วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
-
- Verified User
- โพสต์: 490
- ผู้ติดตาม: 0
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 1
ดูเหมือนวิกฤต subprime ที่ผ่านมา วอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้าไปรับซื้อหุ้นไว้แยะที่เดียว คิดกันไหมว่า รอบนี้ถ้าหุ้นตกยาวลงลึก วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะรอดไหม
“Survival of the fittest”
“รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม”
“รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม”
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 3
รอดครับ ปู่บัฟเฟตต์มาหลาย10ปีแล้วครับ ผ่านมาหลายวิกฤติแล้วครับ
แค่นี้ไม่ระคายผิวปู่หรอกครับ ปู่ไม่ได้มองว่าราคาหุ้นตกต่ำไม่ใช่ความเสี่ยง
แต่เป็นโอกาส มุมมองเรื่องความเสี่ยงของปู่นั่นแตกต่างไปจากความเสี่ยงของนักลงทุนทั่วๆไปครับ
---------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่...
http://www.wealththailand.blogspot.com/
แค่นี้ไม่ระคายผิวปู่หรอกครับ ปู่ไม่ได้มองว่าราคาหุ้นตกต่ำไม่ใช่ความเสี่ยง
แต่เป็นโอกาส มุมมองเรื่องความเสี่ยงของปู่นั่นแตกต่างไปจากความเสี่ยงของนักลงทุนทั่วๆไปครับ
---------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่...
http://www.wealththailand.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 5
ผมว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนแนววีไอเค้ามีหลักคิดที่คล้ายๆกันน๊ะครับ
มีพี่ที่ประสบความสำเร็จแล้วคนหนึ่งบอกผมว่า...
"ความผันผวนของตลาด คือโอกาสของพวกเรา(ชาววีไอ)"
ผมตีความว่าถ้าพวกเค้าประเมินมูลค่ากิจการในอนาคตของกิจการที่เค้าจะลงทุนได้แล้ว
การที่ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรง(ราคาหุ้นตกต่ำมากๆ) ยิ่งถือว่าเป็นโอกาสทองของพวกเค้า
ที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่ากรณีที่ตลาดผันผวนน้อยๆครับ
มีพี่ที่ประสบความสำเร็จแล้วคนหนึ่งบอกผมว่า...
"ความผันผวนของตลาด คือโอกาสของพวกเรา(ชาววีไอ)"
ผมตีความว่าถ้าพวกเค้าประเมินมูลค่ากิจการในอนาคตของกิจการที่เค้าจะลงทุนได้แล้ว
การที่ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรง(ราคาหุ้นตกต่ำมากๆ) ยิ่งถือว่าเป็นโอกาสทองของพวกเค้า
ที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่ากรณีที่ตลาดผันผวนน้อยๆครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- harlembeats
- Verified User
- โพสต์: 97
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 6
รุ้สึกมี washington post ด้วยอีกตัวมั้งครับdensin เขียน:เหมือนมีอยู่ตัวนึง ไม่แน่ใจว่า american expressหรือเปล่า
ซื้อแล้วผ่านไป1ปีขาดทุน50% หายไปครึ่ง
แกก้เลยซื้อเพิ่มอีก ผ่านไปปีที่2ขึ้นมา2เด้งได้
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 8
เคยขาดทุนเยอะๆตอนที่เกิดเหตุการณ์ 9 11 ครับ
เค้าถือหุ้น Gen.RE (ผมเขียนถูกไหมเอ่ย) เป็นบริษัทรับประกันภัยต่อ
ไม่มีใครทำพลาด 100% และทำถูก 100% ครับ
แต่เมื่อทำพลาด หรือทำถูกแล้ว เค้าเรียนรู้จากการกระทำเหล่านั้นได้มาก น้อยแค่ไหน
ผลตอบแทน หลายครั้งไม่สำคัญเท่าบมเรียนที่ได้
เพราะบทเรียนสามารถนำมาใช้ได้ตลอดชีวิตครับ
เค้าถือหุ้น Gen.RE (ผมเขียนถูกไหมเอ่ย) เป็นบริษัทรับประกันภัยต่อ
