ถ้าเรามั่นใจมาก เราเล่นหุ้นแค่ 1-2 ตัวเลยดีมั้ย?

[aonzzung]

แทนที่จะกระจายตัวละ 20% -> 5 ตัว
ก็เล่นมัน 1-2 ตัวไปเลย

เพราะถ้ากระจายตัวละ 20% เกิดมีตัวนึงโต 100% ก็ทำให้พอรตโตแค่ 20%
แต่ถ้าเล่น 1-2 ตัว ถ้าตัวนึงมันโต 100% พอรตก็โต เกิน 50% แน่นอน

หรือมันเสี่ยงเกินไปครับ?

หลายๆครั้งที่กระจาย 5-6 ตัวแต่ในใจก็มั่นใจว่า หุ้น A ในกลุ่มจะขึ้นมากกว่าเพื่อน
แล้วก็ขึ้นมากจิงๆ แต่พอดูพอรตรวม ฮือๆ โตน้อยจังเลย เพราะตัวที่เหลือไม่ได้ขึ้นมากมายเท่าไร

[aonzzung]

แต่ก็แอบเชื่อ Peter Lynch นะเค้าว่าไว้ว่า
-การกระจายถือหุ้น จะช่วยให้คุณมีโอกาสเจอหุ้นเด้งมากขึ้น
-ไม่จำเป็นเราจะทายถูกทุกตัว หรือแม้แต่ทายถูกเป็นส่วนใหญ่
- อาจจะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพอรต ถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับหุ้น

เอาไงดี อยากโลภแบบมีหลักการ...

[ส.สลึง]

ปกติผมไม่เคยแบ่งถือหุ้นเท่าๆ กันเลยครับ
ที่ผ่านมาใช้วิธีแบ่งตามระดับความมั่นใจ
ถ้ามั่นใจมากก็ถือมากหน่อย
ถ้ามั่นใจน้อยกว่า ก็จะถือในสัดส่วนน้อยกว่า

ความจริงเราเป็นนักลงทุนรายย่อย
ได้เปรียบ ผจก. กองทุนเยอะครับ
เพราะพอร์ตเรา focus ได้

อย่างหุ้นตัวเดียวผมก็เคยถือมาแล้วครับ
ยอมรับว่ามันเสียวมาก
ชึ่งมันเกิดขึ้นเอง
แม้ว่าจะมั่นใจ
แต่คงเป็นเรื่องแล้วแต่บุคคลครับ

[lengmanutd]

ผมว่าการกระจายความเสี่ยง เป็นวิธีที่นักลงทุนทุกคนควรทำครับ เพราะผลตอบแทนที่ได้จะไม่ดูมากจนเกินไป (ในภาวะตลาดดี) หรือน้อยจนเกินไป (ในภาวะตลาดแย่) และส่วนตัวก็ใช้วิธีแบ่งตามระดับความมั่นใจเหมือนความคิดเห็นด้านบน เพราะแต่ละธุรกิจย่อมมีความโดดเด่นที่ต่างกัน และการมองอนาคตก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น บริษัทไหนที่คิดว่าอนาคตชัดเจนมากก็จะถือมาก อนาคตชัดเจนน้อยก็จะถือน้อยครับ

[kabu]

ผมว่าขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของระดับความมั่นใจของตัวเองกับขนาดของพอร์ทครับ
ถ้ามีเหตุผลรองรับระดับความมั่นใจเราดีพอแล้วก็พอร์ทไม่ใหญ่มาก ผมว่าการถือหุ้นน้อยตัวกลับช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนนะครับ

[ซุนเซ็ก]

กระจายความเสี่ยง = กระจายมั่งคั่ง
ถ้ามั่นใจมาก ซัดตัวเดียวทั้งพอร์ตหรือเน้นๆไม่เกิน3ตัว เลยครับ
แต่นี่เป็นสิ่งที่ควรระวังโดยเฉพาะมือใหม่ทุกคน
เพราะถ้าความมั่นใจนั้นเป็นความมั่นใจที่ผิด...จะสาหัส

