ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
- Alastor
- Verified User
- โพสต์: 2590
- ผู้ติดตาม: 0
ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 1
เท่าที่ผมสังเกต สมาชิกจำนวนมากเริ่มลงทุนหลังจากปี 2008
และ เนื่องในวโรกาศที่เหมือนเหตุการณ์ใหญ่ๆกำลังจะเกิดขึ้น การเตรียมพร้อมไว้ น่าจะดีกว่าลุยแบบลูกทุ่งตามความคิดตนเองอย่างเดียว ถ้าไม่เกิดปัญหาก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดปัญหาจะได้มีแนวทางรับมือ
ทางนึงก็เป็นการ"ทบทวนตัวเอง"ของสมาชิกเก่ากว่าปี 2008 ที่น่าจดจำนั้น ทางนึงก็เป็นการช่วยแบ่งปันประสบการณ์ปีนั้นให้สมาชิกใหม่ด้วยครับ
ของผมเองเนี่ย ก่อนปี 2008 ผลตอบแทนดีมาตลอด ทุกๆปีตลาดจะมี correction เล็กบ้างใหญ่บ้าง แล้วหุ้นก็กลับมาวิ่งต่อ ใครอดทนได้หรือซื้อเพิ่มจะได้กำไรดีกว่า panic ขายไปก่อน พอถึงคราว subprime หุ้นตกได้นิดหน่อยก็ช้อนแล้วสิครับ จำได้ว่าซื้อ PTL ไว้ตลอดขาลง จน PTL ลงไป 3.xx รวมตัวอื่นๆอีกที่เก็บเล็กผสมน้อย สุดท้ายช้อนหักกระจุย port ลบไป 20% จากต้นปี หลักๆก็เพราะ PTL ที่มั่นใจที่สุดนั่นแหละ -_-' ดีที่ไม่ได้ใช้ margin เลยยังชนะตลาดได้แต่ไม่มีความดีใจเลยเพราะขาดทุนเยอะที่สุดตั้งแต่ลงทุนมา 5 ปี
สิ่งที่ผมสรุปได้คือ
-ใน major market crash ผลของงบการเงินจะไม่มีเลย ต่อให้ประกาศงบ (ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานเมื่อ 45-60 วันที่แล้ว) ออกมาดีมากแต่หุ้นก็จะลง อาจจะเพราะตลาดมองอนาคต 1 ปีข้างหน้ามากกว่า หรือเพราะ panic sell หรือเพราะหมูหมากาไก่ ก็ตาม สรุปคือรองบดีๆออกมา มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร จำได้ว่า q นึงในปี 2008 PTL ได้กำไร record high แต่ราคาหุ้นก็ร่วงได้ freefall อยู่ดี ผมก็เข้าไปช้อนที่ราคาแพงๆซะด้วย -_-'
-การมีเงินสดไว้บ้างจะเปิดโอกาสการทำกำไรได้อย่างมาก ตอนปี 2009 นั้นผมมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวเยอะมากๆเงินซื้อหุ้นในช่วงปี 2009 แทบไม่มีเลย แถมไม่ได้ขายหุ้นตอนเริ่มตกแรกๆ (ซื้อเพิ่มด้วยตอนราคาสูงด้วย) โอกาสการซื้อของถูกเลยน้อย นับว่าน่าเสียดายมากๆ
-การรับมีดที่กำลังร่วงนั้น ไม่คุ้มค่าต่อการบาดเจ็บ
-ในเวลาที่ตลาดวิ่งขึ้นมาใหม่ หุ้นของกิจการที่ไม่ได้แข็งแกร่งมาก ในธุรกิจที่เป็น cyclical วิ่งได้แรง เร็ว กว่ากิจการดีๆ อย่างมาก
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับสมาชิกทุกคนครับ
และ เนื่องในวโรกาศที่เหมือนเหตุการณ์ใหญ่ๆกำลังจะเกิดขึ้น การเตรียมพร้อมไว้ น่าจะดีกว่าลุยแบบลูกทุ่งตามความคิดตนเองอย่างเดียว ถ้าไม่เกิดปัญหาก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดปัญหาจะได้มีแนวทางรับมือ
ทางนึงก็เป็นการ"ทบทวนตัวเอง"ของสมาชิกเก่ากว่าปี 2008 ที่น่าจดจำนั้น ทางนึงก็เป็นการช่วยแบ่งปันประสบการณ์ปีนั้นให้สมาชิกใหม่ด้วยครับ
ของผมเองเนี่ย ก่อนปี 2008 ผลตอบแทนดีมาตลอด ทุกๆปีตลาดจะมี correction เล็กบ้างใหญ่บ้าง แล้วหุ้นก็กลับมาวิ่งต่อ ใครอดทนได้หรือซื้อเพิ่มจะได้กำไรดีกว่า panic ขายไปก่อน พอถึงคราว subprime หุ้นตกได้นิดหน่อยก็ช้อนแล้วสิครับ จำได้ว่าซื้อ PTL ไว้ตลอดขาลง จน PTL ลงไป 3.xx รวมตัวอื่นๆอีกที่เก็บเล็กผสมน้อย สุดท้ายช้อนหักกระจุย port ลบไป 20% จากต้นปี หลักๆก็เพราะ PTL ที่มั่นใจที่สุดนั่นแหละ -_-' ดีที่ไม่ได้ใช้ margin เลยยังชนะตลาดได้แต่ไม่มีความดีใจเลยเพราะขาดทุนเยอะที่สุดตั้งแต่ลงทุนมา 5 ปี
สิ่งที่ผมสรุปได้คือ
-ใน major market crash ผลของงบการเงินจะไม่มีเลย ต่อให้ประกาศงบ (ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานเมื่อ 45-60 วันที่แล้ว) ออกมาดีมากแต่หุ้นก็จะลง อาจจะเพราะตลาดมองอนาคต 1 ปีข้างหน้ามากกว่า หรือเพราะ panic sell หรือเพราะหมูหมากาไก่ ก็ตาม สรุปคือรองบดีๆออกมา มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร จำได้ว่า q นึงในปี 2008 PTL ได้กำไร record high แต่ราคาหุ้นก็ร่วงได้ freefall อยู่ดี ผมก็เข้าไปช้อนที่ราคาแพงๆซะด้วย -_-'
-การมีเงินสดไว้บ้างจะเปิดโอกาสการทำกำไรได้อย่างมาก ตอนปี 2009 นั้นผมมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวเยอะมากๆเงินซื้อหุ้นในช่วงปี 2009 แทบไม่มีเลย แถมไม่ได้ขายหุ้นตอนเริ่มตกแรกๆ (ซื้อเพิ่มด้วยตอนราคาสูงด้วย) โอกาสการซื้อของถูกเลยน้อย นับว่าน่าเสียดายมากๆ
-การรับมีดที่กำลังร่วงนั้น ไม่คุ้มค่าต่อการบาดเจ็บ
-ในเวลาที่ตลาดวิ่งขึ้นมาใหม่ หุ้นของกิจการที่ไม่ได้แข็งแกร่งมาก ในธุรกิจที่เป็น cyclical วิ่งได้แรง เร็ว กว่ากิจการดีๆ อย่างมาก
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับสมาชิกทุกคนครับ
Wir sind das Rar, der Stolz und der Wert
- Alastor
- Verified User
- โพสต์: 2590
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 2
อ้อ เพื่อการเตรียมอารมณ์ที่ดี ถ้าใครคิดว่าหุ้นตกนี่ ไม่น่ากลัวมาก ทำใจได้ ลองไปถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ "มาตรการกันสำรอง 30%" ของหม่อมอุ๋ยดูนะครับ ว่าวันที่เกือบมี 2nd circuit breaker มันเป็นยังไง
Wir sind das Rar, der Stolz und der Wert
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 3
ตอบแบบ Concept คือ ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกันก็ไม่รอด
