ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ??????????
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ??????????
โพสต์ที่ 1
ตลาดจัดสรรครึ่งปีแรกร้อนแรง ปีหน้าเปิดใหม่ทะลุแสนยูนิต
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 28 กรกฎาคม 2554 13:05 น.
AREA เผยผลสำรวจโครงการบ้านจัดสรรในช่วงครึ่งปีแรกร้อนแรงต่อเนื่องปลายปีนี้ ฟันธงยอดเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2555 ทะลุ 100,000 ยูนิต ระวังภาวะฟองสบู่แตกในปี 2556 หากยอดสะสมทยอยก่อสร้างเสร็จ
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) เปิดเผยผลสำรวจ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 พบว่ามีโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังขายอยู่ในตลาดเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑลมากถึง 1,317 โครงการ ในจำนวนนี้มีจำนวน 955 โครงการที่ยังมีหน่วยขายเหลืออยู่เกินกว่า 20 ยูนิต
โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่วว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีโครงการเปิดใหม่มากถึง 233 โครงการ เทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีเปิดใหม่ 448 โครงการแล้ว อาจอนุมานได้ว่า จำนวนโครงการในปีนี้อาจเปิดตัวมากกว่า แต่จำนวนหน่วยที่จะเปิดน้อยกว่า คือประมาณ 108,298 ยูนิต จากที่เปิดตัวในปี 2553 จำนวน 116,791 ยูนิต
โดยมูลค่าโครงการที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดในปี 2554 ยังกลับมีสูงกว่าปี 2553 คือ มูลค่า319,343 ล้านบาท และ302,140 ล้านบาท ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2554 ยังมีความร้องแรงอยู่มาก ทั้งนี้คาดว่าปี 2555 จะมีจำนวนหน่วยเปิดใหม่อีกประมาณ 100,000 หน่วย
หากพิจารณาถึงยอดซื้อในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 พบว่า มีจำนวน 48,825 หน่วย เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งปีแรกปี 2553 และหากประมาณการทั้งปี 2554 จะมีจำนวน 97,650 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบยอดขายทั้งปี 2553 แสดงถึงภาวะซื้อง่าย-ขายคล่อง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าวิตกคือ การซื้อขายในช่วงหลัง ๆ เป็นการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรมากขึ้น
ศูนย์ข้อมูลวิจัยฯจากที่คาดว่าในปี 2555 จะมีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ทั้งหมดประมาณ 100,000 ยูนิต จะทำให้ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2555 จะมีหน่วยเปิดใหม่รวมกันถึง 330,000 หน่วย หรือประมาณ 7.2% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.56 ล้านยูนิต ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ณ ปี 2555
อุปทานเหลือขายทั้งหมดในตลาดมีจำนวน 135,598 ยูนิต หรือประมาณ 3% ซึ่งยังถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่วงปี 2540 ที่มีสัดส่วนสูงถึง 5% อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวและอาจเกิดวิกฤติฟองสบู่แตกในปี 2556 ได้
โดยบ้านเดี่ยวมีอุปทานเหลือขาย 40,707 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 7% จากสิ้นปี 2553 และขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 จำนวน 8,779 ยูนิต ทำให้ประมาณว่าทั้งปีจะขายได้ราว 17,558 ยูนิต
สำหรับทาวน์เฮาส์ มีอุปทานเหลือขาย 40,248 ยูนิต ลดลง 2% จากสิ้นปี 2553 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 ขายได้ 14,580 หน่วย คาดว่าทั้งปีจะขายได้ 29,130 ยูนิต มีแนวโน้มจะขายเพิ่มขึ้น 7% แต่เมื่อเทียบกับอุปทานแล้วยังถือว่าเหลืออีกมาก
ส่วนอาคารชุดพักอาศัย พบว่า หน่วยเปิดขายใหม่ชะลอลงเล็กน้อย อุปทานเหลือขาย 43,496 ยูนิต หรือ 9% จากสิ้นปี 2553 โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 ขายได้ 22,788 ยูนิต ทั้งปีคาดว่าราว 45,576 หน่วย มีแนวโน้มขายลดลง 8% แสดงว่าอุปสงค์ค่อย ๆ ลดลงบางส่วน
ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือกรณีหน่วยหยุดขายไป ศูนย์ข้อมูลวิจัยฯ พบว่า ณ สิ้นปี 2553 มีจำนวน 66 โครงการ จำนวน 14,420 ยูนิต มูลค่ารวม 34,442 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ณ กลางปี 2554ได้เพิ่มจำนวนเป็น 78 โครงการ จำนวน 17,750 ยูนิต มูลค่ารวม 42,724 ล้านบาท แสดงว่า จำนวนโครงการเพิ่ม 12 โครงการ หน่วยขายที่หยุดขายเพิ่ม 3,330 ยูนิต และมูลค่าที่หยุดขายเพิ่ม 8,282 ล้านบาท
สำหรับในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2554 พบว่า มีเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 54,401 หน่วย รวมมูลค่า 161,818 ล้านบาท โดยเป็นที่อยู่อาศัย 52% ขายในราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และในจำนวน 38% ขายในราคาเกิน 5 ล้านบาท จึงทำให้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.949 ล้านบาทต่อยูนิต ขณะที่ปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.587ล้านบาท หากไม่มีสินค้าราคาแพงที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงหลังมาเฉลี่ยแล้ว ราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยในปี 2554 น่าจะต่ำกว่าปี 2553
จากผลการสำรวจในรายละเอียดแนวโน้มที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ผู้ประกอบการทำโครงการขนาดเล็กลงเพื่อลดความเสี่ยง ขายสินค้าราคาต่ำลง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อมีจำนวนมากขึ้น มีแบบบ้านให้เลือกน้อยลงเพื่อลดความสูญเสียและต้นทุนการจัดการ เป็นต้น
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 28 กรกฎาคม 2554 13:05 น.
AREA เผยผลสำรวจโครงการบ้านจัดสรรในช่วงครึ่งปีแรกร้อนแรงต่อเนื่องปลายปีนี้ ฟันธงยอดเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2555 ทะลุ 100,000 ยูนิต ระวังภาวะฟองสบู่แตกในปี 2556 หากยอดสะสมทยอยก่อสร้างเสร็จ
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) เปิดเผยผลสำรวจ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 พบว่ามีโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังขายอยู่ในตลาดเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑลมากถึง 1,317 โครงการ ในจำนวนนี้มีจำนวน 955 โครงการที่ยังมีหน่วยขายเหลืออยู่เกินกว่า 20 ยูนิต
โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่วว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีโครงการเปิดใหม่มากถึง 233 โครงการ เทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีเปิดใหม่ 448 โครงการแล้ว อาจอนุมานได้ว่า จำนวนโครงการในปีนี้อาจเปิดตัวมากกว่า แต่จำนวนหน่วยที่จะเปิดน้อยกว่า คือประมาณ 108,298 ยูนิต จากที่เปิดตัวในปี 2553 จำนวน 116,791 ยูนิต
โดยมูลค่าโครงการที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดในปี 2554 ยังกลับมีสูงกว่าปี 2553 คือ มูลค่า319,343 ล้านบาท และ302,140 ล้านบาท ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2554 ยังมีความร้องแรงอยู่มาก ทั้งนี้คาดว่าปี 2555 จะมีจำนวนหน่วยเปิดใหม่อีกประมาณ 100,000 หน่วย
หากพิจารณาถึงยอดซื้อในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 พบว่า มีจำนวน 48,825 หน่วย เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งปีแรกปี 2553 และหากประมาณการทั้งปี 2554 จะมีจำนวน 97,650 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบยอดขายทั้งปี 2553 แสดงถึงภาวะซื้อง่าย-ขายคล่อง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าวิตกคือ การซื้อขายในช่วงหลัง ๆ เป็นการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรมากขึ้น
ศูนย์ข้อมูลวิจัยฯจากที่คาดว่าในปี 2555 จะมีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ทั้งหมดประมาณ 100,000 ยูนิต จะทำให้ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2555 จะมีหน่วยเปิดใหม่รวมกันถึง 330,000 หน่วย หรือประมาณ 7.2% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด 4.56 ล้านยูนิต ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ณ ปี 2555
อุปทานเหลือขายทั้งหมดในตลาดมีจำนวน 135,598 ยูนิต หรือประมาณ 3% ซึ่งยังถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่วงปี 2540 ที่มีสัดส่วนสูงถึง 5% อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวและอาจเกิดวิกฤติฟองสบู่แตกในปี 2556 ได้
โดยบ้านเดี่ยวมีอุปทานเหลือขาย 40,707 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 7% จากสิ้นปี 2553 และขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 จำนวน 8,779 ยูนิต ทำให้ประมาณว่าทั้งปีจะขายได้ราว 17,558 ยูนิต
สำหรับทาวน์เฮาส์ มีอุปทานเหลือขาย 40,248 ยูนิต ลดลง 2% จากสิ้นปี 2553 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 ขายได้ 14,580 หน่วย คาดว่าทั้งปีจะขายได้ 29,130 ยูนิต มีแนวโน้มจะขายเพิ่มขึ้น 7% แต่เมื่อเทียบกับอุปทานแล้วยังถือว่าเหลืออีกมาก
ส่วนอาคารชุดพักอาศัย พบว่า หน่วยเปิดขายใหม่ชะลอลงเล็กน้อย อุปทานเหลือขาย 43,496 ยูนิต หรือ 9% จากสิ้นปี 2553 โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 ขายได้ 22,788 ยูนิต ทั้งปีคาดว่าราว 45,576 หน่วย มีแนวโน้มขายลดลง 8% แสดงว่าอุปสงค์ค่อย ๆ ลดลงบางส่วน
ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือกรณีหน่วยหยุดขายไป ศูนย์ข้อมูลวิจัยฯ พบว่า ณ สิ้นปี 2553 มีจำนวน 66 โครงการ จำนวน 14,420 ยูนิต มูลค่ารวม 34,442 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ณ กลางปี 2554ได้เพิ่มจำนวนเป็น 78 โครงการ จำนวน 17,750 ยูนิต มูลค่ารวม 42,724 ล้านบาท แสดงว่า จำนวนโครงการเพิ่ม 12 โครงการ หน่วยขายที่หยุดขายเพิ่ม 3,330 ยูนิต และมูลค่าที่หยุดขายเพิ่ม 8,282 ล้านบาท
สำหรับในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2554 พบว่า มีเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 54,401 หน่วย รวมมูลค่า 161,818 ล้านบาท โดยเป็นที่อยู่อาศัย 52% ขายในราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และในจำนวน 38% ขายในราคาเกิน 5 ล้านบาท จึงทำให้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.949 ล้านบาทต่อยูนิต ขณะที่ปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.587ล้านบาท หากไม่มีสินค้าราคาแพงที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงหลังมาเฉลี่ยแล้ว ราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยในปี 2554 น่าจะต่ำกว่าปี 2553
จากผลการสำรวจในรายละเอียดแนวโน้มที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ผู้ประกอบการทำโครงการขนาดเล็กลงเพื่อลดความเสี่ยง ขายสินค้าราคาต่ำลง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อมีจำนวนมากขึ้น มีแบบบ้านให้เลือกน้อยลงเพื่อลดความสูญเสียและต้นทุนการจัดการ เป็นต้น
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 2
“สรพจน์ เตชะไกรศรี” ปั้น“มหานคร”แลนด์มาร์กเมืองไทย
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 28 กรกฎาคม 2554 13:08 น.
นับจากนี้ไปอีกกว่า 3 ปี หรือในปี 2557 ชื่อของ “สรพจน์ เตชะไกรศรี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองไทย ในฐานะผู้ลงทุนและพัฒนาโครงการที่พักอาศัยสุดหรูระดับลักชัวรี่ที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นคือโครงการ “มหานคร” ที่มีความสูงถึง 314 เมตร หรือจำนวนสูงถึง 77 ชั้น เป็นความสูงที่สามารถลบชื่อ “ใบหยก ทาวเวอร์” ที่มีความสูงเพียง 304 เมตร ออกจากแชมป์ความสูงในประเทศไทยลงได้อย่างงดงาม
โครงการ “มหานคร” ตั้งอยู่ที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ บริเวณแยกตัดถนนสาทรและสีลม ถูกออกแบบให้เสมือนโอบล้อมด้วยริบบิ้นสามมิติ หรือ “พิกเซล” ตลอดความสูงของตัวอาคารก่อให้เกิดโครงสร้างที่โดดเด่นสะดุดตา มีรูปลักษณ์พิเศษที่พื้นที่ล้อมรอบไปด้วยกระจกเสมือนลอยอยู่บนฟ้า เพื่อให้ผู้พักอาศัยมองเห็นวิวแบบพาโนรามา พื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกอาคารกว้างขวาง พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวและเทอเรซที่กว้างใหญ่ ซึ่งห้องพักบางยูนิตจะมีพื้นที่ล้ำออกมาจากตัวอาคาร ยิ่งสร้างความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้นด้วย ขณะนี้เริ่มการก่อสร้างแล้ว กำหนดแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2557 โดยไลฟ์สไตล์ รีเทลจะแล้วเสร็จในปี 2555
โครงการ “มหานคร” เป็นโครงการแบบมิกซ์ยูส เป็นการรวมเอาคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่ จำนวน 194 ยูนิต ตั้งอยู่ที่ชั้น 24 ถึงชั้น 73 ของอาคาร ขนาด 2-5 ห้องนอน ทุกห้องรายล้อมไปด้วยกระจก พื้นที่ใช้สอยขนาดเล็กสุดเริ่มตั้งแต่ 120 ตารางเมตร ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่สุดขนาด 850 ตารางเมตร ราคายูนิตละ 27-280 ล้านบาท ผู้ซื้อจะได้รับสิทธิการเช่าระยะยาว 99 ปี รวมถึงโรงแรมและไลฟ์สไตล์รีเทล มูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านบาท ซึ่งในภาวะเช่นนี้ไม่มีผู้ประกอบการรายใดกล้าลงทุนโครงการที่มีมูลค่าสูงมากขนาดนี้
แต่สำหรับ สรพจน์ ไม่มีใครหยุดยั้งได้ เพราะมั่นใจเต็มร้อยจากความสำเร็จของโครงการระดับซูเปอร์ไฮเอนด์ 2 โครงการ ได้แก่ ไฟคัสเลน ซอยสุขุมวิท 44/1 และศาลาแดง เรสซิเดนเซส ย่านสาทร ประกอบกับ มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจากประเทศอิสราเอลอย่าง บริษัท อินดัสเทรียล บิลดิ้งส์คอร์ปอเรชั่นจำกัด หรือ ไอบีซี ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 90,000 ล้านบาท ทั่วยุโรป ทำให้ สรพจน์กล้าที่จะเดินหน้าต่อแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยมากนัก
สรพจน์ บอกว่า จุดเด่นของโครงการมหานคร ไม่ได้อยู่แค่เป็นที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่ และสูงที่สุดในประเทศไทยเท่านั้น แต่เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะปลุกปั้นให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองไทย โดยคอนโดมิเนียมจะถูกบริหารโดย “เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน”ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักและได้รับการยอมรับระดับโลกว่าเป็นผู้ให้บริการด้านที่พักอาศัยที่มีมาตรฐานสูงสุด มีสิ่งอำนวยความสะดวกระยะยาวให้กับผู้พักอาศัย โดยเป็นผู้นำตลาดที่พักอาศัยแบรนด์เนมระดับโลกที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 50%
ขณะที่โรงแรมแบรนด์ ดิเอชั่น เป็นบูติคโฮเทล จำนวน 150 ห้อง ตั้งอยู่บริเวณชั้น 8 ถึง 18 ถูกบริหารโดยเดอะ ริทซ์-คาร์ลตันเช่นเดียวกัน เพื่อให้ได้มาตรฐานด้านบริการตรงกับนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ส่วนไลฟ์สไตล์รีเทล มีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร มีเป้าหมายจะนำร้านค้าและบริการระดับชั้นนำของโลกมาให้บริการ ซึ่งปัจจุบันด้านหน้าโครงการเปิดให้บริการร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้าแบรนด์กูร์เมต์มาร์เก็ตและคาเฟ่ชั้นนำของโลกจากนิวยอร์ค
สรพจน์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทนำโครงการไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและนักธุรกิจจำนวนมาก ที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยและลงทุน โดยมียอดขายรวม 9 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 350 ล้านบาท และคาดว่าในเดือนสิงหาคมนี้ จะมีผู้สนใจอีก 5-10 ราย ที่จะเดินทางมาชมสถานที่จริง โดยก่อนหน้านี้มียอดขาย 35% หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการเฉพาะคอนโดมิเนียมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยในวันที่ 23-24 กรกฎาคม จะไปโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับฮ่องกง เพราะชาวต่างชาติให้ความสำคัญกับแบรนด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตันมาก โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 300 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15%
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 28 กรกฎาคม 2554 13:08 น.
นับจากนี้ไปอีกกว่า 3 ปี หรือในปี 2557 ชื่อของ “สรพจน์ เตชะไกรศรี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองไทย ในฐานะผู้ลงทุนและพัฒนาโครงการที่พักอาศัยสุดหรูระดับลักชัวรี่ที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นคือโครงการ “มหานคร” ที่มีความสูงถึง 314 เมตร หรือจำนวนสูงถึง 77 ชั้น เป็นความสูงที่สามารถลบชื่อ “ใบหยก ทาวเวอร์” ที่มีความสูงเพียง 304 เมตร ออกจากแชมป์ความสูงในประเทศไทยลงได้อย่างงดงาม
โครงการ “มหานคร” ตั้งอยู่ที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ บริเวณแยกตัดถนนสาทรและสีลม ถูกออกแบบให้เสมือนโอบล้อมด้วยริบบิ้นสามมิติ หรือ “พิกเซล” ตลอดความสูงของตัวอาคารก่อให้เกิดโครงสร้างที่โดดเด่นสะดุดตา มีรูปลักษณ์พิเศษที่พื้นที่ล้อมรอบไปด้วยกระจกเสมือนลอยอยู่บนฟ้า เพื่อให้ผู้พักอาศัยมองเห็นวิวแบบพาโนรามา พื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกอาคารกว้างขวาง พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวและเทอเรซที่กว้างใหญ่ ซึ่งห้องพักบางยูนิตจะมีพื้นที่ล้ำออกมาจากตัวอาคาร ยิ่งสร้างความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้นด้วย ขณะนี้เริ่มการก่อสร้างแล้ว กำหนดแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2557 โดยไลฟ์สไตล์ รีเทลจะแล้วเสร็จในปี 2555
โครงการ “มหานคร” เป็นโครงการแบบมิกซ์ยูส เป็นการรวมเอาคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่ จำนวน 194 ยูนิต ตั้งอยู่ที่ชั้น 24 ถึงชั้น 73 ของอาคาร ขนาด 2-5 ห้องนอน ทุกห้องรายล้อมไปด้วยกระจก พื้นที่ใช้สอยขนาดเล็กสุดเริ่มตั้งแต่ 120 ตารางเมตร ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่สุดขนาด 850 ตารางเมตร ราคายูนิตละ 27-280 ล้านบาท ผู้ซื้อจะได้รับสิทธิการเช่าระยะยาว 99 ปี รวมถึงโรงแรมและไลฟ์สไตล์รีเทล มูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านบาท ซึ่งในภาวะเช่นนี้ไม่มีผู้ประกอบการรายใดกล้าลงทุนโครงการที่มีมูลค่าสูงมากขนาดนี้
แต่สำหรับ สรพจน์ ไม่มีใครหยุดยั้งได้ เพราะมั่นใจเต็มร้อยจากความสำเร็จของโครงการระดับซูเปอร์ไฮเอนด์ 2 โครงการ ได้แก่ ไฟคัสเลน ซอยสุขุมวิท 44/1 และศาลาแดง เรสซิเดนเซส ย่านสาทร ประกอบกับ มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจากประเทศอิสราเอลอย่าง บริษัท อินดัสเทรียล บิลดิ้งส์คอร์ปอเรชั่นจำกัด หรือ ไอบีซี ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 90,000 ล้านบาท ทั่วยุโรป ทำให้ สรพจน์กล้าที่จะเดินหน้าต่อแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยมากนัก
สรพจน์ บอกว่า จุดเด่นของโครงการมหานคร ไม่ได้อยู่แค่เป็นที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่ และสูงที่สุดในประเทศไทยเท่านั้น แต่เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะปลุกปั้นให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองไทย โดยคอนโดมิเนียมจะถูกบริหารโดย “เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน”ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักและได้รับการยอมรับระดับโลกว่าเป็นผู้ให้บริการด้านที่พักอาศัยที่มีมาตรฐานสูงสุด มีสิ่งอำนวยความสะดวกระยะยาวให้กับผู้พักอาศัย โดยเป็นผู้นำตลาดที่พักอาศัยแบรนด์เนมระดับโลกที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 50%
ขณะที่โรงแรมแบรนด์ ดิเอชั่น เป็นบูติคโฮเทล จำนวน 150 ห้อง ตั้งอยู่บริเวณชั้น 8 ถึง 18 ถูกบริหารโดยเดอะ ริทซ์-คาร์ลตันเช่นเดียวกัน เพื่อให้ได้มาตรฐานด้านบริการตรงกับนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ส่วนไลฟ์สไตล์รีเทล มีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร มีเป้าหมายจะนำร้านค้าและบริการระดับชั้นนำของโลกมาให้บริการ ซึ่งปัจจุบันด้านหน้าโครงการเปิดให้บริการร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้าแบรนด์กูร์เมต์มาร์เก็ตและคาเฟ่ชั้นนำของโลกจากนิวยอร์ค
สรพจน์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทนำโครงการไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและนักธุรกิจจำนวนมาก ที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยและลงทุน โดยมียอดขายรวม 9 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 350 ล้านบาท และคาดว่าในเดือนสิงหาคมนี้ จะมีผู้สนใจอีก 5-10 ราย ที่จะเดินทางมาชมสถานที่จริง โดยก่อนหน้านี้มียอดขาย 35% หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการเฉพาะคอนโดมิเนียมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยในวันที่ 23-24 กรกฎาคม จะไปโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับฮ่องกง เพราะชาวต่างชาติให้ความสำคัญกับแบรนด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตันมาก โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 300 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15%
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 3
วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:39:10 น.