แต่ถ้ามีความรู้พอและมั่นใจได้มากขนาดนั้น
การถือน้อยตัวเป็นวิธีที่จะบรรลุเป้าหมายได้ดีที่สุด
เหมือนที่ดันโดกล่าวไว้ "เดิมพันน้อยอย่าง เดิมพันหนักๆ ไม่เดิมพันบ่อย"

[sarawut_p]

โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า
แล้วแต่ความพอใจ + ความสามารถในการรับความเสี่ยงแต่ละคนครับ

สำหรับบางคน ถือหุ้น ๔ ตัว
ได้เด้ง ๑ ตัว ที่เหลือ ราคาขึ้นตามค่าเฉลี่ย บางตัวราคาคงตัว เค้าอาจจะพอใจแล้วก็ได้

โดยส่วนตัวผมเอง ผมคิดว่าไม่คงไม่กล้าถือหุ้น ๑-๒ ตัว เพราะความรู้ยังน้อยอยู่
และความแน่นอนที่สุดก็คือความไม่นอน อาจมีสิ่งสำคัญร้ายแรงที่ผมไม่รู้อยู่ก็ได้
หรืออาจจะมีเหตุการณ์ที่ผมไม่คาดคิดไว้ก็ได้ ผมเป็นพวก อนุรักษ์นิยมครับ

[ming1714]

1.มั่นใจพื้นฐานแต่ราคาไม่ไปไหน
2.มั่นใจพื้นฐานแต่ราคาชยับได้เรื่อยๆ

แบบนี้ผมควรปรับสัดส่วนการลงทุนให้ตัวที่ 2 มากๆหน่อยไหมครับ...
จริงๆถือในสัดส่วน ~ 50:50 มาซักพักใหญ่แล้ว... แต่ตัวที่สองทำผลตอบแทนจนเหมือนผมลงทุนอยู่แค่ครึ่งพอร์ต(ตัวแรกไม่ค่อยกระดิกเลย ) เหอๆ...(ไม่นับปันผล)

จะลดสัดส่วน 1. เพื่อไปเพิ่ม 2. ดีไหมครับ
ปล.ดู upside + กราฟ ไม่เป็นครับ

[ส.สลึง]

ถ้าเราวิเคราะห์มาถูกต้อง
เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดี
สำหรับหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าครับ

ผมเจอมาเยอะแล้ว
ทั้งที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้
และแบบที่ทำให้ผมรู้สึกเสียดาย
ที่ขายเร็วเกินไป
เพราะถือจนอ่อนใจ

[cookclick]

ถึงจะมั่นใจแค่ไหนถ้าไม่ใช่ขนาดตีแตกก็อาจผิดได้
ถ้าผิดผลตอบแทนก็จะยิ่งต่ำมากๆ ถ้าถูกผลตอบแทนก็สูงมากเช่นกัน
น่าจะเป็นเรื่องการรับความเสี่ยงได้ในแต่ละบุคคล ว่าจะเอาพอร์ต 1-2 ตัวหรือ 4-5ตัว หรือ 10+ ตัว
ส่วนตัวผมเองภาวะปกติ ถ้าหุ้นไม่เข้าเกณซื้อได้ก็จะไม่ซื้อมันซะเลย แต่ก็ไม่เคยคิดจะถือหุ้นเต็มพอร์ตโดยมีหุ้นต่ำกว่า 3 ตัวและมีตัวใดตัวหนึ่งมากกว่าครึ่งของพอร์ต อ่าครับมันเสี่ยงเกินไป (ยกเว้นตีแตกเลยอาจใช้มาร์จิ้นด้วย)
แต่ถ้าต้องการผลตอบแทนมากกว่า 40% ขึ้นไปต่อปี การถือหุ้นน้อยตัว อาจจำเป็นแล้วแต่ชอบครับ

*เข้าใจว่าการตีแตกนี้เพียง 2-3 ครั้งในชีวิตคุณก็อาจทำให้คุณรวยได้ ไม่ใช่จะแตกได้ทุกปีนะ 5555+

[Packy_Kittiworawut]

ผมว่าถ้ามั่นใจจริงๆก็จัดหนักเลยครับ มันขึ้นอยู่กับสไตล์ของแต่ละคนน่ะครับ

[blueplanet]

ทำอย่างไรถึง "มั่นใจมาก"
สิ่งที่ต้องทำกับ "ความมั่นใจมาก" ตรวจสอบประเมินผล
ระหว่างตรวจสอบประเมินผลอยู่นั้น
ก็หาความรู้เพิ่มไปเรือยๆ
เมื่อผลที่ประเมินได้+ความรู้ที่เพิ่มขึ้น ยัง "ยังมั่นใจมาก" อยู่มั้ย
ขั้นตอนการประเมินผล อย่างต่ำประมาณ 3 เดือน
ถ้ายัง "มั่นใจมากอยู่"
ก็ทำเลย สิ่งที่ทำตอนนี้ อาจจะต่างจาก การทำเมื่่อ "มั่นใจมาก" ตอนแรกอยู่ก็ได้

[viim]

1.มั่นใจพื้นฐานแต่ราคาไม่ไปไหน
2.มั่นใจพื้นฐานแต่ราคาชยับได้เรื่อยๆ

แบบนี้ผมควรปรับสัดส่วนการลงทุนให้ตัวที่ 2 มากๆหน่อยไหมครับ...
จริงๆถือในสัดส่วน ~ 50:50 มาซักพักใหญ่แล้ว... แต่ตัวที่สองทำผลตอบแทนจนเหมือนผมลงทุนอยู่แค่ครึ่งพอร์ต(ตัวแรกไม่ค่อยกระดิกเลย ) เหอๆ...(ไม่นับปันผล)

จะลดสัดส่วน 1. เพื่อไปเพิ่ม 2. ดีไหมครับ
ปล.ดู upside + กราฟ ไม่เป็นครับ

แสดงว่าคุณ ming1714 ถือเพียง 2 ตัว แล้วคำว่าราคาไม่ไปไหนนี่ พื้นฐานยังดีตลอดและมีแนวโน้มว่าดีขึ้นหรือไม่ครับ เช่น กำไรแนวโน้มโต คาดการณ์ง่าย ออกไปทางสม่ำเสมอ ส่วนแบ่งตลาดไม่ลดลงแต่มีแนวโน้มเพิ่มด้วยซ้ำ สินค้าโดดเด่น ROE ใช้ได้ ผู้บริหารเปิดเผยแคร์ผู้ถือหุ้น เงินสดดี อะไรทำนองนี้แล้วราคาไม่ไปไหนนี่ นานแค่ไหนครับ?? แล้วลองคำนวณมูลค่าที่ควรจะเป็นได้ออกมานี่ห่างจากราคาตลาดเยอะหรือป่าวครับ ตอนซื้อได้พิจารณาตัวเร่งที่อาจเป็นไปได้ (Potential catalyst) ที่จะทำให้ราคาสะท้อนมูลค่านี่เป็นอย่างไรครับ แล้วคาดการณ์ไว้อย่างไร เช่น ตัวเร่งควรมา 6 เดือน 1 ปี 2 ปี อะไรแบบนี้ อยากรู้จังตัวไหน

[leaderinshadow]

ถ้าเรา Focus เวลาได้ ก็ได้มากจริงๆครับ
แต่ถ้าพลาด ก็หนักเอาการ เกิดตัวนั้นที่เรามันใจมาก ลดไป 50% แล้วเราถือตัวเดียว
มันก็อันตราย

เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ

High risk high return

[ศิษย์เซียน007]

วิธีคิดคล้ายของพี่หมอเลยถ้าคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆท้ายที่สุดอาจจะถือหุ้นเพียงตัวเดียวในพอร์ตก็ได้คับ

[ming1714]

1.มั่นใจพื้นฐานแต่ราคาไม่ไปไหน
2.มั่นใจพื้นฐานแต่ราคาขยับได้เรื่อยๆ

แบบนี้ผมควรปรับสัดส่วนการลงทุนให้ตัวที่ 2 มากๆหน่อยไหมครับ...
จริงๆถือในสัดส่วน ~ 50:50 มาซักพักใหญ่แล้ว... แต่ตัวที่สองทำผลตอบแทนจนเหมือนผมลงทุนอยู่แค่ครึ่งพอร์ต(ตัวแรกไม่ค่อยกระดิกเลย ) เหอๆ...(ไม่นับปันผล)

จะลดสัดส่วน 1. เพื่อไปเพิ่ม 2. ดีไหมครับ
ปล.ดู upside + กราฟ ไม่เป็นครับ

แสดงว่าคุณ ming1714 ถือเพียง 2 ตัว แล้วคำว่าราคาไม่ไปไหนนี่ พื้นฐานยังดีตลอดและมีแนวโน้มว่าดีขึ้นหรือไม่ครับ เช่น กำไรแนวโน้มโต คาดการณ์ง่าย ออกไปทางสม่ำเสมอ ส่วนแบ่งตลาดไม่ลดลงแต่มีแนวโน้มเพิ่มด้วยซ้ำ สินค้าโดดเด่น ROE ใช้ได้ ผู้บริหารเปิดเผยแคร์ผู้ถือหุ้น เงินสดดี อะไรทำนองนี้แล้วราคาไม่ไปไหนนี่ นานแค่ไหนครับ?? แล้วลองคำนวณมูลค่าที่ควรจะเป็นได้ออกมานี่ห่างจากราคาตลาดเยอะหรือป่าวครับ ตอนซื้อได้พิจารณาตัวเร่งที่อาจเป็นไปได้ (Potential catalyst) ที่จะทำให้ราคาสะท้อนมูลค่านี่เป็นอย่างไรครับ แล้วคาดการณ์ไว้อย่างไร เช่น ตัวเร่งควรมา 6 เดือน 1 ปี 2 ปี อะไรแบบนี้ อยากรู้จังตัวไหน

ตัวที่ 1. นี่ผมถือมาปีนึงละครับ อย่างที่ว่า ราคาไม่ไปไหนเท่าไหร่
พอดีตอนซื้อเมื่อปีที่(ตอนเป็น้ม่าน้อย)แล้วลืมดูว่าเค้าปันผลปีละครั้ง(ดันซื้อหลังปันผล)...
ผ่านมาปีนึง(เริ่มเป็นเ่ม่าวัยรุ่น)เลยเพิ่งได้ปันผลครั้งเดียว(ระดับที่พอใจ)

ผมคิดว่าเสน่ห์ของหุ้นดีอย่างนึงคือ ความถี่และมูลค่าของปันผลครับ ... หุ้นดี ราคาไม่ค่อยขยับๆ ปันผลปีละครั้ง... คิดเอาเองว่าเสียโอกาสอยู่เหมือนกัน
ทีนี้พอเอา 1. และ 2.(ปันปีละ2ครั้ง) มาเทียบกัน... 2 เลยดูน่าเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น...

ตอนนี้ได้แต่คิดว่าจะเอาอย่างไรดี ^^"
ขอบคุณทุกคอมเ้ม้นท์มากครับ

[sylph]

ขึ้นอยู่กับขนาดพอร์ทด้วย

[densin]

ผลตอบแทนที่สูง ย่อมแลกมาด้วยความเสี่ยงที่ทัดเทียมกัน

ถ้ามันใจมากจะลงมากๆ ก็ต้องคิดไว้ด้วยว่าเสียเจ็งหมดก็ไม่เป็นไร

[unnop.t]