แต่ถ้าตอบแบบความเป็นจริง มีหุ้นที่สวนตลาดอยู่หลายตัว ที่เวลาตลาดลดลง แต่กลุ่มนี้สวนกัน
แต่ตอนนี้คงหายากแล้วล่ะครับพวกหลังๆ
ย้อนกลับไปปี 2008 ผมนั่งทำงานแบบว่า ฟังบรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลายบอกเป็นหลายเสียง
บ้างก็ลงหนักหรือบ้างก็เด้งได้ แต่ผลปรากฏว่า กระดองรองรับแค่ ประมาณ 5 วันทำการ ก็แดงแล้ว
แดงแบบรวดเร็ว แดงแบบนั้นถึงปลายปีเลย แบบว่า ไม่มีท่าทางฟื้นแต่พอปี 2009 หุ้นตัวเล็กก็ไม่ฟื้นแบบจริงจัง
มาฟื้นตอนปี 2010 หุ้นตัวใหญ่ฟื้นคืนชีพก่อน
แต่อย่างไงก็ตามหุ้นที่มีพื้นฐานดี ก็ฟื้นคืนมาหมด แถมบ้างตัวก็ฟื้นแบบดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ทำ New High ในรอบหลายปีเลยล่ะครับ
สุดท้ายคือ สวดมนต์และทำบุญ
พยายามนอนให้หลับ
ตอนนี้ผมนอนหลับสบายเลย ไม่กังวลเรื่องหุ้น ตกอย่างไงก็ช่างมัน
เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่ให้เราเลือกใช้
แถมยังสามารถออกไปต่างประเทศได้ด้วย ซื้อทองคำก็ได้
แต่ถ้าตอบแบบความเป็นจริง มีหุ้นที่สวนตลาดอยู่หลายตัว ที่เวลาตลาดลดลง แต่กลุ่มนี้สวนกัน
แต่ตอนนี้คงหายากแล้วล่ะครับพวกหลังๆ
ย้อนกลับไปปี 2008 ผมนั่งทำงานแบบว่า ฟังบรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลายบอกเป็นหลายเสียง
บ้างก็ลงหนักหรือบ้างก็เด้งได้ แต่ผลปรากฏว่า กระดองรองรับแค่ ประมาณ 5 วันทำการ ก็แดงแล้ว
แดงแบบรวดเร็ว แดงแบบนั้นถึงปลายปีเลย แบบว่า ไม่มีท่าทางฟื้นแต่พอปี 2009 หุ้นตัวเล็กก็ไม่ฟื้นแบบจริงจัง
มาฟื้นตอนปี 2010 หุ้นตัวใหญ่ฟื้นคืนชีพก่อน
แต่อย่างไงก็ตามหุ้นที่มีพื้นฐานดี ก็ฟื้นคืนมาหมด แถมบ้างตัวก็ฟื้นแบบดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ทำ New High ในรอบหลายปีเลยล่ะครับ
สุดท้ายคือ สวดมนต์และทำบุญ
พยายามนอนให้หลับ
ตอนนี้ผมนอนหลับสบายเลย ไม่กังวลเรื่องหุ้น ตกอย่างไงก็ช่างมัน
เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่ให้เราเลือกใช้
แถมยังสามารถออกไปต่างประเทศได้ด้วย ซื้อทองคำก็ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 6427
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 4
ตอนนั้น ... เต็มพอร์ตตลอด
ขาลง .. ไม่ขาย เพราะถือว่าเลือกหุ้นดีแล้วก่อนที่จะซื้อ
โดยพอใจที่ปันผลขั้นต่ำที่จะได้รับ ถ้ากิจการบริษัทยังคงดีอยู่
และไม่อยากคาดเดาตลาดในการเล่นรอบ (ขายก่อน แล้วซื้อกลับที่ราคาต่ำกว่า)
ในฐานะมนุษย์เงินเดือน พอมีเงินเพิ่ม ... ทยอยซื้อเพิ่มเรื่อยๆ
พอถึงจังหวะขาขึ้น
ทยอยขายตัวที่ฟื้นช้า (ราคาขึ้นช้า) .. ไปซื้อตัวที่จ่ายปันผลคิดเป็น yield สูงๆแทน
(ตอนนั้น 20% ขึ้นไป มีให้เลือกเยอะเลย)
ขาลง .. ไม่ขาย เพราะถือว่าเลือกหุ้นดีแล้วก่อนที่จะซื้อ
โดยพอใจที่ปันผลขั้นต่ำที่จะได้รับ ถ้ากิจการบริษัทยังคงดีอยู่
และไม่อยากคาดเดาตลาดในการเล่นรอบ (ขายก่อน แล้วซื้อกลับที่ราคาต่ำกว่า)
ในฐานะมนุษย์เงินเดือน พอมีเงินเพิ่ม ... ทยอยซื้อเพิ่มเรื่อยๆ
พอถึงจังหวะขาขึ้น
ทยอยขายตัวที่ฟื้นช้า (ราคาขึ้นช้า) .. ไปซื้อตัวที่จ่ายปันผลคิดเป็น yield สูงๆแทน
(ตอนนั้น 20% ขึ้นไป มีให้เลือกเยอะเลย)
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับสำหรับผมเเล้วประสบการณ์ของพี่ๆมีคุณค่ามากๆ ที่สำคัญขอบคุณในความใจกว้างเเละเมตตารุ่นน้องครับ(ไม่ได้หวานเจี๊ยบนะครับ เเต่ขอบคุณจากใจจริง)
ผมอ่านดูเเล้วจุดสำคัญคือเราจะซื้อเมื่อไหร่
ต้องชั่งใจระหว่าง "รับมีด" กับ "ตกรถ"
1)เราควรรอจนราคาตกไปนิ่ง สะเด็ดนำ้ก่อน เเล้วค่อยซื้อตอนตลาดมันเริ่มหักหัวขึ้นมาใช่ไหมครับ
อย่างปี2008 ผมเริ่มติดตามSetราวเดือนต.ค. เห็นราคาตกเยะ เเต่ยังไม่ได้เปิดPort พ.ย.-ธ.ค. 2008ตกหนัก ม.ค.ทยอยขึ้นมา เเสดงว่าราว ม.ค.2008น่าจะเหมาะกับการเริ่มเก็บ
2)คือตั้งซื้อไว้ที่ราคาที่เรามั่นใจว่ามีMargin of Safety
มีรุ่นพี่ท่านหนึ่งเเกมีราคา safety Marginอยู่ อย่าง SCC ลงมาเหลือ 150 เเกซื้อเต็มที่ ของเดิมที่เคยซื้อไว้ก่อนหน้านั้นก็ไม่ขาย(ตอนSubprime port-40%) ต่อมาราคาลงมาเหลือ 130 ดันบ่นว่า...เสียดาย เสียดายที่กระสุนหมดอยากซื้อเพิ่ม อีก...เอาเข้าไป จิตใจทำด้วยอะไรเนี่ย
พี่ๆมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ ทางปฏิบัติจริงๆตอนนั้นพี่รับมีดกันป่าว?
ปล. เคยอ่านบทสัมภาษณ์พี่หมอสามัญชน ท่านบอกว่าหลังวิกฤติอสังหาจะกลับมาเสมอ...คุณYoyoก็ตีเเตกหุ้นSpali
ผมอ่านดูเเล้วจุดสำคัญคือเราจะซื้อเมื่อไหร่
ต้องชั่งใจระหว่าง "รับมีด" กับ "ตกรถ"
1)เราควรรอจนราคาตกไปนิ่ง สะเด็ดนำ้ก่อน เเล้วค่อยซื้อตอนตลาดมันเริ่มหักหัวขึ้นมาใช่ไหมครับ
อย่างปี2008 ผมเริ่มติดตามSetราวเดือนต.ค. เห็นราคาตกเยะ เเต่ยังไม่ได้เปิดPort พ.ย.-ธ.ค. 2008ตกหนัก ม.ค.ทยอยขึ้นมา เเสดงว่าราว ม.ค.2008น่าจะเหมาะกับการเริ่มเก็บ
2)คือตั้งซื้อไว้ที่ราคาที่เรามั่นใจว่ามีMargin of Safety
มีรุ่นพี่ท่านหนึ่งเเกมีราคา safety Marginอยู่ อย่าง SCC ลงมาเหลือ 150 เเกซื้อเต็มที่ ของเดิมที่เคยซื้อไว้ก่อนหน้านั้นก็ไม่ขาย(ตอนSubprime port-40%) ต่อมาราคาลงมาเหลือ 130 ดันบ่นว่า...เสียดาย เสียดายที่กระสุนหมดอยากซื้อเพิ่ม อีก...เอาเข้าไป จิตใจทำด้วยอะไรเนี่ย
พี่ๆมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ ทางปฏิบัติจริงๆตอนนั้นพี่รับมีดกันป่าว?