AREA ชี้ บ้านเดี่ยว-คอนโด 5-10 ล้าน ทาวน์เฮาส์ 3-5 ล้าน ขายดีสุดในตลาด ยังไม่โอเวอร์ซัพพลายShare
AREA ระบุผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 มีหน่วยขายที่อยู่อาศัยทั้ง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุด และอื่น ๆ รวมกัน 135,598 หน่วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาดูดซับอีก 16 เดือน จึงจะขายหมด หากไม่มีการเปิดตัวโครงการขึ้นมาใหม่
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA กล่าวว่า อัตราการดูดซับอุปทานเป็นระยะเวลาประมาณ 16 เดือนนี้ ถือว่าไม่มากนัก ตลาดยังอยู่ในภาวะที่ดี จำนวน 135,598 หน่วย หากเทียบกับจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4.5 ล้านหน่วย ก็ถือเป็นอัตราส่วนประมาณ 3% เท่านั้น ยังน้อยกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540-2541 ซึ่งมีอัตราส่วนพุ่งสูงถึง 5%
ดังนั้นจากการเปรียบเทียบนี้ ยังถือว่าตลาดอยู่ในภาวะปกติ เพียงแต่หากมีอุปทานเกิดขึ้นใหม่อีกเป็นจำนวนมาก อาจเกิดภาวะล้นตลาดได้
สำหรับในรายละเอียดห้องชุดทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ยังรอขายอยู่ 43,496 หน่วย ซึ่งคาดว่าจะขายได้หมดในระยะเวลา 10 เดือน หรือภายในเดือนเมษายน 2555 หากไม่มีอุปทานใหม่เกิดขึ้น
กรณีทาวน์เฮ้าส์ยังเหลืออยู่ 40,248 หน่วย ซึ่งต้องการเวลาดูดซับหรือขายอีกประมาณ 20 เดือน ส่วนในกรณีบ้านเดี่ยวในขณะนี้ยังมีหน่วยรอขายอยู่ 40,707 หน่วย ซึ่งจากอัตราการขายปัจจุบันต้องใช้เวลาอีกประมาณ 29 เดือน
โดยสรุปแล้วห้องชุดยังอยู่ในภาวะตลาดที่ดีที่สุด ส่วนบ้านเดี่ยวก็มีภาวะที่กระเตื้องขึ้น เพราะจากผลการสำรวจเมื่อธันวาคม 2553 พบว่าบ้านเดี่ยวต้องใช้ระยะเวลาการขายถึง 36 เดือน
ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติม พบว่า ห้องชุดระดับราคาราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เหลืออยู่ 1,086 หน่วย น่าจะขายหมดภายในเวลา 5 เดือน ทั้งนี้คงเป็นเพราะเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยคุณภาพใจกลางเมือง จึงมีศักยภาพในการขายสูง
ส่วนกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งมี 3,283 หน่วยเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการขายสูงเช่นกัน เพราะคาดว่าจะสามารถขายได้หมดภายในเวลา 17 เดือน
ในกรณีของบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-10 ล้านบาทซึ่งมีอยู่ 8,482 หน่วยถือเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยวที่มีศักยภาพการขายสูงสุด เพราะคาดว่าจะสามารถขายได้หมดภายในระยะเวลา 25 เดือน ดังนั้นที่อยู่อาศัยกลุ่มสำคัญอย่างนี้จึงเป็นกลุ่มที่พึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
อนึ่ง จากผลการวิจัยยังพบว่า ที่อยู่อาศัย 135,598 หน่วย ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยที่ขายไม่ออกหรือประสบปัญหาในการขายใด ๆ เพียงแต่ ณ วันที่สำรวจยังรอผู้ซื้ออยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นหน่วยขายในโครงการที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ยังไม่พบผู้ซื้อ ที่อยู่อาศัยเหล่านี้ส่วนมากยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่แล้วเสร็จ 100% มีเพียงประมาณ 15%
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... &subcatid=
AREA ชี้ บ้านเดี่ยว-คอนโด 5-10 ล้าน ทาวน์เฮาส์ 3-5 ล้าน ขายดีสุดในตลาด ยังไม่โอเวอร์ซัพพลายShare
AREA ระบุผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 มีหน่วยขายที่อยู่อาศัยทั้ง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุด และอื่น ๆ รวมกัน 135,598 หน่วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาดูดซับอีก 16 เดือน จึงจะขายหมด หากไม่มีการเปิดตัวโครงการขึ้นมาใหม่
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA กล่าวว่า อัตราการดูดซับอุปทานเป็นระยะเวลาประมาณ 16 เดือนนี้ ถือว่าไม่มากนัก ตลาดยังอยู่ในภาวะที่ดี จำนวน 135,598 หน่วย หากเทียบกับจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4.5 ล้านหน่วย ก็ถือเป็นอัตราส่วนประมาณ 3% เท่านั้น ยังน้อยกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540-2541 ซึ่งมีอัตราส่วนพุ่งสูงถึง 5%
ดังนั้นจากการเปรียบเทียบนี้ ยังถือว่าตลาดอยู่ในภาวะปกติ เพียงแต่หากมีอุปทานเกิดขึ้นใหม่อีกเป็นจำนวนมาก อาจเกิดภาวะล้นตลาดได้
สำหรับในรายละเอียดห้องชุดทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ยังรอขายอยู่ 43,496 หน่วย ซึ่งคาดว่าจะขายได้หมดในระยะเวลา 10 เดือน หรือภายในเดือนเมษายน 2555 หากไม่มีอุปทานใหม่เกิดขึ้น
กรณีทาวน์เฮ้าส์ยังเหลืออยู่ 40,248 หน่วย ซึ่งต้องการเวลาดูดซับหรือขายอีกประมาณ 20 เดือน ส่วนในกรณีบ้านเดี่ยวในขณะนี้ยังมีหน่วยรอขายอยู่ 40,707 หน่วย ซึ่งจากอัตราการขายปัจจุบันต้องใช้เวลาอีกประมาณ 29 เดือน
โดยสรุปแล้วห้องชุดยังอยู่ในภาวะตลาดที่ดีที่สุด ส่วนบ้านเดี่ยวก็มีภาวะที่กระเตื้องขึ้น เพราะจากผลการสำรวจเมื่อธันวาคม 2553 พบว่าบ้านเดี่ยวต้องใช้ระยะเวลาการขายถึง 36 เดือน
ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติม พบว่า ห้องชุดระดับราคาราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เหลืออยู่ 1,086 หน่วย น่าจะขายหมดภายในเวลา 5 เดือน ทั้งนี้คงเป็นเพราะเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยคุณภาพใจกลางเมือง จึงมีศักยภาพในการขายสูง
ส่วนกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งมี 3,283 หน่วยเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการขายสูงเช่นกัน เพราะคาดว่าจะสามารถขายได้หมดภายในเวลา 17 เดือน
ในกรณีของบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-10 ล้านบาทซึ่งมีอยู่ 8,482 หน่วยถือเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยวที่มีศักยภาพการขายสูงสุด เพราะคาดว่าจะสามารถขายได้หมดภายในระยะเวลา 25 เดือน ดังนั้นที่อยู่อาศัยกลุ่มสำคัญอย่างนี้จึงเป็นกลุ่มที่พึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
อนึ่ง จากผลการวิจัยยังพบว่า ที่อยู่อาศัย 135,598 หน่วย ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยที่ขายไม่ออกหรือประสบปัญหาในการขายใด ๆ เพียงแต่ ณ วันที่สำรวจยังรอผู้ซื้ออยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นหน่วยขายในโครงการที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ยังไม่พบผู้ซื้อ ที่อยู่อาศัยเหล่านี้ส่วนมากยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่แล้วเสร็จ 100% มีเพียงประมาณ 15%
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... &subcatid=
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 4
"ข้าพเจ้าคาดว่าปีการเงินต่อจากนี้ไปธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะประสบกับความลำบาก ในสภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มี
ความแน่นอนเช่นนี้..."
อนันต์ กาญจนพาสน์
ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน)
15 มิถุนายน 2554
*** นำมาจากรายงานประจำปี - 31 มีนาคม 2554 หน้าที่ 6
ความแน่นอนเช่นนี้..."
อนันต์ กาญจนพาสน์
ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน)
15 มิถุนายน 2554
*** นำมาจากรายงานประจำปี - 31 มีนาคม 2554 หน้าที่ 6
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 5
ผมเคยโพสต์ไว้ในห้อง BLAND ในร้อยคนร้อยหุ้นครับ
ว่า บริษัทนี้ ผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยเลย ไม่ว่าจะใน case ใดๆก็ตาม
เขี้ยวตันเรียกว่า พ่อ ครับ
ว่า บริษัทนี้ ผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยเลย ไม่ว่าจะใน case ใดๆก็ตาม
เขี้ยวตันเรียกว่า พ่อ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 6
THE LATEST EXAMPLE KAB
ขนาดหุ้นอย่าง EVER nvdr ยังเข้ามาซื้อเก็บเพิ่ม
ดูกันน่ะ
246-2 EVER บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด buy หุ้น 0.16 5.09 27/07/2554 http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi ... ntent_id=1
ขนาดหุ้นอย่าง EVER nvdr ยังเข้ามาซื้อเก็บเพิ่ม
ดูกันน่ะ
246-2 EVER บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด buy หุ้น 0.16 5.09 27/07/2554 http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi ... ntent_id=1
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 7
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 8
กลุ่มอสังหาฯราคาแหล่ม หุ้นสุดถูก
วันจันทร์ที่ 01 สิงหาคม 2554
ผู้เข้าชม : 41 คน
กูรูเชียร์ซื้อ PTT-AP-LPN-SPALI รับเงินเม็ดเงินไหลเข้าร้อนแรง เหตุราคาหุ้นดังกล่าวพื้นฐานแกร่งราคาไม่สูง ลุ้นปรับประมาณการ ระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ลุยเก็งกำไรได้ พร้อมแนะ หากดัชนีแตะระดับ 1,150 จุดหาจังหวะเหมาะเทขายทำกำไรทันที
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนช่วงเงินทุนนอกไหลเข้าประเทศจำนวนมากในขณะนี้ ยังมีหลักทรัพย์ที่น่าสนใจและนักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนได้ ประกอบด้วยหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานและหลักทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
หลักทรัพย์ทั้งสองกลุ่มดังกล่าว มองว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่มีพื้นฐานค่อนข้างดี โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นก็มีมากเช่นกัน ที่สำคัญราคาหุ้นของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวราคาในปัจจุบันยังไม่ปรับตัวขึ้นไปมากเหมือนหลักทรัพย์กลุ่มอื่น อย่างหลักทรัพย์กลุ่มธนาคาร กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก กลุ่มไอซีที เป็นต้น
ในส่วนของนักลงทุน แนะว่า ควรหาจังหวะที่เหมาะสม แล้วเข้าไปทำกำไรในหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวได้ โดยเฉพาะช่วงระยะสั้น1-2 สัปดาห์จากนี้ไป นักลงทุนสามารถเข้าไปเก็งกำไรได้
สำหรับหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานประกอบด้วย หุ้น PTT ราคาเป้าหมายที่ 434 บาท ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย หุ้น AP ราคาเป้าหมายที่ 7.70 บาท หุ้น LPN ราคาเป้าหมายที่ 12.50 บาท และหุ้น SPALI ราคาเป้าหมายที่ 15.25 บาท และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อยู่ระหว่างปรับประมาณการ
ทิศทางการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวก็เช่นกัน หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจและเหมาะในการลงทุนดังกล่าวค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มที่มีพื้นฐานดี แต่ราคาได้มีการปรับตัวขึ้นไปสูงบ้างแล้ว นอกจากนี้ แนะว่า หากดัชนีแตะที่ระดับ 1,150 จุด นักลงทุนควรหาจังหวะเทขายเพื่อทำกำไรทันที
“การลงทุนหุ้นไทยช่วงนี้ นักลงทุนก็สามารถกระทำได้ เพียงแต่รอจังหวะให้ดี เพราะความผันผวนยังคงมีอยู่ ส่วนหุ้นที่ดีเหมาะแก่การลงทุนราคายังไม่ปรับตัวสูงมากนัก ก็ยังเป็นหุ้นพลังงานและหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหุ้นดังกล่าวราคายังมีโอกาสปรับตัวสูงตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย” นายกวี กล่าว
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มเงินทุนไหลเข้าขณะนี้ มองว่า ช่วงไตรมาส 3และ 4 ของปีนี้ เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวมีโอกาสไหลกลับเข้ามาในไทยอีก 30% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเม็ดเงินดังกล่าวไหลกลับเข้ามาแล้วประมาณกว่า 30,000 ล้านบาท จากเม็ดเงินที่นักลงทุนนำออกไปประมาณ 40,000 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มคลี่คลายอย่างชัดเจน
http://www.kaohoon.com/daily/12809/กลุ่ ... ุดถูก-.htm#
วันจันทร์ที่ 01 สิงหาคม 2554
ผู้เข้าชม : 41 คน
กูรูเชียร์ซื้อ PTT-AP-LPN-SPALI รับเงินเม็ดเงินไหลเข้าร้อนแรง เหตุราคาหุ้นดังกล่าวพื้นฐานแกร่งราคาไม่สูง ลุ้นปรับประมาณการ ระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ลุยเก็งกำไรได้ พร้อมแนะ หากดัชนีแตะระดับ 1,150 จุดหาจังหวะเหมาะเทขายทำกำไรทันที
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนช่วงเงินทุนนอกไหลเข้าประเทศจำนวนมากในขณะนี้ ยังมีหลักทรัพย์ที่น่าสนใจและนักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนได้ ประกอบด้วยหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานและหลักทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
หลักทรัพย์ทั้งสองกลุ่มดังกล่าว มองว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่มีพื้นฐานค่อนข้างดี โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นก็มีมากเช่นกัน ที่สำคัญราคาหุ้นของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวราคาในปัจจุบันยังไม่ปรับตัวขึ้นไปมากเหมือนหลักทรัพย์กลุ่มอื่น อย่างหลักทรัพย์กลุ่มธนาคาร กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก กลุ่มไอซีที เป็นต้น
ในส่วนของนักลงทุน แนะว่า ควรหาจังหวะที่เหมาะสม แล้วเข้าไปทำกำไรในหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวได้ โดยเฉพาะช่วงระยะสั้น1-2 สัปดาห์จากนี้ไป นักลงทุนสามารถเข้าไปเก็งกำไรได้
สำหรับหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานประกอบด้วย หุ้น PTT ราคาเป้าหมายที่ 434 บาท ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย หุ้น AP ราคาเป้าหมายที่ 7.70 บาท หุ้น LPN ราคาเป้าหมายที่ 12.50 บาท และหุ้น SPALI ราคาเป้าหมายที่ 15.25 บาท และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อยู่ระหว่างปรับประมาณการ
ทิศทางการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวก็เช่นกัน หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจและเหมาะในการลงทุนดังกล่าวค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มที่มีพื้นฐานดี แต่ราคาได้มีการปรับตัวขึ้นไปสูงบ้างแล้ว นอกจากนี้ แนะว่า หากดัชนีแตะที่ระดับ 1,150 จุด นักลงทุนควรหาจังหวะเทขายเพื่อทำกำไรทันที
“การลงทุนหุ้นไทยช่วงนี้ นักลงทุนก็สามารถกระทำได้ เพียงแต่รอจังหวะให้ดี เพราะความผันผวนยังคงมีอยู่ ส่วนหุ้นที่ดีเหมาะแก่การลงทุนราคายังไม่ปรับตัวสูงมากนัก ก็ยังเป็นหุ้นพลังงานและหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหุ้นดังกล่าวราคายังมีโอกาสปรับตัวสูงตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย” นายกวี กล่าว
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มเงินทุนไหลเข้าขณะนี้ มองว่า ช่วงไตรมาส 3และ 4 ของปีนี้ เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวมีโอกาสไหลกลับเข้ามาในไทยอีก 30% หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเม็ดเงินดังกล่าวไหลกลับเข้ามาแล้วประมาณกว่า 30,000 ล้านบาท จากเม็ดเงินที่นักลงทุนนำออกไปประมาณ 40,000 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มคลี่คลายอย่างชัดเจน
http://www.kaohoon.com/daily/12809/กลุ่ ... ุดถูก-.htm#
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 9
ยึดโซนรัชดาฯผุดคอนโดฯพรึบ วันศุกร์ที่ 29 กรกฏาคม 2011 เวลา 11:16 น.
ดีเวลอปเปอร์ยังยึดโซนถนนรัชดาภิเษกขึ้นคอนโดฯ คาดครึ่งปีหลังมีไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย มูลค่าเฉียดหมื่นล้าน หลังซัพพลายในตลาดเหลือแค่ 922 หน่วย ล่าสุด พฤกษา ปักธง ขึ้นโปรเจ็กต์ 1,350 ล้าน ขายตารางเมตรละกว่าแสนบาท โครงการ "ไอวี่ แอมพิโอ" ยอดขายพุ่งแล้วกว่า 50% หลังเปิดตัวขายแค่ 2 เดือน ชี้อนาคตถนนรัชดาฯ เป็นซีบีดีแห่งใหม่ของกทม. อีก 2 ปีคาดอาคารผุดกว่า 8 แสนตร.ม.
นางสาวพรภักษ์ บูรณ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท เอเจนซี ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนรัชดาภิเษก มีซัพพลายเหลือขายอยู่ประมาณ 922 หน่วย มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใช้ระยะเวลาอีก 8 เดือนก็จะสามารถขายหมดได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านดังกล่าวเพียง 4 โครงการ รวม 600 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 2,800 ล้านบาท เป็นห้องชุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เป็นหลักสัดส่วน 50% และเป็นระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท 25% และสูงกว่ายูนิตละ 5 ล้านบาท อีก 25% แต่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีห้องชุดระดับราคาต่ำกว่าล้านบาทเปิดตัวออกมา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินปรับตัวสูง โดยราคาที่ดินติดถนนราคาไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาทต่อตารางวา ส่วนที่ดินที่อยู่ในซอยจะราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อตารางวา
สำหรับแนวโน้มการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าจะมีการพัฒนาออกมาไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย รวมมูลค่า 8,000-9,000 ล้านบาท จากที่มีผู้ประกอบการได้วางแผนเปิดตัวโครงการไม่ต่ำกว่า 5 บริษัท อาทิ บริษัท คาซ่า จำกัด บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ จำกัด บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท ปัญฐิญา จำกัด
นางสาวพรภักษ์ กล่าวอีกว่า การเปิดตัวใหม่บนถนนรัชดาฯถือว่ามีการชะลอตัวลงไป เนื่องจากมีการพัฒนาโครงการออกมามากตั้งแต่ปี 2548 ดีมานด์และซัพพลายถูกดูดซับไปมาก ซึ่งเคยสูงสุดถึง 30-35% ต่อเดือน ส่วนปัจจุบันมีอัตราดูดซับต่อเดือน 26% แต่ทำเลดังกล่าวก็ยังเป็นทำเลที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของลูกค้า เนื่องจากมีเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เป็นแหล่งงานและมีพื้นที่สำนักงานจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อห้องชุดจะเข้าอยู่จริงถึง 70% และมีอัตราการปล่อยเช่าประมาณ 20% ซึ่งอัตราค่าเช่าสำหรับโครงการที่อยู่ติดถนน จะมีราคาเฉลี่ย 500 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หากเป็นโครงการที่อยู่ในซอยจะมีระดับราคาค่าเช่า 300-400 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ "ไอวี่ แอมพิโอ" อาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 289 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 1 แสนบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% คิดเป็นมูลค่า 670 ล้านบาท หลังเปิดขายได้เพียง 2 เดือน คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในสิ้นปีนี้ และก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2556
"บริษัทซื้อที่ดินมาเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในราคาตารางวาละ 4 แสนบาท หลังจากนั้นไม่นานก็มีบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งมาซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงในราคาตารางวาละ 6 แสนบาท ซึ่งเชื่อว่าน่าจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมขายในราคาไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนบาทต่อตารางเมตร แต่ในส่วนของบริษัทขายเฉลี่ยตารางเมตรละแสนกว่าบาท เป็นห้องชุดพร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่เข้าอยู่ได้ทันทีในช่วงปี 2556 ซึ่งการที่บริษัทกล้าตัดสินใจมาลงทุนพัฒนาโครงการบนถนนรัชดาฯ เนื่องจากเห็นศักยภาพของทำเลนี้ ที่ในอนาคตจะกลายเป็นย่านธุรกิจ(ซีบีดี)ใจกลางเมืองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ" นายประเสริฐ กล่าวและว่า
ในอนาคตอีก 2-3 ปีเชื่อว่าราคาที่ดินตั้งแต่บริเวณแยกพระราม 9 จนถึงแยกศูนย์วัฒนธรรมฯ จะปรับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปัจจุบัน ซึ่งราคาที่ดินน่าจะขยับไปถึงตารางวาละ 7-8 แสนบาท และภาพของบริเวณดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันอย่างมาก เนื่องจากจะมีการพัฒนาโครงการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอาคารสำนักงานทั้งอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ อาคารเอไอเอ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่มีพื้นที่สำนักงานให้เช่าและโรงแรม เป็นต้น ซึ่งจะมีพื้นที่รวมของอาคารต่างๆ เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 8 แสนตารางเมตร
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์บนแนวถนนรัชดาฯ-พระราม 9 ว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อพิจารณาด้านประชากรศาสตร์ถือเป็นพื้นที่ที่ประชากรมีรายได้สูงเป็นอันดับต้นๆของประชากรกรุงเทพฯ โดยมองว่ายังมีความพร้อมที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก สอดคล้องกับผลการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่รัชดาฯ ซึ่งพบว่าเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา (2551-2553) มีอัตราการเติบโตของตลาดคอนโดฯสูงเป็นอันดับ 3 รองจากสีลมและพหลโยธิน โดยตลาดระดับ กลาง-บน ราคา 3-7 ล้านบาท มีการเติบโตถึง 315% มีมูลค่าตลาดเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 3,900 ล้านบาท เป็น 8,377 ล้านบาท ภายใน 2 ปี พื้นที่ใจกลางรัชดาฯมีการเติบโตของตลาดสูงที่สุด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,657
31 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ดีเวลอปเปอร์ยังยึดโซนถนนรัชดาภิเษกขึ้นคอนโดฯ คาดครึ่งปีหลังมีไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย มูลค่าเฉียดหมื่นล้าน หลังซัพพลายในตลาดเหลือแค่ 922 หน่วย ล่าสุด พฤกษา ปักธง ขึ้นโปรเจ็กต์ 1,350 ล้าน ขายตารางเมตรละกว่าแสนบาท โครงการ "ไอวี่ แอมพิโอ" ยอดขายพุ่งแล้วกว่า 50% หลังเปิดตัวขายแค่ 2 เดือน ชี้อนาคตถนนรัชดาฯ เป็นซีบีดีแห่งใหม่ของกทม. อีก 2 ปีคาดอาคารผุดกว่า 8 แสนตร.ม.
