้วิธีซื้อมาตลอดทาง เมื่อเอื้ออำนวย หรือน่าจะปรับพอร์ต และได้ปันผลกลับมาซื้อ ที่ใน blog ล่าสุดอาจารย์นิเวศน์พูดไว้
"หุ้นหลายเด้งส่วนใหญ่ที่ผมได้ ในวันที่ผมซื้อ ผมไม่รู้และไม่ได้คิดว่า ได้กำไรถึงขนาดนั้น ผมซื้อเพราะกิจการดี และมีราคาที่เหมาะสม น่าจะทำให้ผมกำไรซักปีละ 10-15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า" "หุ้นหลายเด้ง" http://bit.ly/ppl4cv
มาแอบดู พอร์ต ดร.นิเวศน์ กัน
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t ... o&start=34
ถ้าเป็นตามนี้จริง CPALL 5 เด้งแล้ว
HMPRO ทำงงมาก เพราะปันผลเป็นหุ้นบ่อย ถ้าตัวเลขจากวันที่คุณ vichit post ไว้ แล้วไม่มีการซื้อเพิ่มเลยหลัง 2005 จนโตมาทุกวันนี้ ก็จะราว เกือบ 37 เด้ง! แต่ดูเหมือน 2007 จะซื้อเพิ่มอีกมากกว่า 2 เท่า ถ้าใช่้ตัวเลขคือก็คงราว 15 เด้ง
(แต่กลัวว่าตัวเลขจะเพี้ยน exaggerate ไป สูงน่ะสูงแน่ แต่ไม่กล้ายืนยันตัวเลขเต็มปากเต็มคำอย่าง CPALL ที่ได้ตัวเลขชัดเจน)
ลองไปดูกระทู้เก่า หุ้นทุกตัวที่ประสบความสำเร็จ ก็ใช้วิธีซื้อมาตลอดทาง เมื่อเอื้ออำนวย หรือน่าจะปรับพอร์ต และได้ปันผลกลับมาซื้อ ที่ใน blog ล่าสุดอาจารย์นิเวศน์พูดไว้
"หุ้นหลายเด้งส่วนใหญ่ที่ผมได้ ในวันที่ผมซื้อ ผมไม่รู้และไม่ได้คิดว่า ได้กำไรถึงขนาดนั้น ผมซื้อเพราะกิจการดี และมีราคาที่เหมาะสม น่าจะทำให้ผมกำไรซักปีละ 10-15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า" "หุ้นหลายเด้ง" http://bit.ly/ppl4cv
มาแอบดู พอร์ต ดร.นิเวศน์ กัน
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t ... o&start=34
ถ้าเป็นตามนี้จริง CPALL 5 เด้งแล้ว
HMPRO ทำงงมาก เพราะปันผลเป็นหุ้นบ่อย ถ้าตัวเลขจากวันที่คุณ vichit post ไว้ แล้วไม่มีการซื้อเพิ่มเลยหลัง 2005 จนโตมาทุกวันนี้ ก็จะราว เกือบ 37 เด้ง! แต่ดูเหมือน 2007 จะซื้อเพิ่มอีกมากกว่า 2 เท่า ถ้าใช่้ตัวเลขคือก็คงราว 15 เด้ง
(แต่กลัวว่าตัวเลขจะเพี้ยน exaggerate ไป สูงน่ะสูงแน่ แต่ไม่กล้ายืนยันตัวเลขเต็มปากเต็มคำอย่าง CPALL ที่ได้ตัวเลขชัดเจน)
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมมีปัญหากับการซื้อเพิ่ม
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ พึ่งทราบเลยนะครับเนี่ยว่า การซื้อขายจริงๆมันไม่ได้คิดเอา ค่าเฉลีย แต่เราซื้อราคาไหน เราก็คือถือราคานั้นเอาไว้
ถ้าเกิดว่าเราใช้อัตรา % การเติบโตของ ROE เทียบกับ PE ได้ใหม ในกรณีที่ เทียบแล้ว ROE มีการขยายสูงกว่า PE ?
ถ้าเกิดว่าเราใช้อัตรา % การเติบโตของ ROE เทียบกับ PE ได้ใหม ในกรณีที่ เทียบแล้ว ROE มีการขยายสูงกว่า PE ?