ไม่มีใครทำพลาด 100% และทำถูก 100% ครับ
แต่เมื่อทำพลาด หรือทำถูกแล้ว เค้าเรียนรู้จากการกระทำเหล่านั้นได้มาก น้อยแค่ไหน
ผลตอบแทน หลายครั้งไม่สำคัญเท่าบมเรียนที่ได้
เพราะบทเรียนสามารถนำมาใช้ได้ตลอดชีวิตครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 13
เคยครับ 2-3 ครั้งที่รู้กันทั่วไป
พลาดล่าสุดสารภาพกับผู้ถือหุ้นเองในรายงานประจำปีปี 2009 นี่เอง ว่ามีช่วงปี 2008 ได้ "ลงทุนแบบผิดสาหัสสากรรจ์" ใน Conoco Phillips ซื้อตอนราคามันสูง แล้วร่วงหนัก เลยต้องค่อยๆ ระบายของขาดทุน
http://www.berkshirehathaway.com/letters/letters.html
รายงานในปี 2008
จำนวนหุ้น 84,896,273 ConocoPhillips
5.7% ของกิจการ
ราคาต้นทุน 7,008 MUSD
ราคาตลาด 4,398MUSD
รายงานในปี 2009
จำนวนหุ้น 37,711,330 ConocoPhillips
2.5% ของกิจการ
ราคาต้นทุน 2,741MUSD
ราคาตลาด 1,926MUSD
รายงานในปี 2010
จำนวนหุ้น 29,109,637 ConocoPhillips
2.0% ของกิจการ
ราคาต้นทุน 2,028 MUSD
ราคาตลาด 1,982 MUSD
"I told you in an earlier part of this report that last year I made a major mistake of commission (and maybe more; this one sticks out). Without urging from Charlie or anyone else, I bought a large amount of ConocoPhillips stock when oil and gas prices were near their peak. I in no way anticipated the dramatic fall in energy prices that occurred in the last half of the year. I still believe the odds are good that oil sells far higher in the future than the current $40-$50 price. But so far I have been dead wrong. Even if prices should rise, moreover, the terrible timing of my purchase has cost Berkshire several billion dollars"
ส่วนปีอื่นๆ ลองดู
http://finance.yahoo.com/banking-budget ... t-mistakes
ก่อนหน้า่นั้น โดยเฉพาะช่วงยังไม่ดัง หรือช่วงแกลองผิดลองถูก ไม่มีคนรู้
สิ่งที่แกบอก Buffett Partnership ช่วงแรกคือให้สนใจที่ผลงานรวมสุดท้าย ว่าต้องได้กำไร ภายในแกพลาดอะไรอย่าไปรู้เลย ไม่เคยเขียนเลย ว่าใน port มีหุ้นอะไรบ้าง เพราะไม่ต้องรายงานตลาดหุ้นเหมือน BH
พลาดล่าสุดสารภาพกับผู้ถือหุ้นเองในรายงานประจำปีปี 2009 นี่เอง ว่ามีช่วงปี 2008 ได้ "ลงทุนแบบผิดสาหัสสากรรจ์" ใน Conoco Phillips ซื้อตอนราคามันสูง แล้วร่วงหนัก เลยต้องค่อยๆ ระบายของขาดทุน
http://www.berkshirehathaway.com/letters/letters.html
รายงานในปี 2008
จำนวนหุ้น 84,896,273 ConocoPhillips
5.7% ของกิจการ
ราคาต้นทุน 7,008 MUSD
ราคาตลาด 4,398MUSD
รายงานในปี 2009
จำนวนหุ้น 37,711,330 ConocoPhillips
2.5% ของกิจการ
ราคาต้นทุน 2,741MUSD
ราคาตลาด 1,926MUSD
รายงานในปี 2010
จำนวนหุ้น 29,109,637 ConocoPhillips
2.0% ของกิจการ
ราคาต้นทุน 2,028 MUSD
ราคาตลาด 1,982 MUSD
"I told you in an earlier part of this report that last year I made a major mistake of commission (and maybe more; this one sticks out). Without urging from Charlie or anyone else, I bought a large amount of ConocoPhillips stock when oil and gas prices were near their peak. I in no way anticipated the dramatic fall in energy prices that occurred in the last half of the year. I still believe the odds are good that oil sells far higher in the future than the current $40-$50 price. But so far I have been dead wrong. Even if prices should rise, moreover, the terrible timing of my purchase has cost Berkshire several billion dollars"