นางสาวพรภักษ์ บูรณ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท เอเจนซี ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนรัชดาภิเษก มีซัพพลายเหลือขายอยู่ประมาณ 922 หน่วย มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใช้ระยะเวลาอีก 8 เดือนก็จะสามารถขายหมดได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านดังกล่าวเพียง 4 โครงการ รวม 600 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 2,800 ล้านบาท เป็นห้องชุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เป็นหลักสัดส่วน 50% และเป็นระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท 25% และสูงกว่ายูนิตละ 5 ล้านบาท อีก 25% แต่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีห้องชุดระดับราคาต่ำกว่าล้านบาทเปิดตัวออกมา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินปรับตัวสูง โดยราคาที่ดินติดถนนราคาไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาทต่อตารางวา ส่วนที่ดินที่อยู่ในซอยจะราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อตารางวา
สำหรับแนวโน้มการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าจะมีการพัฒนาออกมาไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย รวมมูลค่า 8,000-9,000 ล้านบาท จากที่มีผู้ประกอบการได้วางแผนเปิดตัวโครงการไม่ต่ำกว่า 5 บริษัท อาทิ บริษัท คาซ่า จำกัด บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ จำกัด บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท ปัญฐิญา จำกัด
นางสาวพรภักษ์ กล่าวอีกว่า การเปิดตัวใหม่บนถนนรัชดาฯถือว่ามีการชะลอตัวลงไป เนื่องจากมีการพัฒนาโครงการออกมามากตั้งแต่ปี 2548 ดีมานด์และซัพพลายถูกดูดซับไปมาก ซึ่งเคยสูงสุดถึง 30-35% ต่อเดือน ส่วนปัจจุบันมีอัตราดูดซับต่อเดือน 26% แต่ทำเลดังกล่าวก็ยังเป็นทำเลที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของลูกค้า เนื่องจากมีเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เป็นแหล่งงานและมีพื้นที่สำนักงานจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อห้องชุดจะเข้าอยู่จริงถึง 70% และมีอัตราการปล่อยเช่าประมาณ 20% ซึ่งอัตราค่าเช่าสำหรับโครงการที่อยู่ติดถนน จะมีราคาเฉลี่ย 500 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หากเป็นโครงการที่อยู่ในซอยจะมีระดับราคาค่าเช่า 300-400 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ "ไอวี่ แอมพิโอ" อาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 289 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 1 แสนบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% คิดเป็นมูลค่า 670 ล้านบาท หลังเปิดขายได้เพียง 2 เดือน คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในสิ้นปีนี้ และก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2556
"บริษัทซื้อที่ดินมาเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในราคาตารางวาละ 4 แสนบาท หลังจากนั้นไม่นานก็มีบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งมาซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงในราคาตารางวาละ 6 แสนบาท ซึ่งเชื่อว่าน่าจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมขายในราคาไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนบาทต่อตารางเมตร แต่ในส่วนของบริษัทขายเฉลี่ยตารางเมตรละแสนกว่าบาท เป็นห้องชุดพร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่เข้าอยู่ได้ทันทีในช่วงปี 2556 ซึ่งการที่บริษัทกล้าตัดสินใจมาลงทุนพัฒนาโครงการบนถนนรัชดาฯ เนื่องจากเห็นศักยภาพของทำเลนี้ ที่ในอนาคตจะกลายเป็นย่านธุรกิจ(ซีบีดี)ใจกลางเมืองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ" นายประเสริฐ กล่าวและว่า
ในอนาคตอีก 2-3 ปีเชื่อว่าราคาที่ดินตั้งแต่บริเวณแยกพระราม 9 จนถึงแยกศูนย์วัฒนธรรมฯ จะปรับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปัจจุบัน ซึ่งราคาที่ดินน่าจะขยับไปถึงตารางวาละ 7-8 แสนบาท และภาพของบริเวณดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันอย่างมาก เนื่องจากจะมีการพัฒนาโครงการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอาคารสำนักงานทั้งอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ อาคารเอไอเอ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่มีพื้นที่สำนักงานให้เช่าและโรงแรม เป็นต้น ซึ่งจะมีพื้นที่รวมของอาคารต่างๆ เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 8 แสนตารางเมตร
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์บนแนวถนนรัชดาฯ-พระราม 9 ว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อพิจารณาด้านประชากรศาสตร์ถือเป็นพื้นที่ที่ประชากรมีรายได้สูงเป็นอันดับต้นๆของประชากรกรุงเทพฯ โดยมองว่ายังมีความพร้อมที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก สอดคล้องกับผลการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่รัชดาฯ ซึ่งพบว่าเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา (2551-2553) มีอัตราการเติบโตของตลาดคอนโดฯสูงเป็นอันดับ 3 รองจากสีลมและพหลโยธิน โดยตลาดระดับ กลาง-บน ราคา 3-7 ล้านบาท มีการเติบโตถึง 315% มีมูลค่าตลาดเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 3,900 ล้านบาท เป็น 8,377 ล้านบาท ภายใน 2 ปี พื้นที่ใจกลางรัชดาฯมีการเติบโตของตลาดสูงที่สุด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,657
31 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 10
แรงไม่หยุดแล้วครับ อสังหาตัวเล็ก
KMC, ESTAR, LL
เตรียมตัวต้อนรับน้องใหม่แต่ใหญ่กว่า ล่วงหน้าเลย
PAO อั่งเปาแอสเสท จำกัด มหาชน
KMC, ESTAR, LL
เตรียมตัวต้อนรับน้องใหม่แต่ใหญ่กว่า ล่วงหน้าเลย
PAO อั่งเปาแอสเสท จำกัด มหาชน
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 11
เรื่องนี้คง confirm การขยายตัวในทางบวกของกลุ่มอสังหาและกลุ่มรับเหมาได้อีกแรงนะครับ
$$$$$$$$$$$$$$
วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:06:01 น.
กทม.ผุดถนนใหม่128สายรับรถไฟฟ้า เปิดทำเลทองฝั่งธน-บูมโซนตะวันออก Share6
กทม.รื้อใหม่โครงข่ายถนนตามผังเมืองรวม เชื่อมการเดินทางเข้าถึงถนนสายหลัก สายย่อย และแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ขีดเพิ่มจากเดิม 25 สาย เป็น 128 สาย ทั้งตัดใหม่และขยายซอยเดิม ฝั่งธนบุรีส้มหล่นทะลวงพื้นที่ปิดล้อมเปิดทำเลทองใหม่เพิ่ม โซนตะวันออกได้อานิสงส์ไม่น้อยหน้า เร่งแก้ปัญหาทางเข้า-ออก แอร์พอร์ตลิงก์-บีทีเอสส่วนโซนเหนือเปิดจราจรรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเฟสแรกเสร้างทันทีในปี"55
ผศ.ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ ผู้จัดการโครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 3) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ 4 มุมเมืองทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) และทะลวงพื้นที่ตาบอดให้เข้าถึงและสามารถสัญจรไปมาได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างถนนสายหลักกับถนนรองและสายย่อย ตลอดจนตรอกซอกซอย รวมถึงเชื่อมต่อกับโครงข่ายรถไฟฟ้าที่จะเปิดใช้บริการให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) บีทีเอสส่วนต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) และช่วงตากสิน-บางหว้า รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ในร่างผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จึงได้เพิ่มโครงข่ายถนนจากผังเมืองฉบับที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งมีอยู่ 25 สาย เป็น 128 สาย
"พื้นที่กรุงเทพฯปัจจุบันจะเป็นบล็อก การเข้าถึงลำบาก เพราะถนนขนาดรองไม่ค่อยมี หรือมีแต่ไม่ได้มาตรฐาน เราจึงมองว่าจะต้องเพิ่มโครงข่ายนี้เข้าไปเพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมต่อการเดินทางให้ทะลุทะลวงได้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการเปิดการพัฒนาในพื้นที่ใหม่ ๆ ให้เจริญยิ่งขึ้นไปด้วย สำหรับการก่อสร้างหรือขยายถนนทั้งหมดนี้ บางส่วนอาจจะต้องเวนคืนที่ดิน บางส่วนจะใช้แนวเขตทางเดิม"
ผศ.ดร.นพนันท์กล่าวว่า ตามแผนที่วางไว้จะเน้นไปที่การเพิ่มถนนสายรอง จำนวน 107 สาย มีทั้งถนนตัดใหม่และขยายถนนซอยเดิมที่แคบให้ได้มาตรฐานถนนสายรอง คือมีความกว้างขนาด 12 เมตร (2 เลน) และ 16 เมตร (4 เลน) โดยใน 107 สายดังกล่าว จะเป็นถนนขนาด 12 เมตร 22 สาย และถนนขนาด 16 เมตร 85 สาย
ส่วนที่เหลืออีก 21 สาย จะเป็นถนนสายหลักขนาด 20, 30, 40, 50 และ 60 เมตร มีทั้งถนนสายเดิมมีอยู่แล้วตามผังเมืองรวมฉบับเดิม ถนนสายที่ปรับแนวเส้นทางใหม่ บางสายเป็นถนนตัดใหม่ เช่น สายต่อเชื่อมสุขสวัสดิ์-พระราม 2-ถนนสามแยกตากสิน-เพชรเกษม-ถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้ (ฉ 1), สายจากเกษตร-นวมินทร์-ตัดถนนเสรีไทย-ซอยสุขุมวิท 77 ซึ่งจะปรับแนวใหม่ลากยาวไปถึงบริเวณบางนา-ตราด บริเวณตรงทางเข้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 (ช 3), สายรัตนโกสินทร์สมโภช-นิมิตรใหม่ (ช 1) เป็นต้น
ถนนตัดใหม่ เช่น ย่านหนองจอก มีสายเชื่อมถนนมิตรไมตรี-ถนนเชื่อมสัมพันธ์-ถนนอยู่วิทยา-ถนนคลองสิบสาม (ง 1) เป็นถนนขนาด 6 ช่องจราจร, สายเชื่อมรามคำแหง-ตัดถนนเจ้าคุณทหาร-ถนนลาดกระบัง (ง , สายเชื่อมถนนพุทธบูชาตัดผ่านคลองราชพฤษ์-ถนนวงแหวนรอบนอก (ง 10), สายเชื่อมถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9-ถนนวงแหวนรอบนอก (ง 9), สายต่อเชื่อมแยกลำสาลี-ถนนกรุงเทพกรีฑา-เชื่อม มอเตอร์เวย์ (ง 7) เป็นต้น
นอกจากนี้มีบางสายกำหนดไว้ในผังเมือง กทม.ฉบับปัจจุบัน แต่จะยกเลิกไป เนื่องจากเป็นโครงข่ายที่บรรจุไว้ในผังเมืองรวมนานแล้ว แต่ยังไม่มีการก่อสร้าง มี 2 สาย คือสายรัชดา-รามอินทรา (ฉ 1) จะยกเลิกตรงช่วงตัดผ่านซอยเสือใหญ่ และสายพระรามที่ 2-บางค้อ (ง 1)
ผศ.ดร.นพนันท์กล่าวต่อว่า สำหรับถนนสายรองที่นำมาบรรจุไว้ในผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จะอยู่พื้นที่รอบนอก และเป็นพื้นที่เพิ่งจะมีรถไฟฟ้าเข้าถึง รวมทั้งพื้นที่มีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น รัฐสภาแห่งใหม่ บริเวณ เกียกกาย ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน การเปิดใช้ศาลาว่าการ กทม.2 เป็นต้น
ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ กทม.หรือฝั่งธนบุรี เนื่องจากมีพื้นที่ตาบอดจำนวนมาก และอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ส่วนต่อขยายบีทีเอส (ตากสิน-บางหว้า) ทำเลหลัก ๆ เช่น ย่านหนองแขม ตลิ่งชัน เพชรเกษม ภาษีเจริญ บางแค จอมทอง บางบอน ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ พุทธมณฑลสาย 1 จรัญสนิทวงศ์ ถนนบรมราชชนนี เป็นต้น อาทิ ขยายถนนเลียบ คลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ-ใต้ เป็นขนาด 16 เมตร ฯลฯ
ขณะที่พื้นที่โซนตะวันออกของ กทม. เช่น เขตวัฒนา ประเวศ สวนหลวง สะพานสูง ลาดกระบัง พระโขนง สะพานสูง คันนายาว บึงกุ่ม ร่มเกล้า จะมีการปรับปรุงหรือตัดถนนใหม่บางส่วนเช่นเดียวกัน เป้าหมายเพื่อให้การเข้าถึงและต่อเชื่อมกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ และรถไฟฟ้าบีทีเอสต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) คล่องตัวมากขึ้น เช่น สถานีลาดกระบัง ของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ จะขยายถนนทางรถไฟสายตะวันออกเดิมให้กว้างขึ้น ส่วนย่านถนนสุขมวิทในแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส จะขยายถนนในซอยเดิม เช่น ซอยสุขุมวิท 62 (บางจาก) เดิมถนนมีขนาด 6 เมตร จะขยายเป็น 12 เมตร เป็นต้น
สำหรับพื้นที่โซนเหนือ เช่น ย่านสายไหม วัชรพล บางซื่อ หลักสี่ ดอนเมือง เป็นต้น มีทั้งขยายถนนเดิมและตัดถนนใหม่ ในบริเวณโดยรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด เช่น ย่านสนามกอล์ฟนอร์ธปาร์ค จะมีขยายถนนเดิม คือซอยชินเขตให้กว้างขึ้น ตัดถนนใหม่เชื่อม จากนอร์ธปาร์ค ไปออกถนนเลียงคลองประปา ขยายซอยแจ้งวัฒนะ 14 เป็นต้น
ในส่วนของพื้นที่อื่น ๆ เช่น บริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ผังเมือง กทม.ฉบับใหม่ จะกำหนดแนวก่อสร้างถนนตัดใหม่ ต่อเชื่อมกับทางรถไฟสายใต้กับสะพานเกียกกาย (ง 3), พื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ก่อสร้างถนนตัดใหม่ (ง 2) จากถนนประชาราษฎร์ สาย 2-เลียบทางรถไฟสายเหนือ, พื้นที่โดยรอบอาคาร กทม.2 จะมีขยายถนนมิตรไมตรีเดิม เป็นต้น
โดยแผนการก่อสร้างจะแบ่งเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก นำร่อง 5 ปี จากปี 2555-2560 ส่วนใหญ่เป็นแผนงานก่อสร้างของสำนักการโยธา กทม. ซึ่งได้งบประมาณ 2554 สำหรับศึกษาและออกแบบรายละเอียดแล้ว เน้นส่วนที่เป็นเส้นทางรองรับรถไฟฟ้า 4 สาย ทั้งสีแดง สีน้ำเงิน บีทีเอสส่วนต่อขยาย และรถ ไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์เป็นหลัก ซึ่งหลังจากนี้ไปจะมีการจัดลำดับความสำคัญอีกครั้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนเฟสที่ 2 เป็นแผนระยะยาวตั้งแต่ปีที่ 6-20 จะดำเนินการลำดับต่อไป
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... &subcatid=
$$$$$$$$$$$$$$
วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:06:01 น.