สัดส่วนการถือหุ้นผมจะวัดเอาจากความมั่นใจในหุ้นตัวนั้น มากแค่ไหน กระจายตัวเป็นอุตสาหกรรมมากกว่าครับ

ส่วนตัวผมคิดว่าการถือหุ้นเพียง 1-2 ตัวค่อนข้างเสี่ยงเอาการอยู่ ถึงแม้ว่าเรามั่นใจแค่ไหนก็ตาม มันมีปัจจัยภายนอกที่เราควบคุม

ไม่ได้อยู่ ถึงแม้มันจะมี Prob ต่ำก็ตามที

[chatchai]

อย่างที่เจ้าของกระทู้ระบุ ถ้าเรามั่นใจมากๆ และเป็นการลงทุนที่ดีกว่าทางเลือกอื่นๆอย่างมากและชัดเจนก็สามารถลงทุนในบริษัทเดียวได้ครับ

จากประสบการณ์ของผมเองก็พอจะพิสูจน์ ที่ถือลงทุนใน WG บริษัทเดียวมาหลายปี ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี

ถ้าพอร์ตค่อนข้างเล็ก การกระจายลงทุนก็อาจจะกลายเป็นเบี้ยหัวแตกมากเกินไป

สรุป คือ ขึ้นอยู่กับ ความมั่นใจ ผลตอบแทน และขนาดของพอร์ต

[saichon]

อย่างที่เจ้าของกระทู้ระบุ ถ้าเรามั่นใจมากๆ และเป็นการลงทุนที่ดีกว่าทางเลือกอื่นๆอย่างมากและชัดเจนก็สามารถลงทุนในบริษัทเดียวได้ครับ

จากประสบการณ์ของผมเองก็พอจะพิสูจน์ ที่ถือลงทุนใน WG บริษัทเดียวมาหลายปี ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี

ถ้าพอร์ตค่อนข้างเล็ก การกระจายลงทุนก็อาจจะกลายเป็นเบี้ยหัวแตกมากเกินไป

สรุป คือ ขึ้นอยู่กับ ความมั่นใจ ผลตอบแทน และขนาดของพอร์ต

ผมก็ชอบแนวคิดนี้ครับ

เมื่อปลายปีที่แล้วผมเจอหุ้นที่คิดว่าน่าสนใจอยู่3ตัว
แต่หลังจากผมลองประเมินมูลค่าของทั้ง3ตัวแล้ว
ปรากฎว่ามีตัวหนึ่งที่โดดเด่นกว่าตัวอื่นมาก
และคิดว่าสามารถถือตัวที่ว่าได้อีกหลายปีโดยไม่ต้องหาหุ้นตัวใหม่

ผมตัดสินใจซื้อตัวที่ประเมินมูลค่าแล้วคิดว่าถูกที่สุด
แม้ยังถือได้ไม่ยาวนานเท่าพี่ฉัตรชัย แต่ผมคิดว่าผมตัดสินใจดีแล้ว
และจะยอมรับความผิดพลาดจากการตัดสินใจของตนเอง หากมันเกิดขึ้นครับ

[Warantact]

คำถามนี้มีคำตอบในตัวมันเองอยู่แล้ว

ถ้าเรามั่นใจมาก มั่นใจในอะไร หุ้นหรือธุรกิจ
ถ้ามั่นใจในหุ้นก็อย่าเลย ถ้ามั่นใจในธุรกิจมาก
เช่น เราเป็นเจ้าของ บริหารเองกับมือ หรือ เราอ่านงบเทพ
หรือ เรามีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยาวนาน
หรือ เราประเมินธุรกิจเก่งมาก

มันก็สมเหตุสมผลที่จะถือตัวเดียว

แต่เนื่องจากคุณตั้งคำถาม ผมก็เดาว่าเป็นมือใหม่
ความมั่นใจอาจไม่ตรงความเป็นจริง
สุดท้าย ลองดูเป็นคำตอบสุดท้าย 5555