ส่วนปีอื่นๆ ลองดู
http://finance.yahoo.com/banking-budget ... t-mistakes
ก่อนหน้า่นั้น โดยเฉพาะช่วงยังไม่ดัง หรือช่วงแกลองผิดลองถูก ไม่มีคนรู้
สิ่งที่แกบอก Buffett Partnership ช่วงแรกคือให้สนใจที่ผลงานรวมสุดท้าย ว่าต้องได้กำไร ภายในแกพลาดอะไรอย่าไปรู้เลย ไม่เคยเขียนเลย ว่าใน port มีหุ้นอะไรบ้าง เพราะไม่ต้องรายงานตลาดหุ้นเหมือน BH
-
- Verified User
- โพสต์: 490
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 15
อย่าง ConocoPhillips นี่ถือว่าขาดทุนนะครับ เพราะขายออกหมดได้ราคาต่ำกว่าตอนซื้อ
อย่าง american express ไม่ถือว่าขาดทุนนี่ครับเพราะ แกคงมองว่าจะกลับทำกำไรในที่สุด
มีตัวที่ราคาต่ำก่าตอนซื้อแต่ยังถืออยู่ ก็ถือว่าขาดทุนนะครับ เพียงแต่หนังยังฉายไม่จบ
ล่าสุด ซื้อ bank ใหญ่เข้าไปเป็นผู้ถือใหญ่เลย อีก 2 ปีคงได้รู้ว่า ซื้อไปวันนี้ ได้ราคาถูกจิงไหม คนซื้อตามแยะด้วย
รู้สึกกันไหมครับว่า แกพยายามดันราคาหุ้นในสหรัฐไว้ไม่ไห้ตก เพราะเก็บเอาไว้แยะหลากหลายช่วงหลัง subprime
เลยไม่รู้แก มี bias ไหม
มีอีกคำถามนึงวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือหุ้นนอกสหรัฐไว้บ้างไหม
อย่าง american express ไม่ถือว่าขาดทุนนี่ครับเพราะ แกคงมองว่าจะกลับทำกำไรในที่สุด
มีตัวที่ราคาต่ำก่าตอนซื้อแต่ยังถืออยู่ ก็ถือว่าขาดทุนนะครับ เพียงแต่หนังยังฉายไม่จบ
ล่าสุด ซื้อ bank ใหญ่เข้าไปเป็นผู้ถือใหญ่เลย อีก 2 ปีคงได้รู้ว่า ซื้อไปวันนี้ ได้ราคาถูกจิงไหม คนซื้อตามแยะด้วย
รู้สึกกันไหมครับว่า แกพยายามดันราคาหุ้นในสหรัฐไว้ไม่ไห้ตก เพราะเก็บเอาไว้แยะหลากหลายช่วงหลัง subprime
เลยไม่รู้แก มี bias ไหม
มีอีกคำถามนึงวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือหุ้นนอกสหรัฐไว้บ้างไหม
“Survival of the fittest”
“รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม”
“รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม”
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 16
เคยซื้อปิโตรไชน่า (น้ำมัน) ขายไปแล้ว
ตอนนี้ ที่เพิ่งถือไม่นาน คือ BYD ผลิต battery+รถไฟฟ้า (รถยนต์ใช้ Batt) มีแผนสี่จะส่งขาย USA ด้วย
เพราะวิสัยทัศน์ปู่บอกว่า "All Cars Will Be Electric By 2030" ...เพราะพลังงานขาดแคลน
BYD = Build Your Dream
เกตต์กับชาร์ลีว่าไง (พูดถึง BYD ตอนหลังนาทีที่ 3:40)
VIDEO
กลายเป็นหุ้นร้อนแรง
พาเพื่อนต่างวัย นักบริจาคด้วยกัน เยี่ยมเยียนจีน
ข่าวทั่วไป ตอนปลายเป็นการออกกำลังของพนักงานสนุกสนาน เฮฮา
กระทู้ก่อนหน้า ที่เกี่ยวข้อง
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=35417
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=47532
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=48817
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=43320
ตอนนี้ ที่เพิ่งถือไม่นาน คือ BYD ผลิต battery+รถไฟฟ้า (รถยนต์ใช้ Batt) มีแผนสี่จะส่งขาย USA ด้วย
เพราะวิสัยทัศน์ปู่บอกว่า "All Cars Will Be Electric By 2030" ...เพราะพลังงานขาดแคลน