กทม.ผุดถนนใหม่128สายรับรถไฟฟ้า เปิดทำเลทองฝั่งธน-บูมโซนตะวันออก Share6
กทม.รื้อใหม่โครงข่ายถนนตามผังเมืองรวม เชื่อมการเดินทางเข้าถึงถนนสายหลัก สายย่อย และแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ขีดเพิ่มจากเดิม 25 สาย เป็น 128 สาย ทั้งตัดใหม่และขยายซอยเดิม ฝั่งธนบุรีส้มหล่นทะลวงพื้นที่ปิดล้อมเปิดทำเลทองใหม่เพิ่ม โซนตะวันออกได้อานิสงส์ไม่น้อยหน้า เร่งแก้ปัญหาทางเข้า-ออก แอร์พอร์ตลิงก์-บีทีเอสส่วนโซนเหนือเปิดจราจรรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเฟสแรกเสร้างทันทีในปี"55
ผศ.ดร.นพนันท์ ตาปนานนท์ ผู้จัดการโครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 3) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ 4 มุมเมืองทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) และทะลวงพื้นที่ตาบอดให้เข้าถึงและสามารถสัญจรไปมาได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างถนนสายหลักกับถนนรองและสายย่อย ตลอดจนตรอกซอกซอย รวมถึงเชื่อมต่อกับโครงข่ายรถไฟฟ้าที่จะเปิดใช้บริการให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) บีทีเอสส่วนต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) และช่วงตากสิน-บางหว้า รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ในร่างผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จึงได้เพิ่มโครงข่ายถนนจากผังเมืองฉบับที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งมีอยู่ 25 สาย เป็น 128 สาย
"พื้นที่กรุงเทพฯปัจจุบันจะเป็นบล็อก การเข้าถึงลำบาก เพราะถนนขนาดรองไม่ค่อยมี หรือมีแต่ไม่ได้มาตรฐาน เราจึงมองว่าจะต้องเพิ่มโครงข่ายนี้เข้าไปเพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมต่อการเดินทางให้ทะลุทะลวงได้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการเปิดการพัฒนาในพื้นที่ใหม่ ๆ ให้เจริญยิ่งขึ้นไปด้วย สำหรับการก่อสร้างหรือขยายถนนทั้งหมดนี้ บางส่วนอาจจะต้องเวนคืนที่ดิน บางส่วนจะใช้แนวเขตทางเดิม"
ผศ.ดร.นพนันท์กล่าวว่า ตามแผนที่วางไว้จะเน้นไปที่การเพิ่มถนนสายรอง จำนวน 107 สาย มีทั้งถนนตัดใหม่และขยายถนนซอยเดิมที่แคบให้ได้มาตรฐานถนนสายรอง คือมีความกว้างขนาด 12 เมตร (2 เลน) และ 16 เมตร (4 เลน) โดยใน 107 สายดังกล่าว จะเป็นถนนขนาด 12 เมตร 22 สาย และถนนขนาด 16 เมตร 85 สาย
ส่วนที่เหลืออีก 21 สาย จะเป็นถนนสายหลักขนาด 20, 30, 40, 50 และ 60 เมตร มีทั้งถนนสายเดิมมีอยู่แล้วตามผังเมืองรวมฉบับเดิม ถนนสายที่ปรับแนวเส้นทางใหม่ บางสายเป็นถนนตัดใหม่ เช่น สายต่อเชื่อมสุขสวัสดิ์-พระราม 2-ถนนสามแยกตากสิน-เพชรเกษม-ถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้ (ฉ 1), สายจากเกษตร-นวมินทร์-ตัดถนนเสรีไทย-ซอยสุขุมวิท 77 ซึ่งจะปรับแนวใหม่ลากยาวไปถึงบริเวณบางนา-ตราด บริเวณตรงทางเข้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 (ช 3), สายรัตนโกสินทร์สมโภช-นิมิตรใหม่ (ช 1) เป็นต้น
ถนนตัดใหม่ เช่น ย่านหนองจอก มีสายเชื่อมถนนมิตรไมตรี-ถนนเชื่อมสัมพันธ์-ถนนอยู่วิทยา-ถนนคลองสิบสาม (ง 1) เป็นถนนขนาด 6 ช่องจราจร, สายเชื่อมรามคำแหง-ตัดถนนเจ้าคุณทหาร-ถนนลาดกระบัง (ง , สายเชื่อมถนนพุทธบูชาตัดผ่านคลองราชพฤษ์-ถนนวงแหวนรอบนอก (ง 10), สายเชื่อมถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9-ถนนวงแหวนรอบนอก (ง 9), สายต่อเชื่อมแยกลำสาลี-ถนนกรุงเทพกรีฑา-เชื่อม มอเตอร์เวย์ (ง 7) เป็นต้น
นอกจากนี้มีบางสายกำหนดไว้ในผังเมือง กทม.ฉบับปัจจุบัน แต่จะยกเลิกไป เนื่องจากเป็นโครงข่ายที่บรรจุไว้ในผังเมืองรวมนานแล้ว แต่ยังไม่มีการก่อสร้าง มี 2 สาย คือสายรัชดา-รามอินทรา (ฉ 1) จะยกเลิกตรงช่วงตัดผ่านซอยเสือใหญ่ และสายพระรามที่ 2-บางค้อ (ง 1)
ผศ.ดร.นพนันท์กล่าวต่อว่า สำหรับถนนสายรองที่นำมาบรรจุไว้ในผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จะอยู่พื้นที่รอบนอก และเป็นพื้นที่เพิ่งจะมีรถไฟฟ้าเข้าถึง รวมทั้งพื้นที่มีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น รัฐสภาแห่งใหม่ บริเวณ เกียกกาย ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน การเปิดใช้ศาลาว่าการ กทม.2 เป็นต้น
ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ กทม.หรือฝั่งธนบุรี เนื่องจากมีพื้นที่ตาบอดจำนวนมาก และอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ส่วนต่อขยายบีทีเอส (ตากสิน-บางหว้า) ทำเลหลัก ๆ เช่น ย่านหนองแขม ตลิ่งชัน เพชรเกษม ภาษีเจริญ บางแค จอมทอง บางบอน ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ พุทธมณฑลสาย 1 จรัญสนิทวงศ์ ถนนบรมราชชนนี เป็นต้น อาทิ ขยายถนนเลียบ คลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ-ใต้ เป็นขนาด 16 เมตร ฯลฯ
ขณะที่พื้นที่โซนตะวันออกของ กทม. เช่น เขตวัฒนา ประเวศ สวนหลวง สะพานสูง ลาดกระบัง พระโขนง สะพานสูง คันนายาว บึงกุ่ม ร่มเกล้า จะมีการปรับปรุงหรือตัดถนนใหม่บางส่วนเช่นเดียวกัน เป้าหมายเพื่อให้การเข้าถึงและต่อเชื่อมกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ และรถไฟฟ้าบีทีเอสต่อขยาย (อ่อนนุช-แบริ่ง) คล่องตัวมากขึ้น เช่น สถานีลาดกระบัง ของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ จะขยายถนนทางรถไฟสายตะวันออกเดิมให้กว้างขึ้น ส่วนย่านถนนสุขมวิทในแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส จะขยายถนนในซอยเดิม เช่น ซอยสุขุมวิท 62 (บางจาก) เดิมถนนมีขนาด 6 เมตร จะขยายเป็น 12 เมตร เป็นต้น
สำหรับพื้นที่โซนเหนือ เช่น ย่านสายไหม วัชรพล บางซื่อ หลักสี่ ดอนเมือง เป็นต้น มีทั้งขยายถนนเดิมและตัดถนนใหม่ ในบริเวณโดยรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด เช่น ย่านสนามกอล์ฟนอร์ธปาร์ค จะมีขยายถนนเดิม คือซอยชินเขตให้กว้างขึ้น ตัดถนนใหม่เชื่อม จากนอร์ธปาร์ค ไปออกถนนเลียงคลองประปา ขยายซอยแจ้งวัฒนะ 14 เป็นต้น
ในส่วนของพื้นที่อื่น ๆ เช่น บริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ผังเมือง กทม.ฉบับใหม่ จะกำหนดแนวก่อสร้างถนนตัดใหม่ ต่อเชื่อมกับทางรถไฟสายใต้กับสะพานเกียกกาย (ง 3), พื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ก่อสร้างถนนตัดใหม่ (ง 2) จากถนนประชาราษฎร์ สาย 2-เลียบทางรถไฟสายเหนือ, พื้นที่โดยรอบอาคาร กทม.2 จะมีขยายถนนมิตรไมตรีเดิม เป็นต้น
โดยแผนการก่อสร้างจะแบ่งเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก นำร่อง 5 ปี จากปี 2555-2560 ส่วนใหญ่เป็นแผนงานก่อสร้างของสำนักการโยธา กทม. ซึ่งได้งบประมาณ 2554 สำหรับศึกษาและออกแบบรายละเอียดแล้ว เน้นส่วนที่เป็นเส้นทางรองรับรถไฟฟ้า 4 สาย ทั้งสีแดง สีน้ำเงิน บีทีเอสส่วนต่อขยาย และรถ ไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์เป็นหลัก ซึ่งหลังจากนี้ไปจะมีการจัดลำดับความสำคัญอีกครั้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนเฟสที่ 2 เป็นแผนระยะยาวตั้งแต่ปีที่ 6-20 จะดำเนินการลำดับต่อไป
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... &subcatid=
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 12
ก็คงต้องรอคลื่นซึนามิของอสังมาค่อยๆรอใจเย็นๆ
Its all about getting alpha.
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 13
SPALI บวกไป 3% ครับ วันนี้
LL บวกไป 22% คงยืนยัน UPTREND ของกลุ่มอสังหาได้ดีที่สุดแล้วน่ะครับ
AP, LPN ก็เขียวสวนกระดานแดงก่ำ
นี่คงยืนยันถึงขาขึ้นรอบใหม่ขอกลุ่มอสังหาได้ดีที่สุดแล้วมั้ง
LL บวกไป 22% คงยืนยัน UPTREND ของกลุ่มอสังหาได้ดีที่สุดแล้วน่ะครับ
AP, LPN ก็เขียวสวนกระดานแดงก่ำ
นี่คงยืนยันถึงขาขึ้นรอบใหม่ขอกลุ่มอสังหาได้ดีที่สุดแล้วมั้ง
-
- Verified User
- โพสต์: 1160
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 14
ตอนหกเดือนที่แล้วไปทำอะไรกันอยู่ กลุ่มอสังหาถูกเป็นขี้ ราคาต่ำกว่าbookเยอะแยะ
คนซื้อช่วงนั้นฟันไปต่ำๆก็50%แล้ว
จำได้เลย ตอนนั้นมีแต่ข่าวฟองสบู่อสังหา ฟองสบู่ไร คนเห็นทั้งประเทศ
มันต้องใสๆ มองไม่เห็น
ตอนนี้พอราคาวิ่งขึ้นบอกเทิร์นอะราว ข่าวหนอข่าว ไม่เคยนำตลาดเลย 5555
คนซื้อช่วงนั้นฟันไปต่ำๆก็50%แล้ว
จำได้เลย ตอนนั้นมีแต่ข่าวฟองสบู่อสังหา ฟองสบู่ไร คนเห็นทั้งประเทศ
มันต้องใสๆ มองไม่เห็น
ตอนนี้พอราคาวิ่งขึ้นบอกเทิร์นอะราว ข่าวหนอข่าว ไม่เคยนำตลาดเลย 5555
- Unstablemind
- Verified User
- โพสต์: 405
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 15
แต่ถ้าคิดในอีกแง่มุมถ้าเรารู้สันดายของข่าวมันก็น่าจะเป็น Indicator ที่ดีสำหรับมือใหม่ให้รู้ว่า Margin of Safetyน่าจะหายไปพอสมควรWarantact เขียน:ตอนหกเดือนที่แล้วไปทำอะไรกันอยู่ กลุ่มอสังหาถูกเป็นขี้ ราคาต่ำกว่าbookเยอะแยะ
คนซื้อช่วงนั้นฟันไปต่ำๆก็50%แล้ว
จำได้เลย ตอนนั้นมีแต่ข่าวฟองสบู่อสังหา ฟองสบู่ไร คนเห็นทั้งประเทศ
มันต้องใสๆ มองไม่เห็น
ตอนนี้พอราคาวิ่งขึ้นบอกเทิร์นอะราว ข่าวหนอข่าว ไม่เคยนำตลาดเลย 5555
มีบางหุ้นผมไม่อยากบอกชื่อน่ะครับกลัวโดนลบแต่ข่าวจะชอบออกข่าวดีๆแต่หุ้นก็จะตกสวนด้วยก็อาจจะใชเป็น Indicator
ไม่รู้ผมมั่วๆไปงั้นแระฮ้าๆๆๆๆๆ
Its all about getting alpha.
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 16
PS-LPN เฮรัฐอุ้มบ้านต่ำล้าน คุยตุนโครงการรอขายอื้อ แอลพีเอ็นปันผล 1.85%
หึ่ง! รัฐเล็งออกมาตรการซื้อบ้านหลังแรกราคาต่ำ 1 ล้านบาท พฤกษา-แอลพีเอ็น รับอานิสงส์
แหล่งข่าวจากคนในวงการ อสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลใหม่มีนโยบายเปิดโครงการซื้อบ้าน
หลังแรก ดอกเบี้ย 0% แต่จะเน้นให้ซื้อบ้านในราคาต่ำเพียง 1 ล้านบาท เพื่อเจาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำจริง ๆ
และต้องการให้เงินช่วยเหลือกระจายในวงกว้างยิ่งขึ้น ไม่เหมือนโครงการครั้งก่อนที่เปิดโอกาสให้ซื้อ บ้าน
ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
โพสต์ทูเดย์ 5/08/2011
หึ่ง! รัฐเล็งออกมาตรการซื้อบ้านหลังแรกราคาต่ำ 1 ล้านบาท พฤกษา-แอลพีเอ็น รับอานิสงส์
แหล่งข่าวจากคนในวงการ อสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลใหม่มีนโยบายเปิดโครงการซื้อบ้าน
หลังแรก ดอกเบี้ย 0% แต่จะเน้นให้ซื้อบ้านในราคาต่ำเพียง 1 ล้านบาท เพื่อเจาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำจริง ๆ
และต้องการให้เงินช่วยเหลือกระจายในวงกว้างยิ่งขึ้น ไม่เหมือนโครงการครั้งก่อนที่เปิดโอกาสให้ซื้อ บ้าน
ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
โพสต์ทูเดย์ 5/08/2011
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 17
JPM : LPN (Overweight) Price Target: Bt12.50
LPN.BK, LPN TB
2Q11 results - beat expectation again Price: Bt11.10
Price Target: Bt12.50
LPN reported solid growth in earnings. NP +15% Y/Y and +42% Q/Q (slightly above consensus). We maintain OW but given the YTD stock outperformance, upside to PT is less compared to LH and AP.
* LPNs 2Q11 NP came in at Bt576 million +15% Y/Y & +42% Q/Q. This is slightly above market consensus at Bt565 million and slightly below our expectation at Bt613 million. The companys 1H11 net profit
*Revenue was strong +20% Y/Y & +49% Q/Q driven by transfers of two projects incl. Place Rama 9 II (left over from 1Q11) & Park Pinklao. Stable gross profit margin at 33.1%. Increase in SG&A (+41% Y/Y & +36% Q/Q) was a function of increase in tax (in-line with revenue) and higher launches which was Bt6.5 billion vs Bt4.3 billion in 1Q11.
* Impressive balance sheet position. Strong positive operating CF at Bt1.2 billion driving net D/E down from low 24% in 1Q11 to 12%.
* 2H11 earnings is expected to be stable from 1H11. The revenue will come from 4 projects value Bt6.2 billion. We expect good profitmargin too given the high reception rates at launches.
*Impressive 1H11 a more relax 2H11. Less launches is expected for 2H11 as pre-sales now 58% of target. New launches in 2H11 will be Bt4.4 billion (< Bt7.6 billion in 1Q11). 1H11 pre-sales = Bt8 billion or 58% of FY target at Bt14 billion.
* Low downside risk on earnings given the strong backlog. LPN achieved 1H11 revenue of Bt6.0 billion and of Bt14.9 billion existing backlog, Bt6.5 billion is for 2H11. Hence, there is limited downside to our revenue forecast of Bt12.4 billion for the year. LPN has benefited from governments cheap housing loan policy as loan rejection rate has fallen from 8-10% last year and >7% in 1Q11 to 6.6% only in this quarter.
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
(CS = CREDIT SUISSE โบรกอันดับสองของโลกสัญชาติสวิส )
CS:LPN Very good 2Q11 results which should sustain into 2H11 as well/Maintain OUTPERFORM
L.P.N. Development --------------------------------------------------------- Maintain OUTPERFORM
Very good 2Q11 results which should sustain into 2H11 as well
* LPN reported a Bt576 mn net profit in 2Q11, a 42% increase QoQ and 15% growth YoY. Every part of its operations was positive, from strong presales to high revenue booking and healthy profit margins. Big cash inflow also resulted in a drop in net gearing.
* 2H11 outlook is even more encouraging. Our 2011F revenue is already 100% backed by backlog. We also foresee the possibility of gross margin surprising on upside. And, with more positive cash inflow, we expect its already strong balance sheet to be even stronger.
* Valuation remains low. The stock trades at 8x 2011E P/E versus our forecast 29% EPS growth. We expect annual dividend yieldsto range between 6% and 8% during our three-year forecast period (with Bt0.21/share interim dividend announced for 1H11).
* Maintain OUTPERFORM.
Strong 2Q11 results as expected
LPN reported a Bt576 mn net profit in 2Q11, a 42% increase QoQ and 15% growth YoY. Revenue was strong at Bt3.7 bn, coming mainly from two condo projects: Lumpini Place Rama 9 and Lumpini Park Pin Klao. Gross margin held up solidly at 33.2%, well above the companys general guidance of 30%. The one drawback was higherthan- expected SG&A expenses from launch activities of seven new condo projects in 1H11. Despite that, the net profit of Bt576 mn was a new historical high quarterly profit number for LPN.
Presales in 2Q11 were strong at Bt4.5 bn, a +23% increase QoQ, partly due to LPNs ability to offload its unsold inventory (which fell from Bt1.9 bn at end-1Q11 to Bt763 mn at end-2Q11). The balance sheet also remained very healthy. Strong cash flow in 2Q11 led to the debt reduction which resulted in just 0.1x net gearing at end-2Q11.
Outlook for 2H11 is also encouraging
Three more condo projects (all of which are sold out) worth a combined Bt5.2 bn are scheduled for completion in 2H11. It will come on top of another Bt2.2 bn worth of other condo projects currently in the process of transferring. This should help sustain the strong top line well into 2H11 and allow the company to meet our Bt12.3 bn revenue forecast.
The gross margin outlook is also good, particularly for the three new projects scheduled for completion in 2H11. We estimate that gross margins of these three projects could range between 32% and 36%, well above the companys general guidance of 30%.
Strong cash inflow should improve its net gearing further, possibly moving LPN into a net cash position by end-3Q11 or end of this year.
High earnings visibility provides comfort
LPN has Bt6.5 bn of backlog to be booked as revenue in 2H11 and Bt8.4 bn in 2012, making our 2011F and 2012F revenue 100% and 60% secured, respectively.
LPN.BK, LPN TB
2Q11 results - beat expectation again Price: Bt11.10
Price Target: Bt12.50
LPN reported solid growth in earnings. NP +15% Y/Y and +42% Q/Q (slightly above consensus). We maintain OW but given the YTD stock outperformance, upside to PT is less compared to LH and AP.
* LPNs 2Q11 NP came in at Bt576 million +15% Y/Y & +42% Q/Q. This is slightly above market consensus at Bt565 million and slightly below our expectation at Bt613 million. The companys 1H11 net profit
*Revenue was strong +20% Y/Y & +49% Q/Q driven by transfers of two projects incl. Place Rama 9 II (left over from 1Q11) & Park Pinklao. Stable gross profit margin at 33.1%. Increase in SG&A (+41% Y/Y & +36% Q/Q) was a function of increase in tax (in-line with revenue) and higher launches which was Bt6.5 billion vs Bt4.3 billion in 1Q11.
* Impressive balance sheet position. Strong positive operating CF at Bt1.2 billion driving net D/E down from low 24% in 1Q11 to 12%.
* 2H11 earnings is expected to be stable from 1H11. The revenue will come from 4 projects value Bt6.2 billion. We expect good profitmargin too given the high reception rates at launches.
*Impressive 1H11 a more relax 2H11. Less launches is expected for 2H11 as pre-sales now 58% of target. New launches in 2H11 will be Bt4.4 billion (< Bt7.6 billion in 1Q11). 1H11 pre-sales = Bt8 billion or 58% of FY target at Bt14 billion.
* Low downside risk on earnings given the strong backlog. LPN achieved 1H11 revenue of Bt6.0 billion and of Bt14.9 billion existing backlog, Bt6.5 billion is for 2H11. Hence, there is limited downside to our revenue forecast of Bt12.4 billion for the year. LPN has benefited from governments cheap housing loan policy as loan rejection rate has fallen from 8-10% last year and >7% in 1Q11 to 6.6% only in this quarter.
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
(CS = CREDIT SUISSE โบรกอันดับสองของโลกสัญชาติสวิส )
CS:LPN Very good 2Q11 results which should sustain into 2H11 as well/Maintain OUTPERFORM
L.P.N. Development --------------------------------------------------------- Maintain OUTPERFORM
Very good 2Q11 results which should sustain into 2H11 as well
* LPN reported a Bt576 mn net profit in 2Q11, a 42% increase QoQ and 15% growth YoY. Every part of its operations was positive, from strong presales to high revenue booking and healthy profit margins. Big cash inflow also resulted in a drop in net gearing.
* 2H11 outlook is even more encouraging. Our 2011F revenue is already 100% backed by backlog. We also foresee the possibility of gross margin surprising on upside. And, with more positive cash inflow, we expect its already strong balance sheet to be even stronger.
* Valuation remains low. The stock trades at 8x 2011E P/E versus our forecast 29% EPS growth. We expect annual dividend yieldsto range between 6% and 8% during our three-year forecast period (with Bt0.21/share interim dividend announced for 1H11).
* Maintain OUTPERFORM.
Strong 2Q11 results as expected
LPN reported a Bt576 mn net profit in 2Q11, a 42% increase QoQ and 15% growth YoY. Revenue was strong at Bt3.7 bn, coming mainly from two condo projects: Lumpini Place Rama 9 and Lumpini Park Pin Klao. Gross margin held up solidly at 33.2%, well above the companys general guidance of 30%. The one drawback was higherthan- expected SG&A expenses from launch activities of seven new condo projects in 1H11. Despite that, the net profit of Bt576 mn was a new historical high quarterly profit number for LPN.
Presales in 2Q11 were strong at Bt4.5 bn, a +23% increase QoQ, partly due to LPNs ability to offload its unsold inventory (which fell from Bt1.9 bn at end-1Q11 to Bt763 mn at end-2Q11). The balance sheet also remained very healthy. Strong cash flow in 2Q11 led to the debt reduction which resulted in just 0.1x net gearing at end-2Q11.
Outlook for 2H11 is also encouraging
Three more condo projects (all of which are sold out) worth a combined Bt5.2 bn are scheduled for completion in 2H11. It will come on top of another Bt2.2 bn worth of other condo projects currently in the process of transferring. This should help sustain the strong top line well into 2H11 and allow the company to meet our Bt12.3 bn revenue forecast.
The gross margin outlook is also good, particularly for the three new projects scheduled for completion in 2H11. We estimate that gross margins of these three projects could range between 32% and 36%, well above the companys general guidance of 30%.
Strong cash inflow should improve its net gearing further, possibly moving LPN into a net cash position by end-3Q11 or end of this year.
High earnings visibility provides comfort
LPN has Bt6.5 bn of backlog to be booked as revenue in 2H11 and Bt8.4 bn in 2012, making our 2011F and 2012F revenue 100% and 60% secured, respectively.
