ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการเงิน

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
navapon
Verified User
โพสต์: 760
ผู้ติดตาม: 0

ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการเงิน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ข้อสรุปที่ผมได้จากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการเงิน" นะครับ
แปลโดย คุณ นรา สุภัคโรจน์

พอดีผมเพิ่งซื้อมา และเพิ่งอ่านจบครับ

ลักษณะของบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน เมื่อดูจากงบการเงินมีดังต่อไปนี้
(เท่าที่จับประเด็นได้ แต่อาจจะมีที่ผมเข้าใจผิด หรือ หลุดบางประเด็นนะครับ)

note :
การลงทุนของ บัฟเฟตต์ ไม่เน้นการปันผล แต่ใช้กลยุทธ์ หรือ วิศวกรรมทางการเงิน โดยการ"ซื้อหุ้นคืน"เป็นหลัก รวมทั้งการนำเอากำไรไปลงทุนต่อมากกว่า หลายข้อในด้านล่างและหลายบทในหนังสือ จึงกล่าวถึงการซื้อหุ้นคืนบ่อยมาก เนื่องจากเป็นกลยุทธที่บัฟเฟตต์ชอบใช้

1.บริษัทที่มี GPM >= 40% อย่างต่อเนื่องยาวนานถือว่ามี durable competitive advantage ได้ เพราะหมายถึงบริษัทไม่จำเป็นต้องตั้งราคาขายในระดับตํ่ามากเพื่อรักษายอดขาย เป็นการบอกว่าสินค้านั้นมีคุณภาพและลูกค้ามีความพึงพอใจต่อสินค้าของบริษัทโดยไม่ต้องลดราคา และในขณะเดียวกัน GPMที่สูงมากก็อาจหมายถึง บริษัทมีการควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดีเยี่ยม

2.ค่าเสื่อม / กำไรชั้นต้น < 10% ถือว่าบริษัทมี durable competitive advantage เพราะไม่ต้องลงทุนสูง

3.ดอกเบี้ยจ่าย ควรจะมีน้อยๆ หรือ ไม่ควรมีเลย

4.กำไรสุทธิ(net profit)ควรจะสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างสมํ่าเสมอ และกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ก็ควรสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาการซื้อหุ้นคืนอย่างเดียว
เพราะถ้ายกตัวอย่างในกรณีที่สุดโต่งของการซื้อหุ้นคืนนั้น มันอาจทำให้ EPSเพิ่มขึ้น (เนื่องจากจำนวนหุ้นที่เป็นตัวหารลดลง) ทั้งที่จริงๆกำไรสุทธิของบริษัทในขณะนั้นลดลงก็มี จึงเป็นตัวอย่างให้เห็นจุดอ่อนว่า หากมองไม่ละเอียดมากพอ คือมองเเต่ EPS อย่างเดียว โดยไม่มอง net profit อาจเข้าใจผิดได้ว่ากำไรดีขึ้น

5.บริษัทที่มี DCA นั้น NPM มักจะสูง > 20% อย่างสมํ่าเสมอต่อเนื่องมายาวนาน ถ้า NPM < 10% มักแสดงว่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและบริษัทไม่ได้เปรียบคู่แข่งอย่างเด่นชัดนัก

6.ความสามารถในการทำกำไรที่ยอดเยี่ยม จะทำให้บริษัทมีเงินเหลือพอที่จะจ่ายปันผลได้มากๆ และ/หรือ สามารถซื้อหุ้นคืนได้ ซึ่งทั้ง2อย่างนี้ จะลดความจำเป็นของเงินทุนหมุนเวียนได้ และอาจจะทำให้สภาพคล่องทางการเงินcurrent ratio <1 ได้ จึงอาจสรุปได้ว่า current ratio ไม่มีประโยชน์ในการประเมิน DCA ของบริษัทที่แข็งแกร่งมากๆ แต่ใช้ได้กับบริษัทธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