BYD = Build Your Dream
เกตต์กับชาร์ลีว่าไง (พูดถึง BYD ตอนหลังนาทีที่ 3:40)
VIDEO
กลายเป็นหุ้นร้อนแรง
พาเพื่อนต่างวัย นักบริจาคด้วยกัน เยี่ยมเยียนจีน
ข่าวทั่วไป ตอนปลายเป็นการออกกำลังของพนักงานสนุกสนาน เฮฮา
กระทู้ก่อนหน้า ที่เกี่ยวข้อง
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=35417
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=47532
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=48817
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=43320
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 17
http://dekisugi.net/archives/11852 ตามบทความนี้เลยครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 99
- ผู้ติดตาม: 0
Re: วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยขาดทุนมากๆไหม
โพสต์ที่ 18
ข้อผิดพลาดของบัฟเฟตต์
วิบูลย์ พึงประเสริฐ Value Way 1/3/2553
ทุกคนอาจคิดว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนระดับ "เทพ" ที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ในความเป็นจริงนักลงทุนระดับตำนานรายนี้
เคยลงทุนผิดพลาดหลายครั้งและทุกครั้งเขามักบอกผู้ถือหุ้นเบิร์กไชน์ของเขาเสมอในรายงานประจำปีว่าเขาทำอะไรโง่ๆ ลงไปบ้าง เรามาดูกันว่าเขาทำอะไรผิดพลาดบ้าง
อันดับแรก การลงทุนในบริษัท โคโนโค ฟิลิปส์ (Conoco Phillips) ในปี 2008 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นบริษัทนี้เป็นจำนวนมาก เขาคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะนั้นราคาน้ำมันขึ้นไปสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่เวลาได้พิสูจน์ว่าบัฟเฟตต์คิดผิด หลังเกิดวิกฤติซับไพร์มราคาน้ำมันลดลงจาก 150 เหรียญ เหลือเพียง 30 เหรียญราคาหุ้นบริษัทน้ำมันทั่วโลกลดลงอย่างมาก โคโนโค ฟิลิปส์ก็เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลานั้นบัฟเฟตต์ต้องขายหุ้นบริษัทนี้ออกไปเพื่อนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินอื่น เช่น การซื้อหุ้นกู้ของจีอี การลงทุนครั้งนั้นทำให้เบิร์กไชน์ขาดทุนไปถึง 3 พันล้านเหรียญ (กว่า 1 แสนล้านบาท) ข้อผิดพลาดของบัฟเฟตต์ครั้งนี้ ชี้ว่าการเห็นราคาหุ้นหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นมากๆ อย่างรวดเร็ว อาจทำให้นักลงทุนอดใจไม่ได้เพราะกลัว "ตกรถ" โดยหารู้ไม่ว่ารถคันนั้นอาจถอยหลังมาทับคนที่ตามขึ้นไปทีหลังเมื่อไหร่ก็ได้ นักลงทุนที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนให้อยู่เหนือฝูงชนได้จะมีความได้เปรียบในสถานการณ์เช่นนี้
อันดับสอง การลงทุนในสายการบินยูเอสแอร์ (U.S. Air) บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิในปี 1989 เนื่องจากผลตอบแทนของเงินปันผลที่สูงรวมทั้งการเติบโตที่ดีของรายได้และกำไรของสายการบินในช่วงที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดการลงทุนในยูเอสแอร์กลายเป็นฝันร้าย เมื่อบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้แม้กระทั่งหุ้นบุริมสิทธิที่บัฟเฟตต์ถืออยู่ สุดท้ายแม้จะขายหุ้นที่มีอยู่ออกไปได้หลังจากพยายามขายอยู่นาน แต่ก็ทำให้เขาขยาดหุ้นสายการบินไปอีกนาน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขารู้ว่าการลงทุนกับบริษัทที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงอย่างสายการบินซึ่งต้องใช้เงินซื้อเครื่องบินใหม่ๆ มาเพื่อขยายเส้นทางบิน เมื่อเงินสดไม่พอต้องกู้เงินมาลงทุน สุดท้ายผู้ถือหุ้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการขยายตัวของรายได้และกำไรเลย