[akindle]

port ของผม เน้นน้อยตัว Focus อยุ่สองตัว เท่านั้น ครับ ถ้าเรามั่นใจ ถือได้ครับ ประสบการณ์และความรู้ จะทำให้เรามั่นใจ

[viim]

1.มั่นใจพื้นฐานแต่ราคาไม่ไปไหน
2.มั่นใจพื้นฐานแต่ราคาขยับได้เรื่อยๆ

แบบนี้ผมควรปรับสัดส่วนการลงทุนให้ตัวที่ 2 มากๆหน่อยไหมครับ...
จริงๆถือในสัดส่วน ~ 50:50 มาซักพักใหญ่แล้ว... แต่ตัวที่สองทำผลตอบแทนจนเหมือนผมลงทุนอยู่แค่ครึ่งพอร์ต(ตัวแรกไม่ค่อยกระดิกเลย ) เหอๆ...(ไม่นับปันผล)

จะลดสัดส่วน 1. เพื่อไปเพิ่ม 2. ดีไหมครับ
ปล.ดู upside + กราฟ ไม่เป็นครับ

แสดงว่าคุณ ming1714 ถือเพียง 2 ตัว แล้วคำว่าราคาไม่ไปไหนนี่ พื้นฐานยังดีตลอดและมีแนวโน้มว่าดีขึ้นหรือไม่ครับ เช่น กำไรแนวโน้มโต คาดการณ์ง่าย ออกไปทางสม่ำเสมอ ส่วนแบ่งตลาดไม่ลดลงแต่มีแนวโน้มเพิ่มด้วยซ้ำ สินค้าโดดเด่น ROE ใช้ได้ ผู้บริหารเปิดเผยแคร์ผู้ถือหุ้น เงินสดดี อะไรทำนองนี้แล้วราคาไม่ไปไหนนี่ นานแค่ไหนครับ?? แล้วลองคำนวณมูลค่าที่ควรจะเป็นได้ออกมานี่ห่างจากราคาตลาดเยอะหรือป่าวครับ ตอนซื้อได้พิจารณาตัวเร่งที่อาจเป็นไปได้ (Potential catalyst) ที่จะทำให้ราคาสะท้อนมูลค่านี่เป็นอย่างไรครับ แล้วคาดการณ์ไว้อย่างไร เช่น ตัวเร่งควรมา 6 เดือน 1 ปี 2 ปี อะไรแบบนี้ อยากรู้จังตัวไหน

ตัวที่ 1. นี่ผมถือมาปีนึงละครับ อย่างที่ว่า ราคาไม่ไปไหนเท่าไหร่
พอดีตอนซื้อเมื่อปีที่(ตอนเป็น้ม่าน้อย)แล้วลืมดูว่าเค้าปันผลปีละครั้ง(ดันซื้อหลังปันผล)...
ผ่านมาปีนึง(เริ่มเป็นเ่ม่าวัยรุ่น)เลยเพิ่งได้ปันผลครั้งเดียว(ระดับที่พอใจ)
Peter Lynch บอกว่าหุ้นบางตัวใช้เวลา 2-3 ปีก่อนที่จะแสดงพลังออกมา เพราะฉะนั้นหนึ่งปีไม่น่าจะถือว่านาน แต่ก็นั่นแหละขึ้นอยู่กับพื้นฐานและข้อมูลที่เรามี ณ วันนั้น กับวันนี้ ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ ความเห็นส่วนตัว ผมว่าถ้าเรามั่นใจในพื้นฐานซึ่งไม่น่าจะเปลี่ยนเร็วมากและพิจารณาทุกอย่างตามความสามารถของเรา แล้วคิดว่าถือต่อได้ เราก็ถือครับ คุณนริศเคยสอนผมว่าให้เอาความสบายใจเป็นหลัก ถ้าเรามั่นใจประมาณไหนก็ถือประมาณนั้น ถือแล้วเป็นสุข อ.นิเวศน์ยิ่งมองไกล 5 ปีเป็นอย่างน้อย
ผมคิดว่าเสน่ห์ของหุ้นดีอย่างนึงคือ ความถี่และมูลค่าของปันผลครับ ... หุ้นดี ราคาไม่ค่อยขยับๆ ปันผลปีละครั้ง... คิดเอาเองว่าเสียโอกาสอยู่เหมือนกัน
ทีนี้พอเอา 1. และ 2.(ปันปีละ2ครั้ง) มาเทียบกัน... 2 เลยดูน่าเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น...
ตอนนี้ได้แต่คิดว่าจะเอาอย่างไรดี ^^"
เอาความสบายใจครับ ถ้าเปลี่ยนไปหาตัว 2 แล้วรู้สึกมั่นใจขึ้นก็เปลี่ยนไปเลยครับ ผมว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จ ขึ้นกับความพอใจของเรา ประสบการณ์ที่เรามีวันนี้และที่เราจะได้ในอนาคตจะเป็นตัวกำหนดและให้คำตอบที่ดีขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป ผมเองก็ยังมือใหม่มากกว่าคุณ ming อีกครับ
ขอบคุณทุกคอมเ้ม้นท์มากครับ

[aradin]

อย่างที่เจ้าของกระทู้ระบุ ถ้าเรามั่นใจมากๆ และเป็นการลงทุนที่ดีกว่าทางเลือกอื่นๆอย่างมากและชัดเจนก็สามารถลงทุนในบริษัทเดียวได้ครับ

จากประสบการณ์ของผมเองก็พอจะพิสูจน์ ที่ถือลงทุนใน WG บริษัทเดียวมาหลายปี ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี

ถ้าพอร์ตค่อนข้างเล็ก การกระจายลงทุนก็อาจจะกลายเป็นเบี้ยหัวแตกมากเกินไป

สรุป คือ ขึ้นอยู่กับ ความมั่นใจ ผลตอบแทน และขนาดของพอร์ต

ถามพีฉัตรชัยครับ ที่บอกว่าถือมาหลายปี(น่าจะไม่ได้ขายเลย) แสดงว่าผลตอบแทนที่ได้คงมาจาก
เงินปันผล อย่างเดียวใช่มั้ยครับ ถ้าเป็นตามที่ผมเข้าใจแสดงว่า %ปันผลที่ได้รับคงมากโขอยู่..

[TBJTBT]

อย่างที่เจ้าของกระทู้ระบุ ถ้าเรามั่นใจมากๆ และเป็นการลงทุนที่ดีกว่าทางเลือกอื่นๆอย่างมากและชัดเจนก็สามารถลงทุนในบริษัทเดียวได้ครับ

จากประสบการณ์ของผมเองก็พอจะพิสูจน์ ที่ถือลงทุนใน WG บริษัทเดียวมาหลายปี ก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี

ถ้าพอร์ตค่อนข้างเล็ก การกระจายลงทุนก็อาจจะกลายเป็นเบี้ยหัวแตกมากเกินไป

สรุป คือ ขึ้นอยู่กับ ความมั่นใจ ผลตอบแทน และขนาดของพอร์ต

ถามพีฉัตรชัยครับ ที่บอกว่าถือมาหลายปี(น่าจะไม่ได้ขายเลย) แสดงว่าผลตอบแทนที่ได้คงมาจาก
เงินปันผล อย่างเดียวใช่มั้ยครับ ถ้าเป็นตามที่ผมเข้าใจแสดงว่า %ปันผลที่ได้รับคงมากโขอยู่..