7.เกี่ยวกับการลงทุนในอาคารที่ดินอุปกรณ์
บริษัทที่มี DCA จะสามารถระดมเงินทุนภายในบริษัทเองได้ แต่บริษัทที่ไม่มี DCA มักจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้ในการสร้างหรือปรับปรุงโรงงานและเครื่องจักรอยู่เสมอ นอกจากนั้น บริษัทที่ดีควรจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่างๆเพื่อสร้างรายได้เป็นจำนวนน้อยๆ ผมจึงสรุปเอาเองได้ว่า บริษัทที่มี DCA ควรจะมีสินทรัพย์ที่เป็นที่ดินอาคารอุปกรณ์เทียบกับยอดขายที่ทำได้ใน1ปียิ่งน้อยยิ่งดี หรือ มีTotal Asset Turnover ยิ่งมากยิ่งดีนั่นเอง

8.บริษัทที่มีขนาดเล็กเกินไป ถึงจะมีอัตราการทำกำไรต่อสินทรัพย์ดีมาก (ROAสุงๆ) แต่อาจจะไม่มี DCA ก็ได้ เพราะมีต้นทุนที่ตํ่าในการเข้าสู่ธุรกิจ(ถูกtake overง่ายนั่นเอง)

9.บริษัทที่มี DCA มักจะมีหนี้สินระยะยาวน้อยมากหรือไม่มีเลย โดยเฉพาะหากไม่มีหนี้เลยเป็นระยะเวลายาวนานมาแล้วจะยิ่งดี หรืออย่างน้อย หากมีหนี้สินบ้าง บริษัทควรมีความสามารถในการทำกำไรพอที่จะชำระคืนหนี้สินระยะยาวได้ใน 3-4 ปี

10.กล่าวซํ้าถึง current ratio ก็คือบริษัทที่มี DCA อาจมี current ratio < 1 ได้ สาเหตุก็คือความสามารถของบริษัทในการสร้างกำไรที่มหาศาลนั้น สามารถมาทดแทนเงินทุนหนุนเวียนที่ขาดไปได้ จึงไม่ต้องการสภาพคล่องมารองรับอย่างที่ธุรกิจธรรมดาต้องการ

11.D/E Ratio ปกติควรจะตํ่า คือค่ายิ่งตํ่ายิ่งดี แต่บางบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงมากๆ จนสามารถซื้อหุ้นตัวเองคืนได้ แล้วทำให้retained earning และ Equity ลดลง สุดท้ายทำให้กลายเป็นว่ามี D/E Ratio สูงมากได้ ดังนั้นหากพบบริษัทดังกล่าว แทนที่เวลาปกติ จากที่เราจะเอาหุ้นซื้อคืน หักออกจากส่วนของequity ที่มีอยู่เดิม ให้ บวก หุ้นซื้อคืน กลับเข้าไปใน equity แล้วจะพบว่า D/E Ratio ไม่ได้สูงจริงอย่างที่เห็น

12.บริษัทที่มี DCA ไม่ควรมี"หุ้นบุริมสิทธิ" อยู่ในโครงสร้างทุน เนื่องจากมันมีต้นทุนทางการเงินที่สูงมากเพราะ 1.ปันผลก็ต้องจ่ายก่อนหุ้นสามัญ 2.ได้รับเงินคืนก่อนกรณีที่บริษัทล้มละลาย 3.เงินปันผลที่จ่ายไม่สามารถนำไปหักภาษีได้ ไม่เหมือนกับการกู้หนี้จากธนาคาร

13.บริษัทที่มี DCA ควรจะมีกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร (retained earning) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม บางบริษัททำกำไรได้ดีมาก จนไม่จำเป็นต้องเก็บกำไรสะสมมหึมาก้อนนี้ไว้ จึงนำไปซื้อหุ้นคืนและจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นจำนวนมาก กำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรรจึงอาจจะน้อยได้และไม่ได้แปลว่าบริษัทไม่ดี

14.เช่นเดิมเกี่ยวกับบริษัทที่ซื้อหุ้นคืน ถึงจะทำให้ EPS สูงขึ้น เพราะทำให้ตัวหาร(คือยอดของผู้ถือหุ้น)ลดลง แต่หากเรานำหุ้นซื้อคืนบวกกลับเข้าไปในยอดของผู้ถือหุ้นเดิมแทนที่จะลบออก แล้วหา EPS ใหม่อีกรอบ เราจะทราบได้ว่า EPS ที่สูงขึ้นนั้น มาจากการทำกำไรที่มากขึ้น หรือ วิศวกรรมทางการเงิน

15.การปรากฎหุ้นซื้อคืนในงบดุล และ ประวัติการซื้อหุ้นคืนในอดีต เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าบริษัทมี DCA

16.ปกติ ROE ยิ่งสูงยิ่งดี แต่บางกรณีที่ บริษัทจ่ายปันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน จนequityติดลบ อาจทำให้ROE ติดลบไปด้วย จึงต้องดูด้วยว่า ถึงจะ มีROE ติดลบ แต่ถ้าบริษัท มีประวัติกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งก็ไม่เป็นไร แต่ต้องระวัง แยกให้ดีจากบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย ซึ่งมี ROE ติดลบเหมือนกัน แต่กรณีนี้ ROE ที่เป็นลบจะเป็นจากตัวตั้ง(ผลกำไร/ขาดทุน)ที่ติบลบ ไม่ใช่จากตัวหาร

หากไม่เหมาะสมประการใด เช่น เรื่องลิขสิทธิ์ ก็ขออภัย ณ ที่นี้ และลบได้เลยครับ ผมเจตนาเพื่อเผยแพร่ความรู้เฉยๆครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
The Dark
Verified User
โพสต์: 209
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ กำลังอ่านอยู่เหมือนกัน ได้ครึ่งเล่มอยู่เลย :mrgreen:
ถามไถ่โลกหล้า รักคือสิ่งใด
woodooshy
Verified User
โพสต์: 185
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

:D แต้งๆๆ
ลงทุนในความรู้ นำไปสู่อิสระภาพทางการเงิน

ลงทุนในบุญกุศล นำไปสู่อิสระภาพทางใจ
aurakasa
Verified User
โพสต์: 46
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ สรุปดีมากเลยครับ แต่ผมหวั่นๆในฐานะผู้ถือหุ้น Se-ed สรุปเนื้อหาได้ดีอย่างนี้ร้านหนังสือผมจะขายได้มั้ยเนี่ย :B ล้อเล่นนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
bluemax
Verified User
โพสต์: 19
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณมากครับ คุณ navapon
เราใช้เวลาส่วนใหญ่วันๆ ไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ และให้เวลาน้อยเกินไปกับเรื่องที่สำคัญที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
harlembeats
Verified User
โพสต์: 97
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณมากคับ ละเอียดเลย :D
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบคุณมากๆครับ สรุปได้ดีมากครับ
---------------------------------------------------------------------------------------
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งและการลงทุน วิธีการสอนลูกให้มั่งคั่ง
เชิญได้ที่... http://wealththailand.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
rekokung
Verified User
โพสต์: 98
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

สรุปได้ดีมากๆครับ :o
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

outstanding job!! thank..
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rabbitz
Verified User
โพสต์: 61
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

สรุปดีมากเลยครับ

ผมว่าอ่านเล่มนี้ลองดูหน้าท้ายๆเหมือนกับการสรุปเนื้อหาทั้งเล่มมาให้เลยครับ

แต่มือใหม่อย่างผมอ่านยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ

:oops: :oops:
"Stay Hungry Stay Foolish"
ถุงเงินเก่า
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ขอบคุณสำหรับสรุปนี้ครับ ได้ประโยชน์เรื่อง ค่าเสื่อม/กำไรขั้นต้น กับ current ratio <1 เพิ่มเข้ามาใหม่ ส่วนอื่นก็ได้ทบทวนข้อมูล
a4430410700
Verified User
โพสต์: 125
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณมากๆเลยครับ
:) :) :)
hatehate
Verified User
โพสต์: 93
ผู้ติดตาม: 0

Re: ข้อสรุปจากหนังสือ "วอร์เรน บัฟเฟตต์และการตีความความงบการ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ขอบคุณมากครับ เป็นประโยชน์มากครับ
โพสต์โพสต์