อันดับสาม การลงทุนในบริษัท เดกเตอร์ ชูวร์ (Dexter Shoes) ในปี 1993 ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรองเท้ารายใหญ่ในอเมริกาโดยการแลกหุ้นกับบริษัทเบิร์กไชน์ในเวลานั้น หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ปี ธุรกิจรองเท้าของบริษัทเดกเตอร์ ชูวร์ถูกสินค้าที่ผลิตจากจีนและประเทศอื่นๆ เข้ามาแย่งตลาดเนื่องจากสินค้าของบริษัทไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Competitive Advantage) ทำให้ถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย สำหรับการลงทุนในบริษัทนี้ บัฟเฟตต์ประเมินความเสียหายจากราคาหุ้นของเบิร์กไชน์ที่ใช้ในการเข้าซื้อหุ้นของเดกเตอร์ชูวร์ไว้ที่ $3.5 พันล้านเหรียญ (กว่า 1 แสนล้านบาท) สิ่งที่เขาเรียนรู้จากข้อผิดพลาดครั้งนั้นคือการซื้อธุรกิจที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ถึงแม้บริษัทจะไปได้ดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวแล้วธุรกิจจะไม่สามารถรักษาอัตรากำไรที่สูงเช่นเดิมได้ คู่แข่งจะค่อยๆ เข้ามาในตลาดเนื่องจากความน่าดึงดูดในการเติบโตของรายได้และกำไรของอุตสาหกรรมนั้นๆ ในช่วงหลังๆ บัฟเฟตต์จะเลือกซื้อหุ้นในธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทโคคา-โคลา วอลมาร์ท หรือยิลเลตต์ เป็นต้น
สำหรับนักลงทุนทั่วไปจะเห็นว่าแม้แต่นักลงทุนระดับ "เทพ" อย่างบัฟเฟตต์ยังลงทุนผิดพลาดได้ ดังนั้นไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาดในตลาดหุ้น เพียงแต่ข้อแตกต่างระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จกับล้มเหลวอยู่ที่การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นแล้วเริ่มต้นใหม่แทนที่จะถอดใจโทษตัวเองแล้วออกจากตลาดหุ้นไป หรือไม่ก็ทำผิดพลาดเช่นเดิมซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา
วิบูลย์ พึงประเสริฐ Value Way 1/3/2553
ทุกคนอาจคิดว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนระดับ "เทพ" ที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ในความเป็นจริงนักลงทุนระดับตำนานรายนี้
เคยลงทุนผิดพลาดหลายครั้งและทุกครั้งเขามักบอกผู้ถือหุ้นเบิร์กไชน์ของเขาเสมอในรายงานประจำปีว่าเขาทำอะไรโง่ๆ ลงไปบ้าง เรามาดูกันว่าเขาทำอะไรผิดพลาดบ้าง
อันดับแรก การลงทุนในบริษัท โคโนโค ฟิลิปส์ (Conoco Phillips) ในปี 2008 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นบริษัทนี้เป็นจำนวนมาก เขาคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะนั้นราคาน้ำมันขึ้นไปสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่เวลาได้พิสูจน์ว่าบัฟเฟตต์คิดผิด หลังเกิดวิกฤติซับไพร์มราคาน้ำมันลดลงจาก 150 เหรียญ เหลือเพียง 30 เหรียญราคาหุ้นบริษัทน้ำมันทั่วโลกลดลงอย่างมาก โคโนโค ฟิลิปส์ก็เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลานั้นบัฟเฟตต์ต้องขายหุ้นบริษัทนี้ออกไปเพื่อนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินอื่น เช่น การซื้อหุ้นกู้ของจีอี การลงทุนครั้งนั้นทำให้เบิร์กไชน์ขาดทุนไปถึง 3 พันล้านเหรียญ (กว่า 1 แสนล้านบาท) ข้อผิดพลาดของบัฟเฟตต์ครั้งนี้ ชี้ว่าการเห็นราคาหุ้นหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นมากๆ อย่างรวดเร็ว อาจทำให้นักลงทุนอดใจไม่ได้เพราะกลัว "ตกรถ" โดยหารู้ไม่ว่ารถคันนั้นอาจถอยหลังมาทับคนที่ตามขึ้นไปทีหลังเมื่อไหร่ก็ได้ นักลงทุนที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนให้อยู่เหนือฝูงชนได้จะมีความได้เปรียบในสถานการณ์เช่นนี้