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 18
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 19
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 20
โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 9:00:00 วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2554
อสังหาฯ ไตรมาส 2 รวยกันอู้ฟู้
อสังหาฯ ไตรมาส 2 รวยกันอู้ฟู้
โกยยอดขายบ้านเป็นกอบเป็นกำ
ค่ายอสังหาฯ สุดปลื้ม ทยอยโชว์ผลงานไตรมาส 2 เข้าตากรรมการ ยอดขายทะลุเป้า โกยกำไรเป็นกอบเป็นกำ “พฤกษา-เอพี-สยามฟิวเจอร์-ธนาสิริ-โฮมโปร” เติบโตสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลกกันถ้วนหน้า ระบุยอดขายพุ่งรับอานิสงน์การเมืองในประเทศนิ่ง ลูกค้ากล้าใช้เงินซื้อที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น พร้อมกางแผนครึ่งปีหลังรอผุดโครงการอีกเพี้ยบ
0. พฤกษาโชว์ไตรมาส 2 ทะลุป้า
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย ทั้งยอดจอง รายได้ และกำไรสุทธิ โดยมียอดจองที่ 9,170 ล้านบาท เติบโต 8% จากไตรมาส 1 ปี 2554 ที่มียอดจอง 8,465 ล้านบาท มีรายได้รวม 6,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 5,450 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 988 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้น 35% จากไตรมาส 1 ปี 2554 ที่มีกำไร 731 ล้านบาท ส่งผลให้รอบครึ่งปีแรกของปีนี้ พฤกษามียอดจองสูงถึง 17,635 ล้านบาท รายได้รวม 12,229 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,719 ล้านบาท
“สำหรับผลการดำเนินงานในต่างประเทศ ในปีนี้เริ่มเห็นผลชัดเจนแล้ว โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯ มียอดจองจากโครงการ Silvana เมือง บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย และโครงการคอรัล วิลล์ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ รวม 413 ล้านบาท และในไตรมาส 3 นี้บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากการส่งมอบห้องชุดโครงการคอรัล วิลล์ มัลดีฟส์ จำนวน 2 อาคารแรก ส่วนอีก 7 อาคาร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะทยอยส่งมอบได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ จนถึงต้นปีหน้า โครงการคอรัล วิลล์ ถือเป็นโครงการลงทุนในต่างประเทศโครงการแรกที่บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้” นายทองมา กล่าวเสริม
0. เอพีไม่น้อยหน้ากำไรพุ่งปรี๊ด
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงผลประกอบการไตรมาส 2 ประจำปี 2554 ว่าบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตทั้งในส่วนของรายได้รวมและกำไรสุทธิที่สูงขึ้น โดยมีรายได้รวมเท่ากับ 4,037 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือเติบโตขึ้น 89% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 ซึ่งรายได้ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากการโอนฯ คอนโดมิเนียมใหม่รวมทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่ 1.Life @ ลาดพร้าว 18 2. RHYTHM รัชดา 3.The Address พญาไท และ 4.RHYTHM รัชดา-ห้วยขวาง โดย 56% ของรายได้ทั้งหมดเกิดจากคอนโดมิเนียมทั้ง 4 โครงการข้างต้น ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 63% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553
ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน (7 สิงหาคม) บริษัทฯ มียอดจองที่สูงถึง 9,504 ล้านบาท เป็นแนวราบ 5,290 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4,214 ล้านบาท มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) สูงถึง 26,883 ล้านบาท เป็นสินค้าแนวราบมูลค่า 4,201 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในครึ่งปีหลัง ส่วน Backlog คอนโดมิเนียมมูลค่า 22,682 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 5,286 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 4 บริษัทฯ จะมีคอนโดมิเนียมก่อสร้างเสร็จเพิ่มอีก 1 โครงการ คือ The Address สุขุมวิท 28 ดังนั้นหากนำรายได้ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1 และ 2 รวมกับประมาณการณ์รับรู้รายได้จาก Backlog ตามจำนวนข้างต้น บริษัทฯ จะมีรายได้อยู่ในมือแล้วคิดเป็น 15,700 ล้านบาท หรือ 92% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 17,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะเกิดขึ้นจากสินค้าแนวราบที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังอีก 4 โครงการ
สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 10,220 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 7,650 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ มูลค่า 2,570 ล้านบาท
0. สยามฟิวเจอร์กวาดกำไร 222 ล้าน
นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF ผู้บุกเบิกเจ้าแรกในประเทศไทยของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอมมิวนิตี้ มอลล์ ที่ได้รับความนิยมอย่าง เอสพละนาด, ลา วิลล่า, เจ อเวนิว, มาร์เก็ตเพลสทองหล่อ และอีกกว่า 26 ศูนย์ เปิดเผยว่า มีรายได้รวมในครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ 777ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ 222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2554 มีรายได้อยู่ที่ 372 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 113 ล้านบาท
ทั้งนี้สาเหตุที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจาก SF ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจำนวน 13 ล้านบาทจากการขายที่ดินบางส่วนของกิจการร่วมค้า โครงการเมกาบางนา ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 49% นอกจากนั้น SF ยังมีต้นทุนทางการเงินลดลงจำนวน 26 ล้านบาท เนื่องจากได้ขายโครงการรัชโยธินเข้ากองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์หรือ MJLF เมื่อปลายปี 2553 ทำให้ต้นทุนการเช่าและบริการลดลงจำนวน 10 ล้านบาท คิดเป็น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับรายได้จากค่าเช่าและบริการของโครงการทั้งหมดในเครือ SF ในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 615 ล้านบาท
นายวิเชฐ กล่าวถึงทิศทางผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง SF คาดว่ายังมั่นใจและจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากสภาวะการเมืองเริ่มนิ่งหลังได้รัฐบาลใหม่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
0. ธนาสิริฯ ผลงานยังไปได้สวย
นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิประจำไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 16.9 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 15.38 ล้านบาทและสำหรับยอดสะสม 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 จำนวน 34.6 ล้านบาท โดยสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 และยอดสะสม 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (ครั้งที่ 3/2554 วันที่ 10 สิงหาคม 2554) ยังได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2554 ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท (แปดสตางค์) รวมเป็นเงินปันผลระหว่างกาลทั้งสิ้น 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2554 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 26 สิงหาคม 2554 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 8 กันยายน 2554
0. โฮมโปรโชว์ครึ่งปีโต 24.67%
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 887.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175.54 ล้านบาท หรือ 24.67% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักได้แก่ รายได้จากการขาย สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 มีจำนวน 13,559.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 2,126.87 ล้านบาท หรือ 18.60% การเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นผลเนื่องจากการเติบโตของสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่ ได้แก่ สาขาฉะเชิงเทราและสาขาร้อยเอ็ด รวมถึงการจัดงาน HomePro Expo ครั้งที่ 13 เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีการปรับโฉมใหม่ของ “โฮมโปร” สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเป็นจำนวนเงิน 3,408.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 619.66 ล้านบาท หรือ 22.22% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเท่ากับ 25.14% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 24.40% เป็นผลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงส่วนของกลุ่มสินค้าขาย
นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 391.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 15.78 ล้านบาท หรือ 4.20% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มรายได้ค่าเช่าพื้นที่ของร้านค้าเช่าในโฮมโปร และรายได้จากพื้นที่เช่าศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ
สำหรับในส่วนของรายได้อื่นๆ นั้น บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีจำนวน 541.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 88.72 ล้านบาท หรือ 19.60% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร มีจำนวน 2,981.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 442.64 ล้านบาท หรือ 17.44% ค่าใช้จ่ายดังกล่าวคิดเป็น 21.99% ของยอดขาย ซึ่งใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 2553 ที่มีอัตราส่วนเท่ากับ 22.21% ของยอดขาย ค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวเงินที่เพิ่มขึ้นเป็นผลเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน, ค่าขนส่งและค่าบริการ, ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบัตรเครดิต และค่าเสื่อมราคา
นายคุณวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2554 นั้น บริษัทฯ ยังมีนโยบายการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ให้ครบ 5 สาขา โดยสาขาที่เปิดไปแล้วนั้นจำนวน 3 สาขา ได้แก่ สาขาฉะเชิงเทรา, สาขาร้อยเอ็ด และสาขาสุพรรณบุรี ยังเหลืออีก 2 แห่ง คือ สาขาลพบุรี และสาขาสกลนคร ที่จะเปิดช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมกันนั้น ยังมีการปรับปรุงสาขาเดิม เพื่อเพิ่มอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
สุภพงษ์ เทียนสี/รายงาน
อสังหาฯ ไตรมาส 2 รวยกันอู้ฟู้
อสังหาฯ ไตรมาส 2 รวยกันอู้ฟู้
โกยยอดขายบ้านเป็นกอบเป็นกำ
ค่ายอสังหาฯ สุดปลื้ม ทยอยโชว์ผลงานไตรมาส 2 เข้าตากรรมการ ยอดขายทะลุเป้า โกยกำไรเป็นกอบเป็นกำ “พฤกษา-เอพี-สยามฟิวเจอร์-ธนาสิริ-โฮมโปร” เติบโตสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลกกันถ้วนหน้า ระบุยอดขายพุ่งรับอานิสงน์การเมืองในประเทศนิ่ง ลูกค้ากล้าใช้เงินซื้อที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น พร้อมกางแผนครึ่งปีหลังรอผุดโครงการอีกเพี้ยบ
0. พฤกษาโชว์ไตรมาส 2 ทะลุป้า
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย ทั้งยอดจอง รายได้ และกำไรสุทธิ โดยมียอดจองที่ 9,170 ล้านบาท เติบโต 8% จากไตรมาส 1 ปี 2554 ที่มียอดจอง 8,465 ล้านบาท มีรายได้รวม 6,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 5,450 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 988 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้น 35% จากไตรมาส 1 ปี 2554 ที่มีกำไร 731 ล้านบาท ส่งผลให้รอบครึ่งปีแรกของปีนี้ พฤกษามียอดจองสูงถึง 17,635 ล้านบาท รายได้รวม 12,229 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,719 ล้านบาท
“สำหรับผลการดำเนินงานในต่างประเทศ ในปีนี้เริ่มเห็นผลชัดเจนแล้ว โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯ มียอดจองจากโครงการ Silvana เมือง บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย และโครงการคอรัล วิลล์ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ รวม 413 ล้านบาท และในไตรมาส 3 นี้บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากการส่งมอบห้องชุดโครงการคอรัล วิลล์ มัลดีฟส์ จำนวน 2 อาคารแรก ส่วนอีก 7 อาคาร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะทยอยส่งมอบได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ จนถึงต้นปีหน้า โครงการคอรัล วิลล์ ถือเป็นโครงการลงทุนในต่างประเทศโครงการแรกที่บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้” นายทองมา กล่าวเสริม
0. เอพีไม่น้อยหน้ากำไรพุ่งปรี๊ด
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงผลประกอบการไตรมาส 2 ประจำปี 2554 ว่าบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตทั้งในส่วนของรายได้รวมและกำไรสุทธิที่สูงขึ้น โดยมีรายได้รวมเท่ากับ 4,037 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือเติบโตขึ้น 89% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 ซึ่งรายได้ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากการโอนฯ คอนโดมิเนียมใหม่รวมทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่ 1.Life @ ลาดพร้าว 18 2. RHYTHM รัชดา 3.The Address พญาไท และ 4.RHYTHM รัชดา-ห้วยขวาง โดย 56% ของรายได้ทั้งหมดเกิดจากคอนโดมิเนียมทั้ง 4 โครงการข้างต้น ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 254% หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 63% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553
ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน (7 สิงหาคม) บริษัทฯ มียอดจองที่สูงถึง 9,504 ล้านบาท เป็นแนวราบ 5,290 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4,214 ล้านบาท มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) สูงถึง 26,883 ล้านบาท เป็นสินค้าแนวราบมูลค่า 4,201 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในครึ่งปีหลัง ส่วน Backlog คอนโดมิเนียมมูลค่า 22,682 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 5,286 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 4 บริษัทฯ จะมีคอนโดมิเนียมก่อสร้างเสร็จเพิ่มอีก 1 โครงการ คือ The Address สุขุมวิท 28 ดังนั้นหากนำรายได้ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1 และ 2 รวมกับประมาณการณ์รับรู้รายได้จาก Backlog ตามจำนวนข้างต้น บริษัทฯ จะมีรายได้อยู่ในมือแล้วคิดเป็น 15,700 ล้านบาท หรือ 92% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 17,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะเกิดขึ้นจากสินค้าแนวราบที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังอีก 4 โครงการ
สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 10,220 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 7,650 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ มูลค่า 2,570 ล้านบาท
0. สยามฟิวเจอร์กวาดกำไร 222 ล้าน
นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF ผู้บุกเบิกเจ้าแรกในประเทศไทยของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอมมิวนิตี้ มอลล์ ที่ได้รับความนิยมอย่าง เอสพละนาด, ลา วิลล่า, เจ อเวนิว, มาร์เก็ตเพลสทองหล่อ และอีกกว่า 26 ศูนย์ เปิดเผยว่า มีรายได้รวมในครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ 777ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 อยู่ที่ 222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2554 มีรายได้อยู่ที่ 372 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 113 ล้านบาท
ทั้งนี้สาเหตุที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจาก SF ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจำนวน 13 ล้านบาทจากการขายที่ดินบางส่วนของกิจการร่วมค้า โครงการเมกาบางนา ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 49% นอกจากนั้น SF ยังมีต้นทุนทางการเงินลดลงจำนวน 26 ล้านบาท เนื่องจากได้ขายโครงการรัชโยธินเข้ากองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์หรือ MJLF เมื่อปลายปี 2553 ทำให้ต้นทุนการเช่าและบริการลดลงจำนวน 10 ล้านบาท คิดเป็น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับรายได้จากค่าเช่าและบริการของโครงการทั้งหมดในเครือ SF ในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 615 ล้านบาท
นายวิเชฐ กล่าวถึงทิศทางผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง SF คาดว่ายังมั่นใจและจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากสภาวะการเมืองเริ่มนิ่งหลังได้รัฐบาลใหม่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
0. ธนาสิริฯ ผลงานยังไปได้สวย
นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิประจำไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 16.9 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 15.38 ล้านบาทและสำหรับยอดสะสม 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 จำนวน 34.6 ล้านบาท โดยสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 และยอดสะสม 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (ครั้งที่ 3/2554 วันที่ 10 สิงหาคม 2554) ยังได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2554 ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท (แปดสตางค์) รวมเป็นเงินปันผลระหว่างกาลทั้งสิ้น 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2554 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 26 สิงหาคม 2554 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 8 กันยายน 2554
0. โฮมโปรโชว์ครึ่งปีโต 24.67%
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 887.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175.54 ล้านบาท หรือ 24.67% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักได้แก่ รายได้จากการขาย สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2554 มีจำนวน 13,559.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 2,126.87 ล้านบาท หรือ 18.60% การเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นผลเนื่องจากการเติบโตของสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่ ได้แก่ สาขาฉะเชิงเทราและสาขาร้อยเอ็ด รวมถึงการจัดงาน HomePro Expo ครั้งที่ 13 เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีการปรับโฉมใหม่ของ “โฮมโปร” สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเป็นจำนวนเงิน 3,408.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 619.66 ล้านบาท หรือ 22.22% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเท่ากับ 25.14% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 24.40% เป็นผลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงส่วนของกลุ่มสินค้าขาย
นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 391.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 15.78 ล้านบาท หรือ 4.20% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มรายได้ค่าเช่าพื้นที่ของร้านค้าเช่าในโฮมโปร และรายได้จากพื้นที่เช่าศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ
สำหรับในส่วนของรายได้อื่นๆ นั้น บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีจำนวน 541.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 88.72 ล้านบาท หรือ 19.60% เป็นผลเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร มีจำนวน 2,981.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 442.64 ล้านบาท หรือ 17.44% ค่าใช้จ่ายดังกล่าวคิดเป็น 21.99% ของยอดขาย ซึ่งใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 2553 ที่มีอัตราส่วนเท่ากับ 22.21% ของยอดขาย ค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวเงินที่เพิ่มขึ้นเป็นผลเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน, ค่าขนส่งและค่าบริการ, ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบัตรเครดิต และค่าเสื่อมราคา
นายคุณวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2554 นั้น บริษัทฯ ยังมีนโยบายการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ให้ครบ 5 สาขา โดยสาขาที่เปิดไปแล้วนั้นจำนวน 3 สาขา ได้แก่ สาขาฉะเชิงเทรา, สาขาร้อยเอ็ด และสาขาสุพรรณบุรี ยังเหลืออีก 2 แห่ง คือ สาขาลพบุรี และสาขาสกลนคร ที่จะเปิดช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมกันนั้น ยังมีการปรับปรุงสาขาเดิม เพื่อเพิ่มอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
สุภพงษ์ เทียนสี/รายงาน
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 21
หลักทรัพย์ EVER
แหล่งข่าว EVER
หัวข้อข่าว สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 2 (F45-3)
วันที่/เวลา 10 ส.ค. 2554 18:28:00
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน)
(หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
สอบทาน สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 30 มิถุนายน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 170,134 (11,350) 158,698 (21,775)
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.56 (0.04) 0.52 (0.07)
ต่อหุ้น (บาท)
http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH
แหล่งข่าว EVER
หัวข้อข่าว สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย ไตรมาสที่ 2 (F45-3)
วันที่/เวลา 10 ส.ค. 2554 18:28:00
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)
บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน)
(หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
สอบทาน สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 30 มิถุนายน
ปี 2554 2553 2554 2553
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 170,134 (11,350) 158,698 (21,775)
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.56 (0.04) 0.52 (0.07)
ต่อหุ้น (บาท)
http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 22
สรุปข่าว หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น 15/08/11
อสังหาจี้รัฐบาลใหม่เร่งคลอดกู้บ้าน0%ธอส.ชงบ้านหลังแรก ลุ้นลดภาษีฟรีโอน
บิ๊กอสังหาฯ "PS-SPALI" จี้รัฐบาลใหม่ เร่งคลอดมาตรการกู้ซื้อบ้าน 0% นาน 5 ปีโดยเร็ว หลัง
ลูกค้าชะลอโอนรอสิทธิประโยชน์ ฟาก ธอส.เตรียมเสนอแพ็กเกจโครงการบ้านหลังแรกดอก 0% ให้
"ธีระชัย" หลัง 15 ส.ค.เริ่มชัดเจน แถมมีลุ้นมาตรการภาษีอสังหาฯ รวมทั้งฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง
APโชว์แบ็กล็อก2.7หมื่นล้านSCกำไรQ2 โต72%ออกตั๋วB/Eมูลค่า 1.5 พันล้าน
"AP" แย้มครึ่งปีหลังลุยเปิด 8 โครงการ มูลค่า 1.02 หมื่นลบ. พร้อมโชว์แบ็กล็อกทะลัก 2.7
หมื่นลบ. จ่อบุ๊ครายได้ครึ่งปีหลัง 9.5 พันลบ.ส่วน Q2 โชว์กำไรสุทธิ 468 ล้านบาท โต 254% รับรายได้
พุ่ง 86% ด้าน SC เจ๋ง Q2 ฟันกำไรสุทธิ 361.86 ล้านบาท โต 71.96%
PSยันกำไรสุทธิปีนี้โต30%ครึ่งปีหลังรายได้สูง 1.8 หมื่นล้าน เปิดเพิ่ม 40 โครงการ
"PS" ลั่นครึ่งปีหลังรายได้สูงกว่าครึ่งปีแรก เหตุตุนแบ็กล็อกสูง 3.7 หมื่นล้านบาท จ่อรับรู้ครึ่งปีหลัง
1.8 หมื่นล้านบาท ลุยเปิดเพิ่มอีก 40 โครงการ มูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท ดันยอดขายทั้งปีเข้าเป้า 4.2
หมื่นล้านบาท ยันกำไรสุทธิปีนี้โต 30% จากปีก่อน ปลายปีนี้เล็งออกหุ้นกู้ 3 พันล้านบาท รีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่
ครบไถ่ถอนต้นปีหน้า
ศุภาลัยโชว์ยอดขาย8.3พันล้านครึ่งปีหลังโหมเปิด12โครงการ
SPALI รุกหนักครึ่งปีหลังโหมเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 1.47 หมื่นล้าน พร้อมโชว์ยอดขาย 7
เดือนกว่า 8.3 พันล้าน ฟุ้งยอดขายทั้งปีเกินเป้า 1.7 หมื่นล้าน ส่วนรายได้ปีนี้มั่นใจตามนัด 1.4 หมื่นล้าน
บอร์ดใจดีปันผลหุ้นละ 0.35 บาท จ่ายวันที่ 5 ก.ย.นี้ หลัง 6 เดือนโชว์กำไรสุทธิ 1,566 ล้าน
อสังหาจี้รัฐบาลใหม่เร่งคลอดกู้บ้าน0%ธอส.ชงบ้านหลังแรก ลุ้นลดภาษีฟรีโอน
บิ๊กอสังหาฯ "PS-SPALI" จี้รัฐบาลใหม่ เร่งคลอดมาตรการกู้ซื้อบ้าน 0% นาน 5 ปีโดยเร็ว หลัง
ลูกค้าชะลอโอนรอสิทธิประโยชน์ ฟาก ธอส.เตรียมเสนอแพ็กเกจโครงการบ้านหลังแรกดอก 0% ให้
"ธีระชัย" หลัง 15 ส.ค.เริ่มชัดเจน แถมมีลุ้นมาตรการภาษีอสังหาฯ รวมทั้งฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง
APโชว์แบ็กล็อก2.7หมื่นล้านSCกำไรQ2 โต72%ออกตั๋วB/Eมูลค่า 1.5 พันล้าน
"AP" แย้มครึ่งปีหลังลุยเปิด 8 โครงการ มูลค่า 1.02 หมื่นลบ. พร้อมโชว์แบ็กล็อกทะลัก 2.7
หมื่นลบ. จ่อบุ๊ครายได้ครึ่งปีหลัง 9.5 พันลบ.ส่วน Q2 โชว์กำไรสุทธิ 468 ล้านบาท โต 254% รับรายได้
พุ่ง 86% ด้าน SC เจ๋ง Q2 ฟันกำไรสุทธิ 361.86 ล้านบาท โต 71.96%
PSยันกำไรสุทธิปีนี้โต30%ครึ่งปีหลังรายได้สูง 1.8 หมื่นล้าน เปิดเพิ่ม 40 โครงการ
"PS" ลั่นครึ่งปีหลังรายได้สูงกว่าครึ่งปีแรก เหตุตุนแบ็กล็อกสูง 3.7 หมื่นล้านบาท จ่อรับรู้ครึ่งปีหลัง
1.8 หมื่นล้านบาท ลุยเปิดเพิ่มอีก 40 โครงการ มูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท ดันยอดขายทั้งปีเข้าเป้า 4.2
หมื่นล้านบาท ยันกำไรสุทธิปีนี้โต 30% จากปีก่อน ปลายปีนี้เล็งออกหุ้นกู้ 3 พันล้านบาท รีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่
ครบไถ่ถอนต้นปีหน้า
ศุภาลัยโชว์ยอดขาย8.3พันล้านครึ่งปีหลังโหมเปิด12โครงการ
SPALI รุกหนักครึ่งปีหลังโหมเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 1.47 หมื่นล้าน พร้อมโชว์ยอดขาย 7
เดือนกว่า 8.3 พันล้าน ฟุ้งยอดขายทั้งปีเกินเป้า 1.7 หมื่นล้าน ส่วนรายได้ปีนี้มั่นใจตามนัด 1.4 หมื่นล้าน
บอร์ดใจดีปันผลหุ้นละ 0.35 บาท จ่ายวันที่ 5 ก.ย.นี้ หลัง 6 เดือนโชว์กำไรสุทธิ 1,566 ล้าน
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 23
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 24
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 25
Home อสังหา อสังหาฯ-คมนาคม ราคาที่ดินขยับรับผังกทม.ใหม่
ราคาที่ดินขยับรับผังกทม.ใหม่
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:36 น
\
กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ-คมนาคม
ราคาที่ดินพุ่ง รับผังเมืองรวมกทม.ใหม่ จุดตัดรถไฟฟ้า ย่านศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ราคาที่ดินขยับเพิ่ม 25% ศูนย์ตลิ่งชัน-ราชพฤกษ์ พุ่งเท่าตัวจาก 50,000 บาทต่อตร.ว.เป็นกว่า 100,000บาทต่อตร.ว. รับรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีพระราม9 แอร์พอร์ตลิงค์ ละเลงสีแดงจากพื้นที่สีเหลือง เชื่อพัฒนาตึกสูงพรึบ ส่วนศูนย์ตากสิน -บางขุนเทียน -พระราม 3-บางขุนนนท์ -ดาวคะนอง ทรงกับทรุด
นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ครบอายุ 5 ปีไปแล้ว เมื่อ 15 พฤษภาคม 2554 ปัจจุบันต่ออายุครั้งที่ 1 ถึง 15 พฤษภาคม 2555 (ต่อได้อีก 1 ปีถึงปี 2556) ร่างผังใหม่ ได้มีข้อกำหนดใหม่ปรับเปลี่ยน ทั้งเพิ่มการพัฒนาและลดบทบาทการใช้ประโยชน์ลง อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในทำเลใหม่ มี 10 ทำเลหลักแนวรถไฟฟ้าดังนี้ 1.ทำเลรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จากเดิมเป็นผังเมืองประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลืองทั้ง ย.1, ย.2 และ ย.3) จะมีการปรับสีผังเมืองให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น กล่าวคือ ให้เป็นสีแดง พ.3 และรายรอบโดย ย.5 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพอย่างมาก
โดยราคาที่ดินมีแนวโน้มปรับขึ้นจากการใช้ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 25%ใน 1-2 ปีข้างหน้าจากราคาปัจจุบันอยู่ที่ 100,000-120,000 บาทต่อตร.ว. บริเวณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และบริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 150,000-200,000 บาทต่อตร.ว. 2.บริเวณศูนย์คมนาคมตากสิน จะเลิกสร้าง และปรับสีผังเมืองเป็นเขตที่อยู่อาศัย ย.7, ย.8 หรือ พื้นที่สีน้ำตาล จากผังเดิมกำหนดให้เป็นพื้นทีสีแดงหรือ พาณิชยกรรม 3. ขยายบริเวณศูนย์ชุมชนลาดกระบัง (ด้านเหนือสนามบินสุวรรณภูมิ) ขยายพื้นที่สีแดง พ4. ให้กว้างขึ้น ซึ่งราคาที่ดินบริเวณนี้ อยู่ที่ 50,000-60,000 บาทต่อตร.ว. จากเดิม 20,000-30,000 บาทต่อตร.ว.
4.ขยายบริเวณศูนย์ชุมชนมีนบุรีเก่า-ใหม่ ขยายพื้นที่สีแดง พ.3 ให้กว้างขึ้น 5.ปรับผังสีบริเวณสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงค์ สถานีพระราม 9 (ถนนศรีนครินทร์ และถนนพัฒนาการ) จากพื้นที่สีเหลือง ย.3, ย.4 จากที่อยู่อาศัย กระโดดเป็นพื้นที่พาณิชยกรรม พ.3 และ สีส้ม ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ย.5 ราคาที่ดินย่านนี้ ปรับขึ้นค่อนข้างมากมาโดยตลอด โดยปัจจุบันอยู่ที่ 250,000 บาทต่อตร.ว. จากเดิม 1,000,000 บาทต่อตร.ว. หากปรับการใช้ประโยชน์เป็นสีแดง ราคาจะเพิ่มขึ้นแต่อาจจะไม่สูงเกิน 10% 6.ปรับผังสีบริเวณศูนย์ชุมชน ชานเมืองตลิ่งชัน ย่านถนนราชพฤกษ์ ตัดกับทางรถไฟฟ้าสายใต้ หรือแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน จาก ย.4, ก.2 เป็นพื้นที่สีแดง พ.3, สีเหลือง ย.4, สีส้ม ย.6, ย.7 แนวโน้มราคาที่ดินขึ้นเท่าตัว อยู่ที่กว่า100,000 บาทต่อตร.ว. จากปัจจุบันราคา อยู่ที่ 50,000-60,000 บาทต่อตร.ว. ขณะที่ราชฝั่งนนทบุรี ราคาพุ่งไปที่ 100,000 บาทต่อตร.ว.แล้ว
7. ปรับบริเวณอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (ฝั่งตะวันตก) หรือ เขียวลาย ก.2 ทำเลพุทธมณฑลสาย 2 สาย 3 เป็นบริเวณที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ย.3 และชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ก.3 ราคาปัจจุบันติดถนน 30,000-40,000 บาทต่อตร.ว. ในซอยไม่ถึง 10,000 บาทต่อตร.ว. จะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% 8.ปรับบริเวณริมคลองชักพระ (บางขุนนนท์) โดยปรับลดจากผังสีน้ำตาล ย.8 เป็นสีส้ม ย.6 ส่วน 9.ปรับบริเวณถนนสุขสวัสดิ์ (ดาวคะนอง) โดยปรับลดจากผังสีน้ำตาล ย.9 เป็นสีส้ม ย.7 และ 10.ปรับบริเวณบางขุนเทียนจากพื้นที่สีเขียว ก.3, ก.4 เป็น เขียวลาย หรือ ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ก.2 นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พระราม3 ปรับลด จากพื้นที่สีแดง เป็นสีน้ำตาล บริเวณหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา เอสวีคอนโดมิเนียม แต่คงพื้นที่สีแดงไว้ บริเวณมุมถนนนางลิ้นจี่เท่านั้น ส่วนคลองเคย มีการพิจารณาปรับจากพื้นที่สีน้ำเงินเป็นพื้นที่สีแดง แต่จะรอให้มีการพัฒนาก่อน
นอกจากนี้ มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ อาจมีเพิ่ม FAR Bonus กรณีต่างๆ ดังนี้ คือ การจัดให้มีพื้นที่ว่างเพื่อการใช้ประโยชน์สาธารณะ การจัดให้มีที่จอดรถยนต์ในพื้นที่รัศมี 500 เมตร รอบสถานีรถไฟฟ้า หรือการจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่การสัญจรอื่น การจัดให้มีพื้นที่สำหรับการกักเก็บน้ำฝน การก่อสร้างอาคารประหยัดพลังงาน การจัดให้มีที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้อาศัยเดิมในพื้นที่โครงการและการจัดมีการโอนสิทธิการพัฒนา (Transfer of Development Right: TDR) ได้ เช่นการโอนสิทธิการพัฒนาภายในบริเวณการใช้ประโยชน์ในที่ดิน
การโอนสิทธิการพัฒนาจากพื้นที่ตั้งอาคารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ไปยังพื้นที่ในเขตส่งเสริมการพัฒนา การโอนสิทธิการพัฒนาจากพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ไปยังพื้นที่ในเขตการส่งเสริมการพัฒนา
ด้านนางสาวปัญญภัสสร์ นพพันธ์ ผู้อำนวยการกองวางผังพัฒนาเมือง กล่าวว่า พื้นที่ที่มีการปรับเพิ่ม จะเป็นโซนใหญ่ๆ ประมาณ 9 กลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่ม จะมีการปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินขึ้น-ลง กว่า 30 จุด แยกย่อยออกไป เช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์ชุมชนมีนบุรี เก่า-ใหม่ ศูนย์ชุมชนตลิ่งชัน ศูนย์บางขุนเทียน ศูนย์ตากสิน ฯลฯ ซึ่งประเมินราคาหากพื้นที่ไหนเปิดให้มีการพัฒนามากขึ้นราคาที่ดินจะขยับขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดการเก็งกำไร ไม่ใช่ราคาตลาดที่แท้จริง เพราะขึ้นอยู่กับคนซื้อคนขายที่ตกลงกัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ราคาที่ดินขยับรับผังกทม.ใหม่
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:36 น
\
กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ-คมนาคม
ราคาที่ดินพุ่ง รับผังเมืองรวมกทม.ใหม่ จุดตัดรถไฟฟ้า ย่านศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ราคาที่ดินขยับเพิ่ม 25% ศูนย์ตลิ่งชัน-ราชพฤกษ์ พุ่งเท่าตัวจาก 50,000 บาทต่อตร.ว.เป็นกว่า 100,000บาทต่อตร.ว. รับรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีพระราม9 แอร์พอร์ตลิงค์ ละเลงสีแดงจากพื้นที่สีเหลือง เชื่อพัฒนาตึกสูงพรึบ ส่วนศูนย์ตากสิน -บางขุนเทียน -พระราม 3-บางขุนนนท์ -ดาวคะนอง ทรงกับทรุด
นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ผังเมืองรวมกรุงเทพฯ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ครบอายุ 5 ปีไปแล้ว เมื่อ 15 พฤษภาคม 2554 ปัจจุบันต่ออายุครั้งที่ 1 ถึง 15 พฤษภาคม 2555 (ต่อได้อีก 1 ปีถึงปี 2556) ร่างผังใหม่ ได้มีข้อกำหนดใหม่ปรับเปลี่ยน ทั้งเพิ่มการพัฒนาและลดบทบาทการใช้ประโยชน์ลง อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในทำเลใหม่ มี 10 ทำเลหลักแนวรถไฟฟ้าดังนี้ 1.ทำเลรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จากเดิมเป็นผังเมืองประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลืองทั้ง ย.1, ย.2 และ ย.3) จะมีการปรับสีผังเมืองให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น กล่าวคือ ให้เป็นสีแดง พ.3 และรายรอบโดย ย.5 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพอย่างมาก
โดยราคาที่ดินมีแนวโน้มปรับขึ้นจากการใช้ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 25%ใน 1-2 ปีข้างหน้าจากราคาปัจจุบันอยู่ที่ 100,000-120,000 บาทต่อตร.ว. บริเวณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และบริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 150,000-200,000 บาทต่อตร.ว. 2.บริเวณศูนย์คมนาคมตากสิน จะเลิกสร้าง และปรับสีผังเมืองเป็นเขตที่อยู่อาศัย ย.7, ย.8 หรือ พื้นที่สีน้ำตาล จากผังเดิมกำหนดให้เป็นพื้นทีสีแดงหรือ พาณิชยกรรม 3. ขยายบริเวณศูนย์ชุมชนลาดกระบัง (ด้านเหนือสนามบินสุวรรณภูมิ) ขยายพื้นที่สีแดง พ4. ให้กว้างขึ้น ซึ่งราคาที่ดินบริเวณนี้ อยู่ที่ 50,000-60,000 บาทต่อตร.ว. จากเดิม 20,000-30,000 บาทต่อตร.ว.
4.ขยายบริเวณศูนย์ชุมชนมีนบุรีเก่า-ใหม่ ขยายพื้นที่สีแดง พ.3 ให้กว้างขึ้น 5.ปรับผังสีบริเวณสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงค์ สถานีพระราม 9 (ถนนศรีนครินทร์ และถนนพัฒนาการ) จากพื้นที่สีเหลือง ย.3, ย.4 จากที่อยู่อาศัย กระโดดเป็นพื้นที่พาณิชยกรรม พ.3 และ สีส้ม ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ย.5 ราคาที่ดินย่านนี้ ปรับขึ้นค่อนข้างมากมาโดยตลอด โดยปัจจุบันอยู่ที่ 250,000 บาทต่อตร.ว. จากเดิม 1,000,000 บาทต่อตร.ว. หากปรับการใช้ประโยชน์เป็นสีแดง ราคาจะเพิ่มขึ้นแต่อาจจะไม่สูงเกิน 10% 6.ปรับผังสีบริเวณศูนย์ชุมชน ชานเมืองตลิ่งชัน ย่านถนนราชพฤกษ์ ตัดกับทางรถไฟฟ้าสายใต้ หรือแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ตลิ่งชัน จาก ย.4, ก.2 เป็นพื้นที่สีแดง พ.3, สีเหลือง ย.4, สีส้ม ย.6, ย.7 แนวโน้มราคาที่ดินขึ้นเท่าตัว อยู่ที่กว่า100,000 บาทต่อตร.ว. จากปัจจุบันราคา อยู่ที่ 50,000-60,000 บาทต่อตร.ว. ขณะที่ราชฝั่งนนทบุรี ราคาพุ่งไปที่ 100,000 บาทต่อตร.ว.แล้ว
7. ปรับบริเวณอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (ฝั่งตะวันตก) หรือ เขียวลาย ก.2 ทำเลพุทธมณฑลสาย 2 สาย 3 เป็นบริเวณที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ย.3 และชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ก.3 ราคาปัจจุบันติดถนน 30,000-40,000 บาทต่อตร.ว. ในซอยไม่ถึง 10,000 บาทต่อตร.ว. จะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% 8.ปรับบริเวณริมคลองชักพระ (บางขุนนนท์) โดยปรับลดจากผังสีน้ำตาล ย.8 เป็นสีส้ม ย.6 ส่วน 9.ปรับบริเวณถนนสุขสวัสดิ์ (ดาวคะนอง) โดยปรับลดจากผังสีน้ำตาล ย.9 เป็นสีส้ม ย.7 และ 10.ปรับบริเวณบางขุนเทียนจากพื้นที่สีเขียว ก.3, ก.4 เป็น เขียวลาย หรือ ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ก.2 นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พระราม3 ปรับลด จากพื้นที่สีแดง เป็นสีน้ำตาล บริเวณหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา เอสวีคอนโดมิเนียม แต่คงพื้นที่สีแดงไว้ บริเวณมุมถนนนางลิ้นจี่เท่านั้น ส่วนคลองเคย มีการพิจารณาปรับจากพื้นที่สีน้ำเงินเป็นพื้นที่สีแดง แต่จะรอให้มีการพัฒนาก่อน
นอกจากนี้ มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ อาจมีเพิ่ม FAR Bonus กรณีต่างๆ ดังนี้ คือ การจัดให้มีพื้นที่ว่างเพื่อการใช้ประโยชน์สาธารณะ การจัดให้มีที่จอดรถยนต์ในพื้นที่รัศมี 500 เมตร รอบสถานีรถไฟฟ้า หรือการจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่การสัญจรอื่น การจัดให้มีพื้นที่สำหรับการกักเก็บน้ำฝน การก่อสร้างอาคารประหยัดพลังงาน การจัดให้มีที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้อาศัยเดิมในพื้นที่โครงการและการจัดมีการโอนสิทธิการพัฒนา (Transfer of Development Right: TDR) ได้ เช่นการโอนสิทธิการพัฒนาภายในบริเวณการใช้ประโยชน์ในที่ดิน
การโอนสิทธิการพัฒนาจากพื้นที่ตั้งอาคารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ไปยังพื้นที่ในเขตส่งเสริมการพัฒนา การโอนสิทธิการพัฒนาจากพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ไปยังพื้นที่ในเขตการส่งเสริมการพัฒนา
ด้านนางสาวปัญญภัสสร์ นพพันธ์ ผู้อำนวยการกองวางผังพัฒนาเมือง กล่าวว่า พื้นที่ที่มีการปรับเพิ่ม จะเป็นโซนใหญ่ๆ ประมาณ 9 กลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่ม จะมีการปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินขึ้น-ลง กว่า 30 จุด แยกย่อยออกไป เช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์ชุมชนมีนบุรี เก่า-ใหม่ ศูนย์ชุมชนตลิ่งชัน ศูนย์บางขุนเทียน ศูนย์ตากสิน ฯลฯ ซึ่งประเมินราคาหากพื้นที่ไหนเปิดให้มีการพัฒนามากขึ้นราคาที่ดินจะขยับขึ้นแน่นอน แต่จะเกิดการเก็งกำไร ไม่ใช่ราคาตลาดที่แท้จริง เพราะขึ้นอยู่กับคนซื้อคนขายที่ตกลงกัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 26
Home อสังหา อสังหาฯ Real Estate อนาคตรัชดาฯจะเหมือนถนนออชาร์ดสิงคโปร์
อนาคตรัชดาฯจะเหมือนถนนออชาร์ดสิงคโปร์
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:22 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ Real Estate
ประทีป ตั้งมติธรรมภายหลังจากการทราบผลการประมูลที่ดินแปลงประวัติศาสตร์ ที่ในอดีตคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ภรรยาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยชนะการประมูลจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ไปด้วยราคา 772 ล้านบาท แต่การทำนิติกรรมซื้อขายครั้งนั้น ถูกศาลตัดสินให้เป็นโมฆะ และสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมดังกล่าว ซึ่งล่าสุดผลการประมูล บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ได้ชนะการประมูลไปด้วยราคา 1,815 ล้านบาท ซึ่ง "ประทีป ตั้งมติธรรม" ประธานกรรมการบริหาร ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงแผนที่จะพัฒนาที่ดินดังกล่าว
เหตุผลที่ประมูลที่ดิน มองว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวมีศักยภาพ เป็นแหล่งงานที่มีอาคารสำนักงานใหญ่ๆ มากมาย อาทิ อาคารทรู ธนาคารอาคารสงเคราะห์ อาคารฟอร์จูน มีโรงแรม 3-4 แห่ง มีศูนย์การค้า ทั้งโรบินสัน เอสพลานาด และยังมีเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน อนาคตก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มเกิดขึ้นด้วย ซึ่งทางกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้แจ้งให้ผู้ประกอบการทราบถึงการประมูลที่ดินดังกล่าว จึงได้เข้าร่วมประมูล เพราะนโยบายของบริษัทได้มีการหาซื้อที่ดินอยู่ทุกอาทิตย์ และที่ดินแปลงขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมืองก็หายาก ซึ่งราคาที่บริษัทประมูลก็เป็นไปตามราคาตลาด แม้เมื่อก่อนราคาที่คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จะชนะการประมูลไปในราคา 772 ล้านบาท แต่โดยปกติที่ดินใจกลางเมืองจะมีการปรับราคาขึ้น 2.5 เท่าในรอบ 10 ปี ซึ่งบริษัทก็ซื้อมาใกล้เคียงกับราคาตลาด เมื่อรวมกับภาษี ค่าธรรมเนียม ก็มีมูลค่าประมาณ 1,900 ล้านบาท
++วางแผนการพัฒนาอย่างไร
เชื่อว่าถนนรัชดาฯจะกลายเป็นเหมือนถนนออชาร์ด เหมือนที่ประเทศสิงคโปร์ หรืออย่างถนนสุขุมวิทในปัจจุบัน ที่เมื่อก่อนซอย 24 หรือซอย 55 ไม่ได้เจริญ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจุบันก็มีการพัฒนาเกิดขึ้นมากมาย มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาทำงาน และพักอาศัย ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าววางแผนคร่าวๆ ว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ อาจจะมี 10 อาคาร สูง 10 ชั้น ขนาดห้องจะมีตั้งแต่ 1-3 ห้อง ขนาด 50-100 ตารางเมตร ราคาขายน่าจะประมาณยูนิตละ 3-10 ล้านบาท เป็นการจัดตลาดไฮเอนด์ โดยไม่ทำห้องสตูดิโอเลยจึงจะไม่ไปกินตลาดกับโครงการของบริษัทที่จะพัฒนาในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าโครงการจะพัฒนาเป็นพื้นที่พาณิชย์ อาจจะมีร้านค้าด้านหน้าโครงการ มูลค่าโครงการคงจะมีประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งปีหน้าจะเริ่มเปิดการขาย และจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 3-4 ปี
++ยังพัฒนาคอนโดฯ
ตลาดคอนโดมิเนียมยังเป็นตลาดที่มีความต้องการอยู่มาก ปัจจุบันดีมานด์และซัพพลายก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่ได้โอเวอร์ซัพพลาย เศรษฐกิจไทยยังเป็นช่วงขาขึ้น ซึ่งบริษัทยังมีแผนการพัฒนาคอนโดฯ อีก 4 โครงการนับจากนี้ มูลค่ารวมกว่า 7,000-8,000 ล้านบาท จะเปิดตัวเดือนกันยายน 1โครงการ ที่ข้างสถานทูตญี่ปุ่นเดิม ราคาขายประมาณตารางเมตรละ 70,000-90,000 บาท เป็นอาคารสูงประมาณ 35-37 ชั้น ใช้แบรนด์ศุภาลัย พรีเมียร์ เดือนตุลาคมเปิด 2 โครงการในย่านเอกมัย-ทองหล่อ และแคราย ระดับราคาขายตารางเมตรละ 50,000-60,000 บาท น่าจะเป็นแบรนด์ศุภาลัยปาร์ค และเดือนพฤศจิกายนจะเปิดอีก 1 โครงการย่านรัชดาฯ-ประชาอุทิศ ระดับราคา ยูนิตละ 1-3 ล้านบาท ใช้แบรนด์ซิตี้โฮม ซึ่งการที่บริษัทพัฒนาโครงการคอนโดฯ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นว่ายังมีความต้องการ ประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังดี แนวโน้มดอกเบี้ยก็อาจจะไม่ปรับขึ้น กำลังซื้อก็ยังมีอยู่มากด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
อนาคตรัชดาฯจะเหมือนถนนออชาร์ดสิงคโปร์
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:22 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ Real Estate
ประทีป ตั้งมติธรรมภายหลังจากการทราบผลการประมูลที่ดินแปลงประวัติศาสตร์ ที่ในอดีตคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ภรรยาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยชนะการประมูลจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ไปด้วยราคา 772 ล้านบาท แต่การทำนิติกรรมซื้อขายครั้งนั้น ถูกศาลตัดสินให้เป็นโมฆะ และสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมดังกล่าว ซึ่งล่าสุดผลการประมูล บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ได้ชนะการประมูลไปด้วยราคา 1,815 ล้านบาท ซึ่ง "ประทีป ตั้งมติธรรม" ประธานกรรมการบริหาร ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงแผนที่จะพัฒนาที่ดินดังกล่าว
เหตุผลที่ประมูลที่ดิน มองว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวมีศักยภาพ เป็นแหล่งงานที่มีอาคารสำนักงานใหญ่ๆ มากมาย อาทิ อาคารทรู ธนาคารอาคารสงเคราะห์ อาคารฟอร์จูน มีโรงแรม 3-4 แห่ง มีศูนย์การค้า ทั้งโรบินสัน เอสพลานาด และยังมีเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน อนาคตก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มเกิดขึ้นด้วย ซึ่งทางกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้แจ้งให้ผู้ประกอบการทราบถึงการประมูลที่ดินดังกล่าว จึงได้เข้าร่วมประมูล เพราะนโยบายของบริษัทได้มีการหาซื้อที่ดินอยู่ทุกอาทิตย์ และที่ดินแปลงขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมืองก็หายาก ซึ่งราคาที่บริษัทประมูลก็เป็นไปตามราคาตลาด แม้เมื่อก่อนราคาที่คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จะชนะการประมูลไปในราคา 772 ล้านบาท แต่โดยปกติที่ดินใจกลางเมืองจะมีการปรับราคาขึ้น 2.5 เท่าในรอบ 10 ปี ซึ่งบริษัทก็ซื้อมาใกล้เคียงกับราคาตลาด เมื่อรวมกับภาษี ค่าธรรมเนียม ก็มีมูลค่าประมาณ 1,900 ล้านบาท
++วางแผนการพัฒนาอย่างไร
เชื่อว่าถนนรัชดาฯจะกลายเป็นเหมือนถนนออชาร์ด เหมือนที่ประเทศสิงคโปร์ หรืออย่างถนนสุขุมวิทในปัจจุบัน ที่เมื่อก่อนซอย 24 หรือซอย 55 ไม่ได้เจริญ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจุบันก็มีการพัฒนาเกิดขึ้นมากมาย มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาทำงาน และพักอาศัย ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าววางแผนคร่าวๆ ว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ อาจจะมี 10 อาคาร สูง 10 ชั้น ขนาดห้องจะมีตั้งแต่ 1-3 ห้อง ขนาด 50-100 ตารางเมตร ราคาขายน่าจะประมาณยูนิตละ 3-10 ล้านบาท เป็นการจัดตลาดไฮเอนด์ โดยไม่ทำห้องสตูดิโอเลยจึงจะไม่ไปกินตลาดกับโครงการของบริษัทที่จะพัฒนาในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าโครงการจะพัฒนาเป็นพื้นที่พาณิชย์ อาจจะมีร้านค้าด้านหน้าโครงการ มูลค่าโครงการคงจะมีประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งปีหน้าจะเริ่มเปิดการขาย และจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 3-4 ปี
++ยังพัฒนาคอนโดฯ
ตลาดคอนโดมิเนียมยังเป็นตลาดที่มีความต้องการอยู่มาก ปัจจุบันดีมานด์และซัพพลายก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่ได้โอเวอร์ซัพพลาย เศรษฐกิจไทยยังเป็นช่วงขาขึ้น ซึ่งบริษัทยังมีแผนการพัฒนาคอนโดฯ อีก 4 โครงการนับจากนี้ มูลค่ารวมกว่า 7,000-8,000 ล้านบาท จะเปิดตัวเดือนกันยายน 1โครงการ ที่ข้างสถานทูตญี่ปุ่นเดิม ราคาขายประมาณตารางเมตรละ 70,000-90,000 บาท เป็นอาคารสูงประมาณ 35-37 ชั้น ใช้แบรนด์ศุภาลัย พรีเมียร์ เดือนตุลาคมเปิด 2 โครงการในย่านเอกมัย-ทองหล่อ และแคราย ระดับราคาขายตารางเมตรละ 50,000-60,000 บาท น่าจะเป็นแบรนด์ศุภาลัยปาร์ค และเดือนพฤศจิกายนจะเปิดอีก 1 โครงการย่านรัชดาฯ-ประชาอุทิศ ระดับราคา ยูนิตละ 1-3 ล้านบาท ใช้แบรนด์ซิตี้โฮม ซึ่งการที่บริษัทพัฒนาโครงการคอนโดฯ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นว่ายังมีความต้องการ ประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังดี แนวโน้มดอกเบี้ยก็อาจจะไม่ปรับขึ้น กำลังซื้อก็ยังมีอยู่มากด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 27
xRTR> SPALI:"ซิตี้กรุ๊ป"แนะซื้อ SPALI, ให้ราคาเป้าหมาย 18.8 บาทหลังยอดพรีเซลแกร่ง
กรุงเทพ--23 ส.ค.--รอยเตอร์
ซิตี้กรุ๊ปได้ให้คำแนะนำ "ซื้อ" หุ้นบมจ.ศุภาลัย <SPAL.BK> และให้
ราคาเป้าหมายที่ 18.8 บาท โดยระบุถึงการขยายตัวของยอดพรีเซลที่แข็งแกร่ง
"ศุภาลัยเป็นผู้ประกอบการที่มีสถานะแข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ของไทย โดยมีการขยายตัวของยอดพรีเซลสูงถึง 102% ในไตรมาส 2 ของปีนี้"
ซิตี้กรุ๊ประบุในบทวิจัยวันที่ 22 ส.ค.
ซิตี้กรุ๊ประบุว่า
ศุภาลัยเป็นหุ้นชั้นนำในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเลือกถือ ณ เวลา 10.27 น. หุ้น SPALI ร่วงลง 1.4% สู่ 14.20 บาท ขณะที่
ดัชนี SET ปรับตัวลง 0.32%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย กัลยาณี ชีวะพานิช แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)
(([email protected]; โทร 0-2648-9741;
Reuters Messaging; kallayanee.cheevapanich.reuters.com @reuters.net))
กรุงเทพ--23 ส.ค.--รอยเตอร์
ซิตี้กรุ๊ปได้ให้คำแนะนำ "ซื้อ" หุ้นบมจ.ศุภาลัย <SPAL.BK> และให้
ราคาเป้าหมายที่ 18.8 บาท โดยระบุถึงการขยายตัวของยอดพรีเซลที่แข็งแกร่ง
"ศุภาลัยเป็นผู้ประกอบการที่มีสถานะแข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ของไทย โดยมีการขยายตัวของยอดพรีเซลสูงถึง 102% ในไตรมาส 2 ของปีนี้"
ซิตี้กรุ๊ประบุในบทวิจัยวันที่ 22 ส.ค.
ซิตี้กรุ๊ประบุว่า
ศุภาลัยเป็นหุ้นชั้นนำในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเลือกถือ ณ เวลา 10.27 น. หุ้น SPALI ร่วงลง 1.4% สู่ 14.20 บาท ขณะที่
ดัชนี SET ปรับตัวลง 0.32%--จบ--
(รอยเตอร์ โดย กัลยาณี ชีวะพานิช แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)
(([email protected]; โทร 0-2648-9741;
Reuters Messaging; kallayanee.cheevapanich.reuters.com @reuters.net))
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 28
ช้อปหุ้นอสังหา
PS-SPALI-AP
รับกำไรเติบโต
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2554
ผู้เข้าชม : 145 คน
อสังหาฯเสน่ห์ยังแรง! วงการให้น้ำหนักลงทุน "มากกว่าตลาด" ส่องครึ่งปีหลังผลงานดีต่อเนื่อง พร้อมรับประโยชน์นโยบายรัฐบาลใหม่ "บ้านหลังแรกกู้ 0%-ขึ้นค่าแรง" หนุนกำลังซื้อเพิ่ม ชู "PS-SPALI-AP-RAIMON" เด่น เชียร์ซื้อรับกำไรเติบโต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ยังคงคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (พัฒนาที่อยู่อาศัย) ให้น้ำหนัก "มากกว่าตลาด" หลังจากมีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก "เท่ากับตลาด" เป็น "มากกว่าตลาด" มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 เนื่องจากทิศทางของผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีหลังของปี 2554 โดยเลือก 4 บริษัทเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ให้ราคาเหมาะสม (Fair Value) อยู่ที่ 23.98 บาท ซึ่งจะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อบ้านหลังแรกที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทเต็มที่
บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ให้ Fair Value 19 บาท เนื่องจากมีแผนการเปิดโครงการเชิงรุกที่ต่อเนื่องจากครึ่งปีหลังของปี 2554 ไปถึงปี 2555 จะผลักดันการเติบโตของกำไร บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) ให้ Fair Value 7.58 บาท คาดว่าผลประกอบการในงวดไตรมาสที่ 3/54 จะเป็นจุดสูงสุดของปี 2554 และ บมจ.ไรมอนแลนด์ (RAIMON) ให้ Fair Value 2.52 บาท ณ สิ้นปี 2555 เชื่อว่าจะเห็นการพลิกกลับของผลประกอบการจากขาดทุน 214 ล้านบาทในปี 2554 มาเป็นกำไรกว่า 2 พันล้านบาทในปี 2555
สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยยังมีปัจจัยขับเคลื่อนเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่ ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่เชื่อว่าได้เดินทางมาถึงจุดปลายทางของขาขึ้นแล้ว ทั้งนี้ประเมินจากทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่ติดลบน้อยลงมาก และเงินเฟ้อครึ่งปีหลังของปี 2554 ที่ลดความร้อนแรงลง
ส่วนอีกปัจจัยขับเคลื่อนได้แก่นโยบายของรัฐบาลใหม่ในส่วนของการสนับสนุนให้มีบ้านหลังแรกผ่านการปล่อยกู้อัตราดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปี และการกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัยทางอ้อมผ่านการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และรายได้ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อบ้านเฉพาะอย่างยิ่งราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ทุกองค์ประกอบของการดำเนินงานในงวดไตรมาสที่ 2/54 ของ 14 บริษัทในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย แสดงพัฒนาการในทางบวก เริ่มจากยอดขาย (Presale) ที่ปรับเพิ่มขึ้น 64% จากไตรมาสที่ 1/54 มาอยู่ที่ 5.64 หมื่นล้านบาท การบันทึกรายได้ปรับเพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสที่ 1/54 มาอยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรปกติ (Norm Profit Margin) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 13.17% ในงวดไตรมาสที่ 1/54 มาเป็น 14.17% ซึ่งทำให้กำไรจากการดำเนินงานปกติปรับเพิ่มขึ้น 39.8% จากไตรมาสที่ 1/54 และเพิ่มขึ้น 29.3% จากไตรมาสที่ 2/53 มาอยู่ที่ 5.39 พันล้านบาท
ทางด้านกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ติดลบน้อยลงจาก -9.66 พันล้านบาท เหลือเพียง -746 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกอย่างมาก ส่วนโครงสร้างการเงิน Net Gearing ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.94 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่ควบคุมได้ และมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ สถานะเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2/54 บริษัทจดทะเบียน 14 แห่งใน Coverage ของฝ่ายวิจัย ยังมี Backlog คงเหลือมากกว่า 1.66 แสนล้านบาท นับเป็นหลักประกันที่ดีของผลประกอบการในอนาคต ทั้งนี้โดยโครงสร้างของ Backlog พบว่า 1.25 แสนล้านบาท หรือ 75% เป็นกลุ่มสินค้าประเภทคอนโดฯ ส่วนที่เหลืออีก 4.09 หมื่นล้านบาทเป็นโครงการแนวราบ ซึ่งทั้งหมดจะถูกบันทึกรายได้ทันภายในครึ่งปีหลังของปี 2554
<< Back
http://www.kaohoon.com/daily/13587/ช้อป ... เติบโต.htm
PS-SPALI-AP
รับกำไรเติบโต
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2554
ผู้เข้าชม : 145 คน
อสังหาฯเสน่ห์ยังแรง! วงการให้น้ำหนักลงทุน "มากกว่าตลาด" ส่องครึ่งปีหลังผลงานดีต่อเนื่อง พร้อมรับประโยชน์นโยบายรัฐบาลใหม่ "บ้านหลังแรกกู้ 0%-ขึ้นค่าแรง" หนุนกำลังซื้อเพิ่ม ชู "PS-SPALI-AP-RAIMON" เด่น เชียร์ซื้อรับกำไรเติบโต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ยังคงคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (พัฒนาที่อยู่อาศัย) ให้น้ำหนัก "มากกว่าตลาด" หลังจากมีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก "เท่ากับตลาด" เป็น "มากกว่าตลาด" มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 เนื่องจากทิศทางของผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีหลังของปี 2554 โดยเลือก 4 บริษัทเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ให้ราคาเหมาะสม (Fair Value) อยู่ที่ 23.98 บาท ซึ่งจะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อบ้านหลังแรกที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทเต็มที่
บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ให้ Fair Value 19 บาท เนื่องจากมีแผนการเปิดโครงการเชิงรุกที่ต่อเนื่องจากครึ่งปีหลังของปี 2554 ไปถึงปี 2555 จะผลักดันการเติบโตของกำไร บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) ให้ Fair Value 7.58 บาท คาดว่าผลประกอบการในงวดไตรมาสที่ 3/54 จะเป็นจุดสูงสุดของปี 2554 และ บมจ.ไรมอนแลนด์ (RAIMON) ให้ Fair Value 2.52 บาท ณ สิ้นปี 2555 เชื่อว่าจะเห็นการพลิกกลับของผลประกอบการจากขาดทุน 214 ล้านบาทในปี 2554 มาเป็นกำไรกว่า 2 พันล้านบาทในปี 2555
สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยยังมีปัจจัยขับเคลื่อนเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่ ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่เชื่อว่าได้เดินทางมาถึงจุดปลายทางของขาขึ้นแล้ว ทั้งนี้ประเมินจากทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงที่ติดลบน้อยลงมาก และเงินเฟ้อครึ่งปีหลังของปี 2554 ที่ลดความร้อนแรงลง
ส่วนอีกปัจจัยขับเคลื่อนได้แก่นโยบายของรัฐบาลใหม่ในส่วนของการสนับสนุนให้มีบ้านหลังแรกผ่านการปล่อยกู้อัตราดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปี และการกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัยทางอ้อมผ่านการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และรายได้ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อบ้านเฉพาะอย่างยิ่งราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ทุกองค์ประกอบของการดำเนินงานในงวดไตรมาสที่ 2/54 ของ 14 บริษัทในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย แสดงพัฒนาการในทางบวก เริ่มจากยอดขาย (Presale) ที่ปรับเพิ่มขึ้น 64% จากไตรมาสที่ 1/54 มาอยู่ที่ 5.64 หมื่นล้านบาท การบันทึกรายได้ปรับเพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสที่ 1/54 มาอยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรปกติ (Norm Profit Margin) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 13.17% ในงวดไตรมาสที่ 1/54 มาเป็น 14.17% ซึ่งทำให้กำไรจากการดำเนินงานปกติปรับเพิ่มขึ้น 39.8% จากไตรมาสที่ 1/54 และเพิ่มขึ้น 29.3% จากไตรมาสที่ 2/53 มาอยู่ที่ 5.39 พันล้านบาท
ทางด้านกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ติดลบน้อยลงจาก -9.66 พันล้านบาท เหลือเพียง -746 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกอย่างมาก ส่วนโครงสร้างการเงิน Net Gearing ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.94 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่ควบคุมได้ และมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ สถานะเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2/54 บริษัทจดทะเบียน 14 แห่งใน Coverage ของฝ่ายวิจัย ยังมี Backlog คงเหลือมากกว่า 1.66 แสนล้านบาท นับเป็นหลักประกันที่ดีของผลประกอบการในอนาคต ทั้งนี้โดยโครงสร้างของ Backlog พบว่า 1.25 แสนล้านบาท หรือ 75% เป็นกลุ่มสินค้าประเภทคอนโดฯ ส่วนที่เหลืออีก 4.09 หมื่นล้านบาทเป็นโครงการแนวราบ ซึ่งทั้งหมดจะถูกบันทึกรายได้ทันภายในครึ่งปีหลังของปี 2554
<< Back
http://www.kaohoon.com/daily/13587/ช้อป ... เติบโต.htm
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 29
Home อสังหา อสังหาฯ Real Estate ที่ดินรัชดาฯผงาดนิวซีบีดี ฟันธงอีก2ปีธุรกิจครบวงจร
Air conditioners
ที่ดินรัชดาฯผงาดนิวซีบีดี ฟันธงอีก2ปีธุรกิจครบวงจร
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:18 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ Real Estate
User Rating: / 0
แย่ดีที่สุด
ที่ดินรัชดาฯอนาคตใส "ศุภาลัย"ควัก 1.8 พันล้านคว้าที่ดินแปลงงาม 33 ไร่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 2 บิ๊ก บริษัทวิจัยและที่ดินอสังหาฯชี้รัชดาฯ จะกลายเป็นนิวซีบีดี มีรถไฟฟ้าสายสีส้มเพิ่มอีกเส้น แถมผังเมืองรวมใหม่กำหนดให้เป็นพื้นที่สีส้ม สามารถพัฒนาเป็นโรงแรม คอนโดมิเนียม คอมมิวนิตีมอลล์ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้าได้ ด้านค่ายพฤกษา ฟันธงรัชดาฯจะกลายเป็นย่านธุรกิจใจกลางเมืองแห่งใหม่ ในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ก่อสร้างอาคารเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นมากกว่า 8 แสนตารางเมตร
นายวสันต์ คงจันทน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ที่ดินจำนวนกว่า 33 ไร่ ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูลไปด้วยวงเงิน 1,810 ล้านบาท หรือเฉลี่ยที่ราคาตารางวาละ 137,000 บาท เกือบ 140,000 บาท เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดที่มีการซื้อขายกัน เพราะเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ที่มีการซื้อขายอยู่ที่ตารางวาละ 140,000-150,000 บาท เนื่องจากอยู่ในซอยเทียมร่วมมิตร ซึ่งเป็นถนนสายรอง จากถนนรัชดาภิเษก ส่วนที่ดินแปลงเล็ก ขนาด 2-4 ไร่ หากติดถนนรัชดาฯ จะมีราคาเฉลี่ย 300,00-400,000 บาทต่อตารางวา และถ้าเข้าซอยติดถนนเทียมร่วมมิตร ขนาดแปลงละ 2-4ไร่ จะมีราคา 2,000,000-2,500,000 บาทต่อตารางวา
ที่ดินแปลงดังกล่าวถือว่ามีศักยภาพมาก เนื่องจากในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้ม เส้นทางมีนบุรี- บางกะปิ - ศูนย์วัฒนธรรมฯ- อนุสาวรีย์ฯ- ตลิ่งชัน พาดผ่านบริเวณด้านหน้าแปลงที่ดิน ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ราคาที่ดินน่าจะขยับขึ้นอีกประมาณ 20 % ส่วนการพัฒนาผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครกำหนดให้เป็นพื้นที่สีส้มหรือ ย.6 (ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง) มีสัดส่วนอาคารต่อพื้นที่ดิน หรือ เอฟเออาร์ 4.5 เท่า สามารถพัฒนาเป็นโรงแรม คอนโดมิเนียม คอมมิวนิตีมอลล์ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า
"ประเมินว่าที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นที่ดินแปลงใหญ่ บริษัทศุภาลัยฯ น่าจะพัฒนาเป็นแบบมิกซ์ยูส ด้านในเป็นคอนโดมิเนียม นับ 1,000 หน่วย ด้านหน้าเป็นโรงแรม และคอมมิวนิตีมอลล์ ฯลฯ ในอนาคต ทำเลย่านรัชดาภิเษก ตัดลาดพร้าว และทะลุออก รามอินทรา เกษตรฯ-นวมินทร์ แนวโน้ม จะกลายเป็นนิวซีบีดี หรือ ศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ และจะเป็นรองน้องๆสยามสแควร์ เนื่องจากปัจจุบันการพัฒนามีการปรับเปลี่ยนจากที่อยู่อาศัยเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้นมีห้างสรรพสินค้าเช็นทรัล เอสพลานาด ไนท์บาซาร์ สถานบันเทิง แหล่งงาน ตลอดจนมีรถไฟฟ้าใต้ดินเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอสอำนวยความสะดวก เรียกว่าทำเลนี้ มีจุดเด่นที่ต่างจากที่อื่นคือ กลางวันเป็นแหล่งงานและที่อยู่อาศัย ช่วงกลางคืนเป็นย่านพาณิชยกรรม" นายวสันต์ กล่าว
ด้านดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กล่าวว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวที่บริษัท ศุภาลัยฯ ชนะประมูลถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะเชื่อว่ารัฐได้กำไรจากราคาที่ดินแปลงดังกล่าว เนื่องจากเมื่อปี 2546 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้คุณหญิงพจมาน (ชินวัตร) ณ ป้อมเพชร ในราคา 772 ล้านบาท แต่ต่อมาได้ซื้อคืนมา และขายได้ในราคา 1,802 ล้านบาท เท่ากับขายได้ถึง 2.35 เท่าของราคาเดิม หรือเท่ากับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นถึง 11.3% ต่อปี ซึ่งนับว่าสูงมาก
ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจภาคสนาม ยังพบว่า ราคาที่ดินขนาด 16 ไร่ ติดถนนรัชดาภิเษก ตรงบริเวณทศพลแลนด์ หากมีการขายจะเป็นเงินปัจจุบันประมาณ 310,000 บาท แต่เมื่อปี 2546 หากขายจะคิดเป็นเงินเพียง 150,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นปีละเฉลี่ย 9.5% ดังนั้นอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินใกล้ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยแปลงนี้ ที่ 11.3% จึงถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปบนถนนรัชดาภิเษก
ดร.โสภณ กล่าวอีกว่า ที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อปี 2546 ประมูลไป ณ ราคา 772 ล้านบาท นี้ติดถนนรัชดาภิเษก หรือตารางวาละ 58,125 บาท แต่นี่คิดเป็นเงินตารางวาละ 136,653 บาทซึ่งแม้จะต่ำกว่าที่ดินติดถนนรัชดาภิเษกที่มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน แต่ก็ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะมีขนาดใหญ่กว่ามาก อยู่ห่างไกลจากรถไฟฟ้ากว่า และถือว่าเป็นราคาใกล้เคียงกับที่ดินที่อยู่ติดถนนพระราม 9 ซึ่งห่างไกลจากรถไฟฟ้า โดยในปี 2546 ที่ดินติดถนนพระราม 9 มีราคาประมาณ 60% ของที่ดินติดรัชดาภิเษก แต่ปีนี้ราคาที่ดินถนนพระราม 9 มีราคาเพียง 43% ของราคาที่ดินติดถนนรัชดาภิเษก
ขณะที่นางสาวพรภักษ์ บูรณ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนรัชดาภิเษก มีซัพพลายเหลือขายอยู่ประมาณ 922 หน่วย มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใช้ระยะเวลาอีก 8 เดือนก็จะสามารถขายหมดได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านดังกล่าวเพียง 4 โครงการรวม 600 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 2,800 ล้านบาท เป็นห้องชุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เป็นหลักสัดส่วน 50% และเป็นระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท 25% และสูงกว่ายูนิตละ 5 ล้านบาทอีก 25% แต่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีห้องชุดระดับราคาต่ำกว่าล้านบาทเปิดตัวออกมา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินปรับตัวสูง โดยราคาที่ดินติดถนนราคาไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาทต่อตารางวา ส่วนที่ดินที่อยู่ในซอยจะราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อตารางวา
สำหรับแนวโน้มการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าจะมีการพัฒนาออกมาไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย รวมมูลค่า 8,000-9,000 ล้านบาท จากที่มีผู้ประกอบการได้วางแผนเปิดตัวโครงการไม่ต่ำกว่า 5 บริษัท อาทิ บริษัท คาซ่า จำกัด บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ จำกัด บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท ปัญฐิญา จำกัด
ขณะที่ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้มีการซื้อที่ดินกว่า 2 ไร่ติดถนนรัชดาภิเษกตารางวาละ 4 แสนบาท เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ "ไอวี่ แอมพิโอ" อาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 289 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 1 แสนบาท ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2556 โดยหลังจากนั้นก็มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซื้อที่ดินแปลงใกล้กับบริษัท พฤกษาฯ ในราคาตารางวาละ 6 แสนบาท
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ บริษัท พฤกษาฯ ได้มีการวิเคราะห์ที่ดินบนถนนรัชดาฯมีความพร้อมที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก และจะกลายเป็นย่านธุรกิจใจกลางเมืองแห่งใหม่ ในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ก่อสร้างอาคารเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นมากกว่า 8 แสนตารางเมตร อาทิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ แคปปิตอล มาร์เก็ต ทาวเวอร์, อาคารสำนักงานบริษัท เอไอเอฯ อีกทั้งยังมีโรงแรม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 ไม่นับรวมกับโรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งจะทำให้พื้นที่ในย่านรัชดาภิเษกเป็นทั้งแหล่งงาน และการพักอาศัย ขณะเดียวกันจากระบบเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินที่เปิดให้ดำเนินการอยู่แล้ว ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้ในอนาคต พื้นที่ดังกล่าวจะกลายเป็นย่านธุรกิจสำคัญได้ไม่ยากนัก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
http://www.thanonline.com/index.php?opt ... Itemid=478
Air conditioners
ที่ดินรัชดาฯผงาดนิวซีบีดี ฟันธงอีก2ปีธุรกิจครบวงจร
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 12:18 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ อสังหา Real Estate - อสังหาฯ Real Estate
User Rating: / 0
แย่ดีที่สุด
ที่ดินรัชดาฯอนาคตใส "ศุภาลัย"ควัก 1.8 พันล้านคว้าที่ดินแปลงงาม 33 ไร่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 2 บิ๊ก บริษัทวิจัยและที่ดินอสังหาฯชี้รัชดาฯ จะกลายเป็นนิวซีบีดี มีรถไฟฟ้าสายสีส้มเพิ่มอีกเส้น แถมผังเมืองรวมใหม่กำหนดให้เป็นพื้นที่สีส้ม สามารถพัฒนาเป็นโรงแรม คอนโดมิเนียม คอมมิวนิตีมอลล์ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้าได้ ด้านค่ายพฤกษา ฟันธงรัชดาฯจะกลายเป็นย่านธุรกิจใจกลางเมืองแห่งใหม่ ในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ก่อสร้างอาคารเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นมากกว่า 8 แสนตารางเมตร
นายวสันต์ คงจันทน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ที่ดินจำนวนกว่า 33 ไร่ ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการประมูลไปด้วยวงเงิน 1,810 ล้านบาท หรือเฉลี่ยที่ราคาตารางวาละ 137,000 บาท เกือบ 140,000 บาท เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดที่มีการซื้อขายกัน เพราะเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ที่มีการซื้อขายอยู่ที่ตารางวาละ 140,000-150,000 บาท เนื่องจากอยู่ในซอยเทียมร่วมมิตร ซึ่งเป็นถนนสายรอง จากถนนรัชดาภิเษก ส่วนที่ดินแปลงเล็ก ขนาด 2-4 ไร่ หากติดถนนรัชดาฯ จะมีราคาเฉลี่ย 300,00-400,000 บาทต่อตารางวา และถ้าเข้าซอยติดถนนเทียมร่วมมิตร ขนาดแปลงละ 2-4ไร่ จะมีราคา 2,000,000-2,500,000 บาทต่อตารางวา
ที่ดินแปลงดังกล่าวถือว่ามีศักยภาพมาก เนื่องจากในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้ม เส้นทางมีนบุรี- บางกะปิ - ศูนย์วัฒนธรรมฯ- อนุสาวรีย์ฯ- ตลิ่งชัน พาดผ่านบริเวณด้านหน้าแปลงที่ดิน ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ราคาที่ดินน่าจะขยับขึ้นอีกประมาณ 20 % ส่วนการพัฒนาผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครกำหนดให้เป็นพื้นที่สีส้มหรือ ย.6 (ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง) มีสัดส่วนอาคารต่อพื้นที่ดิน หรือ เอฟเออาร์ 4.5 เท่า สามารถพัฒนาเป็นโรงแรม คอนโดมิเนียม คอมมิวนิตีมอลล์ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า
"ประเมินว่าที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นที่ดินแปลงใหญ่ บริษัทศุภาลัยฯ น่าจะพัฒนาเป็นแบบมิกซ์ยูส ด้านในเป็นคอนโดมิเนียม นับ 1,000 หน่วย ด้านหน้าเป็นโรงแรม และคอมมิวนิตีมอลล์ ฯลฯ ในอนาคต ทำเลย่านรัชดาภิเษก ตัดลาดพร้าว และทะลุออก รามอินทรา เกษตรฯ-นวมินทร์ แนวโน้ม จะกลายเป็นนิวซีบีดี หรือ ศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ และจะเป็นรองน้องๆสยามสแควร์ เนื่องจากปัจจุบันการพัฒนามีการปรับเปลี่ยนจากที่อยู่อาศัยเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้นมีห้างสรรพสินค้าเช็นทรัล เอสพลานาด ไนท์บาซาร์ สถานบันเทิง แหล่งงาน ตลอดจนมีรถไฟฟ้าใต้ดินเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอสอำนวยความสะดวก เรียกว่าทำเลนี้ มีจุดเด่นที่ต่างจากที่อื่นคือ กลางวันเป็นแหล่งงานและที่อยู่อาศัย ช่วงกลางคืนเป็นย่านพาณิชยกรรม" นายวสันต์ กล่าว
ด้านดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กล่าวว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวที่บริษัท ศุภาลัยฯ ชนะประมูลถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะเชื่อว่ารัฐได้กำไรจากราคาที่ดินแปลงดังกล่าว เนื่องจากเมื่อปี 2546 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้คุณหญิงพจมาน (ชินวัตร) ณ ป้อมเพชร ในราคา 772 ล้านบาท แต่ต่อมาได้ซื้อคืนมา และขายได้ในราคา 1,802 ล้านบาท เท่ากับขายได้ถึง 2.35 เท่าของราคาเดิม หรือเท่ากับราคาที่ดินเพิ่มขึ้นถึง 11.3% ต่อปี ซึ่งนับว่าสูงมาก
ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจภาคสนาม ยังพบว่า ราคาที่ดินขนาด 16 ไร่ ติดถนนรัชดาภิเษก ตรงบริเวณทศพลแลนด์ หากมีการขายจะเป็นเงินปัจจุบันประมาณ 310,000 บาท แต่เมื่อปี 2546 หากขายจะคิดเป็นเงินเพียง 150,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นปีละเฉลี่ย 9.5% ดังนั้นอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินใกล้ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยแปลงนี้ ที่ 11.3% จึงถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปบนถนนรัชดาภิเษก
ดร.โสภณ กล่าวอีกว่า ที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อปี 2546 ประมูลไป ณ ราคา 772 ล้านบาท นี้ติดถนนรัชดาภิเษก หรือตารางวาละ 58,125 บาท แต่นี่คิดเป็นเงินตารางวาละ 136,653 บาทซึ่งแม้จะต่ำกว่าที่ดินติดถนนรัชดาภิเษกที่มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน แต่ก็ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะมีขนาดใหญ่กว่ามาก อยู่ห่างไกลจากรถไฟฟ้ากว่า และถือว่าเป็นราคาใกล้เคียงกับที่ดินที่อยู่ติดถนนพระราม 9 ซึ่งห่างไกลจากรถไฟฟ้า โดยในปี 2546 ที่ดินติดถนนพระราม 9 มีราคาประมาณ 60% ของที่ดินติดรัชดาภิเษก แต่ปีนี้ราคาที่ดินถนนพระราม 9 มีราคาเพียง 43% ของราคาที่ดินติดถนนรัชดาภิเษก
ขณะที่นางสาวพรภักษ์ บูรณ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนรัชดาภิเษก มีซัพพลายเหลือขายอยู่ประมาณ 922 หน่วย มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใช้ระยะเวลาอีก 8 เดือนก็จะสามารถขายหมดได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่ในย่านดังกล่าวเพียง 4 โครงการรวม 600 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 2,800 ล้านบาท เป็นห้องชุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เป็นหลักสัดส่วน 50% และเป็นระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาท 25% และสูงกว่ายูนิตละ 5 ล้านบาทอีก 25% แต่ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีห้องชุดระดับราคาต่ำกว่าล้านบาทเปิดตัวออกมา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินปรับตัวสูง โดยราคาที่ดินติดถนนราคาไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาทต่อตารางวา ส่วนที่ดินที่อยู่ในซอยจะราคาไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อตารางวา
สำหรับแนวโน้มการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าจะมีการพัฒนาออกมาไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วย รวมมูลค่า 8,000-9,000 ล้านบาท จากที่มีผู้ประกอบการได้วางแผนเปิดตัวโครงการไม่ต่ำกว่า 5 บริษัท อาทิ บริษัท คาซ่า จำกัด บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ จำกัด บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท ปัญฐิญา จำกัด
ขณะที่ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้มีการซื้อที่ดินกว่า 2 ไร่ติดถนนรัชดาภิเษกตารางวาละ 4 แสนบาท เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ "ไอวี่ แอมพิโอ" อาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 289 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 1 แสนบาท ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2556 โดยหลังจากนั้นก็มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซื้อที่ดินแปลงใกล้กับบริษัท พฤกษาฯ ในราคาตารางวาละ 6 แสนบาท
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ บริษัท พฤกษาฯ ได้มีการวิเคราะห์ที่ดินบนถนนรัชดาฯมีความพร้อมที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก และจะกลายเป็นย่านธุรกิจใจกลางเมืองแห่งใหม่ ในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ก่อสร้างอาคารเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นมากกว่า 8 แสนตารางเมตร อาทิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ แคปปิตอล มาร์เก็ต ทาวเวอร์, อาคารสำนักงานบริษัท เอไอเอฯ อีกทั้งยังมีโรงแรม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 ไม่นับรวมกับโรงแรม ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งจะทำให้พื้นที่ในย่านรัชดาภิเษกเป็นทั้งแหล่งงาน และการพักอาศัย ขณะเดียวกันจากระบบเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินที่เปิดให้ดำเนินการอยู่แล้ว ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้ในอนาคต พื้นที่ดังกล่าวจะกลายเป็นย่านธุรกิจสำคัญได้ไม่ยากนัก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,663 21- 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
http://www.thanonline.com/index.php?opt ... Itemid=478
-
- Verified User
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ครึ่งปีหลังกับการ TURN AROUND ของกลุ่ม PROPERTY ????????
โพสต์ที่ 30
รัฐบาลลดน้ำมันสกัดดอกเบี้ย
29 สิงหาคม 2554 เวลา 08:06 น. | เปิดอ่าน 199 | ความคิดเห็น 0
หุ้นบ้านที่ดินเช่าซื้อรถยนต์ยิ้มPSส่อล้มแผนขายหุ้นกู้3พันล.
รัฐบาลได้สองเด้ง ลดราคาน้ำมันสยบเงินเฟ้อ กดดอกเบี้ยขึ้นไม่ไหว คาดดีต่อหุ้นอสังหาฯเช่าซื้อ พฤกษาฯ เสือปืนไวส่อล้มแผนออกหุ้นกู้ จ่อขายบีอีแทน
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 91 เบนซิน 95 และดีเซล ที่ลดลงลิตรละ 6.70, 7.54 และ 2.80 บาทชั่วคราวนั้น จะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับขึ้นอีก 0.25% เพียง 1 ครั้ง จากที่เหลือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 2 ครั้ง ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.5%
“ดอกเบี้ยไม่เพิ่มสูงมาก จะเป็นผลดีกับการบริโภคในประเทศ และจะส่งผลเชิงจิตวิทยาให้หุ้นกลุ่มที่พักอาศัยและเช่าซื้อดีขึ้น และหุ้นกลุ่มนี้ยังได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรกและรถยนต์คันแรกด้วย” บล.ดีบีเอสฯ ระบุ
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มที่พักอาศัย ยานยนต์ และเช่าซื้อมากขึ้น โดยหุ้นเด่นในกลุ่มที่พักอาศัย คือ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) บริษัท ศุภาลัย (SPALI)
สำหรับหุ้นเด่นกลุ่มยานยนต์เป็นบริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) และหุ้นเด่นกลุ่มเช่าซื้อ ได้แก่ บริษัท ทุนธนชาต (TCAP) บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (TISCO)
ด้านนายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เปิดเผยว่า กรณีการเมืองส่งสัญญาณให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หยุดใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้ออย่างเดียว ส่งผลให้บริษัทต้องหันมาพิจารณาแผนทางการเงินให้รอบคอบมากขึ้น เพราะตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีนี้จะต้องปรับขึ้นอีกหรือไม่ จากเดิมมั่นใจอนาคตดอกเบี้ยต้องปรับขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทเคยมีแผนออกเครื่องมือทางการเงินทั้งหมด 5,000 ล้านบาท เพื่อนำไปขยายการลงทุนโครงการต่างๆ แบ่งเป็น ตั๋วเงินระยะสั้น (บีอี) จำนวน 2,000 ล้านบาท และออกหุ้นกู้อีก 3,000 ล้านบาท ในเดือน พ.ย.นี้
“ตอนนี้ต้องรอดูก่อนว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร เพราะดูเหมือนความชัดเจนการดูแลเสถียรภาพทางดอกเบี้ยจะยังไม่นิ่ง ดังนั้นส่วนที่บริษัทเคยคิดจะออกเป็นหุ้นกู้ทั้งหมด 3,000 ล้านบาท คงจะต้องชะลอไว้ก่อน เพราะบริษัทอาจจะออกเป็นตั๋วบีอีระยะสั้นเพิ่ม เนื่องจากมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ถูกกว่า หรือจะออกเป็นหุ้นกู้เหมือนเดิม หรืออาจจะพิจารณาออกเป็นเครื่องมือการเงินอื่นก็ได้”
อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องพิจารณาแผนการเงินให้เรียบร้อยก่อนเดือน ก.ย.ต.ค.นี้ เนื่องจากบริษัทถึงกำหนดชำระหุ้นกู้ทั้งหมด 1,500 ล้านบาท ในเดือน ม.ค. 2555
ด้านบริษัท โกลว์ พลังงาน จ่อขายหุ้นกู้วงเงิน 6,000 ล้านบาท โดยทริสเรทติ้งให้อันดับความน่าเชื่อถือที่ A
http://www.posttoday.com/เศรษฐกิจ-หุ้น/ ... ัดดอกเบี้ย
--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------
29 สิงหาคม 2554 เวลา 08:06 น. | เปิดอ่าน 199 | ความคิดเห็น 0
หุ้นบ้านที่ดินเช่าซื้อรถยนต์ยิ้มPSส่อล้มแผนขายหุ้นกู้3พันล.
รัฐบาลได้สองเด้ง ลดราคาน้ำมันสยบเงินเฟ้อ กดดอกเบี้ยขึ้นไม่ไหว คาดดีต่อหุ้นอสังหาฯเช่าซื้อ พฤกษาฯ เสือปืนไวส่อล้มแผนออกหุ้นกู้ จ่อขายบีอีแทน
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 91 เบนซิน 95 และดีเซล ที่ลดลงลิตรละ 6.70, 7.54 และ 2.80 บาทชั่วคราวนั้น จะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับขึ้นอีก 0.25% เพียง 1 ครั้ง จากที่เหลือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 2 ครั้ง ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.5%
“ดอกเบี้ยไม่เพิ่มสูงมาก จะเป็นผลดีกับการบริโภคในประเทศ และจะส่งผลเชิงจิตวิทยาให้หุ้นกลุ่มที่พักอาศัยและเช่าซื้อดีขึ้น และหุ้นกลุ่มนี้ยังได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรกและรถยนต์คันแรกด้วย” บล.ดีบีเอสฯ ระบุ
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มที่พักอาศัย ยานยนต์ และเช่าซื้อมากขึ้น โดยหุ้นเด่นในกลุ่มที่พักอาศัย คือ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) บริษัท ศุภาลัย (SPALI)
สำหรับหุ้นเด่นกลุ่มยานยนต์เป็นบริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) และหุ้นเด่นกลุ่มเช่าซื้อ ได้แก่ บริษัท ทุนธนชาต (TCAP) บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (TISCO)
ด้านนายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เปิดเผยว่า กรณีการเมืองส่งสัญญาณให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หยุดใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้ออย่างเดียว ส่งผลให้บริษัทต้องหันมาพิจารณาแผนทางการเงินให้รอบคอบมากขึ้น เพราะตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีนี้จะต้องปรับขึ้นอีกหรือไม่ จากเดิมมั่นใจอนาคตดอกเบี้ยต้องปรับขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทเคยมีแผนออกเครื่องมือทางการเงินทั้งหมด 5,000 ล้านบาท เพื่อนำไปขยายการลงทุนโครงการต่างๆ แบ่งเป็น ตั๋วเงินระยะสั้น (บีอี) จำนวน 2,000 ล้านบาท และออกหุ้นกู้อีก 3,000 ล้านบาท ในเดือน พ.ย.นี้
“ตอนนี้ต้องรอดูก่อนว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร เพราะดูเหมือนความชัดเจนการดูแลเสถียรภาพทางดอกเบี้ยจะยังไม่นิ่ง ดังนั้นส่วนที่บริษัทเคยคิดจะออกเป็นหุ้นกู้ทั้งหมด 3,000 ล้านบาท คงจะต้องชะลอไว้ก่อน เพราะบริษัทอาจจะออกเป็นตั๋วบีอีระยะสั้นเพิ่ม เนื่องจากมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ถูกกว่า หรือจะออกเป็นหุ้นกู้เหมือนเดิม หรืออาจจะพิจารณาออกเป็นเครื่องมือการเงินอื่นก็ได้”
อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องพิจารณาแผนการเงินให้เรียบร้อยก่อนเดือน ก.ย.ต.ค.นี้ เนื่องจากบริษัทถึงกำหนดชำระหุ้นกู้ทั้งหมด 1,500 ล้านบาท ในเดือน ม.ค. 2555
ด้านบริษัท โกลว์ พลังงาน จ่อขายหุ้นกู้วงเงิน 6,000 ล้านบาท โดยทริสเรทติ้งให้อันดับความน่าเชื่อถือที่ A
http://www.posttoday.com/เศรษฐกิจ-หุ้น/ ... ัดดอกเบี้ย
--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------