ปล. เคยอ่านบทสัมภาษณ์พี่หมอสามัญชน ท่านบอกว่าหลังวิกฤติอสังหาจะกลับมาเสมอ...คุณYoyoก็ตีเเตกหุ้นSpali
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 7
ถ้ามีหุ้นอยู่เยอะ ก็น่า Hedge พอร์ทด้วย option นะครับ สำหรับตัวที่มีให้ใช้
Lock กำไรไว้ แล้วกินปันผลไปสบายใจ
Lock กำไรไว้ แล้วกินปันผลไปสบายใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 8
ตอนปี 2008 ผมนั่งมองหุ้นในมือ "ราคา" ร่วงลงเรื่อย ๆ ๆ จนพอร์ตติดลบเกือบ 50% โดยผมยังไม่ได้ขายอะไรซักตัว
ในเวลานั้น ณ แต่ละช่วงเวลา ผมไม่รู้หรอกว่าวันต่อไปหุ้นมันจะลงอีกหรือเปล่า แต่ผม "รู้สึก" ว่า มันน่าจะลงไปอีก ตามอารมณ์ตลาด
สิ่งที่ผมทำคือ พยายามหาสาเหตุต่าง ๆ เพื่อมา support ว่า นอกจากอารมณ์ที่ไม่อยากถือหุ้นของผู้ถือหุ้นปัจจุบัน
ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ในเชิงพื้นฐานกิจการ ปัจจัยภายนอกอะไรหรือเปล่า ที่จะทำให้ fair value ของหุ้นเรา เป็นอย่างราคาของมัน
พยายามหาแล้วหาอีก หาแล้วหาอีก ก็ยังไม่เจอสาเหตุที่จะทำให้กิจการ "มีกำไร" น้อยลงไปกว่าปีก่อน ๆ
อาจจะเจอบ้าง บางปัจจัย ที่กระทบกับบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ แต่เมื่อวิเคราะห์ลงละเอียด ก็พบว่า น่าจะเป็นระยะสั้น มากกว่าระยะยาว
จนสุดท้าย ในขณะที่หุ้นในมือราคาร่วงลงไปเรื่อย ๆ ผมก็ได้ข้อสรุปว่า ในระยะ 3-5 ปีถัดจากนี้
"บริษัท ไม่ได้รับผลกระทบจาก subprime อย่างมีนัยสำคัญ หรือหากมี ก็เป็นเพียงระยะสั้น และน่าจะแก้ไขปัญหาได้"
ผมก็เลย ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พยายามรีดเงินที่มีอยู่จากทุกทาง เพื่อนำมาซื้อหุ้นที่ถืออยู่
ณ เวลานั้น หุ้นหลาย ๆ ตัวมี PE ประมาณ 2-3 และ Dividend Yield ประมาณ 20% หากรวมเครดิตภาษี น่าจะอยู่ที่ 25%
ตามผลวิเคราะห์ ที่ชี้ชัดว่ากิจการจะไม่ได้รับผลกระทบจาก subprime มากนัก และ div ณ ตอนนั้นที่ 20% ตามที่ว่า
สุดท้าย ราคาหุ้น ก็กลับมายืนที่เดิม ในปริมาณที่มากขึ้นหลายเท่าตัว
และเมื่อเวลาผ่านไปในปี 2009 - 2010 ราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น
มันก็เลยเป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่า สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ อย่างอารมณ์ตลาด ที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นในมือ
ไม่ว่าจะเป็นในด้านบวก หรือด้านลบ มันเป็นโอกาสทั้งคู่ ... ถ้าเราไม่ตื่นตูมไปตามกัน
แต่ต่อให้ตลาดกระทิง ... หากมีปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นในมืออย่างชัดเจน
ก็ต้องตัดใจให้ขาดที่จะปล่อยหุ้นตัวนั้นออกไปจากพอร์ตเช่นกัน ไม่งั้นจะยิ่งเจ็บ เมื่อเราขาดทุน ในขณะที่ใคร ๆ ก็กำไรกัน
ในเวลานั้น ณ แต่ละช่วงเวลา ผมไม่รู้หรอกว่าวันต่อไปหุ้นมันจะลงอีกหรือเปล่า แต่ผม "รู้สึก" ว่า มันน่าจะลงไปอีก ตามอารมณ์ตลาด
สิ่งที่ผมทำคือ พยายามหาสาเหตุต่าง ๆ เพื่อมา support ว่า นอกจากอารมณ์ที่ไม่อยากถือหุ้นของผู้ถือหุ้นปัจจุบัน
ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ในเชิงพื้นฐานกิจการ ปัจจัยภายนอกอะไรหรือเปล่า ที่จะทำให้ fair value ของหุ้นเรา เป็นอย่างราคาของมัน
พยายามหาแล้วหาอีก หาแล้วหาอีก ก็ยังไม่เจอสาเหตุที่จะทำให้กิจการ "มีกำไร" น้อยลงไปกว่าปีก่อน ๆ
อาจจะเจอบ้าง บางปัจจัย ที่กระทบกับบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ แต่เมื่อวิเคราะห์ลงละเอียด ก็พบว่า น่าจะเป็นระยะสั้น มากกว่าระยะยาว
จนสุดท้าย ในขณะที่หุ้นในมือราคาร่วงลงไปเรื่อย ๆ ผมก็ได้ข้อสรุปว่า ในระยะ 3-5 ปีถัดจากนี้
"บริษัท ไม่ได้รับผลกระทบจาก subprime อย่างมีนัยสำคัญ หรือหากมี ก็เป็นเพียงระยะสั้น และน่าจะแก้ไขปัญหาได้"
ผมก็เลย ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พยายามรีดเงินที่มีอยู่จากทุกทาง เพื่อนำมาซื้อหุ้นที่ถืออยู่
ณ เวลานั้น หุ้นหลาย ๆ ตัวมี PE ประมาณ 2-3 และ Dividend Yield ประมาณ 20% หากรวมเครดิตภาษี น่าจะอยู่ที่ 25%
ตามผลวิเคราะห์ ที่ชี้ชัดว่ากิจการจะไม่ได้รับผลกระทบจาก subprime มากนัก และ div ณ ตอนนั้นที่ 20% ตามที่ว่า
สุดท้าย ราคาหุ้น ก็กลับมายืนที่เดิม ในปริมาณที่มากขึ้นหลายเท่าตัว
และเมื่อเวลาผ่านไปในปี 2009 - 2010 ราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น
มันก็เลยเป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่า สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ อย่างอารมณ์ตลาด ที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นในมือ
ไม่ว่าจะเป็นในด้านบวก หรือด้านลบ มันเป็นโอกาสทั้งคู่ ... ถ้าเราไม่ตื่นตูมไปตามกัน
แต่ต่อให้ตลาดกระทิง ... หากมีปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นในมืออย่างชัดเจน
ก็ต้องตัดใจให้ขาดที่จะปล่อยหุ้นตัวนั้นออกไปจากพอร์ตเช่นกัน ไม่งั้นจะยิ่งเจ็บ เมื่อเราขาดทุน ในขณะที่ใคร ๆ ก็กำไรกัน
- CHOOKY
- Verified User
- โพสต์: 540
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 10
เข้ามาปูเสื่อรอฟังประสบการณ์จากพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ครับ
เพราะช่วงเวลาดังกล่าวผมได้แต่มองอยู่ห่างๆ
เพราะช่วงเวลาดังกล่าวผมได้แต่มองอยู่ห่างๆ
"ค้นหาคุณค่าให้พบ แล้วซื้อหุ้นกิจการที่ดีนั้น ซึ่งมีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี และยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง"
-
- Verified User
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 11
มีสิ่งที่พบในในประสบการณ์นี้ ที่นอกจากเลือกหุ้นถูกต้องและวิเคราะห์สถานะการณ์ถูกต้องแล้ว ยังมีอีก 2 ประการที่สำคัญยิ่ง ที่ทำให้ผ่านเหตุการณ์ได้.....แล้วยิ่งใหญ่กว่าเดิมakekarat เขียน:ตอนปี 2008 ผมนั่งมองหุ้นในมือ "ราคา" ร่วงลงเรื่อย ๆ ๆ จนพอร์ตติดลบเกือบ 50% โดยผมยังไม่ได้ขายอะไรซักตัว
ในเวลานั้น ณ แต่ละช่วงเวลา ผมไม่รู้หรอกว่าวันต่อไปหุ้นมันจะลงอีกหรือเปล่า แต่ผม "รู้สึก" ว่า มันน่าจะลงไปอีก ตามอารมณ์ตลาด
สิ่งที่ผมทำคือ พยายามหาสาเหตุต่าง ๆ เพื่อมา support ว่า นอกจากอารมณ์ที่ไม่อยากถือหุ้นของผู้ถือหุ้นปัจจุบัน
ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ในเชิงพื้นฐานกิจการ ปัจจัยภายนอกอะไรหรือเปล่า ที่จะทำให้ fair value ของหุ้นเรา เป็นอย่างราคาของมัน
พยายามหาแล้วหาอีก หาแล้วหาอีก ก็ยังไม่เจอสาเหตุที่จะทำให้กิจการ "มีกำไร" น้อยลงไปกว่าปีก่อน ๆ
อาจจะเจอบ้าง บางปัจจัย ที่กระทบกับบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ แต่เมื่อวิเคราะห์ลงละเอียด ก็พบว่า น่าจะเป็นระยะสั้น มากกว่าระยะยาว
จนสุดท้าย ในขณะที่หุ้นในมือราคาร่วงลงไปเรื่อย ๆ ผมก็ได้ข้อสรุปว่า ในระยะ 3-5 ปีถัดจากนี้
"บริษัท ไม่ได้รับผลกระทบจาก subprime อย่างมีนัยสำคัญ หรือหากมี ก็เป็นเพียงระยะสั้น และน่าจะแก้ไขปัญหาได้"
ผมก็เลย ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พยายามรีดเงินที่มีอยู่จากทุกทาง เพื่อนำมาซื้อหุ้นที่ถืออยู่
ณ เวลานั้น หุ้นหลาย ๆ ตัวมี PE ประมาณ 2-3 และ Dividend Yield ประมาณ 20% หากรวมเครดิตภาษี น่าจะอยู่ที่ 25%
ตามผลวิเคราะห์ ที่ชี้ชัดว่ากิจการจะไม่ได้รับผลกระทบจาก subprime มากนัก และ div ณ ตอนนั้นที่ 20% ตามที่ว่า
สุดท้าย ราคาหุ้น ก็กลับมายืนที่เดิม ในปริมาณที่มากขึ้นหลายเท่าตัว
และเมื่อเวลาผ่านไปในปี 2009 - 2010 ราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น
มันก็เลยเป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่า สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ อย่างอารมณ์ตลาด ที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นในมือ
ไม่ว่าจะเป็นในด้านบวก หรือด้านลบ มันเป็นโอกาสทั้งคู่ ... ถ้าเราไม่ตื่นตูมไปตามกัน
แต่ต่อให้ตลาดกระทิง ... หากมีปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นในมืออย่างชัดเจน
ก็ต้องตัดใจให้ขาดที่จะปล่อยหุ้นตัวนั้นออกไปจากพอร์ตเช่นกัน ไม่งั้นจะยิ่งเจ็บ เมื่อเราขาดทุน ในขณะที่ใคร ๆ ก็กำไรกัน
1. มีจิตใจที่เข้มแข็ง ที่ยังถือหุ้นตัวเองที่ลงเกือบ 50%แล้วรู้ว่าลงได้อีก [และสงสัยจะมีกองหลังกองหนุน(คนที่บ้าน)ที่จิตใจเข้มแข็งพอกัน ไม่เช่นนั้น...ไม่อยากขายก็ต้องขายเพราะกองหลังกองหนุนสั่ง]
2. ต้องหากระสุนสำรองมาใช้ให้ได้ และต้องกล้าใช้ด้วย (ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปในภาวะนี้ มีกระสุนสำรองก็ไม่กล้าใช้ลุย...มีไว้แค่ตั้งรับ เพราะยังไม่รู้ว่ามันจะกินเวลาเท่าไรเหตุการณ์ถึงผ่านไป)
ขอบคุณครับ ที่แชร์ประสบการณ์(ผมเห็นว่าภาวะแวดล้อมที่ส่งเสริมของแต่บุคคล มีส่วนในความสำเร็จ ครับ)
- pongo
- Verified User
- โพสต์: 1075
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 12
ปี 2008 ด้วยการที่ไม่เคยเจอวิกฤตใหญ่มาก่อนก็ถือเต็มพอร์ตตลอดครับ คิดว่าผลประกอบการยังดี ของดีๆ ถูกๆ ก็ขายไม่ลง
ผลคือ -42% ในขณที่ TRI return = -45% (ชนะตลาด แต่ไม่เห็นดีใจเลย ฮือๆๆๆ)
ถือไปก็ปรับพอร์ตไป ตัวไหนถูกก็สลับสับเปลี่ยนกันไป
ที่สำคัญคือมีเพื่อนๆ ที่เป็นนักลงทุนด้วยกัน คอยให้กำลังใจกันตลอด (ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ไม่อาจเอ่ยนามได้หลายๆ คน ในทีนี้อย่างสูง) ทำให้เราไม่ฟุ้งซ่าน เชื่อมั่นในแนวทางที่เราได้เลือกแล้ว และไม่เดินออกจากตลาดไปในช่วงที่ตลาดดูสิ้นหวังสุดขีด (ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นช่วงที่น่าลงทุนเต็มพอร์ตที่สุด)
จำได้ว่า ตลาดนิ่งไปหลายเดือน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แต่เมื่อสภาพคล่องเริ่มกลับมา ดัชนีก็เด้งแรง
ราคาหุ้นก็ค่อยๆ กลับสู่พื้นฐานที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง
สิ้นปี 2009 พอร์ตผมได้ส่วนที่เสียไปในปี 2008 กลับคืนมาทั้งหมด และโตเพิ่มขึ้นจากต้นปี 2008 ด้วยซ้ำไป
ส่วนคราวนี้ที่ usa dowgrade AAA --> AA+ ผมว่า ไม่ได้มีส่วนกระทบอะไรกลับผลประกอบการบริษัทมากนัก
สภาพคล่องในตลาดเงิน ก็ไม่ได้หดหายไปไหน ต่างกับ subprime ที่สภาพคล่องแห้งไปหมด
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ ที่เข้าตลาดมาหลัง subprime
ผลคือ -42% ในขณที่ TRI return = -45% (ชนะตลาด แต่ไม่เห็นดีใจเลย ฮือๆๆๆ)
ถือไปก็ปรับพอร์ตไป ตัวไหนถูกก็สลับสับเปลี่ยนกันไป
ที่สำคัญคือมีเพื่อนๆ ที่เป็นนักลงทุนด้วยกัน คอยให้กำลังใจกันตลอด (ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ไม่อาจเอ่ยนามได้หลายๆ คน ในทีนี้อย่างสูง) ทำให้เราไม่ฟุ้งซ่าน เชื่อมั่นในแนวทางที่เราได้เลือกแล้ว และไม่เดินออกจากตลาดไปในช่วงที่ตลาดดูสิ้นหวังสุดขีด (ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นช่วงที่น่าลงทุนเต็มพอร์ตที่สุด)
จำได้ว่า ตลาดนิ่งไปหลายเดือน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แต่เมื่อสภาพคล่องเริ่มกลับมา ดัชนีก็เด้งแรง
ราคาหุ้นก็ค่อยๆ กลับสู่พื้นฐานที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง
สิ้นปี 2009 พอร์ตผมได้ส่วนที่เสียไปในปี 2008 กลับคืนมาทั้งหมด และโตเพิ่มขึ้นจากต้นปี 2008 ด้วยซ้ำไป
ส่วนคราวนี้ที่ usa dowgrade AAA --> AA+ ผมว่า ไม่ได้มีส่วนกระทบอะไรกลับผลประกอบการบริษัทมากนัก
สภาพคล่องในตลาดเงิน ก็ไม่ได้หดหายไปไหน ต่างกับ subprime ที่สภาพคล่องแห้งไปหมด
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ ที่เข้าตลาดมาหลัง subprime
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 13
หุ้นเต็มพอร์ตครับตอนนั้น
แล้วก็ไม่มีเงินสดจะไปซื้อหุ้นด้วยครับ
เพราะผมมองว่าผมซื้อเงิน 10 บาท
มาในราคาส่วนลด
ผมจึงหุ้นพอร์ตตลอดเวลา
ซึ่งก็ทำมาก่อนหน้านั้น 2-3 ปี
มันเป็นโชคดีของผมที่ผมได้คิดแบบนั้น
และมีเวลาฝึกฝนมาก่อน
ทำให้ผมรู้ว่าการทำตัวให้เป็นตาชั่ง
วัดมูลค่าทำกันอย่างไร
ในปี 2008 พอร์ตผมหดไปครึ่งๆ ครับ
เมื่อเทียบกับตอนต้นปี ไม่ใช่ช่าง peak
ในสามัญสำนึกของผมมองหุ้นเป็นมูลค่าเสมอ
ไม่ใช่เงินสดที่ซื้อขายกัน
ดังนั้น ผมจึงปรับพอร์ตด้วยความหวาดหวั่น
มากกว่าความวิตก
ที่ผมทำไม่ใช่ sap แต่เป็นการปรับพอร์ต
ผมเกาะสถานการณ์ แต่ไม่ได้เฝ้าหน้าจอ
ผมหวาดหวั่น แต่ไม่ได้วิตก
ผมกลัว แต่ความโลภตอนนั้นมีมากกว่า
และที่สำคัญ
ผมโชคดีที่มีสติ
โชคดีของผมอีกอย่าง
คือการได้รู้จักหุ้นหลายๆ ตัว
ที่เคยทำ และลอกการบ้านพี่ๆ ที่นี่มาหลายปี
ทำให้พอเอาตัวรอดได้ว่าสถานการณ์แบบไหน
ที่เราไม่ควรเข้าไปเสี่ยง
โดยไม่รู้ว่าวิกฤติจะยาวนานกี่ปี
เช่น ธุรกิจส่งออก เป็นต้น
และหันไปเลือกกิจการเน้น
การบริโภคภายในประเทศแทน
ที่ไม่ควรได้รับผลกระทบเลย
หรือถ้ามี ก็น้อยมากครับ
ชึ่งถือว่าเป็น mos ส่วนหนึ่งของผมเสมอครับ
แล้วก็ไม่มีเงินสดจะไปซื้อหุ้นด้วยครับ
เพราะผมมองว่าผมซื้อเงิน 10 บาท
มาในราคาส่วนลด
ผมจึงหุ้นพอร์ตตลอดเวลา
ซึ่งก็ทำมาก่อนหน้านั้น 2-3 ปี
มันเป็นโชคดีของผมที่ผมได้คิดแบบนั้น
และมีเวลาฝึกฝนมาก่อน
ทำให้ผมรู้ว่าการทำตัวให้เป็นตาชั่ง
วัดมูลค่าทำกันอย่างไร
ในปี 2008 พอร์ตผมหดไปครึ่งๆ ครับ
เมื่อเทียบกับตอนต้นปี ไม่ใช่ช่าง peak
ในสามัญสำนึกของผมมองหุ้นเป็นมูลค่าเสมอ
ไม่ใช่เงินสดที่ซื้อขายกัน
ดังนั้น ผมจึงปรับพอร์ตด้วยความหวาดหวั่น
มากกว่าความวิตก
ที่ผมทำไม่ใช่ sap แต่เป็นการปรับพอร์ต
ผมเกาะสถานการณ์ แต่ไม่ได้เฝ้าหน้าจอ
ผมหวาดหวั่น แต่ไม่ได้วิตก
ผมกลัว แต่ความโลภตอนนั้นมีมากกว่า
และที่สำคัญ
ผมโชคดีที่มีสติ
โชคดีของผมอีกอย่าง
คือการได้รู้จักหุ้นหลายๆ ตัว
ที่เคยทำ และลอกการบ้านพี่ๆ ที่นี่มาหลายปี
ทำให้พอเอาตัวรอดได้ว่าสถานการณ์แบบไหน
ที่เราไม่ควรเข้าไปเสี่ยง
โดยไม่รู้ว่าวิกฤติจะยาวนานกี่ปี
เช่น ธุรกิจส่งออก เป็นต้น
และหันไปเลือกกิจการเน้น
การบริโภคภายในประเทศแทน
ที่ไม่ควรได้รับผลกระทบเลย
หรือถ้ามี ก็น้อยมากครับ
ชึ่งถือว่าเป็น mos ส่วนหนึ่งของผมเสมอครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 14
ตอนนั้น เต็มพอร์ต เงินจากค่าแรง ใส่ไปหมดตัวครับ
แดงแบบไฟไหม้จอ คิดถึงวันวานแล้วหนาวๆร้อนครับคุณนัฐ
แดงแบบไฟไหม้จอ คิดถึงวันวานแล้วหนาวๆร้อนครับคุณนัฐ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 15
จำได้ว่า short against port ทุกอาทิตย์
เป็นอย่างเดียวที่ทำได้ในขาลงแบบใหญ่
ซึ่งทำใจยากมาก แต่ต้องทำเหมือนเฉือนเนื้อตัวเอง
เป็นอย่างเดียวที่ทำได้ในขาลงแบบใหญ่
ซึ่งทำใจยากมาก แต่ต้องทำเหมือนเฉือนเนื้อตัวเอง
- nACrophiles_117
- Verified User
- โพสต์: 1362
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 16
ตอนนั้นยังไม่ได้เล่นหุ้นครับ ขอบคุณพี่ๆมากที่มาช่วยแชร์ประสบการณ์กัน
ว่าแต่ ตอนนี้มันจะเหมือน... หรือเปล่าครับ???
ว่าแต่ ตอนนี้มันจะเหมือน... หรือเปล่าครับ???
labor omnia vincit
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 17
จำได้ว่าเป็นปีที่ 3 ในการลงทุน สองปีแรกสะสมกำไรมา แต่พอมาเจอแฮมชิ้นโต
กำไรสะสมเกือบหายหมด
ดีที่รู้จักและมีข้อมูลหุ้นที่ถืออยู่ เลยไม่ได้ขาย แต่สะสมเพิ่มบางช่วงเวลา
ผลลัพธ์ที่ได้ ติดลบน้อยกว่าที่คิด
สิ่งหนึ่งที่ได้จากวิกฤตครั้งนั้นก็คือ ธุระกิจดีๆ ก็ยังเป็นที่ฝากเงินที่ปลอดภัยเสมอ
วิกฤตนำมาซึ่งความกลัวและขาดสติ แต่สุดท้ายก็แพ้เหตุและผลที่แท้จริงเสมอ
กิจการหลายอย่าง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปลดราคาขาย เมื่อมีวิกฤตก็มักจะอยู่
รอดปลอดภัย และตรงกันข้ามกับธุระกิจที่ตลาดเป็นผู้กำหนดราคา มักได้รับความ
ผันผวนรุนแรงเสมอ
กำไรสะสมเกือบหายหมด
ดีที่รู้จักและมีข้อมูลหุ้นที่ถืออยู่ เลยไม่ได้ขาย แต่สะสมเพิ่มบางช่วงเวลา
ผลลัพธ์ที่ได้ ติดลบน้อยกว่าที่คิด
สิ่งหนึ่งที่ได้จากวิกฤตครั้งนั้นก็คือ ธุระกิจดีๆ ก็ยังเป็นที่ฝากเงินที่ปลอดภัยเสมอ
วิกฤตนำมาซึ่งความกลัวและขาดสติ แต่สุดท้ายก็แพ้เหตุและผลที่แท้จริงเสมอ
กิจการหลายอย่าง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปลดราคาขาย เมื่อมีวิกฤตก็มักจะอยู่