อันดับสอง การลงทุนในสายการบินยูเอสแอร์ (U.S. Air) บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิในปี 1989 เนื่องจากผลตอบแทนของเงินปันผลที่สูงรวมทั้งการเติบโตที่ดีของรายได้และกำไรของสายการบินในช่วงที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดการลงทุนในยูเอสแอร์กลายเป็นฝันร้าย เมื่อบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้แม้กระทั่งหุ้นบุริมสิทธิที่บัฟเฟตต์ถืออยู่ สุดท้ายแม้จะขายหุ้นที่มีอยู่ออกไปได้หลังจากพยายามขายอยู่นาน แต่ก็ทำให้เขาขยาดหุ้นสายการบินไปอีกนาน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขารู้ว่าการลงทุนกับบริษัทที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงอย่างสายการบินซึ่งต้องใช้เงินซื้อเครื่องบินใหม่ๆ มาเพื่อขยายเส้นทางบิน เมื่อเงินสดไม่พอต้องกู้เงินมาลงทุน สุดท้ายผู้ถือหุ้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการขยายตัวของรายได้และกำไรเลย
อันดับสาม การลงทุนในบริษัท เดกเตอร์ ชูวร์ (Dexter Shoes) ในปี 1993 ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรองเท้ารายใหญ่ในอเมริกาโดยการแลกหุ้นกับบริษัทเบิร์กไชน์ในเวลานั้น หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ปี ธุรกิจรองเท้าของบริษัทเดกเตอร์ ชูวร์ถูกสินค้าที่ผลิตจากจีนและประเทศอื่นๆ เข้ามาแย่งตลาดเนื่องจากสินค้าของบริษัทไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Competitive Advantage) ทำให้ถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย สำหรับการลงทุนในบริษัทนี้ บัฟเฟตต์ประเมินความเสียหายจากราคาหุ้นของเบิร์กไชน์ที่ใช้ในการเข้าซื้อหุ้นของเดกเตอร์ชูวร์ไว้ที่ $3.5 พันล้านเหรียญ (กว่า 1 แสนล้านบาท) สิ่งที่เขาเรียนรู้จากข้อผิดพลาดครั้งนั้นคือการซื้อธุรกิจที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ถึงแม้บริษัทจะไปได้ดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวแล้วธุรกิจจะไม่สามารถรักษาอัตรากำไรที่สูงเช่นเดิมได้ คู่แข่งจะค่อยๆ เข้ามาในตลาดเนื่องจากความน่าดึงดูดในการเติบโตของรายได้และกำไรของอุตสาหกรรมนั้นๆ ในช่วงหลังๆ บัฟเฟตต์จะเลือกซื้อหุ้นในธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทโคคา-โคลา วอลมาร์ท หรือยิลเลตต์ เป็นต้น
สำหรับนักลงทุนทั่วไปจะเห็นว่าแม้แต่นักลงทุนระดับ "เทพ" อย่างบัฟเฟตต์ยังลงทุนผิดพลาดได้ ดังนั้นไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาดในตลาดหุ้น เพียงแต่ข้อแตกต่างระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จกับล้มเหลวอยู่ที่การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นแล้วเริ่มต้นใหม่แทนที่จะถอดใจโทษตัวเองแล้วออกจากตลาดหุ้นไป หรือไม่ก็ทำผิดพลาดเช่นเดิมซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา