'2 กูรู' มอง 'ตลาดหุ้น' 'เอกยุทธ อัญชันบุตร-นพ.พงษ์ศักดิ์ ธร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ลูกเต่า
Verified User
โพสต์: 501
ผู้ติดตาม: 0

'2 กูรู' มอง 'ตลาดหุ้น' 'เอกยุทธ อัญชันบุตร-นพ.พงษ์ศักดิ์ ธร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

“กูรูหุ้น” เตือนสติ “อย่าตื่นตระหนก” หุ้นไทยพ้นพันจุด หลังฝรั่งเทกระจาด “พงษ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี & เอกยุทธ์ อัญชันบุตร” ย้ำ “กรุณาใจเย็นๆหาโอกาสสะสมของถูก”

สารพัดปัจจัยลบส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาแล้ว 7 สัปดาห์ จากจุดสูงสุด 1,113.63 จุด และลงมาต่ำสุด 998.39 จุด คิดเป็นการปรับตัวลดลงประมาณ 10% สอดคล้องกับดัชนีราคาหุ้นทั่วโลกเริ่มมีทิศทางเป็นขาลง ไม่ว่าจะเป็นมุมมองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเติบโตช้าลง อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนของมาตราการช่วยเหลือกรีซของประเทศในกลุ่มยุโรป รวมถึงเหตุการณ์ในไทยปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้นักลงทุนหยุดรอดูสถานการณ์ และกระทบบรรยากาศในการลงทุนเป็นระยะ

เอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "ไทยอินไซเดอร์" และนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้น มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในช่วง "ก่อน" และ "หลัง" การเลือกตั้ง โดยแสดงความเห็นผ่านกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ในช่วงที่เหลือของเดือนมิถุนายนนี้ หากมองในมุมที่แย่สุดๆ SET Index มีโอกาสปรับตัวลดลงมาที่ 950-960 จุด เพราะนักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าลดพอร์ตการลงทุน

ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเอกยุทธเคยเตือนนักลงทุนผ่านเว็บไซต์ของตัวเองว่า มีกองทุนต่างชาติเริ่มมีการขายออกมาในช่วงที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,060-1,080 จุด ซึ่งมีการทยอยขายออกมามาก ก่อนหน้านี้เขาประเมินจุดที่น่าจะมีการทยอยเข้ามาเก็บหุ้นได้คือ 1,020-1,040 จุด ซึ่งวันนี้ก็ลงมาแล้ว จุดต่อไปเชื่อว่าแรงขายจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุหลักเพราะมีโบรกเกอร์ใหญ่ในต่างประเทศออกรายงานให้ขายในขณะที่หุ้น(กำลัง)ตก ซึ่งเป็นการ "ทุบหุ้น" เพื่อให้หุ้นตก 8-10% และตัวเองจะได้เข้ามาเก็บหุ้นได้ โดยนำเงินไปพักที่ตลาดพันธบัตรและเงินยังไม่ได้ไหลออก

ตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามามีแต่ปัจจัยลบรอบด้าน ปัญหาความวุ่นวายในประเทศกรีซทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัว ขณะเดียวกันยังหวั่นเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรป มองว่าการฟื้นตัวอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แถมยังกลัวการเมืองไทยที่อาจเปลี่ยนขั้วอำนาจพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล หากมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆนั่นหมายความว่า นโยบายด้านต่างๆจะมีหน้าตาไม่เหมือนเดิม..เอกยุทธ มอง

"แต่ถ้าโชคดี "ปลายไตรมาส 2" นักลงทุนต่างชาติทำ Window Dressing คือทำให้ตัวเลขทางบัญชีให้ดูดีเหมือนปกติ หุ้นไทยก็อาจปรับตัวลดลงไม่มากนัก...เมื่อหลายสัปาดห์ก่อนผมเคยเตือนเรื่องนักลงทุนต่างชาติอาจเทขายหุ้นแล้ว สัญญาณมันเริ่มมาหนักๆ ตอนดัชนียืน 1,060-1,080 จุด ถ้าใครเชื่อก็คงรอดตัวไป”