รอดปลอดภัย และตรงกันข้ามกับธุระกิจที่ตลาดเป็นผู้กำหนดราคา มักได้รับความ
ผันผวนรุนแรงเสมอ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 2606
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 18
ตอนนั้นใสซื่อครับ ทำงานใหม่ๆ ได้เงินเดือนเป็นตัวเป็นแล้ว ก็เอาไป ลงทุนจริงจัง ได้เงินเท่าไหร่ ลงทุนเต็มที่ตลอดเวลา พอราคามันลด ก็ยิ่งเอาเงินเข้าไปใส่เพิ่ม ซับพาร์มเป็นไง ข่าวออกมาตั้งนาน ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ติดตาม ใจก็คิดว่า มันจะเกี่ยวอะไรกัน กับบริษัทในเมืองไทย ที่เราลงทุนอยู่
ราคาหุ้นยิ่งลด ยิ่งถูก ยิ่งซื้อเพิ่ม แล้วก็มองเงินเราด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ ตามมูลค่า หุ้นที่มันลดลง หลังจากรับมีด ไปจนหมด ราคาดันลงไปอีก หลายๆ ตัวนึกว่า มันลงมาเยอะแล้ว เราได้ของถูกแล้ว ดันลงมาอีกครึ่งนึง บางตัวที่ถือเยอะๆ กำไรทำนิวไฮ ราคาทำ Free Fall ตังค์ก็ไม่มี จะกู้มาร์จิ้น ก็ไม่กล้า กำไรสะสมที่เคยได้มาปีสองปี ก็หายไปหมด และก็โดนต้นทุนเราไปหน่อยด้วย ทำไงได้ราคาขนาดนั้น ขายไม่ลงครับ ไม่คิดขายเลย แต่ราคามันลงเอาๆ เลยคิดซะว่า แค่เอาแค่ปันผลก็ได้
จากนั้นค่อยๆ ใส่เงินเก็บจากเงินเดือนทีละน้อยนิดๆ ไปเรื่อยๆ อยู่ๆ มันก็ขึ้นมา จนได้ต้นทุนเราคืน จนได้กำไรสะสมที่เราเคยได้ จนได้โตจากพีคเดิม จนได้โตขึ้นอีกหลายๆ เท่า
คราวนั้น ประสบการณ์ เห็นหุ้นตัวเองเลือดสาด ติดลบแดงแจ๊ แบบ เกิน 50% ทุกตัว หลอกหลอนผมมา เรื่อยๆ ความคิดที่บอกว่า ต้องลงทุนในหุ้นตลอดเวลา 100% นั้นหายไปจากหัวสมองของผมเลย และที่บอกว่า เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ มหาภาคอะไรนั้น ไร้สาระ ไม่ต้องสนใจ อันนี้ ผมก็เลิกเชื่อไปเลยเหมือนกัน (จริงๆ แล้วก็ เชื่ออยู่เหมือนกันว่าในระยะยาว มันเป็นอย่างนั้น แต่มันทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ ไปได้ จริงมะ )
อ่านหนังสือมากขึ้น ก็พวกเริ่มเดิมๆ นี้แหละครับ เอามาอ่านอีกที รู้เรื่องขึ้นเยอะ เห็นมุมมองใหม่ๆ มากขึ้น เห็น ลุงบัพ บอกว่า เราควรจะมีเงินสด เก็บไว้บางส่วนตลอด เอามาเวลามีโอกาสงามๆจะได้เข้ามาเก็บบริษัทสุดยอดในราคาสุดถูก แล้วลุงลินซ์ ก็บอกว่า เค้าไม่เชื่อว่าคนเราจะเดาตลาดได้ตลอด หากเราตัดสินใจว่าเอาเงินก้อนนี้ ลงทุนในหุ้นแล้ว เราก็ไม่ต้องเอาเข้าๆ ออกๆ เดาตลาดไปเรื่อยๆ เราเอามันอยู่ในนั้นแหละ
ผมทำตามทันทีครับ ผมเริ่มจัดสรรเงินมากขึ้น แบ่งเงินเดือน เงินเก็บ บางส่วนมาที่หุ้น แบ่งบางส่วนไปซื้อหุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ เงินฝากอะไรพวกนี้บ้าง จากเดิมที่หุ้น หุ้น อย่างเดียว ในหุ้นตัวที่เลือกจะต้องมั่นใจว่า มันจะต้องโต และต้องได้ราคาที่มี MOS ที่มากพอ หากไม่เจอก็เก็บเงินไว้ก่อนไม่ตัดสินใจเอาเข้าไปรวมในพอร์ตหุ้นครับ
ตอนนี้ สบายใจมากขึ้นครับ เงินในหุ้นเราก็โตกว่าตลาดไปเรื่อยๆ ส่วนเงินในสินทรัพย์ อื่นๆ ก็งอกเงยขึ้นอย่างมีนัยยะ หากตลาดหุ้นเกิดวิกฤติอะไรขึ้นมา เลยจะมีทั้งเงินเดือน ทั้งเงินก้อนที่อยู่ในสินทรัพย์เหล่านี้ Weight กลับไปในตลาดหุ้นช่วงที่มัน Grand Sell ได้
จริงๆ หากเรายังอยู่ในหุ้นทั้งหมดตลอดเวลา หรือเราไป เล่น มาร์จิ้นมาเพิ่ม ก็คงได้ผลตอบแทนมากมายกว่านี้หลายๆ เท่า แต่คงไม่ถูกกับจริตของตัวเอง เลยเลือกที่จะใช้วิธีนี้ สบายใจ ดูจะถูกกับจริตเรามากกว่าครับ
ราคาหุ้นยิ่งลด ยิ่งถูก ยิ่งซื้อเพิ่ม แล้วก็มองเงินเราด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ ตามมูลค่า หุ้นที่มันลดลง หลังจากรับมีด ไปจนหมด ราคาดันลงไปอีก หลายๆ ตัวนึกว่า มันลงมาเยอะแล้ว เราได้ของถูกแล้ว ดันลงมาอีกครึ่งนึง บางตัวที่ถือเยอะๆ กำไรทำนิวไฮ ราคาทำ Free Fall ตังค์ก็ไม่มี จะกู้มาร์จิ้น ก็ไม่กล้า กำไรสะสมที่เคยได้มาปีสองปี ก็หายไปหมด และก็โดนต้นทุนเราไปหน่อยด้วย ทำไงได้ราคาขนาดนั้น ขายไม่ลงครับ ไม่คิดขายเลย แต่ราคามันลงเอาๆ เลยคิดซะว่า แค่เอาแค่ปันผลก็ได้
จากนั้นค่อยๆ ใส่เงินเก็บจากเงินเดือนทีละน้อยนิดๆ ไปเรื่อยๆ อยู่ๆ มันก็ขึ้นมา จนได้ต้นทุนเราคืน จนได้กำไรสะสมที่เราเคยได้ จนได้โตจากพีคเดิม จนได้โตขึ้นอีกหลายๆ เท่า
คราวนั้น ประสบการณ์ เห็นหุ้นตัวเองเลือดสาด ติดลบแดงแจ๊ แบบ เกิน 50% ทุกตัว หลอกหลอนผมมา เรื่อยๆ ความคิดที่บอกว่า ต้องลงทุนในหุ้นตลอดเวลา 100% นั้นหายไปจากหัวสมองของผมเลย และที่บอกว่า เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ มหาภาคอะไรนั้น ไร้สาระ ไม่ต้องสนใจ อันนี้ ผมก็เลิกเชื่อไปเลยเหมือนกัน (จริงๆ แล้วก็ เชื่ออยู่เหมือนกันว่าในระยะยาว มันเป็นอย่างนั้น แต่มันทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ ไปได้ จริงมะ )
อ่านหนังสือมากขึ้น ก็พวกเริ่มเดิมๆ นี้แหละครับ เอามาอ่านอีกที รู้เรื่องขึ้นเยอะ เห็นมุมมองใหม่ๆ มากขึ้น เห็น ลุงบัพ บอกว่า เราควรจะมีเงินสด เก็บไว้บางส่วนตลอด เอามาเวลามีโอกาสงามๆจะได้เข้ามาเก็บบริษัทสุดยอดในราคาสุดถูก แล้วลุงลินซ์ ก็บอกว่า เค้าไม่เชื่อว่าคนเราจะเดาตลาดได้ตลอด หากเราตัดสินใจว่าเอาเงินก้อนนี้ ลงทุนในหุ้นแล้ว เราก็ไม่ต้องเอาเข้าๆ ออกๆ เดาตลาดไปเรื่อยๆ เราเอามันอยู่ในนั้นแหละ
ผมทำตามทันทีครับ ผมเริ่มจัดสรรเงินมากขึ้น แบ่งเงินเดือน เงินเก็บ บางส่วนมาที่หุ้น แบ่งบางส่วนไปซื้อหุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ เงินฝากอะไรพวกนี้บ้าง จากเดิมที่หุ้น หุ้น อย่างเดียว ในหุ้นตัวที่เลือกจะต้องมั่นใจว่า มันจะต้องโต และต้องได้ราคาที่มี MOS ที่มากพอ หากไม่เจอก็เก็บเงินไว้ก่อนไม่ตัดสินใจเอาเข้าไปรวมในพอร์ตหุ้นครับ
ตอนนี้ สบายใจมากขึ้นครับ เงินในหุ้นเราก็โตกว่าตลาดไปเรื่อยๆ ส่วนเงินในสินทรัพย์ อื่นๆ ก็งอกเงยขึ้นอย่างมีนัยยะ หากตลาดหุ้นเกิดวิกฤติอะไรขึ้นมา เลยจะมีทั้งเงินเดือน ทั้งเงินก้อนที่อยู่ในสินทรัพย์เหล่านี้ Weight กลับไปในตลาดหุ้นช่วงที่มัน Grand Sell ได้
จริงๆ หากเรายังอยู่ในหุ้นทั้งหมดตลอดเวลา หรือเราไป เล่น มาร์จิ้นมาเพิ่ม ก็คงได้ผลตอบแทนมากมายกว่านี้หลายๆ เท่า แต่คงไม่ถูกกับจริตของตัวเอง เลยเลือกที่จะใช้วิธีนี้ สบายใจ ดูจะถูกกับจริตเรามากกว่าครับ
- CHOOKY
- Verified User
- โพสต์: 540
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 19
โดนใจมากครับ ให้ Like +1tum_H เขียน:จำได้ว่าเป็นปีที่ 3 ในการลงทุน สองปีแรกสะสมกำไรมา แต่พอมาเจอแฮมชิ้นโต
กำไรสะสมเกือบหายหมด
ดีที่รู้จักและมีข้อมูลหุ้นที่ถืออยู่ เลยไม่ได้ขาย แต่สะสมเพิ่มบางช่วงเวลา
ผลลัพธ์ที่ได้ ติดลบน้อยกว่าที่คิด
สิ่งหนึ่งที่ได้จากวิกฤตครั้งนั้นก็คือ ธุระกิจดีๆ ก็ยังเป็นที่ฝากเงินที่ปลอดภัยเสมอ
วิกฤตนำมาซึ่งความกลัวและขาดสติ แต่สุดท้ายก็แพ้เหตุและผลที่แท้จริงเสมอ
กิจการหลายอย่าง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปลดราคาขาย เมื่อมีวิกฤตก็มักจะอยู่
รอดปลอดภัย และตรงกันข้ามกับธุระกิจที่ตลาดเป็นผู้กำหนดราคา มักได้รับความ
ผันผวนรุนแรงเสมอ
"ค้นหาคุณค่าให้พบ แล้วซื้อหุ้นกิจการที่ดีนั้น ซึ่งมีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี และยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง"
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 20
- อย่าเชื่อคนที่เค้าเรียกกันว่าเซียน เพราะหลายครั้ง มันไม่จริงตามที่เค้าพูด
และจริงๆในโลก ไม่มีใครที่เดนกลางอากาศได้ และไม่สามารถรู้อนาคตได้ 100%
- การลงทุนกับหุ้นบางตัวที่ไม่มีใครสนใจมาก แต่เป็นกิจการที่เราเข้าใจ มีงบดุลที่ดี
และเราเข้าใจอัตราการทำกำไรในอนาคต
- ไม่หลงไปกับ Mr.market และหาโอกาสการลงทุน
- อยู่ห่างๆ ตลาด และอาจต้องอยู่ห่างจาก web board หุ้นบ้าง
- หลายครั้งการคิดง่ายๆ ทำให้ผลตอบแทนดีกว่า คนที่จ้องดูข้อมูลต่างๆตลอดวัน อย่างมากมายครับ
"Understanding is risk reduction" >>> From Sir.Richard Branson
บริหารความโลภให้พอกับความรู้ที่เรามีครับ
และจริงๆในโลก ไม่มีใครที่เดนกลางอากาศได้ และไม่สามารถรู้อนาคตได้ 100%
- การลงทุนกับหุ้นบางตัวที่ไม่มีใครสนใจมาก แต่เป็นกิจการที่เราเข้าใจ มีงบดุลที่ดี
และเราเข้าใจอัตราการทำกำไรในอนาคต
- ไม่หลงไปกับ Mr.market และหาโอกาสการลงทุน
- อยู่ห่างๆ ตลาด และอาจต้องอยู่ห่างจาก web board หุ้นบ้าง
- หลายครั้งการคิดง่ายๆ ทำให้ผลตอบแทนดีกว่า คนที่จ้องดูข้อมูลต่างๆตลอดวัน อย่างมากมายครับ
"Understanding is risk reduction" >>> From Sir.Richard Branson
บริหารความโลภให้พอกับความรู้ที่เรามีครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 21
ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลา
ทำให้ปีนั้น(ปี51)พอร์ตผมติดลบ37เปอร์เซ็นต์ครับ
พอดีผมศึกษาการลงทุนแนววีไอมาก่อนวิกฤตทำให้ผมรู้ว่าช่วงนั้นหุ้นแต่ละตัวถูกมาก
แต่ผมติดปัญหาที่ไม่มีเงินสดที่จะซื้อหุ้นได้
ผมกับแฟนจึงวางแผนและตัดสินใจแต่งงาน(มี.ค.52)เพื่อนำสินสอดและเงินที่เหลือจากการจัดงาน
มาซื้อหุ้นทั้งหมดครับ
ทำให้ปีนั้น(ปี51)พอร์ตผมติดลบ37เปอร์เซ็นต์ครับ
พอดีผมศึกษาการลงทุนแนววีไอมาก่อนวิกฤตทำให้ผมรู้ว่าช่วงนั้นหุ้นแต่ละตัวถูกมาก
แต่ผมติดปัญหาที่ไม่มีเงินสดที่จะซื้อหุ้นได้
ผมกับแฟนจึงวางแผนและตัดสินใจแต่งงาน(มี.ค.52)เพื่อนำสินสอดและเงินที่เหลือจากการจัดงาน
มาซื้อหุ้นทั้งหมดครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 22
555 สุดยอดนักวางแผนจริงๆ ได้ทั้ง ภรรยา ได้ทั้งสินสอดทองหมั่น มาช้อนหุ้นถูกๆsaichon เขียน:ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลา
ทำให้ปีนั้น(ปี51)พอร์ตผมติดลบ37เปอร์เซ็นต์ครับ
พอดีผมศึกษาการลงทุนแนววีไอมาก่อนวิกฤตทำให้ผมรู้ว่าช่วงนั้นหุ้นแต่ละตัวถูกมาก
แต่ผมติดปัญหาที่ไม่มีเงินสดที่จะซื้อหุ้นได้
ผมกับแฟนจึงวางแผนและตัดสินใจแต่งงาน(มี.ค.52)เพื่อนำสินสอดและเงินที่เหลือจากการจัดงาน
มาซื้อหุ้นทั้งหมดครับ
คิดได้ไง
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 23
ขอบคุณครับพี่เจ๋งJeng เขียน:555 สุดยอดนักวางแผนจริงๆ ได้ทั้ง ภรรยา ได้ทั้งสินสอดทองหมั่น มาช้อนหุ้นถูกๆsaichon เขียน:ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลา
ทำให้ปีนั้น(ปี51)พอร์ตผมติดลบ37เปอร์เซ็นต์ครับ
พอดีผมศึกษาการลงทุนแนววีไอมาก่อนวิกฤตทำให้ผมรู้ว่าช่วงนั้นหุ้นแต่ละตัวถูกมาก
แต่ผมติดปัญหาที่ไม่มีเงินสดที่จะซื้อหุ้นได้
ผมกับแฟนจึงวางแผนและตัดสินใจแต่งงาน(มี.ค.52)เพื่อนำสินสอดและเงินที่เหลือจากการจัดงาน
มาซื้อหุ้นทั้งหมดครับ
คิดได้ไง
ผมก็ได้พี่ๆในเวปหลายๆท่าน(รวมทั้งพี่เจ๋ง) ที่คอยแนะนำหลักการลงทุนที่ถูกต้องให้แหละครับ
ไม่งั้นใครจะไปกล้าทำครับ ฮ่า...
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 24
แล้วลงหนักๆรอบนี้ จะแต่งใหม่ปะsaichon เขียน:ขอบคุณครับพี่เจ๋งJeng เขียน:555 สุดยอดนักวางแผนจริงๆ ได้ทั้ง ภรรยา ได้ทั้งสินสอดทองหมั่น มาช้อนหุ้นถูกๆsaichon เขียน:ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลา
ทำให้ปีนั้น(ปี51)พอร์ตผมติดลบ37เปอร์เซ็นต์ครับ
พอดีผมศึกษาการลงทุนแนววีไอมาก่อนวิกฤตทำให้ผมรู้ว่าช่วงนั้นหุ้นแต่ละตัวถูกมาก
แต่ผมติดปัญหาที่ไม่มีเงินสดที่จะซื้อหุ้นได้
ผมกับแฟนจึงวางแผนและตัดสินใจแต่งงาน(มี.ค.52)เพื่อนำสินสอดและเงินที่เหลือจากการจัดงาน
มาซื้อหุ้นทั้งหมดครับ
คิดได้ไง
ผมก็ได้พี่ๆในเวปหลายๆท่าน(รวมทั้งพี่เจ๋ง) ที่คอยแนะนำหลักการลงทุนที่ถูกต้องให้แหละครับ
ไม่งั้นใครจะไปกล้าทำครับ ฮ่า...
(ล้อเล่น)
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 26
ตอนปี 2008 ช่วงเดือนตุลาคมนี่จำได้เลยครับ ว่ากลัวขี้แตกขี้แตนเลย
แต่ปกติผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครรู้จริงว่าตลาดจะขึ้นหรือลงเท่าไหนเมื่อไหร่
ก็เลยพยายามไม่เดาตลาด มองหุ้นเป็นตัวๆแล้วถือหุ้นเต็มพอร์ทตลอด
(ตอนนั้นนะครับ เพราะตอนนี้ผมก็มีมุมมองบางอย่างที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา)
ช่วงนั้นก็พยายามตั้งสติ คิดด้วยเหตุผล ว่าที่มาของวิกฤตครั้งนั้ันคืออะไร จะมีหุ้นตัวไหนกำไรไม่ลดบ้าง
สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า หุ้นที่น่าจะไม่กระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยคือหุ้นที่อาศัยการบริโภคในประเทศเช่นกลุ่มค้าปลีก
หลังจากนั้นก็เลือกหุ้นกลุ่มนี้ได้มาประมาณ 3-4 ตัวครับ
แล้วก็ปรับพอร์ท วนไปมาในหุ้นกลุ่มนี้ คือถ้าตัวไหนลงมากก็จะขายตัวลงน้อยหรือไม่ลง ไปซื้อตัวลงมาก
ช่วงเดือนตุลาคม 2008 นั้นปรากฎว่า ผมซื้อขายหุ้นเกือบทุกวันเลย เพราะแต่ละวันมันจะมีตัวลงหนักๆสลับกันไปมาตลอด
ก็พอรอดมาได้คงเพราะดวงดีด้วยครับ จากช่วงเดือนตุลาคมลบเยอะสุดประมาณเกือบ 30%
พอสิ้นปี 2008 ก็เหลือลบแค่ 15% ปีนั้นก็เลยไม่เจ็บปวดมากครับ
แต่ปกติผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครรู้จริงว่าตลาดจะขึ้นหรือลงเท่าไหนเมื่อไหร่
ก็เลยพยายามไม่เดาตลาด มองหุ้นเป็นตัวๆแล้วถือหุ้นเต็มพอร์ทตลอด
(ตอนนั้นนะครับ เพราะตอนนี้ผมก็มีมุมมองบางอย่างที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา)
ช่วงนั้นก็พยายามตั้งสติ คิดด้วยเหตุผล ว่าที่มาของวิกฤตครั้งนั้ันคืออะไร จะมีหุ้นตัวไหนกำไรไม่ลดบ้าง
สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า หุ้นที่น่าจะไม่กระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยคือหุ้นที่อาศัยการบริโภคในประเทศเช่นกลุ่มค้าปลีก
หลังจากนั้นก็เลือกหุ้นกลุ่มนี้ได้มาประมาณ 3-4 ตัวครับ
แล้วก็ปรับพอร์ท วนไปมาในหุ้นกลุ่มนี้ คือถ้าตัวไหนลงมากก็จะขายตัวลงน้อยหรือไม่ลง ไปซื้อตัวลงมาก
ช่วงเดือนตุลาคม 2008 นั้นปรากฎว่า ผมซื้อขายหุ้นเกือบทุกวันเลย เพราะแต่ละวันมันจะมีตัวลงหนักๆสลับกันไปมาตลอด
ก็พอรอดมาได้คงเพราะดวงดีด้วยครับ จากช่วงเดือนตุลาคมลบเยอะสุดประมาณเกือบ 30%
พอสิ้นปี 2008 ก็เหลือลบแค่ 15% ปีนั้นก็เลยไม่เจ็บปวดมากครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 28
ผมใช้กลยุทธ์นี้เช่นกันครับ จากลบ 40% ตีตื้นได้ ลบ 20%atsu เขียน:ตอนปี 2008 ช่วงเดือนตุลาคมนี่จำได้เลยครับ ว่ากลัวขี้แตกขี้แตนเลย
แต่ปกติผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครรู้จริงว่าตลาดจะขึ้นหรือลงเท่าไหนเมื่อไหร่
ก็เลยพยายามไม่เดาตลาด มองหุ้นเป็นตัวๆแล้วถือหุ้นเต็มพอร์ทตลอด
(ตอนนั้นนะครับ เพราะตอนนี้ผมก็มีมุมมองบางอย่างที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา)
ช่วงนั้นก็พยายามตั้งสติ คิดด้วยเหตุผล ว่าที่มาของวิกฤตครั้งนั้ันคืออะไร จะมีหุ้นตัวไหนกำไรไม่ลดบ้าง
สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า หุ้นที่น่าจะไม่กระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยคือหุ้นที่อาศัยการบริโภคในประเทศเช่นกลุ่มค้าปลีก
หลังจากนั้นก็เลือกหุ้นกลุ่มนี้ได้มาประมาณ 3-4 ตัวครับ
แล้วก็ปรับพอร์ท วนไปมาในหุ้นกลุ่มนี้ คือถ้าตัวไหนลงมากก็จะขายตัวลงน้อยหรือไม่ลง ไปซื้อตัวลงมาก
ช่วงเดือนตุลาคม 2008 นั้นปรากฎว่า ผมซื้อขายหุ้นเกือบทุกวันเลย เพราะแต่ละวันมันจะมีตัวลงหนักๆสลับกันไปมาตลอด
ก็พอรอดมาได้คงเพราะดวงดีด้วยครับ จากช่วงเดือนตุลาคมลบเยอะสุดประมาณเกือบ 30%
พอสิ้นปี 2008 ก็เหลือลบแค่ 15% ปีนั้นก็เลยไม่เจ็บปวดมากครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตอนปี 2008 บริหาร port ยังไงกันบ้าง
โพสต์ที่ 29
ตอนนี้ตั้งสติครับ พึ่งเข้ามาช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา พอมีเงินสดอยู่บ้าง แต่ผมว่าแม้ราคาจะลง มูลค่าบริษัทและจำนวนหุ้นที่เรามีในกิจการที่เราถือมันก็ยังเท่าเดิมนะครับ บริษัทที่เรามีหุ้นเขาก็ยังทำงานไปตามปกติ ถ้ามีเงินเหลือและคิดว่าราคามันถูกกว่าที่ควรจะเป็นก็ซื้อเพิ่มครับ แต่ซื้อตอนไหนนี่ ไม่ทราบครับ เพราะไม่รู้ว่ามันจะลงสุดเมื่อไหร่ ผมว่ายังไงกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ PE ของ SET ก็ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับ Earnings และตลาดต่างประเทศ สุดท้ายมันต้องกลับมานะ Earnings จะเป็นตัวที่จะให้มันกลับมาอยู่ดี แต่ถ้าบริษัทในประเทศมีปัญหา พื้นฐานแย่ๆ อย่างนั้น ต้องล้างพอร์ต ซึ่งยังไม่น่าจะใช่ตอนนี้นะผมว่า