ขออนุญาติตอบแทนพี่ฉัตรชัยก่อนนะครับ ในฐานะที่เคยถือ WG อยู่มานานพอสมควรแม้จะไม่นานเท่า
และไม่ได้ถือตัวเดียวใน port แต่ % ที่มีก็ถือว่ามีนัยยะกับ port อยู่เหมือนกัน

นอกจากเงินปันผลที่ได้ประมาณ 7-8% +/- (นับจากราคา ณ วัน XD นะครับ ไม่ใช่ราคาที่ซื้อ)
ก็ยังได้ส่วนต่างของราคาด้วย (Capital gain)
ซึ่งตรงนี้ สำหรับผมแล้วเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าปันผลหลายๆรอบที่ได้มารวมกันเสียอีก

[harn]

ผมเลือกลงทุนประมาณสิบตัวในพอร์ต แต่น้ำหนักไม่เท่ากัน ปรับน้ำหนักใหม่ทุกไตรมาส โดยวิเคราะห์จากผลประกอบการที่ออกมา แนวคิดผมเป็นอย่างนี้ครับ

1 เราอาจเลือกหุ้นผิดได้ ผมมักไม่เลือกธุรกิจที่เข้าใจยาก อ่านงบไม่ออก อย่างไอที แบงก์ ก่อสร้างใหญ่ๆ อสังหา ฯลฯ การเลือกผิดทำให้เสียเวลา หกเดือนถึงหนึ่งปีกว่าจะรู้ตัวขายทิ้ง

2 หุ้นที่เราเลือกดีแล้ว ก้อยังโชว์ผลงานไม่เท่ากัน บางตัวใช้เวลาไตรมาสเดียว โชว์กำไรเด้งขึ้นทันที บางตัวใช้เวลาสามสี่ปี ถ้าเรามีน้อยตัว คงรอกันเซ็ง

เหมือนเราปลูกต้นไม้หลายต้น(ชนิด)จากเมล็ด แล้วคอยเฝ้าดู ต้นใหนแตกหน่อออกมาก่อนก้อบำรุงใส่ปุ๋ย พรวนดิน ต้นใหนทำท่าแคะแกรน ก้อถอนทิ้งไป หาต้นไม้มาปลูกใหม่ ต้นอื่นๆที่เติบโตไม่พร้อมกัน ทำให้เราคอยเก็บผลกินได้ตลอดทั้งปี
บางต้นเก็บผลกินจนเริ่มแก่ ให้ผลน้อยไม่คุ้มทุนค่าบำรุงดูแล ก้อตัดทิ้งไป หามาปลูกใหม่

[yoko]

ถ้ามั่นใจมากผมก็ถือตัวเ้ดียวได้
ถ้าผมเลือกผิดผมก็เสียหายน้อย
เพราะหุ้นที่ผมเลือก
ผมรอจนมีมอสมากๆเสมอ

[chukieat30]

คนพอรท์เล็ก โยนหุ้นบางทีแถวเดียวก้หมด

คนพอรท์ใหญ่ โยนหุ้นที กราฟมันเบ๊จนเสียทรงไปก้มีเยอะแยะครับ

คนตัวเล็กเล่นหุ้น 1-2 ตัว ก้ดี เพราะพอรท์จะโตเร็ว

แต่ถ้า คนตัวใหญ่เล่น 1-2 ตัว ไม่รวย ก้หมดตัวครับ

ว่ากันตามที่เคยเห็นนะครับ ไม่มีคนพอรท์ใหญ่คนไหนไม่กระจายความเสี่ยง

เพราะการรักษาขนาดของพอรท์ สำคัญกว่าจะก้าวไปอีกขั้นครับ

เล่นตัวเดียวหน่ะ การพนันแล้วครับ เพราะิกิจการไม่ใช่ของเรา ยกเว้น เราจะเป็นลูกหลาน

เจ้าของกิจการครับ

[คลายเครียด]

ตามความเชือของผม



อายุน้อยมั่นใจมากได้ อายุมาก ก็มั่นใจให้น้อยๆลงหน่อย

มั่นใจมากๆตอนอายุ ยี่สิบห้า กับเริ่มมั่นใจมากๆตอนอายุหกสิบ

มีเวลาให้แก้ตัว ต่างกันตั้งสามสิบห้าปีครับ