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นหลังการเลือกตั้ง เอกยุทธ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยอาจเกิดอาการ Sideway Down ประมาณ 5-8% คาดว่าดัชนีคงยืนแถวๆ 960 จุด ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ชนะขาดลอย หุ้นไทยจะตีกลับมายืนระดับ 1,300-1,500 จุด แต่หากพรรคเพื่อไทยชนะได้จัดตั้งรัฐบาล "รับรองหุ้นไทยตกกระจาย" เพราะเขา (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ต้องเข้ามาเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายด้านต่างๆใหม่หมด เมื่อเป็นเช่นนั้นเชื่อได้เลยว่า "การเมืองไม่สงบชัวร์!" ตลาดหุ้นมีโอกาสลงไปเคลื่อนไหวในกรอบ 850-1,000 จุด

เว้นเสียแต่ว่าพรรคเพื่อไทยสามารถพิสูจน์ได้ว่า นโยบายด้านต่างๆมีผลดีเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และไม่มีคนออกมาเดินขบวน ในระยะ "กลาง-ยาว" ดัชนีอาจขึ้นไป 1,200 จุดได้ เพราะพื้นฐานตลาดหุ้นไทย "ยังดีอยู่" แต่ความคิดเห็นส่วนตัว "ผมไม่เชื่อว่ามันจะสงบ"

ถามต่อว่านักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เอกยุทธ กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว หากดัชนีลงมาระดับ 950-960 จุด ให้ซื้อหุ้นเข้าพอร์ต 30-40% แต่ถ้าดัชนีหุ้นยืนได้ระดับ 1,005-1,010 จุด (ไม่หลุด 1,000 จุด) ให้ซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียง 20-30% สำหรับนักลงทุนระยะสั้นบอกเลย "ไม่เชียร์ให้ซื้อหุ้นในตอนนี้ มีโอกาสขึ้นไปชมวิว (ติดดอย) แน่ๆ..ช่วงนี้เล่นยาก"

ถามว่าแล้วหุ้นกลุ่มไหนน่าลงทุนที่สุด เอกยุทธ กล่าวว่า แนะนำให้เน้นหุ้น "กลุ่มพลังงาน" โดยเฉพาะ "ครอบครัวปตท." ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือร้าย หุ้นกลุ่มปตท. "ไม่เคยตาย" ส่วนหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่มอาหาร "หลีกเลี่ยงไปเลยดีที่สุด" เพราะมีสิทธิได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง หากการเมืองเปลี่ยนขั้ว ก็ต้อง "มีลุ้น" ว่าบริษัทไหนจะอยู่ข้างใคร

นอกจากนี้หุ้น "ไอพีโอ" เป็นอีกกลุ่มที่นักลงทุนควร "หลีกหนีให้ไกล" ซื้อไปก็ไม่คุ้ม กรุณาอย่าไปซื้อวันแรกๆ เพราะราคามัน "โอเวอร์" มาก ถ้าอยากได้จริงๆเพราะพื้นฐานดีก็ให้รอสักพักให้ราคาหุ้นมันสะเด็ดน้ำเสียก่อน พูดง่ายๆให้นักลงทุนขาใหญ่ “เลิกปั่นหุ้นก่อน..ค่อยเข้าไปซื้อ” หุ้นไอพีโอที่ดันราคาขึ้นสูงช่วงวันแรกๆใครไปซื้อแล้วออกไม่ทัน รับรอง "ติดดอยไม่ได้ลงยาว" ส่วนพวกหุ้น "บิ๊กแคป" (หุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่) ที่มีต่างชาติลงทุนเยอะๆ ช่วงนี้เลี่ยงได้ก็ดี

“ถ้าต้องการลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานดี ซึ่งก็มีอยู่มากในตลาดก็ขอให้ทำการบ้านสักนิด ซื้อช่วงที่หุ้นตกหนักๆแล้วไปรอขายตอนสิ้นปี เชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุน 20% คุณได้แน่! แต่ถ้าดื้อลงทุนหนักโดยไม่ศึกษาให้ดี แทนที่จะได้กำไรจะกลายเป็นขาดทุนได้ง่ายๆ" เอกยุทธ กล่าวเตือน

ทางด้านแวลูอินเวสเตอร์รายใหญ่ นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เจ้าของพอร์ตลงทุน 2,000 ล้านบาท มองการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น และการเทขายของนักลงทุนต่างชาติถือเป็น "โอกาสการลงทุน"

"นักลงทุนทุกท่านโปรด “อย่าหยุดซื้อหุ้น” เพราะของดีราคาถูกยังมีอยู่เกลื่อนตลาด ถ้าเป็นผมจะควักเงินซื้อหุ้นประมาณ 50-60% หากค้นพบหุ้นที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม"

คุณหมอพงศ์ศักดิ์ แนะนำว่า นักลงทุนที่วันนี้เล่นหุ้น "เต็มพอร์ต" (100%) ขอให้ "ขายหุ้นที่ขึ้นมาแรงๆ" หรือหุ้นตัวที่คิดว่าจะได้รับผลกระทบจากการเมืองในอนาคต แล้วให้ "ถือเงินสด" ไว้ก่อน รอดูสถานการณ์หลังเลือกตั้งอีกครั้ง สำหรับนักลงทุนที่เล่นหุ้น "ไม่เต็มพอร์ต" จังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลงให้เลือกเก็บหุ้น "พื้นฐานดี" เข้าพอร์ตประมาณ 40-50% ที่เหลือเก็บเป็น "เงินสด" รอดูสถานการณ์หลังเลือกตั้ง สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสดเพียง 10% ควรเลือกจิ้มตัวที่พื้นฐานดีๆ ราคาถูก

ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนน่าเก็บเข้าพอร์ต คุณหมอ แสดงความเห็นว่า น่าจะเป็นกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค และกลุ่มค้าปลีกบางตัว เช่น BIGC, MAKRO และ CPALL ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกน่าจะเป็นกลุ่มธนาคาร ท่องเที่ยว และส่งออก

"หากพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งมากๆ ตลาดหุ้นไทยจะดีมากแถมการเมืองจะสงบด้วย เพราะนั่นแปลว่าคนชั้นสูงเขาสนับสนุน แต่ถ้าได้คะแนนน้อยจนต้องไปจับมือกับพรรคเล็กพรรคน้อย เพื่อจัดตั้งรัฐบาล SET Index คงไม่สวยแน่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นขี้เหร่"

นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยชนะเกิน 250 เสียง นักลงทุนก็ต้องหวั่นใจอีกว่าจะบริหารประเทศได้หรือไม่ หุ้นก็คงไม่งามเท่าไร แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 250 เสียง จนต้องจับมือกับพรรคเล็กจัดตั้งรัฐบาล รับรองนอกจากหุ้นจะไม่ดีแล้ว การเมืองยังไม่สงบด้วย เพราะทหารคงไม่ไว้ใจอย่าลืมว่าวันนี้ทหารถือเป็นตัวแปรสำคัญทางการเมืองของไทย

“จริงๆ แล้วหุ้นไทยไม่แพงแต่ก็ไม่ถูก เมื่อก่อน P/E 8-12 เท่า แต่วันนี้ (Forward P/E) ประมาณ 11 เท่า ฉะนั้นการที่ดัชนีหลุด 1,000 จุด ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกครั้งที่เมืองไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงก็จะโดนเทขายแบบนี้ อีกอย่างตลาดหุ้นขึ้นมาต่อเนื่อง 2 ปี ดังนั้นการที่ต่างชาติขายทำกำไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นอย่าตกใจ” นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวปิดท้าย
ปัจจุบันขณะ
โพสต์โพสต์